เมื่อไร้ปฏิกิริยาตอบรับจากผู้เป็นบิดา หนานอิงจึงเงยหน้าขึ้น
"ท่านพ่อ ลูกกลับมาแล้วเจ้าค่ะ ลูกปลอดภัยดี"
ท่านพ่อของนางกลับมีใบหน้าทมึนทึง เขากัดฟันพร้อมกับเอ่ยว่า
"เจ้าหายไปเกือบครึ่งเดือน ถูกโจรร้ายย่ำยีไปเท่าใดแล้วหากเป็นผู้อื่นที่รักศักดิ์ศรีเขาย่อมฆ่าตัวตายไปแล้ว ไม่เสนอหน้ากลับมาให้คนในสกุลหนานลำบากใจ เจ้ากลับมาเช่นนี้เจ้าจะให้พี่น้องสตรีของเจ้าทำเช่นไร จะไม่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนไม่รักศักดิ์ศรีตามเจ้าหรือ แม่เจ้าสั่งสอนเจ้าเช่นไรจึงได้เห็นแก่ตัวเพียงนี้"
หนานอิงได้ฟังคำพูดนี้ถึงกับตกตะลึง ร่างกายของนางชาคล้ายกับถูกน้ำเย็นจัดสาดใส่อย่างแรง นางกล้ำกลืนก้อนน้ำตาที่จุกจนล้นคอหอยกล่าวเสียงสั่นออกมา
"ท่านพ่อ ท่านหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ หรือว่าท่านพ่อ...กำลังไล่ลูกไม่ต้องการลูกแล้วหรืออย่างไร"
บิดาไม่ตอบคำนางแต่กลับหันไปบอกพ่อบ้านด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"พ่อบ้านสือ ลากนางออกไป"
"ท่านพี่ ท่านพี่ทำเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ อิงเอ๋อร์เป็นธิดาของท่านนะเจ้าคะท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร จะไล่นางไปได้อย่างไร ท่านใจร้ายมากนะเจ้าคะ ข้าไม่ยอม ข้าไม่ยอมให้ท่านทำเช่นนี้กับลูกของข้า"
"หุบปาก"
ท่านหนานหน้าตึงถลึงตามองมารดาของหนานอิง นางผู้นั้นสวมอาภรณ์ผู้ไหมเนื้อดีเทียบเท่าได้กับอาภรณ์ของฮูหยินเอกผู้หนึ่ง เพราะบุตรสาวหายตัวไปจึงทำให้ใบหน้าของนางทรุดโทรมอิดโรยกินไม่ได้นอนไม่หลับมาครึ่งเดือน จนบัดนี้ความงามที่เคยมีร่วงโรยคล้ายสตรีชรา
ท่านหนานเห็นเช่นนี้แล้วรู้สึกรังเกียจยิ่งนัก เพียงอนุผู้หนึ่งเหตุใดบัดนี้จึงได้เหิมเกริมถึงเพียงนี้
มารดาของหนานอิงคุกเข่านางโขกศีรษะลงกับพื้นอย่างแรงอ้อนวอนขอร้องผู้เป็นสามีทั้งยังร้องไห้ปริ่มใจจะขาด
"ท่านพี่ ท่านไล่นางไปไม่ได้เจ้าค่ะ นางเป็นบุตรสาวที่ท่านรักที่สุดไม่ใช่หรือเจ้าคะ ท่านพี่ได้โปรดข้าขอร้องท่าน ต่อไปท่านไม่ต้องสนใจนางก็ได้ แต่ขอให้นางอยู่ที่สกุลหนาน อย่าปล่อยให้นางออกไปลำบากข้างนอกเลยนะเจ้าคะ นางเป็นลูกของท่าน ท่านกำลังทำไม่ถูกต้องนะเจ้าคะ"
"ท่านแม่ ฮือ ฮือ ท่านแม่ พอเถิดเจ้าค่ะ พอเถิด"
หนานอิงแทบจะหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือดมารดาของนางโขกศีรษะลงกับพื้นจนแดงไปหมดแล้ว หนานอิงกลั้นสะอื้นกอดมารดาเอาไว้ ไม่ให้นางทำร้ายตนเองอีก
"ท่านแม่อย่าทำเช่นนั้น ข้าไม่เป็นไร ข้าอยู่ได้เจ้าค่ะ ท่านแม่พอเถิดเจ้าค่ะ"
นางผู้นี้กลายเป็นคางคกขึ้นวอตั้งแต่เมื่อใด มีอนุเรือนใดบ้างที่กล้าต่อปากต่อคำกับผู้เป็นเจ้าชีวิตเช่นนาง สตรีผู้นี้ยังกล้าเอ่ยปากตำหนิเขาอีก
"ท่านพี่ ท่านกำลังทำไม่ถูกต้อง เหตุใดท่านจึงใจดำถึงเพียงนี้"
เพื่อที่จะปกป้องบุตรสาวที่นางรักเท่าชีวิต มารดาของหนานอิงย่อมไม่ยอมเป็นอันขาด
แต่การกระทำเช่นนั้นของนางกลับเพิ่มโทสะให้กับท่านหนาน เขาเป็นใหญ่ในเรือนนี้มีผู้ใดบ้างที่กล้าขัดคำสั่งเขา หรือกระทั่งกล้าที่จะเถียงเพียงเขาชำเลืองสายตาคนในเรือนก็หวาดกลัวจนตัวสั่นแล้ว
ท่านหนานก้าวเข้าไปดึงร่างของอนุที่เคยเป็นคนโปรด แล้วลงมือตบอย่างแรงเพื่อสั่งสอน
เพี๊ยะ เพี๊ยะ
"ท่านแม่ อย่านะ อย่าทำท่านแม่"
หนานอิงโผเข้าไปขวาง แต่ถูกพ่อบ้านสือคนของฮูหยินใหญ่ดึงร่างนางออกมาไม่ให้เข้าไปยุ่ง ยังผลักนางจนหนานอิงล้มเข่ากระแทกพื้น นางเพิ่งฟื้นจากอาการป่วยร่างกายอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง ถูกแรงเหวี่ยงแรงเช่นนี้จึงทำให้นางเจ็บไปทั้งร่าง
เมื่อจัดการสตรีขึ้นวอผู้นั้นแล้ว ท่านหนานชี้นิ้วที่สั่นระริกไปที่ร่างของสตรีผู้นั้น
"เจ้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ลากนางออกไปอย่าให้รำคาญสายตาของข้าอีก ขังนางเอาไว้ให้นางได้สำนึก"
"ไม่ข้าไม่ไป ท่านพี่ข้าขอร้องท่านเจ้าค่ะ ข้าขอร้องท่าน"
ท่านหนานโบกมือเสียงแข็ง
"ลากนางไปหาสิ่งใดอุดปากนางด้วยหนวกหูเหลือเกิน"
หนานอิงไม่ต้องการให้มารดาเดือดร้อนเพราะนางอีก นางต้องเข้มแข็ง พยายามฉีกยิ้มให้กับมารดา
"ท่านแม่ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านแม่ข้าอยู่ได้เจ้าค่ะ ท่านแม่ไม่ต้องห่วงข้า"
หนานอิงไม่ขอร้องบิดาแล้ว นางไม่ใช่คนโง่ สายตาของบิดาในตอนนี้ทำให้นางรู้ว่านางก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือที่ทำประโยชน์ให้เขาเท่านั้น
ที่ผ่านมาแม้จะเป็นบุตรอนุผู้หนึ่งและยังได้รับการยกย่องจากเขานั่นเป็นเพราะนางมีความสามารถทำให้กิจการค้าของเขาก้าวหน้าก็เท่านั้นเอง
บุตรธิดาของท่านหนานมีรวมกันเกือบยี่สิบคนยังมีอนุอีกสองคนที่กำลังตั้งท้อง ท่านหนานเป็นบุรุษรูปงามร่ำรวยเงินทอง แม้จะย่างเข้าสู่วัยชรา แต่เพราะอาหารการกินชั้นเลิศ และการดูแลร่างกายของตนเองเป็นอย่างดีทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ราวกับหนุ่มน้อยผู้หนึ่ง
เขาเป็นพ่อค้าหน้าเลือด เห็นเงินเป็นสำคัญกำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์แน่นอนว่าความสัมพันธ์ของเขาและลูกอนุล้วนเป็นความสัมพันธ์ในเชิงผลประโยชน์ทั้งสิ้น
มารดาของหนานอิงไม่ยินยอมนางคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ท่านหนานโมโหที่นางไม่เชื่อฟังออกคำนั่งด้วยขาดสติ
"พ่อบ้านสือ จัดการนางเสียแล้วเอาไปให้พ้นหน้าข้า"
"ขอรับ"
พ่อบ้านสือรับคำ เขาปลายตามองฮูหยินใหญ่เล็กน้อย สายตาของฮูหยินใหญ่ที่มองมานั้นเป็นเชิงอนุญาตให้เขาลงมือ พ่อบ้านสือไม่รีรอจับไม้เป็นมั่นฟาดขามารดาของหนานอิงอย่างแรง
ความรู้สึกชาลามไปทั่วหน้าขา แต่เพราะห่วงบุตรสาวมารดาของหนานอิงจึงไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด ทั้งที่นางแทบจะยืนไม่ได้อยู่แล้ว
"ท่านพี่ได้โปรด ท่านพี่ท่านจะตีข้าย่อมได้แต่อย่าทำลูก ท่านพี่อย่าทำลูกของข้า ข้อขอร้องท่านแล้ว"
"ยังไม่ลากนางออกไปอีก"
ท่านหนานโบกมือ พ่อบ้านสือผู้นั้นไม่รอช้า ลงมือลากมารดาของหนานอิงด้วยตนเอง เพราะนางเจ็บขาไม่อาจเดินได้จึงถูกลากไปกับพื้น รอยเลือดไหลไปตามพื้นเป็นทางยาว
หนานอิงเจ็บปวด ทั้งร้องไห้คร่ำครวญแต่ไม่อาจทำสิ่งใดได้ ด้วยถูกบ่าวอีกคนยืนขวางนางเอาไว้
"ท่านแม่ ปล่อยท่านแม่ของข้า พ่อบ้านสือเจ้าปล่อยท่านแม่ของข้า"
มีเพียงสายตาของผู้บ้านสือที่มองมาอย่างเย้ยหยัน หนานอิงในยามนี้กลายเป็นคุณหนูตกอับไปแล้วเหตุใดเขาต้องฟังนางด้วย
"อิงเอ๋อร์ อิงเอ๋อร์ ท่านพี่อย่าทำลูก อย่าทำลูก"
หนานอิงยังได้ยินเสียงของมารดาเรียกชื่อของนางอย่างโหยหวนจนกระทั่งเสียงนั้นเงียบไป
ปวด ปวดใจเหลือเกิน
ถุงเงินถุงหนึ่งถูกโยนลงตรงหน้าของนาง หนานอิงมองมันอย่างเย็นชา แม้กระทั่งถุงเงินที่โยนให้ยังเป็นถุงเงินเก่าที่แม้แต่ขอทานยังโยนทิ้ง
"ไปจากสกุลหนานเสียอย่ากลับมาอีกข้าไม่เคยมีบุตรสาวเช่นเจ้า"
หนานอิงปาดน้ำตาเจ็บเจียนใจสลายเมื่อได้ยินจากปากบิดาที่นางนับถือเท่าชีวิตและรักเคารพเขามาจวบจนกระทั่งอายุสิบเจ็ดปีเอ่ยคำนี้ออกมาได้อย่างง่ายดาย
นางกลั้นสะอื้นท่ามกลางสายตาของทุกคนในสกุลที่มองนางอย่างรังเกียจ ทั้งฮูหยินใหญ่ อนุของท่านหนานที่เคยเรียกตนเองว่าแม่อย่างอ่อนโยนและบรรดาพี่น้องของนางที่แต่ก่อนมักจะเข้ามาเอาอกเอาใจและขอร้องให้นางช่วยมาโดยตลอด
พวกเขามักจะปั้นหน้ามีรอยยิ้มอ่อนน้อมให้นางเสมอ บัดนี้ทุกคนกลับมองนางด้วยความสะใจและเกลียดชังอย่างไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย
ตอนพิเศษ ลูกของข้า ความทรงจำของลู่หนิงหวังที่มีเกี่ยวกับบิดาของตนเองนั้นช่างเลือนลางจนจำไม่ได้ เขาไม่เคยรับรู้และเข้าใจความหมายของคำ ๆ นี้ จนกระทั่งเมื่อเขาได้พบเด็กชายสองคนที่มีใบหน้าคล้ายคลึงเขากับหานเซียวเป็นอย่างยิ่งเขาไม่รู้ว่าเด็กสองคนนี้เป็นบุตรของผู้ใดระหว่างเขาและหานเซียว ในยามนั้นเมื่อได้พบและคิดว่าใช่ใจของเขากลับหวาดหวั่นอย่างรุนแรง ว่าได้พบหนานอิงนั้นทำให้เขาหวาดกลัวแล้วการได้พบบุตรชายกลับทำให้ลู่หนิงหวังหวาดกลัวมากยิ่งกว่าลู่หนิงหวังรู้สึกสับสนเขากลัวว่าจะเป็นพ่อที่ไม่ดีพอให้เด็กรักใคร่และไม่รู้ต้องทำตัวเช่นไร เมื่อในยามนั้นหานเซียวส่งเด็กสองคนนี้มาสู่อ้อมแขนของเขา“หากอยากประลอง ก็ประลองกับองค์รักษ์ของข้า”ชั่วขณะนั้นที่หานเซียวชี้มาที่ตัวเขา ความรู้สึกหวาดหวั่นนั้นยิ่งรุนแรงมากขึ้นจนกระทั่งเด็กน้อยทั้งสองเดินอย่างองอาจมาหาเขาโดยไร้ความหวาดกลัวอย่างสิ้นเชิงกระทั่งมือเล็ก ๆ สองข้างกำลังจับจูงมือของเขาคนละข้าง ในยามนั้นพลันเกิดเหงื่อชื้นขึ้นที่ฝ่ามือ ความรู้สึกไหลเวียนไปจนทั่วร่าง แต่ที่แปลกประหลาดคือความรู้สึกสับสนนั้นกลับหายไปในที่สุดมือของเขาสั่นเทาอยู่
ตอนพิเศษ อยากมีอีกเยอะ ๆในตอนที่หนานอิงกำลังชงชาโดยมีอาโจวคอยช่วยเหลืออยู่นั้นขันทีก็รีบเดินกึ่งวิ่งเข้ามารายงาน“ทูลหนานเฟย ฝ่าบาททรงว่าราชการเสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”หนานอิงยิ้มแล้วกล่าวว่า“ดียิ่ง ว่าแต่ว่าเหตุใดเจ้าจึงดูร้อนรนยิ่งนัก”“ทูลพระหนานเฟย ท่านอาจารย์ให้กระหม่อมมาทูลว่ามีคนถวายฎีการ้องเรียนเกี่ยวกับองค์ชายทั้งสองที่ทรงแกล้งบุตรชายของท่านราชครูขอรับ แต่ฝ่าบาทเอาแต่เข้าข้างองค์ชายจึงอยากให้หนานเฟยช่วยทูลฝ่าบาทเรื่องนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”หนานอิงหุบยิ้มโดยทันใด บุตรชายของนางทั้งสองบัดนี้กลายเป็นองค์ชายใหญ่ลู่หานและองค์ชายรองลู่โหยวที่มีพระอาจารย์อ้ายเจิงเป็นคนลงมือสั่งสอนกับมือ เหตุใดจึงได้ไปกลั่นแกล้งบุตรชายของท่านราชครูซึ่งเป็นสหายเรียนด้วยกันได้อันที่จริงก็พี่น้องกันทั้งนั้น ด้วยบุตรชายของท่านราชครูก็คือหลานของนางเอง ด้วยภายหลังมานี้พี่สาวฝาแฝดของหนานอิงนั้นด้วยความรักตัวกลัวตายหลังจากสกุลหนานล่มสลาย นางทั้งสองก็รีบดีดตัวออกจากสกุลหนานโดยไม่คิดข้องเกี่ยวอีกกระทั่งการที่ฮูหยินใหญ่มารดาของพวกนางถูกหนานอิงจัดการพี่สาวทั้งสองก็ยังได้แต่เอ่ยคำว่าอมิตาพุทธไม่คิดแค้นก่อกรรมทำเข็ญต่อไป
ตอนพิเศษ ยามเมื่อฟื้นคืนทุกอย่างเปลี่ยนผัน ดอกเหมยในลานกว้างเบ่งบานและร่วงหล่นตกกระทบร่างสูงของบุรุษกลุ่มหนึ่งที่เดินฝ่าความมืดมิดโดยมีเพียงแสงโคมนำทางเล็ก ๆ คอยส่องกระทบพื้นบุรุษผู้หนึ่งอยู่ในชุดคลุมยาวสีดำปักลายมังกร ใบหน้าคมคายหล่อเหลานัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้า แม้ว่าใบหน้านั้นคล้ายจะอมทุกข์และให้ความรู้สึกสูงส่งและเย็นเยียบ อีกทั้งให้กลิ่นอายของความเหี้ยมโหดเอาเสียดื้อ ๆบุรุษผู้นั้นสูดลมหายใจเข้าลึกสูดดมความหอมของกลิ่นบุปผาเข้าปอด นานแล้วที่เขาไม่เคยได้ทำเช่นนี้ คล้ายกลับว่าความหวังอันลางเลือนของเขาพลันกลับมาชัดเจนอีกครั้ง“ฝ่าบาทระวังพ่ะย่ะค่ะ”อดีตพ่อบ้านจวนอ๋องบัดนี้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งกงกงคนสนิทของเขา แม้จะไม่ได้ผ่านพิธีการตอนดั่งเช่นกงกงผู้อื่นแต่เมื่อเขาต้องการก็มิกล้ามีผู้ใดปริปากลู่หนิงหวังก้าวเท้าเร็วกระทั่งไปถึงหน้าตำหนักแห่งหนึ่ง เมื่อผลักประตูเข้าไปด้านในก็พบอ้ายเจิงและหมอหลวงหัตถ์เทวดาอ้ายเสิ่นบิดาของเขารออยู่ด้านในคนทั้งสองทำความเคารพเขา ลู่หนิงหวังยกมือขึ้นห้าม“ไม่ต้องมากพิธี ข้ากับพวกท่านข้าขอเถิด”ถึงเขาจะเป็นฮ่องเต้ของคนในใต้หล้า ลู่หนิงหวังก็ขอสักที่ท
หนานอิงพยักหน้า จุมพิตปลายคางของหานเซียวอย่างมีความสุขที่ผ่านมาล้วนเป็นนางที่เลี้ยงดูเด็กทั้งสองเพียงลำพัง การคิดตัดสินใจก็ล้วนเป็นนางที่ชี้นำ ในยามนี้การมีหานเซียวเคียงข้างทำให้หัวใจของหนานอิงอบอุ่นยิ่งกว่าจะออกจากห้องก็ฟ้ามืดแล้ว เด็กสองคนบัดนี้วิ่งเข้ามาหานางเหงื่อของพวกเขาโทรมกาย เสื้อผ้าเต็มไปด้วยฝุ่น ฝ่ามือห้อเลือดเล็กน้อยทั้งยังวิ่งเข้ามาร้องไห้โฮกอดขานางพลางฟ้องเสียงสั่น“ท่านแม่ท่านลุงผู้นั้นฝึกวรยุทธ์ให้ข้า ยังให้ข้านั่งท่าม้าอะไรก็ไม่รู้อยู่หลายชั่วยาม เขายังถือไม้จะตีข้าด้วย ป้ายของท่านพ่อเขาก็เอาไปบอกข้าและน้องชายอ่อนแอ ไม่คู่ควรที่จะห้อยมัน”คนผู้นั้นทำหน้าเย็นชา เอ่ยคำหนึ่ง“เป็นบุรุษเรื่องนี้เล็กน้อยยิ่ง ยังร้องไห้งอแงราวเด็กทารก เป็นเช่นนี้จะปกป้องผู้ใดได้”หนานอิงได้ยินเช่นนั้นตกใจยิ่ง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันควัน"นายน้อยองครักษ์ของท่านผู้นี้ เหตุใดทำให้ลูกชายข้าเจ็บตัวเช่นนี้ การประลองกับเด็กท่านควรออมมือให้มากมิใช่ทำให้พวกเขาบาดเจ็บ ข้าไม่ยอมท่านต้องจัดการเขาให้ข้าด้วย"“อิงอิงเจ้าใจเย็น ๆ ก่อน เขาคงไม่ได้ตั้งใจ”หานเซียวทำท่าประหลาด ทั้งยังมองคนของตนด้วยสายต
หนานอิงน้ำตาไหลพราก เมื่อเห็นว่ามารดาร้องไห้เด็กทั้งสองรีบวิ่งเข้ามากอดหนานอิงกอดลูกร้องไห้ นานหลายปีแล้วตั้งแต่บุตรชายฝาแฝดเกิดมาที่นางไม่เคยหลั่งน้ำตาอีก"ท่านแม่ท่านร้องไห้ทำไม ท่านลุงหนวดยาวผู้นี้ทำร้ายท่านหรือ ข้าจะตีเขาให้อย่าร้องนะขอรับ"หนานอิงปาดน้ำตา หานเซียวชี้ที่ตัวเอง"ข้ามิได้รังแกแม่ของเจ้า ข้าไม่มีวันทำเช่นนั้น"หนานอิงยิ้มให้เด็กชายทั้งสอง ก่อนจะส่งเด็กน้อยให้แม่นางเหมยเซียง"ข้าไม่ไป ข้าจะสั่งสอนลุงหนวดยาวผู้นี้ที่กล้ารังแกท่าน"หานเซียวอยากจะหยิกแก้มเด็กน้อย อยากจะโอบกอดพวกเขาแต่สองคนนี้ถือตัวและเหย่อยิ่งเป็นอย่างยิ่ง"อย่ามาแตะข้า คนแปลกหน้ามาประลองกัน"หนานอิงเอ่ยเสียงดุ"ไปอยู่กับท่านยาย แม่มีธุระจะสนทนากับคนผู้นี้"ได้ยินเสียงดุของหนานอิงเด็กทั้งสองถึงกับคอตก"ขอรับ"รับคำพร้อมกันแล้วหันหลังเดินไปหาแม่นางเหมยเซียง หานเซียวจึงเอ่ยขึ้น"หากเจ้าอยากประลอง นั่นคือองครักษ์ของข้าเจ้าประลองกับเขาได้ หากชนะจะให้ข้าทำสิ่งใดก็ได้""จริงหรือขอรับ"เด็กสองคนหันมาแล้วเอ่ยพร้อมกันหานเซียวพยักหน้า องครักษ์ผู้นั้นจึงถูกเด็กถือตัวทั้งสองยอมแตะต้องตัวเขาแล้วลากจูงไปข้างนอกเพื่
หานเซียวและองค์รักษ์ของเขาแอบตามเด็กน้อยอย่างเงียบเชียบ เห็นเด็กสองคนนี้ถูกแยกออกมาจากเด็กผู้อื่นและมีอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาคอยสอนให้เป็นพิเศษก็เกิดสงสัยเป็นอย่างยิ่งเป็นถึงหลานของแม่นางเหมยเซียง เหตุใดจึงไม่ให้มาเรียนที่สำนักศึกษาทั้งที่มีเงินทองมากมายปานนั้น เขารอจนกระทั่งเด็กทั้งสองออกมาแล้วจึงแสร้งไปตีสนิทเพื่อพูดคุยด้วย"ท่านแม่บอกว่าห้ามพูดกับคนแปลกหน้า ข้าไม่บอกท่านหรอกอย่ามาหลอกเด็กเลย"กล่าวจบพวกเขาก็วิ่งด้วยฝีเท้าที่เร็วยิ่ง องครักษ์ทั้งสองต่างมองหน้ากันเด็กสองคนนี้เป็นวรยุทธ์แต่ผู้ใดกันแน่ที่เป็นผู้สอนพวกเขาตามเด็กมาจนถึงหอนางโลมเด็กทั้งสองปีนกำแพงกลับเข้าไปดังเดิมมีบางสิ่งบางอย่างหล่นออกมาจากสาบเสื้อ ด้วยความเป็นเด็กจึงไม่ทันระวัง องครักษ์ผู้หนึ่งก้มลงเก็บของกำลังจะอ้าปากบอกพวกเขาแต่สิ่งที่อยู่ในมือช่างคุ้นตาเป็นอย่างยิ่งคนทั้งคู่ต่างตกตะลึงแล้วพวกเขาตามเด็กเข้าไปในหอนางโลม ขอพบแม่นางเหมยเซียงเป็นการด่วนและถามเรื่องเกี่ยวกับเด็กอย่างตรงไปตรงมาแม่นางเหมยเซียงคิดว่าคนพวกนี้ไม่กลับไปง่าย ๆ แน่ จนกว่าจะได้คำตอบจึงเอ่ยว่า"นายท่านองครักษ์อย่าได้คิดมากไปเจ้าค่ะ แม่ของเด็
หลายเดือนต่อมาคนของอ้ายเจิงเร่งรุดไปแจ้งว่าหนานอิงคลอดบุตรแล้วแต่เมื่ออ้ายเจิงเร่งออกมาพบนางเขากลับพบเพียงความว่างเปล่าอยู่ที่คฤหาสน์ที่เขาจัดเตรียมไว้ หนานอิงหายไปอย่างไร้ร่องรอยทิ้งเพียงจดหมายฉบับหนึ่งเอาไว้ข้ากับลูกที่ผ่านมาขอบคุณท่านมาก ต่อไปพวกเราขอใช้ชีวิตตามลำพังเถิด อ้ายเจิงปวดหัวเป็นอย่างยิ่ง เขาจะทำเช่นไรดีเล่าครานี้ ทำเมียกับลูกผู้อื่นหายเช่นนี้ครานี้แม้แต่หัวคงไม่อาจรักษาเอาไว้ได้ที่ผ่านมาหนานอิงเองก็เชื่อฟังมาตลอดมิใช่หรือ แต่เหตุใดครานี้จึงหายไปโดยไม่บอกกล่าวกันเช่นนี้กระทั่งหลานเป็นชายหรือหญิงเขาเองก็ยังไม่รู้ สตรีผู้นี้ทำให้อ้ายเจิงปวดหัวแล้วอ้ายเจิงออกติดตามหาหนานอิงแทบจะพลิกแผ่นดิน แต่กลับไม่พบแม้คนของเขาจะมีอยู่มากมายแต่เขาลืมไปว่ามือสังหารของเขาล้วนเป็นสตรีหนานอิงได้รับคำสั่งแต่งตั้งจากลู่หนิงหวังให้เป็นหัวหน้ามือสังหาร แน่นอนว่าคนพวกนั้นย่อมรับคำนั่งนางและไม่ยอมปริปากบอกที่ซ่อนของนางให้ผู้ใดรู้อ้ายเจิงจึงต้องคลำทางประดุจคนตาบอด ค้นหาตัวนางด้วยตนเอง ลู่หนิงหวังมีโทสะแล้ว เขาสั่งให้คนวาดภาพเหมือนหนานอิงประกาศหาตัวไปทั่วแคว้น หากผู้ใดจับได้จะมีรางวัลเพราะส
หนานอิงเดินเหม่อลอยมาเรื่อย ๆ นางมิได้ใช้มีดสั้นที่ลู่หนิงหวังและหานเซียวแล้วจึงเก็บเอาไว้ในหีบอย่างดี แต่นางยังพกหยกติดกายอยู่ตลอดเวลาหนานอิงรู้สึกหิวเล็กน้อยพบร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ตรงหน้าจึงเดินเข้าไปสั่งก๋วยเตี๋ยวมาชามหนึ่ง กินอย่างซึมกะทือไร้ชีวิตจิตใจกินไปได้เพียงสองสามคำกลับรู้สึกอยากอาเจียนเป็นอย่างยิ่งหนานอิงจ่ายเงินวิ่งไปอาเจียนที่ข้างกำแพง ศีรษะมึนเล็กน้อยนางนั่งลงรอจนกระทั่งตนเองรู้สึกดีขึ้นจึงคิดว่าตนเองคงเครียดไปจึงเกิดอาการประหลาดหลายวันต่อมาอาการของหนานอิงกลับไม่หายไป แต่นางอดทนและฝืนตนเองเอาไว้นางพบลู่หนิงหวังในยามที่เขามาฝึกซ้อมยิงธนู หนานอิงกลายเป็นองครักษ์ของเขาเต็มตัวจึงต้องคอยอยู่ข้างเขาตั้งแต่เข้าวังมาลู่หนิงหวังเห็นใบหน้าของนางซีดเซียวแรงของลูกศรที่ปักลงตรงเป้าดูเบากว่าเดิมจึงเอ่ยเสียงเย็น"มีตำแหน่งเป็นถึงองครักษ์ของฮ่องเต้แต่กลับปล่อยให้ตนเองไม่สบาย มีโทษโบยสามสิบไม้"อ้ายเจิงถอนหายใจ เขาเอ่ยเบา ๆ "ฝ่าบาทอย่าทรงแกล้งนางเลย"ลู่หนิงหวังเพียงเอ่ยว่า"เห็นวาจาของฮ่องเต้เป็นคำล้อเล่นหรือ ชิชะท่านเสนาบดีผู้นี้คิดจะแข็งข้อกับข้าหรือ"อ้ายเจิงมิได้กลัวเขาอยู่แล้ว
บทที่ 140 ตอนพิเศษ เหตุการณ์หลังความตายของหานเซียวพิธีศพของหานเซียวถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายและยังถูกปิดบังมิให้ผู้ใดรู้กระทั่งฝ่าบาทเองด้วยบัดนี้ภายในวังยุ่งเหยิงเป็นอันมาก ลู่หนิงหวังหลังจากจัดการกับกบฏองค์รัชทายาทถูกขับออกไปยังชายแดนทั้ง ๆ ที่ร่างกายพิการแขนขาดตาบอดบัดนี้เหตุการณ์สงบสุข ลู่หนิงหวังเองได้กวาดล้างคนขององค์รัชทายาทจนไม่มีผู้ใดกล้าก่อความไม่สงบเพียงแต่ครานี้หาได้ฆ่าคนดั่งเช่นที่เคยเกิดขึ้นอย่างเช่นในรัชสมัยก่อน ขุนนางให้ปลดจากตำแหน่งส่งไปชายแดนอันกันดารเพื่อใช้แรงงานรวมทั้งเด็กชายอายุสิบสองขวบขึ้นไปสตรีและเด็กต่ำกว่าสิบสองขวบให้ไปเป็นชาวนาปลูกข้าวให้ราชสำนักห้ามมิให้ทายาทถัดไปอีกสิบรุ่นรับราชการหรือประกอบอาชีพอื่น แม้จะถูกคัดค้านว่าอาจทำให้คนพวกนี้หาทางกลับมาแก้แค้นลู่หนิงหวังกลับหาได้สนใจ"ไม่ว่าจะฆ่ามากเท่าใดคนคนพวกนี้คิดการใหญ่อย่างไรก็ต้องหาทางกลับมาล้างแค้น เขาสังหารคนมามากในสงครามย่อมรู้ดีว่าการฆ่ามิใช่ทางออกสำหรับผู้บริสุทธิ์"คนสกุลหนานที่ยังหลงเหลือบัดนี้มาคุกเข่าที่หน้าจวนขอร้องให้หนานอิงช่วยชีวิตพวกเขา บ่าวไพร่ที่เคยดีต่อหนานอิงอาฉีจัดการตามสัญญาปล่อยพวก