ภาพในหัวของชายหนุ่มฉายอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ความคิดทั้งหมดจะอันตรธานหายไป แทนที่ด้วยเรื่องราวที่ดินหลังเขาวั้งซานกู่ เขาคิดมาตลอดทางแล้วว่าหากทำเป็นรีสอร์ทปรับสภาพพื้นที่กันดารเปลี่ยวผู้คนให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติคงจะสวยงามไม่น้อย และผลที่ตามมาจะต้องเป็นกำไรมหาศาล
ฉางกังเดินตรงไปหาคุณย่าซึ่งนั่งรอให้เขากลับมาทานข้าวด้วยกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร ฝ่ายคุณย่าเมื่อเห็นว่าหลานชายสุดที่รักได้กลับมาถึงแล้วก็แย้มยิ้มบาง ๆ พร้อมกล่าวทักทายเฉกเช่นปกติทุกวัน
“อ้าว อากังกลับมาแล้วหรือ ย่าเตรียมของโปรดไว้ให้เยอะเลย มีแต่ของที่หลานชอบทั้งนั้น เอ๊ะ...นั่น...อากังหน้าไปโดนอะไรมา”
เสียงแหบแห้งเอ่ยเรียกหลานชายเพียงคนเดียวพร้อมกับทักท้วงรอยแดงเด่นชัดที่ข้างแก้ม ฉางกังไม่ได้ตอบคำถามแต่ตรงดิ่งเข้ามานั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกัน รอยยิ้มของหญิงชราปรากฏบนใบหน้าเหี่ยวย่น เธอย้อนคิดดูว่านานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้มานั่งทานข้าวเย็นกับเธอแบบนี้ แม้ว่าในทุก ๆ วันหญิงชราจะเตรียมอาหารจานโปรดไว้รอเขากลับมาทานก็ตามที ส่วนมากฉางกังจะมาไม่ทันเวลาอาหารมื้อเย็น หรือบางครั้งถ้ามาถึงแต่หัววันเขาก็มักจะอ้างว่าทานอาหารนอกบ้านมาจนอิ่มแล้วเกือบทุกครั้ง
"ว่าอย่างไร ข้างแก้มไปโดนใครประทับตรามา ใครกันนะแจกยันต์ให้หลานย่า"
"คุณย่าจะไปจัดการให้ผมเหรอครับ"
"ไปตบรางวัลนะซี ยอดเยี่ยมจริง ๆ"
"คุณย่า! ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว จริงสิ...วันนี้ผมไปดูที่ดินที่คุณย่ายกให้ผมแล้วนะครับ ทำเลเหมาะแก่การสร้างรีสอร์ทน่าจะดีเลย เอ่อ...ชาวบ้านที่คุณย่าให้เช่าเป็นที่พักพิงราคาหนึ่งตำลึงต่อเดือนพวกนั้น ผมได้ออกคำสั่งให้ผู้ดูแลไล่ให้ไปหาที่อยู่ใหม่แล้ว แต่ผมเกรงว่าพวกเขาจะดื้อด้านไม่ยอมออกไป จึงอยากให้คุณย่าเป็นคนออกคำสั่งเองอีกครั้ง อย่างไรเสียคำสั่งการของคุณย่าก็ถือเป็นประกาศิต”
คุณย่าหลุบตามองอาหารชั้นเลิศในจานแล้วครุ่นคิดบางอย่างพิจารณาถี่ถ้วน ก่อนจะบอกหลานชายน้ำเสียงชุ่มเย็น
"อากัง ย่าจะไม่ไปพูดให้หรอกนะ"
"อ้าว"
"แล้วย่าก็ไม่ให้ขายที่แปลงนั้นด้วย หากไล่ชาวบ้านไปกะทันหันพวกเขาจะทำอย่างไร"
"แต่ที่ตรงนั้นคุณย่ายกให้ผมแล้วนะครับ ถ้าไม่ให้ผมขาย...ครับผมเข้าใจ แต่ผมจะเอามาทำอะไรก็ได้ไม่ใช่เหรอ"
ชายหนุ่มแย้งด้วยเหตุผลของตนเอง แต่พูดด้วยโทนเสียงโน้มน้าวให้คุณย่าเห็นดีด้วยกับสิ่งที่ตนเสนอ เนื่องจากถือวิสาสะว่าในเมื่อคุณย่าไม่ให้ตนขายตนก็จะเอามาทำเป็นรีสอร์ทเพื่อหาผลประโยชน์เสียเอง ต่อให้ได้ผลประกอบการน้อยนิดก็ยังดีกว่าปล่อยกินค่าเช่าเดือนละหนึ่งตำลึงอยู่อย่างนี้ สำหรับเขาสิ่งนี้คือการลงทุนและมั่นใจมากว่าคุณย่าน่าจะเห็นด้วย
“แล้วหลานจะให้เขาไปอยู่ที่ไหน พวกเขาไม่มีที่ไปแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นฉางกังก็ขมวดคิ้วหากันจนแน่น สีหน้าบ่งบอกว่าไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
เขาทำการกุศลอยู่หรือ...
ทำบุญให้คนไร้บ้านว่างั้นเถอะ...
ญาติก็ไม่ใช่ทำไมเขาต้องสงสารคนเหล่านั้นด้วย ไม่เห็นจะมีเหตุผลอะไรที่เขาต้องสงสารเลย เขาคิดพลางส่ายศีรษะไปมาอย่างเหลือเชื่อกับความคิดคุณย่า
“คนเหล่านั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผมเลยนะครับ ทำไมผมต้องให้อาศัยอยู่ในที่ดินของผมโดยไร้ผลประโยชน์ตอบแทนด้วย คุณย่าลองคิดดูนะครับว่าหากผมทำธุรกิจรี
สอร์ทจนประสบผลสำเร็จ เงินทองจะหลั่งไหลเข้ามามากมายมหาศาล คนที่เข้าพักก็จะมีแต่เหล่าคนรวยมาพักผ่อน ถ้าพวกเขามาเห็นทัศนียภาพเป็นบ้านเรือนโกโรโกโสอยู่แบบนี้จะมีใครเข้าพักล่ะครับ”ฉางกังโต้กลับผู้เป็นย่ายาวเหยียด แต่หญิงสูงวัยส่งยิ้มอ่อนละมุนให้แทนคำตอบ นั่นหมายความว่าถึงอย่างไรคุณย่าก็ยืนกรานจะให้ชาวบ้านเหล่านั้นอยู่กันต่อไป
ตะวันบ่ายคล้อย แสงแดดเบื้องบนแรงกล้าทว่ากลับส่องไม่ถึงยังพื้นดิน เนื่องจากต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นหนาแน่นบดบังแสงแดดจนมิด ทำให้อากาศใต้ร่มเงาของต้นไม้ไม่ถึงขั้นร้อนจัด เข่อซิงเหนื่อยจนคอแห้งเป็นผงรีบหยิบเอาน้ำพกที่เหน็บอยู่เอวมายื่นให้เจ้านายหนึ่งขวด ส่วนอีกขวดที่พกมาเขาดื่มเอง ฉางกังรับน้ำมาแล้วก็ดื่มเข้าไปหนึ่งอึกใหญ่“เดินมาตั้งนานแล้วไม่มีทีท่าว่าจะเจอเลยนะครับ หรือว่าจะไม่มี” เข่อซิงพูดไปมือก็ปิดฝาขวดไป“ฉันคงคิดไปเองสินะ ความฝันก็ยังเป็นความฝันวันยังค่ำ ฝันดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่น”คำนี้เป็นเขาเองที่เคยพูดกับฉางเกอ ฝันดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่น แต่วันนี้กลับมีเพียงเขาที่ไม่ยอมตื่นเสียที ฉางกังคิดแล้วก็ทำหน้าเศร้า ระหว่างที่กำลังถอดใจผู้ดูแลหยางเปียวก็ได้พูดขึ้น“เป็นไปได้ไหมครับว่าต้นเทียนไถเอ่อร์ลี่ที่ประธานลู่ตามหาจะตายไปแล้ว”"ตายงั้นเหรอ”“ขอรับ ที่วั้งซานกู่มีซากต้นไม้ใหญ่ยืนต้นตายต้นหนึ่ง ขนาดของมันใหญ่หลายคนโอบแต่ตอนนี้เหลือแต่ตอ”“รีบพาไปดูเร็วเข้า”หยางเปียวพยักหน้ารับแล้วเดินนำสองคนไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ตายแล้ว มันเหลือแต่ตออย่างที่เขาบอกจริง ๆ แต่เป็นตอที่มีความสูงอยู่ระดับอก เส
นอกจากเข่อซิงกับฉางกังแล้วยังมีหลิวเซียงฉินที่ติดตามมาด้วยอีกคน อีกไม่กี่กิโลเมตรก็จะเข้าเขตเขาวั้งซานกู่แล้ว จู่ ๆ ฉางกังก็ได้พูดบางอย่างขึ้นมาจนทำให้ทุกคนที่นั่งในรถเพ่งความสนใจมาที่เขา“คุณย่าครับ ช่วงที่ผมหลับไปหลายวันผมฝัน”“ฝันว่าอะไร” ย่าหลิวถามกลับอย่างใส่ใจ ฉางกังคว้ามือเหี่ยวย่นมากุมไว้แล้วพูดต่อ“มันเป็นฝันดีตื่นหนึ่ง พอลืมตาขึ้นมาหัวใจของผมก็แตกสลายไปหมดแล้ว”บรรยากาศในรถเงียบสนิท ทุกคนต่างอึ้งไปตาม ๆ กันและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉางกังกันแน่ ฉางกังหัวเราะเบา ๆ เพื่อให้ความตึงเครียดของคนในรถลดลง “ผมฝันว่าได้กอดคุณแม่ ฝันว่าคุณพ่อแบกผมขึ้นหลัง…แล้วผมก็ฝันว่าลู่เกอร้องไห้งอแงกอดขาผม”ใบหน้าของหลิวเซียงฉินกระตุบวูบหนึ่ง ความลับที่ปกปิดเอาไว้เพื่อเป็นเกราะป้องกันให้ฉางกังคงถึงเวลาต้องพังทลายลงแล้ว ถึงจะรู้ดีแก่ใจว่าไม่อาจปิดบังเขาได้ชั่วชีวิต แต่นางก็ไม่คิดว่าจู่ ๆ ฉางกังจะจดจำได้เอง คนเราทุกคนต่างมีความทุกข์เป็นของตนเอง ในความทุกข์นั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีความสุขปนอยู่ อย่างน้อย ๆ ฉางกังก็ยังยิ้มได้ นั่นแสดงว่าเขาคงทำใจยอมรับได้บ้างแล้ว“ผมจำทุกอย่างได้หมดแล้วนะครับ”“…อากัง ย่าขอ
“คุณย่าครับ ผมขอคุยบางอย่างกับลี่อินลำพังหน่อยสิ”เข่อซิงพยักหน้ารับแล้วค่อย ๆ ประคองคุณย่าหลิวออกไป หลังจากอยู่กันสองต่อสองแล้วลี่อินพยายามจะเอ่ยคำขอโทษแต่ฉางกังยกมือขึ้นมาปรามไว้ก่อน“อย่ารู้สึกผิดและอย่าโทษตัวเอง คุณไม่ได้ทำอะไรผิด ที่ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะผมทำตัวเองทั้งนั้น”“ฉัน…”“ลี่อิน อันที่จริงมันก็ถึงเวลาที่เราต้องปล่อยมือจากกันตั้งนานแล้ว แต่เป็นผมเองที่ยังรั้งคุณเอาไว้อย่างเห็นแก่ตัว นับจากนี้ไปเราจงหันหลังให้กันในฐานะคนรัก และหันหน้าให้กันในฐานะเพื่อนเถอะ อย่าฝืนทนกันอีกต่อไปเลย คุณรักไปเหนื่อยไป ส่วนผมก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นมาได้ วันนี้ผมเข้าใจทุกอย่างแล้วว่าเรื่องระหว่างเรามันถึงจุดที่ควรพอ ถึงวันข้างหน้าเราอาจไม่ใช่คนรักกันแล้ว แต่ผมอยากให้รู้ว่าคุณคือผู้หญิงที่ดีที่สุดที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตผม ผมอยากขอโทษคุณจากใจจริงจางลี่อิน คำขอโทษครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะผมสำนึกผิด ไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องทำและไม่ใช่สถานะที่เราเป็น…ผมขอโทษ”ลี่อินสะอื้นเบา ๆ เธอยิ้มให้เขาทั้งน้ำตา ฉางกังเองก็ยิ้มตอบเช่นกัน เรื่องของลี่อินและเข่อซิงเป็นเรื่องที่ไม่อาจบอกได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เพียง
ฉางกังไม่อยากให้ทุกคนลืมเขาไปเลยจริง ๆ และยังอยากฝังตนเองให้อยู่ในความทรงจำของทุกคนตลอดกาล เสียอย่างเดียวที่ไม่อาจหลีกหนีโชคชะตาได้ แต่ก็ดีแล้วล่ะ…เพราะการจากลามันเจ็บปวดเกินไป หากทุกคนจำได้ว่ามีฉางกังอยู่ก็อาจจะเจ็บปวดจากการจากไปของเขา“สักวันพวกเราคงพบเจอกันใหม่ที่ไหนสักที่หนึ่ง…ข้าขอลา”สิ้นคำอำลาฉางกังค่อย ๆ เปิดฝากล่องไม้ออก ครั้งนี้มันเปิดออกง่ายดายเสียจนไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อยเหมือนทุกครั้ง หยาดน้ำตาใส ๆ หล่นแหมะลงไปที่ก้นกล่องไม้ พลันบังเกิดแสงสว่างวาบเหมือนสายฟ้าฟาด ชั่วพริบตาเดียวร่างของเขาก็อันตรธานหายไปจากตรงนั้น เหลือไว้เพียงความทรงจำที่ทุกคนลืมเลือนไป……..ติ๊ด…..ติ๊ด….ติ๊ด….ติ๊ดเสียงที่ทำให้รู้สึกรำคาญหูปลุกเขาตื่นจากการหลับใหล เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่เป็นเสียงเครื่องมือแพทย์ที่ใช้ตรวจสอบชีพจรซึ่งมันตั้งอยู่ที่ข้างเตียงผู้ป่วย วินาทีแรกที่ฉางกังลืมตาขึ้นมาเขาได้มองไปรอบกาย ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นของในยุคปัจจุบัน สิ่งแวดล้อมรอบ ๆ สามารถประเมินได้ทันทีว่าเขาอยู่ที่ใด สถานที่แห่งนี้คือโรงพยาบาลอันดับหนึ่งในนครฉงเทียน คนในตระกูลลู่มาใช้บริการเป็นประจำเมื่อมีอาการเจ็บป่วย เขาก
ที่โพรงต้นไม้ใหญ่ปากทางเข้าบ้านตระกูลลู่ ฉางกังมุดเข้าไปเอาถุงที่บรรจุตั๋วเงินออกมา ผลปรากฏว่าไม่มีอะไรเสียหายเลย พืชกันแมลงที่ใส่เข้าไปนั้นออกฤทธิ์ดีเยี่ยม ฉางกังแบกเอาถุงผ้าเก่า ๆ ขึ้นบ่าเดินเข้าไปในตลาด ระหว่างที่เดินบนถนนอันหนาแน่นด้วยผู้คนบังเอิญเห็นเข่อซิงและลี่อินเดินเคียงคู่กันมา ฉางกังหยุดมองแล้วยิ้มบาง ๆ แต่คนทั้งสองได้เดินผ่านเลยไปเหมือนไม่รู้จักกัน ยามนี้ฉางกังจึงเริ่มรู้แล้วว่าไม่ใช่แค่ครอบครัวที่จดจำเขาไม่ได้ แต่เป็นคนในมิตินี้ทั้งหมดเลยต่างหากเขาเดินมาหยุดยังสถานที่แห่งหนึ่ง วางถุงใส่ตั๋วเงินอันหนักอึ้งลงพื้นเสียงดังตุบ คนในร้านต่างหันกลับมามองเป็นตาเดียว“เถ้าแก่อยู่ไหม”“อยู่ ข้านี่แหละเถ้าแก่ร้านนี้”“ข้าขอซื้อร้านค้าร้านนี้”เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นเสียงแง้มประตูให้เปิดออก ตามมาด้วยร่างของหญิงชรานางหนึ่ง ยามนี้เป็นเวลาเช้าตรู่อากาศจึงหนาวเย็นยะเยือก หยาดน้ำค้างเกาะอยู่ตามยอดหลิวแลดูอ่อนละมุนยิ่ง กลิ่นควันจากการเผาไหม้จาง ๆ ลอยมาเตะจมูก พลันดวงตาพร่ามัวก็สะดุดเข้ากับวัตถุบางอย่างที่วางอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ หญิงชราเดินเชื่องช้าไปยังแคร่ไม้ไผ่ตัวนั้น เมื่อได้เข้ามาดูใกล้ ๆ ก็พ
“เอาความทรงจำของพวกเขามาแลก คนที่เจ้ารักจะลืมเลือนเจ้าจนหมดสิ้น แล้วเจ้าก็จะกลายเป็นคนอื่นสำหรับพวกเขา ความเจ็บปวดที่สุดของมนุษย์ไม่ใช่การลืมแต่เป็นการจดจำ เช่นนี้ถึงจะเป็นการแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อ…ว่าอย่างไรลู่ฉางกัง!”“ตะ ต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยหรือ…" เด็กชายจุกในอกจนพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเปล่งเสียงแผ่วเบาออกมา "ได้ ข้ายอมแลก ต่อให้ข้าจะหายไปจากความทรงจำของพวกเขาก็ยังอยากขอให้ฉางเกอได้มีโอกาสใช้ชีวิตอีกครั้ง ได้โปรดช่วยน้องชายข้าด้วยเถอะ"ฉางกังรับข้อเสนอด้วยหัวใจที่ปวดร้าว ต่อให้สิ่งแลกเปลี่ยนคราวนี้จะมีค่ามหาศาลเพียงใดเขายอมแลกได้ทั้งนั้น แม้แต่ชีวิตฉางกังยังยินดีมอบให้ได้ แล้วนับประสาอะไรแค่การหายไปจากใจพวกเขาตลอดกาล…...เขากัดริมฝีปากตนเองจนขึ้นสีขาวซีด แล้วปิดเปลือกตาลงช้า ๆ“…ข้าพร้อมแล้ว”สิ้นคำจำยอมก็เกิดแสงสว่างวูบใหญ่เหมือนสายฟ้าฟาด ที่เบื้องหน้าฉางกังปรากฏกล่องไม้โบราณลอยอยู่ในอากาศ แล้วเสียงปริศนาดังขึ้นว่า“เมื่อเจ้าเปิดกล่องใบนี้อีกครั้ง เจ้าจะได้กลับไปที่ที่เจ้าจากมา”“…เข้าใจแล้ว ขอบคุณ ข้าขอบคุณ”ในก้าวแรกที่เขาผละตัวออกมา พลันภาพทั้งหลายก็หมุนกรอย้อนกลับเป