ตอนที่4||สู่ขออย่างสมเกียรติ
ลมหนาวพัดโชยไปทั่วหมู่บ้านถงหลัว บรรยากาศยังคงสงบราบเรียบเช่นทุกวันที่ผันผ่าน ตามประสาหมู่บ้านเล็กในเมืองติดชายแดนเช่นหยางโจว หลังจากวันที่ซ่งไป๋เซียวพูดคุยเกลี้ยกล่อมจนหลินหลีฮวายอมรับปากจะแต่งงานกับเขา ท่านหมอซ่งก็หายไปราวสามวัน
พอตกสายของวันที่ห้าหมู่บ้านถงหลัวที่เคยเงียบสงบกลับคึกคักขึ้นมาเมื่อขบวนรถม้าหรูหราเดินทางมาหยุดที่ลานหน้าศาลากลางหมู่บ้านซึ่งเป็นจวนของหัวหน้าหมู่บ้านติง
"เฮ้ย นั่นมันตราประจำตัวของผู้ว่าการเมืองหยางโจวใช่หรือไม่?"
ท่านป้าผู้หนึ่ง ที่ออกมาร่วมดูชมขบวนรถม้าหรูหรา เพราะอาจจะเท่าชีวิตของนาง ห้าสิบปียังไม่เคยพบเห็นขบวนรถม้าหรูหรายิ่งใหญ่ผ่านเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้มาก่อน
"ใช่แล้ว! ท่านผู้ว่าการฮั่นเป็นคนสำคัญของเมืองหยางโจวเชียวนะ แล้วเข้ามาทำอะไรในหมู่บ้านเล็กๆ ของพวกเราทำไมกัน?"
บรรยากาศเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ผู้คนต่างพากันจับกลุ่มซุบซิบด้วยความสงสัยไม่คลาย
"ได้ยินมาว่าวันนี้ท่านหมอซ่งที่มาส่งอัฐิของอาลู่เขาจะมาสู่ขออาหลี…"
แล้วก็มีท่านลุงผู้หนึ่งซึ่งคุ้นเคยกับบ้านเว่ยที่เป็นช่างไม้เอ่ยขึ้นและเพียงเท่านั้นข่าวลือก็แพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้านถงหลัวที่มีประชากรราวห้าสิบครัวเรือน ก่อนที่เสียงฆ้องสามครั้งจะดังขึ้น ดึงดูดให้ชาวบ้านมายืนมุงดูด้วยความสนใจเพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่า
ภายในเรือนรับรองแขกของหัวหน้าหมู่บ้านแซ่ติง ผู้อาวุโสของหมู่บ้านสิบหกคนมารวมตัวพร้อมหน้า โดยหนึ่งในนั้นมีท่านผู้เฒ่าเว่ยผู้เป็นท่านปู่ของอาต๋าแล้วยังเป็นอาจารย์ของหลินหลีฮวานั่งตัวตรงถัดไปก็เป็นหัวหน้าหมู่บ้านแซ่ติงพวกเขาล้วนนั่งอยู่สองข้างตามลำดับผู้อาวุโสห้องโถงใหญ่ ใบหน้าของแต่ละคนเรียบนิ่งแต่แฝงด้วยความเคร่งขรึม ลำดับถัดไปเป็นฮูหยินของหัวหน้าหมู่บ้านติงถัดไปด้านข้างคืออาหลี
วันนี้น้อยผู้อาวุโสฝ่ายหญิงช่วยกันจับแต่งตัวแต่ยังคงความเรียบง่ายในชุดสีชมพูเกือบขาว ดวงตาของนางแน่วแน่ไม่หวาดหวั่นหรือมีแววเขินอายเช่นสาวน้อยผู้จะออกเรือนคนอื่นๆ เนื่องจากการแต่งงานคราวนี้
ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าดังก้องเมื่อขบวนของซ่งไป๋เซียวก้าวเข้ามาโดยมีท่านพ่อบ้านของจวนติงไปต้อนรับและเชื้อเชิญทุกคนเข้ามาภายใน บุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีแดงเข้มเกือบดำปักดิ้นทองสง่างาม ใบหน้าของเขายังคงเย็นชาและสุขุม แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
ด้านหลังของเขา คือผู้ว่าการเมืองหยางโจวหยางฮั่นเหวิน ขุนนางวัยกลางคนผู้ปกครองเมืองหยางโจวแห่งนี้
เมื่อทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันทักทายคารวะกันอย่างเป็นทางการแล้ว โดยหัวหน้าหมู่บ้านติงได้เชิญท่านผู้ว่าฮั่นเหวินไปนั่งเก้าอี้ประธานซึ่งอยู่ติดกับเก้าอี้ของท่านผู้เฒ่าติงซึ่งเขานับว่าอาวุโสที่สุด
"วันนี้นับว่าเป็นวันดี ข้าในฐานะเถ้าแก่ฝ่ายชายเดินทางมาถึงจวนของหัวหน้าหมู่บ้านติงก็เพื่อจะสู่ขอแม่นางน้อยหลินลูกหลานของหมู่บ้านถงหลัวให้กับท่านหมอซ่ง"
ด้วยอายุของฮั่นเหวินแล้วเรื่องเจรจาสู่ขอเขาทำมานักต่อนักและคราวนี้ ฝ่ายของเจ้าสาวก็ทราบกำหนดการอยู่ก่อนแล้ว ย่อมพูดจาไม่มีติดขัด
"ท่านหมอซ่ง วันนี้ท่านนำผู้ใหญ่มาเพื่อสู่ขออาหลีของพวกเราหรือ?"
ซ่งไป๋เซียวประสานมือคารวะ หลังจากผู้อาวุโสติงเอ่ยถามเขาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
"ขอรับท่านผู้เฒ่า ข้าซ่งไป๋เซียววันนี้นำสามหนังสือและหกพิธีการตามธรรมเนียมมาสู่ขออาหลีอย่างเป็นทางการ"
ทันทีที่กล่าวจบ ผู้ติดตามของไป๋เซียวก็ยกหีบไม้ออกมาวางเรียงกันที่เบื้องหน้าผู้เฒ่าติง
สามหนังสือและหกพิธีการหนังสือทั้งสาม ถูกยื่นขึ้นต่อหน้าผู้เฒ่าเว่ย เพราะเขานับเป็นอาจารย์ของหลินหลีฮวา วันนี้เด็กสาวกำพร้า ไม่มีญาติสนิท อาจารย์จึงนับว่าเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายของเจ้าสาวไปโดยปริยาย
หนึ่งคือหนังสือสู่ขอ (聘书) เป็นเอกสารที่เขียนถึงครอบครัวฝ่ายหญิงเพื่อแสดงเจตจำนงในการสู่ขอ สองคือหนังสือวันมงคล (礼书) ระบุวันเวลาฤกษ์ยามที่เหมาะสมสำหรับการแต่งงานและสามก็คือหนังสือสมรส (迎书) ใช้ในวันแต่งงานเพื่อประกาศว่าเจ้าสาวจะย้ายเข้าสู่ตระกูลของเจ้าบ่าว
เมื่อผู้เฒ่าเว่ยและทุกคนต่างพิจารณาเอกสารเหล่านี้แล้วก็พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้น ซ่งไป๋เซียวหันไปพยักหน้าให้ผู้ติดตามของเขาเปิดหีบที่นำมาด้วย
ภายในหีบเหล่านั้นเต็มไปด้วยของล้ำค่าเช่นทองคำแท่ง เครื่องประดับหยก ไหมพรมเนื้อดี และของขวัญที่เหมาะสมแก่การสู่ขอ ไม่สิ พวกผู้เฒ่าทั้งหลายคิดว่ามันมากมายที่สุดที่พวกเขาเคยเห็นมาทั้งชีวิต นับว่าอาหลีของพวกตนเลือกสามีได้ไม่ผิดจริงๆ
ลำดับถัดไปหกพิธีการถูกกล่าวถึงทีละข้อ หนึ่งคือการขอหมั้น (纳采) ซ่งไป๋เซียวส่งตัวแทนไปแจ้งเจตจำนงแก่ผู้เฒ่าเว่ยล่วงหน้าแล้วเมื่อวันก่อน
สองคือการสอบดวงชะตา (问名) – ดวงชะตาของซ่งไป๋เซียวและอาหลีถูกนำมาเปรียบเทียบเพื่อหาฤกษ์มงคล สามคือพิธีการสู่ขออย่างเป็นทางการ (纳吉) – พิธีที่เกิดขึ้นในวันนี้ เพื่อประกาศว่าผู้เฒ่าเว่ยตอบรับข้อเสนอ
สี่คือพิธีการมอบของหมั้น (纳征) – ทองคำและสมบัติล้ำค่าถูกมอบให้แก่ฝ่ายหญิง ห้าคือการเลือกวันแต่งงาน (请期) – กำหนดวันแต่งงานตามฤกษ์มงคลที่เลือกไว้ และหกคือพิธีการส่งตัวเจ้าสาว (亲迎) – พิธีสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นในวันแต่งงานของทั้งสองซึ่งก็ไม่นาน เป็นอีกเจ็ดวันนับจากนี้เพราะเจ้าบ่าวจะต้องเร่งกลับเมืองหลวง
เมื่อพิธีการเดินมาถึงจุดนี้ บรรยากาศในห้องโถงก็เต็มไปด้วยความเคร่งขรึม ผู้เฒ่าทุกคนต่างพินิจพิจารณาซ่งไป๋เซียวอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง และเป็นท่านผู้เฒ่าเว่ยที่เอ่ยขึ้นเป็นคนแรก
"ท่านหมอซ่ง ข้ายังจะถามท่านอีกครั้ง ว่าตัดสินใจแน่วแน่ที่จะแต่งกับอาหลีของพวกเราแน่แล้วจริงหรือ?"
"ใช่แล้ว อาหลีของพวกเราเป็นเพียงเด็กกำพร้า ฐานะก็ยากจน นางไม่มีบิดามารดาหรือสกุลเดิมสนับสนุนท่านในวันหน้า ลองคิดให้ดีอีกครั้ง นางเป็นเหมือนลูกหลานของพวกเรา และที่สำคัญปีนี้นางเพิ่งสิบสามเท่านั้น แต่งงานกับนางก็เหมือนท่านได้ลูกสาว คิดอีกครั้งเถอะ"
ผู้อาวุโสติงกล่าวสำทับออกมาอีกคนจากนั้นที่เหลือต่างก็เอ่ยสนับสนุน เพราะพวกเขาเริ่มจะเป็นห่วงอาหลีของพวกเขาแล้ว ปีนี้อาหลีเพิ่งสิบสาม ถึงดูแล้วท่านหมอซ่งคงร่ำรวย และฐานะทางครอบครัวย่อมไม่ธรรมดามิเช่นนั้นแม้แต่ท่านผู้ว่าการฮั่นเหวินจะมาเป็นเถ้าแก่ด้วยตนเองเช่นนี้หรือไร แต่ก็เพราะดูแล้วฝ่ายเจ้าบ่าวจะไม่ใช่เพียงท่านหมอธรรมดาพวกเขาจึงคิดลังเลขึ้นมา กลัวว่าสุดท้ายอาหลีจะถูกดูหมิ่นจากครอบครัวฝ่ายชาย
ฝ่ายของซ่งไป๋เซียวเมื่อได้ฟังเขาจึงเงยหน้าขึ้น แววตาของเขาแน่วแน่
"ข้ายังยืนยันคำเดิม ข้าตั้งใจจะแต่งกับอาหลีจริงๆ แรกเริ่มข้าตั้งใจรับนางกับท่านย่าของนางไปอยู่ที่เหยียนจิ่ง ทว่าพอมาแล้วท่านย่าของนางจากไปแล้ว หากข้าพานางไปโดยไม่มีฐานะ เช่นนี้อาหลีจะเสื่อมเสีย การแต่งงานระหว่างนางกับข้าจึงต้องเกิดขึ้น"
ซ่งไป๋เซียวหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น งานแต่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเขาเสน่ห์เด็กสาว ทว่าเขาต้องรับผิดชอบชีวิตของนาง นางคือเป้าหมายชีวิตที่ทำให้เขาอยากมีชีวิตต่อไป ทั้งที่ตลอดหลายปีซ่งไป๋เซียวใช้ชีวิตอย่างไม่เคยกลัวตายมาก่อน
"ข้าต้องการแต่งกับนาง เพราะข้าต้องการปกป้องนาง ให้เกียรตินาง และเคียงข้างนางไปตลอดชีวิต ข้ายินดีใช้ทั้งชีวิตชดเชยให้กับนาง"
คำพูดของเขาดังก้องในห้องโถง หลินหลีฮวาที่นั่งนิ่งตั้งแต่พิธีต่างๆ เริ่มจนถึงบัดนี้อยู่ด้านข้างค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นสบตากับเขา แม้ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แต่หัวใจของเด็กสาวกลับสั่นไหวแปลก
"ผู้อาวุโสทุกท่านช่วยสนับสนุนความตั้งใจทดแทนบุญคุณนี้ของไป๋เซียวด้วย"
ผู้เฒ่าติงสบตากับผู้เฒ่าเว่ยก่อนที่ทั้งสองจะพยักหน้า แล้วจะหยิบจอกเหล้าขึ้นมาแล้วยื่นให้ซ่งไป๋เซียว ในเมื่อตัวของเจ้าสาวเองไม่เอ่ยปาก พวกเขาเองก็เคารพการตัดสินใจของหลอนหลีฮวา
"ในเมื่อท่านหมอซ่งมีความตั้งใจแน่วแน่ถึงเพียงนี้ เช่นนั้นพวกข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ส่งเสริม ดื่มจอกนี้ แล้วอาหลีจะเป็นคู่หมั้นของท่านหมอซ่งจนถึงฤกษ์มงคลในอีกเจ็ดวันอย่างเป็นทางการ"
ซ่งไป๋เซียวรับจอกเหล้ามาดื่มจนหมด ก่อนจะโค้งคำนับไปทั้งสองฝั่งห้องซึ่งมีผู้อาวุโสนั่งอยู่อีกครั้ง
บรรยากาศเคร่งขรึมแปรเปลี่ยนเป็นความยินดีเมื่อผู้เฒ่าเว่ยเป็นตัวแทนประกาศว่า พิธีสู่ขอและหมั้นหมายนี้เป็นอันเสร็จสมบูรณ์เสียงแซ่ซ้องของชาวบ้านดังขึ้น บรรยากาศอบอวลไปด้วยความยินดี
ซ่งไป๋เซียวหันไปมองหลินหลีฮวา นางยังคงนิ่งเงียบ แต่ริมฝีปากกลับเผยรอยยิ้มน้อยๆ ส่งมาให้เขา ภายในใจของเด็กสาวนั้นกำลังคิดว่า ชีวิตนี้ก็ไม่นับว่าแย่ อย่างน้อย หากเป็นท่านหญิงหลัวจือจื่อแน่นอนนางคงมิอาจเลือกได้ว่าตนเองจะแต่งกับผู้ใด
แต่ในยามนี้ นางคือหลินหลีฮวา นางสามารถเลือกว่าจะแต่งหรือไม่แต่งงานกับซ่งไป๋เซียวก็ได้ หากนางยืนยัน หลินหลีฮวาคิดว่าเขาไม่กล้าขัดนางแน่ แต่ที่นางตอบตกลง เพราะเล็งเห็นถึงประโยชน์มากกว่าโทษ
นางก็แค่มนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่งมีคนมายื่นมือให้นางเกาะ หากนางไม่เกาะเขาเอาไว้นางก็โง่เกินไปแล้ว อนาคตก็ให้มันเป็นเรื่องของอนาคต บัดนี้อย่างน้อยนางก็มีสินสอด นี่คือต้นทุนชีวิตใหม่ของนาง
เริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างไรก็ต้องมีเงิน...
ผ่านไปอีกสองปีบรรยากาศในเรือนหลิงเซียวครึกครื้นเป็นพิเศษในวันนี้ ทุกผู้ทุกนามพร้อมหน้าพร้อมตากันราวกับจะเน้นย้ำความสุขสมบูรณ์ของครอบครัว เสียงหัวเราะและพูดคุยดังสลับกับเสียงหยอกล้อของเด็กหญิงตัวน้อยวัยสองขวบ ‘เสี่ยวจือจื่อ’ ที่วิ่งเล่นรอบ ๆ โต๊ะอาหาร ดวงตากลมโตสดใส ใบหน้าเล็กน่ารักเหมือนบิดาไม่มีผิด“เสี่ยวจือจื่อ อย่าวิ่งเร็วนัก เดี๋ยวจะล้ม!” อาหลีร้องเตือนด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าหวานคลี่ยิ้มบางเมื่อเห็นบุตรสาวหัวเราะอย่างสดใสเสี่ยวจือจื่อวิ่งถลาเข้ามาซุกในอ้อมกอดของอาหลัวที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ พลางหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน“อาหลัวเจี่ย เจี่ยพาข้าเล่นหน่อย” เสี่ยวจือจื่อออดอ้อนเสียงใสอาหลัวกอดหลานสาวแน่น “ได้สิ วันนี้วันเกิดหลีเจี่ย เสี่ยวจือจื่ออย่าดื้อรู้หรือไม่”นายหญิงโจวมองดูหลานและเหลนด้วยแววตาอ่อนโยน พลางถอนใจอย่างมีความสุข “เวลาเร็วเหลือเกิน อาหลีปีนี้อายุครบยี่สิบสองแล้วสินะ แต่ในสายตาแม่ เจ้ายังเด็กเหมือนวันแรกที่เข้ามาอยู่กับอาเซียวไม่มีผิด”อาหลีได้ยินก็หน้าแดงเล็กน้อย ขณะที่ไป๋เซียวซึ่งกำลังจัดบะหมี่อายุยืนลงในชามหัวเราะเบา ๆ“สำหรับข้า ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี อาหลีก็ยังเหมือนวั
ค่ำคืนวันปีใหม่ที่จวนฉางชิ่งโหวเต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่น เสียงประทัดดังก้องไปทั่วนครเหยียนจิ่ง เสียงหัวเราะพูดคุยภายในเรือนหลิงเซียวดังแว่วอย่างรื่นเริง โต๊ะกลมขนาดใหญ่เต็มไปด้วยอาหารนานาชนิด ส่งกลิ่นหอมกรุ่นอบอวลไปทั่วนายหญิงโจวนั่งประจำที่ ใบหน้าอ่อนโยนประดับด้วยรอยยิ้มเอ็นดู พลางมองไปที่ลูกหลานซึ่งนั่งล้อมรอบ ข้างกายนางคือไป๋ซั่วผู้สงบสุขุมดั่งเคย แม้ปีนี้อายุใกล้สามสิบแต่ยังดูแข็งแกร่งสง่างามถัดจากไป๋ซั่วคืออาหลีที่ท้องใหญ่ใกล้คลอดเต็มที ดวงหน้าของนางเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลมากขึ้นจากเดิมหลายส่วน ไป๋เซียวสามีของนางนั่งอยู่ติดกัน มือใหญ่คอยดูแลภรรยาไม่ห่างตลอดเวลาข้างอาหลีคืออาหลัวที่งดงามสดใสในวัยสิบหกปี สาวน้อยยังคงซุกซนไม่เปลี่ยนแปลง บนตักของอาหลัวมีเจ้าแมวดำ ‘อาจ้าน’ นอนส่งเสียงครางเบา ๆ อย่างสบายใจราวกับร่วมฉลองด้วย“หลีเจี่ย กินไก่ตุ๋นยาจีนอีกหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ข้าตักให้ท่านอีกชามแล้ว!” อาหลัวรีบส่งชามซุปให้พี่สาวบุญธรรมด้วยท่าทีเอาอกเอาใจเช่นเคยไป๋เซียวรีบขัดขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ “อาหลี เจ้ากินเนื้อปลานึ่งบ้างดีกว่า ข้าแกะก้างให้เจ้าแล้ว”อาหลีเห็นท่าทีแย่งชิงเอาใจของทั้งคู่ก็อดหั
หลังจากคืนนั้นผ่านไป ไป๋เซียวก็ตัดสินใจพาอาหลีอยู่พักผ่อนที่หยางโจว และเดินทางท่องเที่ยวเมืองใกล้เคียงอีกสองเดือนเต็ม ด้วยความหวังว่านางจะตั้งครรภ์ก่อนกลับเหยียนจิ่งตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ทุกค่ำคืนของทั้งคู่เต็มไปด้วยความรักที่ลึกซึ้ง ร้อนแรงราวกับคู่รักใหม่แต่ง ทั้ง ๆ ที่ผ่านการแต่งงานมานานถึงเจ็ดปีเข้าสู่ปีที่แปดแล้วเช้าวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิอันสดใส ที่ริมทะเลสาบซีหูในเมืองไห่โจว แสงแดดอ่อนโยนยามสายสาดส่องลงบนผิวน้ำจนเกิดประกายระยิบระยับงดงามจับตาภายในเรือนพักส่วนตัวริมทะเลสาบ ไป๋เซียวและอาหลีนั่งจิบชาด้วยกันหลังอาหารเช้า ดวงหน้าหวานของอาหลีดูสดใส มีน้ำมีนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนไป๋เซียวอดใจไม่ไหว จับมือเล็กขึ้นมาจุมพิตเบา ๆ ด้วยสายตาอ่อนโยน“ช่วงนี้เจ้าดูสดชื่นขึ้นมาก รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?” เขาถามด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน ดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใยอาหลีหน้าแดงเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเขินอาย “รู้สึกสบายตัวมากเจ้าค่ะ ข้าว่า… น่าจะใกล้ได้ข่าวดีแล้วกระมัง”ไป๋เซียวหัวเราะในลำคอเบา ๆ อย่างพึงพอใจ “เช่นนั้นข้าคงต้องขยันให้มากกว่าเดิมเสียแล้ว”“พี่เซียว!” อาหลีตีแขนเขาเบา ๆ ด้วยความเขินอาย “ท่าน
ยามเช้าของต้นฤดูใบไม้ผลิ แสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องลอดผ่านม่านไม้ไผ่บางของรถม้าที่กำลังมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก เสียงล้อรถบดไปตามทางดินเป็นจังหวะช้า ๆ บรรยากาศรอบด้านเงียบสงบ มีเพียงเสียงนกร้องแผ่วเบาและสายลมอ่อนที่พัดเอื่อยหลังจากโรงหมอเผิงไหลอี้เปิดให้บริการมาครึ่งปี ในที่สุดเทศกาลไหว้บรรพบุรุษของต้าฉู่ก็มาถึง ไป๋เซียวเห็นสมควรแล้วที่จะพาอาหลีกลับไปหมู่บ้านถงหลัว ที่เมืองหยางโจว เพื่อเคารพสุสานสกุลหลินตามที่ได้ให้สัญญาไว้เมื่อเจ็ดปีก่อนภายในรถม้า อาหลีนั่งพิงหน้าอกไป๋เซียวอย่างเงียบสงบ แม้จะแต่งงานกันมานานถึงเจ็ดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่คิดถึงบ้านเกิด หัวใจนางก็ยังรู้สึกโหวงเหวงอยู่เสมอ ยิ่งผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด ความทรงจำของ ‘อาหลี’ ก็ยิ่งแจ่มชัดและเป็นจริงมากขึ้น ขณะที่ภาพในอดีตชาติที่นางเคยเป็นท่านหญิงหลัวจือจื่อนั้นกลับค่อย ๆ เลือนรางไปตามกาลเวลา จนบัดนี้แทบจะกลายเป็นเพียงความฝันที่เลือนรางไปหมดแล้ว“เจ้าเป็นอะไรหรือ?” ไป๋เซียวเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน มือใหญ่ลูบแผ่นหลังนางเบา ๆ อย่างปลอบโยนอาหลีหลับตาพริ้ม ซบศีรษะลงกับอกอันอบอุ่นของเขา “ข้ากำลังคิดถึงพี่ใหญ่ คิดถึงท่านย่า ท่านปู่ ส่วนท่านพ่อ
เช้าวันใหม่มาเยือนมหานครเหยียนจิ่ง แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าสาดส่องลงบนถนนสายการค้าอันคึกคัก ผู้คนมากมายต่างพากันเดินจับจ่ายซื้อของ สองฟากถนนเต็มไปด้วยร้านรวงที่เริ่มเปิดประตูต้อนรับลูกค้า เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของชาวบ้านประสานกับเสียงเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ขายอย่างครึกครื้นมีชีวิตชีวาตรงหัวมุมถนนที่เชื่อมต่อกับตลาดกลาง จากพื้นที่โล่งกว้างที่เคยว่างเปล่า บัดนี้ถูกล้อมรอบด้วยรั้วไม้ไผ่สูงทึบ พร้อมป้ายประกาศขนาดใหญ่ที่เขียนด้วยลายมือประณีตสวยงามว่า‘สถานที่ก่อสร้างโรงหมอเผิงไหลอี้’ไป๋เซียวกับอาหลีมายืนดูการเริ่มต้นก่อสร้างโรงหมอด้วยกัน ไป๋เซียวอยู่ในชุดคลุมยาวสีแดงเข้มปักลายกิเลนเพลิง ดูสง่างามโดดเด่นจนผู้คนที่ผ่านไปมาต่างแอบชำเลืองมองด้วยความชื่นชม ส่วนอาหลีในชุดผ้าไหมสีชมพูอ่อนปักลายดอกจือจื่อขาว ใบหน้างดงามฉายแววตาตื่นเต้นและเปี่ยมไปด้วยความหวัง“พี่เซียว… ข้ายังแทบไม่อยากเชื่อเลย ว่าเราจะได้เริ่มก่อสร้างโรงหมอกันจริง ๆ เสียที” อาหลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตากลมโตเป็นประกายเจิดจ้าไป๋เซียวคลี่ยิ้มบาง ลูบเรือนผมนางเบา ๆ อย่างอ่อนโยน“ทุกอย่างล้วนเกิดจากความพยายามของเจ้า ข้าเพียงแค่คอย
วันเวลาหมุนผ่านไปตามครรลอง เผลอเพียงไม่นานกิจการร้านเครื่องหอมหลีฮวาเซียงก็เปิดมาได้แปดเดือนแล้วกิจการยิ่งนานยิ่งรุ่งเรืองทำกำไรงอกงาม ค่ำคืนต้นฤดูหนาวของต้าฉู่เวียนมาบรรจบอีกครั้งภายในห้องหนังสือของเรือนหลิงเซียว แสงตะเกียงนวลอ่อนสาดส่องกระทบใบหน้าหวานของอาหลีที่กำลังนั่งก้มหน้าจดรายละเอียดแผนการเปิดโรงหมอลงบนกระดาษ ดวงตากลมโตสุกใสเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ไป๋เซียวที่นั่งพิงพนักเก้าอี้ข้างกายนางด้วยท่าทีผ่อนคลาย จับจ้องภรรยาไม่วางตา“ข้าว่าคงต้องจ้างช่างก่อสร้างเพิ่ม เพราะอาคารต้องมีพื้นที่กว้างพอสำหรับห้องตรวจหลายห้อง อีกทั้งคลังยาและห้องพักฟื้นก็ต้องกว้างขวางพอให้คนไข้พักอาศัย…” อาหลีพึมพำกับตัวเองพร้อมจดบันทึกด้วยสีหน้าจริงจังเป็นที่สุดไป๋เซียวหัวเราะเบา ๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้ กระซิบข้างใบหูนางอย่างหยอกเย้า “เจ้าช่างขยันจริง ๆ”อาหลีสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นรินรดอยู่ข้างแก้ม ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อทันที นางหันมายิ้มบางๆ เอ่ยตอบเสียงหวาน “ก็ข้าต้องวางแผนให้ดี ท่านเป็นคนสอนข้าเองนี่เจ้าคะ”อยู่กับเขามาไป๋เซียวสั่งสอนให้หลายอย่าง อาหลีล้วนจำใส่ใจ