บทที่ 2
เด็กสาวรีบปาดน้ำตาและเม้มปากแน่นกลั้นสะอื้น แต่สักครู่ก็เบะปากสะอื้นหนักยิ่งกว่าเดิม
เขาหน้าเสียเมื่อเห็นดังนั้น รู้สึกผิดอยู่ในใจ “ปู่ของเธอจะต้องไม่เป็นอะไร เชื่อฉันสิ”
“ช่วย.. ช่วย.. ปู่หนู ด้วย นะคะ” เธอพูดไปสะอื้นไป
เขาเพียงแต่พยักหน้ารับ แล้วช่วยพยุงปู่ของเธอขึ้นรถที่มาจอดเทียบ ให้เธอกับปู่นั่งเบาะหลังด้วยกัน แล้วเปิดประตูนั่งหน้าคู่กับบอดี้การ์ดของตัวเอง
“จะไปส่งที่โรงพยาบาลไหนดีครับ” เอดิสันขอความเห็นจากเจ้านาย เพราะเรื่องนี้อยู่เหนือการตัดสินใจของเขา
“ไปที่ใกล้ที่สุด ฉันรู้สึกว่าปู่ของเธออาการแย่มาก”
“ท่านคะ” เด็กสาวรู้ว่าตัวเองเสียมารยาท ที่เปิดปากแทรกการสนทนาที่ฟังไม่รู้เรื่องของพวกเขา
“ว่าไง”
“ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป ช่วยไปส่งหนูที่โรงพยาบาล...” เธอบอกชื่อสถานพยาบาลที่ระบุไว้ในบัตรทองของปู่
“ปู่ของเธออาการไม่ค่อยดีนะ แน่ใจเหรอว่าจะให้ฉันพาไปส่งที่นั่น..ว่าไง” เขาถามอีกครั้งเมื่อเด็กสาวเอาแต่นั่งนิ่ง มีเพียงสีหน้าเท่านั้นที่แสดงอารมณ์หวั่นวิตกอย่างชัดเจน
“ค่ะ” เธอตัดสินใจเลือกที่จะไปโรงพยาบาลตามบัตรทอง เพราะรู้ตัวดีว่าไม่มีปัญญาจะพาปู่ไปรักษาโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้ได้ และได้แต่หวังว่าปู่จะอาการดีขึ้น
คำตอบของเธอทำให้เขาผิดหวังเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นน้ำตาที่ไหลอาบแก้มขณะที่มองผู้เป็นปู่ไม่วางตาของเธอ เขาก็เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของเธอ
“หนูพอจะสนิทกับหมอที่นั่นอยู่บ้าง หนูจะขอร้องให้เขาช่วยรักษาปู่ของหนูให้หายค่ะ”
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันขณะที่เมินหน้าไปนอกหน้าต่างรถ เธอจะขอร้องให้หมอช่วยอย่างนั้นเหรอ เธอแน่ใจได้อย่างไรว่าหมอจะช่วย เงินตัวเดียวเท่านั้นแหละที่จะช่วยได้ สาวน้อยเอ๋ย ทำไมเธอถึงใสซื่อนักนะ
ยี่สิบนาทีต่อมา ปู่ของเธอก็ถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเอกชนระดับห้าดาว คณะแพทย์ต่างรายล้อมตรวจเช็กอาการเบื้องต้นของผู้ป่วย หลังจากนั้นไม่นานก็ถูกส่งต่อไปยังห้องไอซียู เมื่อเขาบอกให้รักษาอย่างดีที่สุด พร้อมกับหยิบแบล็กการ์ดออกมายืนยันคำพูด
เสร็จเรื่องแล้วก็ตั้งใจจะกลับไปทำธุระของตัวเองต่อ จึงเดินไปหาเด็กสาวที่นั่งหน้าเศร้าอยู่หน้าห้องไอซียูเพื่อบอกลา
“ฉันจะกลับแล้วนะ อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม”
เด็กสาวรีบลุกขึ้นแล้วยกมือไหว้เขา “ขอบคุณท่านมาก ๆ นะคะที่เมตตา” แล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงวอร์ม หยิบกระเป๋าใส่เงินพลาสติกลายการ์ตูนราคาถูก ๆ ที่มีขายตามหน้าโรงเรียนออกมา มองหน้าเขาก่อนจะจับมือเขาแล้ววางกระเป๋าลงไป “หนูจ่ายค่ารักษาคุณท่านแค่นี้ก่อนนะคะ แล้วหนูจะหามาใช้ส่วนที่เหลือให้ครบทุกบาททุกสตางค์ แต่คุณท่านอย่าเร่งหนูนะคะ ขอเวลาหนูหางานทำก่อน ส่วนบัตรประชาชนใบนั้น หนูให้ท่านเอาไว้เพื่อเป็นหลักประกันค่ะ” เด็กสาวอธิบายเมื่อเห็นเขาเปิดดูในกระเป๋า แล้วก้มหน้ามองพื้นอย่างระอายแก่ใจ เมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังเอาเปรียบเขาอย่างมาก
“ปันหยี แซ่กง” เขาอ่านชื่อของเธอตามตัวหนังสือภาษาอังกฤษ แล้วมองที่วันเดือนปีเกิด.. เธอเพิ่งจะพ้นวัยสิบห้าปีมาแค่สี่เดือนเท่านั้น ยังเด็กอยู่เลย เขาบ้าไปแล้วแน่ ๆ ที่มาตกหลุมรักเด็กที่เพิ่งโตแบบนี้ตั้งแต่แรกพบ “มีชื่อเล่นไหม”
เด็กหญิงที่เพิ่งเข้าสู่วัยแตกสาวได้ไม่นานเงยหน้าขึ้น “ชื่อหยินค่ะ”
“หยิน หยาง” อือ.. เข้าท่าดีนะ
“อะไรนะคะ” คำสุดท้ายเขาพูดว่าอะไรเธอได้ยินไม่ชัดเลย
เขามองหน้าเธอแล้วส่งกระเป๋าคืนให้ “เก็บเอาไว้ใช้ หลังจากปู่หายดีแล้วเราค่อยมาคุยกันอีกที”
“ขอบคุณค่ะ” เธอยอมรับกระเป๋าคืนมาอย่างง่ายดาย เพราะใจจริงแล้วเธอจำเป็นต้องเก็บเงินที่มีอยู่ไม่ถึงหนึ่งร้อยบาทนี้เอาไว้กินไว้ใช้อีกหลายมื้อ
“ฉันไปก่อนนะ”
“ค่ะ สวัสดีค่ะ” เธอยกมือไหว้เขาอย่างนอบน้อม มองเขาเดินจากไป “ท่านคะ” และนึกได้ว่ายังไม่รู้จักชื่อของเขาเลย จึงร้องเรียกและวิ่งไปหา “ท่านชื่ออะไรคะ ถ้าปู่ฟื้นขึ้นมาหนูจะได้บอกกับปู่ถูก”
“ฟิลลิป หยาง จำชื่อของฉันเอาไว้ให้ขึ้นใจล่ะปันหยี”
เด็กสาวรู้สึกใจเต้นแรง เมื่อเห็นสายตาที่มองมาของชายหนุ่ม สายตาลุ่มลึกที่เธอไม่รู้ว่ากำลังสื่อถึงอะไร เธอได้แต่มองเขาเดินจากไปจนลับสายตา แล้วจึงเปิดกระเป๋าใบน้อยเพราะรู้สึกหิวเหลือเกิน เธอควรไปหาซื้อมาม่ากินสักถ้วยเพื่อประทังความหิว
แต่ธนบัตรใบสีเทาที่ถูกยัดเอาไว้ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้จำนวนห้าใบในกระเป๋า ทำให้เธออึ้งไปเลยทีเดียว.. แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว รู้สึกอิ่มตื้อไปด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจของเขา
สิบวันผ่านไป
ภายในหมู่บ้านที่มีแต่ระดับมหาเศรษฐีอาศัยอยู่ ปู่กับหลานสาวคู่หนึ่งก็มายืนสงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่ที่หน้าประตูรั้วของคฤหาสน์ที่หลังใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านนี้ หลังจากที่กดกริ่งให้สัญญาณกับคนในบ้านไปหนึ่งครั้ง
“อ้าวลุง มีอะไรเหรอ” คนสวนที่วิ่งมาดูเอ่ยถามอย่างสงสัย เมื่อเห็นเป็นภารโรงของหมู่บ้าน
“ลุงจะมาขอพบเจ้าของบ้านหน่อยน่ะ ท่านอยู่ไหม”
“จะมาขอพบใครล่ะ คุณผู้ชายหรือคุณผู้หญิง แล้วลุงมีธุระอะไรกับเจ้านายฉันล่ะ” คนสวนถามอย่างแปลกใจ เพราะพวกเขาไม่น่าจะมีธุระต่อกันได้
“คุณผู้ชายจ้ะน้า คุณฟิลลิป หยางน่ะค่ะ” เด็กสาวเห็นสายตาสงสัยระคนดูแคลนของอีกฝ่าย ก็รีบพูดชื่อออกไปเพื่อที่ฝ่ายนั้นจะได้เชื่อคำพูดของปู่เธอ
“หือ!” คิ้วหนาไร้ระเบียบของคนสวนขมวดเข้าหากันยิ่งกว่าเก่า “คุณฟิลลิปไม่มีหรอก เจ้านายฉันไม่ได้ชื่อฟิลลิป มาผิดบ้านแล้ว”
“เดี๋ยวสิจ๊ะน้า” ปันหยีรีบเรียกคนในบ้านที่ทำท่าจะเดินหนีเอาไว้ “เรามาไม่ผิดบ้านหรอกจ้ะ วันนั้นคุณฟิลลิปเขาได้ช่วยปู่ของหนูไว้ที่หน้าบ้านนี่แหละ แล้วเขาก็บอกหนูเองว่าเขาชื่อฟิลลิป”
“ข้าบอกว่าบ้านนี้ไม่มีคนชื่อฟิลลิปก็ไม่มีสิอีหนู ข้าจะโกหกทำไมล่ะ”
“โวยวายอะไรวะไอ้ชุ่ม” เสียงของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นก่อนที่จะเดินมาถึง “มีอะไรวะ”
เห็นสายตาที่เขม่นมองอย่างคาดโทษของภรรยาก็ยักไหล่ใส่อย่างยียวน “ไม่เห็นต้องอายเลย เอดิสันเขาชินแล้ว จริงไหมเอดิสัน”“ครับบอส” คนพูดน้อยตอบรับ“หนูไม่คุยกับคุณแล้ว”“เป็นแม่คนแล้วนะ ถ้างอนเก่งแบบนี้ระวังลูกจะขี้แยนะ” เห็นเธองอนก็ยิ่งเย้าแหย่คนถูกแกล้งค้อนใส่สามีก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งในรถตู้คันหรู เมื่อเขาก้าวตามขึ้นมาก็ซบลงกับต้นแขนแกร่งทันที“หนูง่วงจังเลยค่ะ ขอนอนพักสักหน่อยนะคะ” ตั้งแต่เธอท้องเธอก็กลายเป็นคนนอนง่ายหลับง่าย จนแม่สามียังแซวว่าหลานของท่านคนนี้น่าจะเป็นเด็กเลี้ยงง่าย“ง่วงก็นอนซะ” หยางอี้บอกกับภรรยาขณะขยับตัวรับร่างของเธอให้นอนพิงในท่าที่สบายที่สุด ใช่ว่ารถคันนี้จะคับแคบ เบาะที่เธอนั่งก็สามารถปรับเอนนอนได้เกือบจะร้อยแปดสิบองศา แต่เธอกลับไม่ชอบทำแบบนั้น บอกว่านอนไม่หลับ สู้นอนซุกอกอุ่น ๆ ของเขาไม่ได้“ขอบคุณค่ะ” ใบหน้าอิ่มเอิบเหลือบมองสามี แล้วจุ๊บที่ปลายคางของเขา “หยินรักคุณอี้ที่สุดเลยค่ะ”คำกระซิบบอกเบา ๆ ที่เธออยากให้
เมื่อได้ฟังเหตุผลของลูกชาย ฝ่ายมารดาก็เริ่มเข้าใจและคล้อยตาม “ที่แกพูดก็มีเหตุผล แม่ก็คงต้องรอไปอีกสองสามปีสินะ” แล้วมองว่าที่ลูกสะใภ้ “จะเรียนไปทำไมก็ไม่รู้ไอ้ด็อกเตอร์เนี่ย เรียนไปสามีเธอก็ไม่ให้ไปทำงานหรอก เพราะเธอมีหน้าที่ผลิตลูกให้เขาอย่างเดียวเท่านั้นแหละ” แม่ลูกนิสัยไม่ต่างกันเลยจริง ๆ อยากพูดอะไรก็พูด ไม่รู้จักใช้คำพูดอ้อมค้อมกันบ้างเลย มันทำให้เธอร้อนวูบวาบด้วยความอับอายไปทั้งใบหน้าแล้วตอนนี้ “หนูอยากเรียนเพื่อให้เหมาะสมกับตำแหน่งลูกสะใภ้ของคุณแม่ ภรรยาที่เพียบพร้อมของคุณหยางอี้ และให้ลูกของหนูได้ภูมิใจในตัวแม่ของเขา เหตุผลเท่านี้พอไหมคะคุณแม่” “แล้วไม่คิดถึงตัวเองบ้างเหรอ” แม้จะพอใจมากกับคำตอบของเธอ แต่เบคกี้หยางก็ยังอยากรู้ หญิงสาวหันไปมองคนข้าง ๆ ที่มองอยู่ก่อนแล้ว “ก่อนหน้า
“ฉันก็แค่หยอกเล่นเท่านั้น แยกแยะไม่ออกหรือไง” หยางอี้คลี่ยิ้มละมุน เข้าประชิดด้านหลังแฟนสาวแล้วจับบ่าของเธอ “ได้ยินแล้วใช่ไหม ท่านก็แค่อยากหยอกว่าที่ลูกสะใภ้เล่นเท่านั้น” เขาจงใจพูดเสียงดังให้มารดาได้ยิน แล้วลดเป็นเสียงกระซิบเบา ๆ ในประโยคต่อมา “แต่ท่านคงจะเขินถ้าทำตัวเป็นกันเองกับหนูง่าย ๆ เพราะเคยเขม่นเอาไว้เยอะ หน้าตาท่านก็เลยดูจริงจังไปหน่อย” “กระซิบกระซาบอะไรกัน” ผู้เป็นมารดาเขม่นลูกชายที่คลี่ยิ้มกว้างส่งสายตาล้อเลียนมาให้“ก็แค่บอกรักเมีย ไม่อยากให้คุณแม่ได้ยินเพราะกลัวจะถูกหมั่นไส้ครับ” “ไม่ใช่นะคะมาดาม” ปันหยีรีบปฏิเสธแล้วหันไปค้อนใส่คนรักอย่างไม่พอใจ “อย่าพูดแบบนี้สิคะ เดี๋ยวมาดามก็โกรธหนูอีก” “ถ้าคิดจะเป็นลูกสะใภ้ฉันก็ควรเรียกฉันว่าแม
หยางอี้สลัดศีรษะไล่ความสะลึมสะลือก่อนกรอกเสียงลงไป “ว่าไงอลัน” (ขอโทษที่โทรมารบกวนนะครับน้าอี้ แต่น้าอี้รู้ไหมครับว่าบีเขาอยู่ไหน) ชายหนุ่มไม่แปลกใจที่ถูกถามแบบนี้ เพราะเด็กหนุ่มก็คงรู้อะไรมาไม่น้อยเหมือนกัน แต่เขาก็รับปากหญิงสาวที่ถูกถามถึงเอาไว้แล้วเหมือนกัน “ไม่รู้สิ ทำไมถึงมาถามหากับฉันล่ะ” (ผมขอร้องนะครับน้าอี้ ได้โปรดบอกความจริงกับผมเถอะครับ ขอแค่บอกว่าเธอไปอยู่ที่ไหน ผมจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง) “..เอาเป็นว่านายไม่ต้องเป็นห่วงเธอหรอก เพราะเธอกลับบ้านเธอไปแล้ว ฉันรู้เพราะวันนี้เธอมาบอกลากับฉัน และเธอก็ขอร้องฉันว่าไม่ให้บอกเรื่องนี้กับนายด้วย” (เธอบอกอย่างนั้นจริง ๆ เหรอครับ)
“มีความสุขดีไหมบี” หยางอี้ถามหญิงสาวที่ยืนตะลึงตาค้างอยู่ในห้อง ส่วนตัว เขาไม่ได้เดินเข้าไป เพราะวันนี้ที่มาก็เพื่อให้เธอรู้ว่าเธอหนีเขาไม่พ้นก็เท่านั้น “คิดว่าจะหนีฉันพ้นเหรอบี” “พี่อี้รู้ได้ยังไง” เธอถามเสียงสั่น แววตาสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว เพราะสิ่งที่เธอทำกับเขาก่อนจะขนของออกมามันไม่ธรรมดาเลย “เธอคิดว่าฉันจะปล่อยให้เธอเป็นอิสระขณะที่ยังอยู่ในฮ่องกงอย่างนั้นเหรอบี” เขาย้อนถามเสียงเย็นพอ ๆ กับแววตา “เธอเซ็นสัญญาทำงานกับฉัน และเวลานี้เธอควรไปเริ่มงานที่สาขาในประเทศไทยได้แล้ว แต่เธอก็ยังเอ้อระเหยอยู่ที่นี่ ฉันควรจะทำอย่างไรกับเธอดี แจ้งความดำเนินคดีตามกฎของบริษัท หรือว่าแจ้งความเรื่องที่เธอทำลายข้าวของในคอนโดฉันดีล่ะ ค่าซ่อมแซมไม่เท่าไหร่หรอกนะ แค่ล้านกว่า ๆ เอง ถ้าไม่มีเงินจ่ายก็ไปติดคุกซะ” หญิงสาวกลัวจนน้ำตาแทบไหล ทั้งหมดที่เธอทำในคืนนั
ปันหยีเขินอายกับคำพูดของตัวเองเหลือเกิน แต่ก็อยากจะออดอ้อนเอาใจเขาให้ถึงที่สุด เขาจะได้หายโกรธ เธอขยับตัวไปทางด้านหน้าของเขา มองใบหน้าคมเข้มที่มองเธอด้วยแววตาปรารถนาอย่างไม่ปิดบังโกรธให้ตายเขาก็คงปฏิเสธเรือนร่างขาวอมชมพูที่ใส่พานมาให้ถึงที่แบบนี้ไม่ได้ มือใหญ่จึงเอื้อมไปรวบร่างนุ่มนิ่มมาแนบอก ให้เธอได้รู้ว่าตอนนี้ร่างกายของเขากำลังเกิดการตื่นตัว“คิดว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะหายโกรธเหรอ”“ถ้าไม่หายโกรธก็ไม่ต้องมองด้วยสายตาแบบนี้สิคะ” เธอคลี่ยิ้มกว้าง กล้าโต้ตอบใส่เขาเมื่อมือแกร่งนั้นรวบรัดเธอเอาไว้แน่นจนเรือนร่างได้สัมผัสกับของแข็ง ๆ บางสิ่งที่ใต้น้ำชายหนุ่มยกยิ้มที่มุมปาก มองเธอด้วยสายตาคาดโทษก่อนจะโน้มหน้าไปหาเรียวปากอวบอิ่ม มอบจูบหอมหวานสะท้านทรวงแด่เธอหญิงสาวหลับตาพริ้มรับจูบ โอบกอดรอบลำคอแกร่ง โต้ตอบเรียวลิ้นที่ล่วงล้ำเข้ามาในปากอย่างช่ำชองมากขึ้น หลังจากได้รับการสั่งสอนมาบ่อยครั้ง สองขาเรียวเกี่ยวกอดสะโพกสอบอย่างรู้หน้าที่เมื่อถูกมือใหญ่เกี่ยวขึ้นมา“เรียกฉันเพราะ ๆ แล้วฉันจะมอบความสุขให้เป็นรางวัล”