ตอนที่ 5||พิธีสมรสหน้าป้ายวิญญาณ
เวลาเจ็ดวันผ่านไปรวดเร็วยิ่งและแล้วฤกษ์มงคลก็มาถึงในวันนี้อากาศแจ่มใสท้องฟ้ากระจ่างแสงแดดอ่อนต้นยามเฉินสาดส่องลงมายังพื้นปฐพี ทุกชีวิตในหมู่บ้านถงหลัวต่างมารวมตัวกันที่เรือนสกุลหลินเพื่อเป็นสักขีพยานให้กับคู่บ่าวสาวในงานสมรสวันนี้
ตามธรรมเนียมของชาวต้าฉู่แล้ว หญิงสาวผู้เป็นเจ้าสาวต้องสวมชุดแต่งงานสีแดงเข้ม ปักลวดลายนกยวนยางอันเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคดีและความเจริญรุ่งเรืองหากเป็นคู่แต่งงานเป็นชาวบ้านทั่วไป ส่วนเจ้าสาวที่เป็นเชื้อพระวงศ์ลวดลายที่ปักจะเป็นสงห์ ดังนั้นชุดที่หลินหลีฮวาสวมจะมิได้หรูหราดังเช่นของคุณหนูสูงศักดิ์ แต่ผ้าเนื้อดีสีแดงสดนี้ก็เป็นผ้าไหมที่ซ่งไป๋เซียวจัดหามาให้ ลวดลายที่ปักยังเป็นช่างมากฝีมืออันหนึ่งในหยางโจวอีกด้วย เวลาเพียงสิบเอ็ดวันก็เสร็จเรียบร้อย หากไม่มีเงินยากนักที่จะทำได้เช่นนี้
ทำเอาสตรีภายในหมู่บ้านถงหลัวล้วนตื่นตาตื่นใจและมีหลายคนรู้สึกริษยาเจ้าสาวขึ้นมา แต่ก็เพียงส่วนน้อย คนส่วนใหญ่ก็ล้วนยินดีไปกับอาหลี เด็กน้อยชะตาอาภัพกันทั้งสิ้น ชุดแต่งงานว่างดงามแล้วแต่ด้วยกิริยาสงบนิ่งเกินอายุของหลินหลีฮวากลับทำให้นางงามสง่าไม่แพ้สตรีชั้นสูง และที่เป็นดังนั้นก็เพราะถึงร่างนี้จะเป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบสามปี แถมอาหลีคนเก่าไม่เคยไปไหนไกลจากหมู่บ้านถงหลัว แต่ดวงวิญญาณแท้จริงของนางคือท่านหญิง กิริยามารยาทถูกฝึกฝนมาตั้งแต่จำความได้ดังนั้นเจ้าสาวตัวน้อยจะมีกิริยาราวกับสตรีชั้นสูงผิดหูผิดตาย่อมไม่แปลก
ผ้าคลุมหน้าเป็นแพรบางสีแดงปักลวดลายวิจิตรถูกหย่อนลงมาคลุมศีรษะของผู้เป็นเจ้าสาวหลังจากท่านผู้เฒ่าฝ่ายหญิงมาหวีผมให้เจ้าสาวเสร็จสิ้น ผ้าผืนงามปกปิดใบหน้าของเจ้าสาวให้เหลือเพียงโครงร่างที่งดงามแม้นางจะยังเป็นเด็กสาวยังไม่เจริญวัยเต็มที่แต่กลับงดงามราวกับเทพธิดาตัวน้อยๆ
หลินหลีฮวาถูกสตรีอาวุโสบอกให้นั่งนิ่งรอฤกษ์อย่างสงบเสงี่ยมในห้องนอนของนางเอง เนื่องจากพิธีวันนี้ซ่งไป๋เซียวเลือกที่จะใช้เรือนเล็กแห่งนี้ประกอบพิธีแทนที่จะจัดในจวนของหัวหน้าหมู่บ้านเพราะเขาบอกว่าอยากจัดงานในสถานที่ของครอบครัวสกุลหลิน ได้เคารพป้ายวิญญาณของทุกคน เพื่อที่อาหลีจะได้รู้สึกว่าตนเองมีญาติผู้ใหญ่ของตนเป็นสักขีพยานอย่างแท้จริง
ด้านนอก เรือนถูกประดับด้วยโคมแดงดวงเล็ก ๆ แม้จะไม่หรูหราโอ่อ่าเช่นงานแต่งของตระกูลใหญ่ แต่กลับเต็มไปด้วยความอบอุ่น ชาวบ้านมาช่วยกันเตรียมงานอย่างเต็มใจ หลายคนยิ้มยินดี หลายคนซุบซิบถึงบุรุษเจ้าบ่าวผู้นั้นท่านหมอซ่ง ผู้เคร่งขรึมและเย็นชา แต่เขากลับหล่อเหลาและดูร่ำรวยมากล้นทั้งที่อายุไม่มาก ช่างเป็นวาสนาของอาหลีจริงๆ
ไม่นานนัก เสียงกล่าวนำพิธีของผู้เฒ่าในหมู่บ้านก็ดังขึ้น
"ถึงยามมงคลแล้ว! เจ้าบ่าวเชิญเจ้าสาวออกมา!"
ภายใต้แสงแดดแผดจ้า ซ่งไป๋เซียวสวมอาภรณ์สีแดงเข้มเข้ากับพิธี ยืนตัวตรงสง่างาม แม้ใบหน้ายังคงเรียบเฉยตามนิสัย แต่ดวงตากลับฉายแววแน่วแน่
หลินหลีฮวาถูกประคองออกมาโดยเหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ นางก้าวเดินอย่างสงบ แม้ภายในใจจะเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายแน่นอนว่ายังเป็นความคิดที่สับสนค่อนข้างกังวลตามประสาของสตรีที่กำลังจะเปลี่ยนสถานะ เมื่อเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเผชิญหน้ากัน ทั้งสองต่างมองกันผ่านผ้าคลุมหน้า ซ่งไป๋เซียวยังคงแน่วแน่หากแต่หลินหลีฮวานั้นยังมีหวั่นไหวและไม่แน่ใจว่าตนเองตัดสินใจถูกหรือผิด อายุของนางก็เพียงสิบห้าในยามตายลงจากชาติเก่า ไม่แปลกที่จะลังเลและสับสนกับการเลือกหนทางชีวิตของตนเองในคราวนี้
"คำนับฟ้าดิน!"
แต่จะอย่างไรก็ตามตามพอจ้าวพิธีกล่าวนำพิธีการทั้งคู่ก็ก้มลงทำความเคารพฟ้าดิน อันเป็นสัญลักษณ์แห่งการขอพรให้ชีวิตคู่ราบรื่น
"คำนับบรรพบุรุษ!"
พวกเขาหันไปทางโต๊ะบูชาที่มีธูปเทียนปักอยู่ เคารพบรรพบุรุษของฝ่ายหญิง แม้เรือนสกุลหลินจะไม่มีผู้ใดเหลืออยู่นอกจากหลินหลีฮวา แต่ป้ายวิญญาณของพี่ชายและคนในครอบครัวของนางก็ถูกวางไว้ครบถ้วน ณ ที่แห่งนี้ เพื่อเป็นสักขีพยานในงานสำคัญของน้องและบุตรหลานสาวที่เหลือเพียงผู้เดียว
"สามีภรรยาคำนับกันและกัน!"
ซ่งไป๋เซียวก้มศีรษะลงอย่างสง่างาม หลินหลีฮวาก็ทำตาม ก่อนที่เสียงเฮจากเหล่าชาวบ้านจะดังขึ้น เรียบง่ายแต่ดูเข้มขลัง
"พิธีเสร็จสิ้น! ส่งคู่บ่าวสาวเข้าห้องหอได้แล้ว!"
ตามธรรมเนียมของชาวต้าฉู่แล้วหลังจบพิธีคำนับฟ้าดินจะส่งบ่าวสาวเข้าห้องหอ เพื่อจะทำพิธีกรรมต่อเช่นผูกผมลงตามในหนังสือสมรสกับกินข้าวที่เป็นอาหารมงคลและขนมบัวลอย ระหว่างที่เดินไปส่งทั้งคู่เสียงเอ่ยแซวและเสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นจากเหล่าชาวบ้านที่มาร่วมงานอย่างมีความสุข หลินหลีฮวาที่ยังคงสับสนและอยู่ในอารมณ์ไม่มั่นคงไม่ได้รู้สึกเขินอายดังเจ้าสาวคนอื่น นางเพียงหลุบตาลงต่ำมองแค่ปลายเท้าตนเอง ขณะที่ซ่งไป๋เซียวเพียงพยักหน้ารับคำ อวยพรก่อนจะประคองหลินหลีฮวากลับเข้าไปในห้องหอตามสตรีสูงวัยที่จะเข้าไปปูเตียงและกล่าวนำพิธีต่อภายในห้องหอทุกขั้นตอนผ่านไปด้วยดี
พอถึงยามโพล้เพล้ก็เป็นงานเลี้ยง เจ้าบ่าวถูกพามาร่วมดื่มกินกับแขกจนถึงค่ำคืนบรรยากาศอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและเป็นกันเอง แม้ซ่งไป๋เซียวจะเป็นคนแปลกหน้าแต่หลังผ่านพิธีแต่งงานชาวบ้านถงหลัวก็นับเขาเป็นลูกหลานของหมู่บ้านนี้ไปแล้ว จากเรือนเล็ก ๆ ของหลินหลีฮวาที่เคยมีเพียงสาวน้อยและอาจ้านแมวสีดำตัวอ้วนกลม บัดนี้กลับครึกครื้นด้วยผู้เฒ่าผู้แก่และชาวบ้านที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีสมรสที่จัดขึ้นอย่างเรียบง่าย
ฝ่ายเจ้าสาวเช่นหลินหลีฮวาหลังจบพิธีต่างๆ นางก็ถูกป้าจางกับป้าหลี่อบรมถึงการเป็นภรรยาที่ดี จนค่ำ ทุกคนจึงปล่อยให้เจ้าสาวได้พักผ่อนรอผู้เป็นเจ้าบ่าว หลินหลีฮวาเลยถือโอกาสดังกล่าวอาบน้ำเสียเลย หลังจากนั้นนางจึงเข้ามาตรวจดูข้าวของว่าตนเองยังต้องเก็บอันใดอีกหรือไม่เนื่องจากพรุ่งนี้ช่วงบ่ายซ่งไป๋เซียวจะพานางกลับเหยียนจิ่งแล้ว
พอตกดึกเวลาสมควรแล้วชาวบ้านจึงส่งเจ้าบ่าวเข้าห้องหอตามธรรมเนี่ยมซ่งไป๋เซียวก้าวเข้ามาภายในห้องหอ ที่ยังคงสว่างไสวไปด้วยแสงเทียนมงคล ห้องหอของเขานั้นเรียบง่ายแต่สะอาดสะอ้าน มีเตียงไม้ที่ถูกเปลี่ยนเป็นหลังใหม่ให้ใหญ่กว่าของเก่าที่แต่เดิมหลินหลีฮวาใช้นอนลำพังปูด้วยผ้าห่มสีแดงสดตามธรรมเนียม
หลินหลีฮวาไม่ได้รวมสุดเจ้าสาวและนั่งอยู่ริมเตียงเช่นเจ้าสาวคนอื่น นางเปลี่ยนมาสวมชุดนอนเรียบร้อย กำลังจัดการจัดเรียงตำราเกี่ยวกับสมุนไพรที่นางซื้อหาลงหีบเงียบๆ ไม่มีการเปิดผ้าคลุมหน้า และไม่มีท่าทางเอียงอายของเจ้าสาว
"ท่านมาแล้ว"
หลังจากเสียงประตูห้องหอปิดลงหลินหลีฮวาก็เหลียวหน้ามามองก่อนจะเอ่ยปากทักทาย และตามมาด้วยรอยยิ้มจริงใจ
"เก็บของหรือ"
"เจ้าค่ะ"
"ข้ากำชับให้หัวหน้าหมู่บ้านคอยส่งคนมาดูแลเรือนหลังนี้เจ้าไม่ต้องกังวลนะ"
ชายหนุ่มก้าวไปทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ริมหน้าต่างอุ้มอาจ้านที่กำลังนอนสบายอยู่บนเก้าอี้ขึ้นมาวางบนตักของตนเอง ทอดสายตามองไปที่เด็กสาวที่กำลังจัดข้าวของส่วนตัวของนางลงหีบใบขนาดย่อมที่เขาให้คนเตรียมมาให้
"จริงสิ จนแต่งงานกันแล้วข้ายังไม่เคยทราบเลยว่าท่านบ้านของท่านเขายินดีจะต้อนรับสะใภ้เช่นข้าหรือไม่"
ซ่งไป๋เซียวฟังแล้วก็ยิ้มอ่อนออกมาเด็กคนนี้ผ่านมาจนถึงวันนี้เพิ่งจะนึกออกหรือไร คำถามเช่นนี้สมควรถามเขาก่อนที่จะรับปากแต่งงาน
"ท่านต้องเข้าใจนะ ข้าก็แค่เด็กสาวอายุสิบสามเท่านั้นแถมขณะนั้นข้าก็กำลังสับสนและเสียใจกับการจากไปตลอดกาลของพี่ใหญ่ ใครจะนึกอะไรได้ทัน "
"อย่างกังวลไปเลย ข้าเป็นลูกคนรองที่เกิดจากอี๋เหนียงซึ่งหนีตามชายชู้ไป บิดาของข้าถึงจะเป็นเสนาบดีกรมคลังแต่เขาชิงชังข้า รับรองสะใภ้เช่นเจ้าเขาย่อมไม่อยากพบหน้า"
อา...
"ฟังแล้วอาหลีสบายใจขึ้นมากจริงๆ"
แน่นอนว่านางไม่ได้สบายใจ แต่นางพูดประชด!
"ข้าอยากไปดื่มสุรากับอาลู่ เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่"
จู่ๆ ซ่งไป๋เซียวก็เปลี่ยนเรื่อง มือเรียวของหลินหลีฮวาชะงัก แต่คิดไปคิดมาได้ดื่มสุราช่วงเวลานี้ก็ดีเช่นกัน นางเองก็กำลังสับสนเพราะหวาดกลัวกับอนาคต ไม่แน่ใจแล้วว่าที่เลือกจะแต่งงานกับท่านหมอซ่งแล้วย้ายตามเขาไปเหยียนจิ่งนี้ตนเองเลือกเส้นทางชีวิตถูกแล้วจริงๆ
"ไป!"
เช่นนั้นแล้วท่ามกลางแสงจันทร์คืนเพ็ญเก้าค่ำหนึ่งเงาร่างสูงใหญ่กับหนึ่งเงาร่างเล็ก จึงเคียงข้างกันไปบนหลังอาชาตัวใหญ่มุ่งหน้าไปยังสุสานสกุลหลิน พร้อมกับสุราอย่างดีสองไห
"อาลู่ คืนนี้ข้ามาดื่มสุรากับเจ้า"
หลังยืนอยู่หน้าหลุมศพของหลินลู่เฟย ซ่งไป๋เซียวก็จัดแจงเทสุราลงชาม วางลงบนหน้าหลุมศพ จากนั้นเขาก็ทรุดลงนั่งยกสุราของตนเองดื่ม
"พี่ใหญ่ ท่านย่า ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านแม่ อาหลีมาลา พรุ่งนี้อาหลีจะไปเมืองหลวงแล้ว ไม่รู้เมื่อใดจะได้กลับมา"
หลินหลีฮวาเองก็จัดแจงเทสุราใส่ถ้วยแล้วนำไปวางหน้าหลุมศพของทุกคน แต่มีหนึ่งถ้วยที่เกินมาซ่งไป๋เซียวจึงสงสัย
"ถ้วยนั้นของผู้ใด"
"ของสหายเก่าของข้า"
เจ้าของร่างนี้ก็นับเป็นสหายเก่าก็แล้วกัน อย่างน้อยนางก็อาศัยร่างและนามของอาหลีคนเก่า ต่อไปนางจะจากไปแล้ว ชะตาชีวิตนางไม่ทราบอนาคต จึงอยากอำลาทุกดวงวิญญาณ
"ข้าจะพยายามหาเวลาเจ้ามากราบไหว้พวกเขาทุกปี"
ไม่ใช่คำสัญญาณ แต่มันคือเป้าหมายของเขาซ่งไป๋เซียวคิดเช่นนั้น นับจากวันที่หลินลู่เฟยเสียสละชีวิตปกป้องและตายแทนเขา ซ่งไป๋เซียวนั้นก็ปฏิญาณกับตนเองเอาไว้แล้วว่าชีวิตที่เหลือจะใช้มันปกป้องท่านย่าและน้องสาวแทนหลินลู่เฟย บัดนี้เหลือเพียงหลินหลีฮวาเขายิ่งต้องมีชีวิตเพื่อดูแลนางปกป้องนาง และหวังดีต่อนางให้เท่ากับพี่ชายของนางหรือมากกว่า
"อาหลี"
"เจ้าค่ะ"
"หากวันหน้า เจ้าพบบุรุษที่รัก เจ้าบอกกับข้าได้นะ ข้ายินดีสนับสนุนเจ้า"
"หมายถึงท่านยินดีจะหย่าให้ข้า?"
"ใช่ ขอเพียงบุรุษผู้นั้นเป็นคนดีและรักเจ้า ไม่รังเกียจที่เจ้าเคยแต่งงานมาแล้ว ข้ายินดี"
"..."
รู้สึกแปลกอยู่บ้าง ค่ำคืนแต่งงานนอกจากไม่ได้เข้าหอเช่นสามีภรรยาคู่อื่นแต่มาดื่มสุราที่หน้าหลุมศพแล้ว สามีของนางยังบอกจะหย่าให้ แปลกดียิ่ง!
แต่จะอย่างไรในใจของทั้งต่างก็ไม่ได้แต่งงานกันด้วยความรักและความเห็นของผู้ใหญ่ หากวันหน้าเกิดมีอันใดเปลี่ยนแปลงก็ถือว่ามันเป็นชะตาชีวิต ในที่สุดหลินหลีฮวาก็คิดตก เลิกสับสน เลิกกังวล ชีวิตคนเรามันก็เท่านี้ อดีตผ่านมาแล้วแก้ไขไม่ได้ ส่วนพรุ่งนี้มันก็ยังมาไม่ถึง นางจะคิดมากไปไย ชีวิตของคนเรามีแค่วันนี้ หากวันนี้นางทำเต็มที่แล้ว พรุ่งนี้ก็ให้มันเป็นเรื่องของพรุ่งนี้ก็แล้วกัน...
ผ่านไปอีกสองปีบรรยากาศในเรือนหลิงเซียวครึกครื้นเป็นพิเศษในวันนี้ ทุกผู้ทุกนามพร้อมหน้าพร้อมตากันราวกับจะเน้นย้ำความสุขสมบูรณ์ของครอบครัว เสียงหัวเราะและพูดคุยดังสลับกับเสียงหยอกล้อของเด็กหญิงตัวน้อยวัยสองขวบ ‘เสี่ยวจือจื่อ’ ที่วิ่งเล่นรอบ ๆ โต๊ะอาหาร ดวงตากลมโตสดใส ใบหน้าเล็กน่ารักเหมือนบิดาไม่มีผิด“เสี่ยวจือจื่อ อย่าวิ่งเร็วนัก เดี๋ยวจะล้ม!” อาหลีร้องเตือนด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าหวานคลี่ยิ้มบางเมื่อเห็นบุตรสาวหัวเราะอย่างสดใสเสี่ยวจือจื่อวิ่งถลาเข้ามาซุกในอ้อมกอดของอาหลัวที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ พลางหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน“อาหลัวเจี่ย เจี่ยพาข้าเล่นหน่อย” เสี่ยวจือจื่อออดอ้อนเสียงใสอาหลัวกอดหลานสาวแน่น “ได้สิ วันนี้วันเกิดหลีเจี่ย เสี่ยวจือจื่ออย่าดื้อรู้หรือไม่”นายหญิงโจวมองดูหลานและเหลนด้วยแววตาอ่อนโยน พลางถอนใจอย่างมีความสุข “เวลาเร็วเหลือเกิน อาหลีปีนี้อายุครบยี่สิบสองแล้วสินะ แต่ในสายตาแม่ เจ้ายังเด็กเหมือนวันแรกที่เข้ามาอยู่กับอาเซียวไม่มีผิด”อาหลีได้ยินก็หน้าแดงเล็กน้อย ขณะที่ไป๋เซียวซึ่งกำลังจัดบะหมี่อายุยืนลงในชามหัวเราะเบา ๆ“สำหรับข้า ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี อาหลีก็ยังเหมือนวั
ค่ำคืนวันปีใหม่ที่จวนฉางชิ่งโหวเต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่น เสียงประทัดดังก้องไปทั่วนครเหยียนจิ่ง เสียงหัวเราะพูดคุยภายในเรือนหลิงเซียวดังแว่วอย่างรื่นเริง โต๊ะกลมขนาดใหญ่เต็มไปด้วยอาหารนานาชนิด ส่งกลิ่นหอมกรุ่นอบอวลไปทั่วนายหญิงโจวนั่งประจำที่ ใบหน้าอ่อนโยนประดับด้วยรอยยิ้มเอ็นดู พลางมองไปที่ลูกหลานซึ่งนั่งล้อมรอบ ข้างกายนางคือไป๋ซั่วผู้สงบสุขุมดั่งเคย แม้ปีนี้อายุใกล้สามสิบแต่ยังดูแข็งแกร่งสง่างามถัดจากไป๋ซั่วคืออาหลีที่ท้องใหญ่ใกล้คลอดเต็มที ดวงหน้าของนางเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลมากขึ้นจากเดิมหลายส่วน ไป๋เซียวสามีของนางนั่งอยู่ติดกัน มือใหญ่คอยดูแลภรรยาไม่ห่างตลอดเวลาข้างอาหลีคืออาหลัวที่งดงามสดใสในวัยสิบหกปี สาวน้อยยังคงซุกซนไม่เปลี่ยนแปลง บนตักของอาหลัวมีเจ้าแมวดำ ‘อาจ้าน’ นอนส่งเสียงครางเบา ๆ อย่างสบายใจราวกับร่วมฉลองด้วย“หลีเจี่ย กินไก่ตุ๋นยาจีนอีกหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ข้าตักให้ท่านอีกชามแล้ว!” อาหลัวรีบส่งชามซุปให้พี่สาวบุญธรรมด้วยท่าทีเอาอกเอาใจเช่นเคยไป๋เซียวรีบขัดขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ “อาหลี เจ้ากินเนื้อปลานึ่งบ้างดีกว่า ข้าแกะก้างให้เจ้าแล้ว”อาหลีเห็นท่าทีแย่งชิงเอาใจของทั้งคู่ก็อดหั
หลังจากคืนนั้นผ่านไป ไป๋เซียวก็ตัดสินใจพาอาหลีอยู่พักผ่อนที่หยางโจว และเดินทางท่องเที่ยวเมืองใกล้เคียงอีกสองเดือนเต็ม ด้วยความหวังว่านางจะตั้งครรภ์ก่อนกลับเหยียนจิ่งตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ทุกค่ำคืนของทั้งคู่เต็มไปด้วยความรักที่ลึกซึ้ง ร้อนแรงราวกับคู่รักใหม่แต่ง ทั้ง ๆ ที่ผ่านการแต่งงานมานานถึงเจ็ดปีเข้าสู่ปีที่แปดแล้วเช้าวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิอันสดใส ที่ริมทะเลสาบซีหูในเมืองไห่โจว แสงแดดอ่อนโยนยามสายสาดส่องลงบนผิวน้ำจนเกิดประกายระยิบระยับงดงามจับตาภายในเรือนพักส่วนตัวริมทะเลสาบ ไป๋เซียวและอาหลีนั่งจิบชาด้วยกันหลังอาหารเช้า ดวงหน้าหวานของอาหลีดูสดใส มีน้ำมีนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนไป๋เซียวอดใจไม่ไหว จับมือเล็กขึ้นมาจุมพิตเบา ๆ ด้วยสายตาอ่อนโยน“ช่วงนี้เจ้าดูสดชื่นขึ้นมาก รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?” เขาถามด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน ดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใยอาหลีหน้าแดงเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเขินอาย “รู้สึกสบายตัวมากเจ้าค่ะ ข้าว่า… น่าจะใกล้ได้ข่าวดีแล้วกระมัง”ไป๋เซียวหัวเราะในลำคอเบา ๆ อย่างพึงพอใจ “เช่นนั้นข้าคงต้องขยันให้มากกว่าเดิมเสียแล้ว”“พี่เซียว!” อาหลีตีแขนเขาเบา ๆ ด้วยความเขินอาย “ท่าน
ยามเช้าของต้นฤดูใบไม้ผลิ แสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องลอดผ่านม่านไม้ไผ่บางของรถม้าที่กำลังมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก เสียงล้อรถบดไปตามทางดินเป็นจังหวะช้า ๆ บรรยากาศรอบด้านเงียบสงบ มีเพียงเสียงนกร้องแผ่วเบาและสายลมอ่อนที่พัดเอื่อยหลังจากโรงหมอเผิงไหลอี้เปิดให้บริการมาครึ่งปี ในที่สุดเทศกาลไหว้บรรพบุรุษของต้าฉู่ก็มาถึง ไป๋เซียวเห็นสมควรแล้วที่จะพาอาหลีกลับไปหมู่บ้านถงหลัว ที่เมืองหยางโจว เพื่อเคารพสุสานสกุลหลินตามที่ได้ให้สัญญาไว้เมื่อเจ็ดปีก่อนภายในรถม้า อาหลีนั่งพิงหน้าอกไป๋เซียวอย่างเงียบสงบ แม้จะแต่งงานกันมานานถึงเจ็ดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่คิดถึงบ้านเกิด หัวใจนางก็ยังรู้สึกโหวงเหวงอยู่เสมอ ยิ่งผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด ความทรงจำของ ‘อาหลี’ ก็ยิ่งแจ่มชัดและเป็นจริงมากขึ้น ขณะที่ภาพในอดีตชาติที่นางเคยเป็นท่านหญิงหลัวจือจื่อนั้นกลับค่อย ๆ เลือนรางไปตามกาลเวลา จนบัดนี้แทบจะกลายเป็นเพียงความฝันที่เลือนรางไปหมดแล้ว“เจ้าเป็นอะไรหรือ?” ไป๋เซียวเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน มือใหญ่ลูบแผ่นหลังนางเบา ๆ อย่างปลอบโยนอาหลีหลับตาพริ้ม ซบศีรษะลงกับอกอันอบอุ่นของเขา “ข้ากำลังคิดถึงพี่ใหญ่ คิดถึงท่านย่า ท่านปู่ ส่วนท่านพ่อ
เช้าวันใหม่มาเยือนมหานครเหยียนจิ่ง แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าสาดส่องลงบนถนนสายการค้าอันคึกคัก ผู้คนมากมายต่างพากันเดินจับจ่ายซื้อของ สองฟากถนนเต็มไปด้วยร้านรวงที่เริ่มเปิดประตูต้อนรับลูกค้า เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของชาวบ้านประสานกับเสียงเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ขายอย่างครึกครื้นมีชีวิตชีวาตรงหัวมุมถนนที่เชื่อมต่อกับตลาดกลาง จากพื้นที่โล่งกว้างที่เคยว่างเปล่า บัดนี้ถูกล้อมรอบด้วยรั้วไม้ไผ่สูงทึบ พร้อมป้ายประกาศขนาดใหญ่ที่เขียนด้วยลายมือประณีตสวยงามว่า‘สถานที่ก่อสร้างโรงหมอเผิงไหลอี้’ไป๋เซียวกับอาหลีมายืนดูการเริ่มต้นก่อสร้างโรงหมอด้วยกัน ไป๋เซียวอยู่ในชุดคลุมยาวสีแดงเข้มปักลายกิเลนเพลิง ดูสง่างามโดดเด่นจนผู้คนที่ผ่านไปมาต่างแอบชำเลืองมองด้วยความชื่นชม ส่วนอาหลีในชุดผ้าไหมสีชมพูอ่อนปักลายดอกจือจื่อขาว ใบหน้างดงามฉายแววตาตื่นเต้นและเปี่ยมไปด้วยความหวัง“พี่เซียว… ข้ายังแทบไม่อยากเชื่อเลย ว่าเราจะได้เริ่มก่อสร้างโรงหมอกันจริง ๆ เสียที” อาหลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตากลมโตเป็นประกายเจิดจ้าไป๋เซียวคลี่ยิ้มบาง ลูบเรือนผมนางเบา ๆ อย่างอ่อนโยน“ทุกอย่างล้วนเกิดจากความพยายามของเจ้า ข้าเพียงแค่คอย
วันเวลาหมุนผ่านไปตามครรลอง เผลอเพียงไม่นานกิจการร้านเครื่องหอมหลีฮวาเซียงก็เปิดมาได้แปดเดือนแล้วกิจการยิ่งนานยิ่งรุ่งเรืองทำกำไรงอกงาม ค่ำคืนต้นฤดูหนาวของต้าฉู่เวียนมาบรรจบอีกครั้งภายในห้องหนังสือของเรือนหลิงเซียว แสงตะเกียงนวลอ่อนสาดส่องกระทบใบหน้าหวานของอาหลีที่กำลังนั่งก้มหน้าจดรายละเอียดแผนการเปิดโรงหมอลงบนกระดาษ ดวงตากลมโตสุกใสเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ไป๋เซียวที่นั่งพิงพนักเก้าอี้ข้างกายนางด้วยท่าทีผ่อนคลาย จับจ้องภรรยาไม่วางตา“ข้าว่าคงต้องจ้างช่างก่อสร้างเพิ่ม เพราะอาคารต้องมีพื้นที่กว้างพอสำหรับห้องตรวจหลายห้อง อีกทั้งคลังยาและห้องพักฟื้นก็ต้องกว้างขวางพอให้คนไข้พักอาศัย…” อาหลีพึมพำกับตัวเองพร้อมจดบันทึกด้วยสีหน้าจริงจังเป็นที่สุดไป๋เซียวหัวเราะเบา ๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้ กระซิบข้างใบหูนางอย่างหยอกเย้า “เจ้าช่างขยันจริง ๆ”อาหลีสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นรินรดอยู่ข้างแก้ม ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อทันที นางหันมายิ้มบางๆ เอ่ยตอบเสียงหวาน “ก็ข้าต้องวางแผนให้ดี ท่านเป็นคนสอนข้าเองนี่เจ้าคะ”อยู่กับเขามาไป๋เซียวสั่งสอนให้หลายอย่าง อาหลีล้วนจำใส่ใจ