ตอนที่3||ข้าขอใช้ร่างกายตอบแทนบุญคุณ!
ซึ่งตลอดเวลาที่เด็กสาววัยสิบสามปีกำลังนั่งเผากระดาษเงินกระดาษทองเฝ้าอยู่หน้าหลุมศพครอบครัวของนางทั้งห้าหนุ่มจากช่วงสายจนถึงมืดค่ำ ซ่งไป๋เซียวกับคนของเขาทั้งหกคนล้วนไม่มีใครจากไปไหน
จนบัดนี้มืดค่ำชาวบ้านทั้งหลายกลับบ้านเรือนของพวกเขาไปหมดแล้ว ซ่งไป๋เซียวจึงคิดว่ามันสมควรที่เขาจะส่งนางกลับเรือนได้แล้ว เขาก้าวเข้าไปหยุดยืนเคียงข้างร่างเล็กๆ ตรงหน้าหลุมศพ ก่อนเอ่ยเสียงหนักแน่น
"ค่ำแล้วกลับเรือนเถอะ"
พอเขาเอ่ยเตือน อาหลีจึงค่อยนึกได้ว่าตลอดเวลา บุรุษที่บอกกับนางว่าเขาคือ สหาย ของหลินลู่เฟย นามว่าซ่งไป๋เซียว หรือท่านหมอซ่งยังไม่ไปไหน
"ท่านหมอซ่งเชิญกลับไปก่อนได้เลย หมู่บ้านนี้สำหรับข้าไม่มีอันตรายข้าเกิดและเติบโตที่นี่"
เพราะช่วงสามวันมานี้นางทราบว่าท่านหมอซ่งกับคนของเขาพักผู้ที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน (หลี่ฉาง) = (里長) ซึ่งอยู่ไกลกว่าเรือนของนางให้เขาเดินทางมืดค่ำ คงดูไม่ดี
"คงไม่ได้ ข้าไม่วางใจ อย่างไรเจ้าก็เป็นเด็กสาว ยิ่งเจ้าอยู่ตัวคนเดียวใจคนยากแท้หยั่งถึง"
ฟังคำเตือนของท่านหมอซ่ง หลินหลีฮวาก็คิดตามไปด้วยทบทวนครู่หนึ่งนางจึงขยับกายจัดข้าวของลงตะกร้าจนเรียบร้อยก็ลุกขึ้นยืนแต่คงเพราะนั่งคุกเข่าท่าเดิมนานไป พอลุกขึ้นนางจึงเสียหลัก ยังดีว่าซ่งไป๋เซียวว่องไวเขาจึงจับต้นแขนเล็กๆ ของนางเอาไว้ได้ทันก่อนจะที่ร่างเล็กจะหน้าคะมำลงไปจุมพิตพื้นดิน
"ระวังหน่อย"
พอร่างเล็กยืนได้มั่นคงแล้วเขาจึงเอ่ยเตือน เสียงค่อนข้างเข้มงวด ราวกับอาจารย์ดุศิษย์แสนซุกซน แต่เพียงชั่ววูบที่เขาเข้ามาใกล้ชิด หลินหลีฮวาคิดว่าตนเองเข้าใจไม่ผิด บุรุษผู้นี้เป็นมากกว่าท่านหมอหลวง!
"ข้าช่วยถือ"
ไม่ใช่การร้องขอ แต่เป็นการบอกกล่าว เพราะเมื่อกล่าวจบ ท่านหมอซ่งผู้นั้นก็ดึงเอาตะกร้าในมือของนางไปถือเสียเอง เป็นบุรุษที่ค่อนข้างเอาแต่ใจและเผด็จการผู้หนึ่งเลยทีเดียว
"ท่านหมอซ่งจะกลับเหยียนจิ่งวันใดหรือเจ้าค่ะ"
จากหยางโจวไปเหยียนจิ่งก็เดินทางร่วมหนึ่งเดือน ดังนั้นแต่ต้นจนจบเขามาและกลับคงกินเวลาสองเดือนเศษ พวกขุนนาง ถึงอีกฝ่ายจะเป็นเพียงหมอหลวงก็คงรั้งอยู่ต่างเมืองนานกว่านี้ไม่ได้ ยิ่งนางสอบถาม กับพี่ชายของร่างนี้เขาทั้งสองเป็นเพียงแค่สหายมิใช่เจ้านายหรือผู้ร่วมงานดังนั้นที่มาส่งเถ้ากระดูก ท่านหมอซ่งคงใช้วันลาส่วนตัวของเขาเองเป็นแน่ นางจึงถามเขาออกไปตามมารยาท
ฝ่ายของซ่งไป๋เซียวนั้นหลังจากที่รับรู้ว่าเด็กสาวคนนี้ไม่เหลือใครอีกแล้วเขาก็คิดทบทวนอย่างดีและถี่ถ้วนมาตลอดสามวัน แรกเริ่มเขาคิดจะพานางกับท่านย่าของนางกลับไปเหยียนจิ่งด้วย แต่มิคาดเลยว่าเมื่อมาถึงท่านย่าของสองพี่น้องแซ่หลินจะจากไปแล้วอีกคน การจะพาเด็กสาวไปอยู่กับเขาก็คงต้องทำอะไรให้ถูกต้อง ยิ่งต้องไปอยู่จวนเดียวกัน ยิ่งต้องจัดการให้ถูกต้องทุกทางจึงนับว่าเขาไม่ผิดต่อคำสาบานที่เขาได้ทำมันต่อหน้าศพของหลินู่เฟย
"หลินหลีฮวา ข้ามีเรื่องต้องพูดกับเจ้า"
หลังจากทั้งหมดเดินมาจนถึงเรือนหลังเล็กของหลินหลีฮวาแล้วพอเขาเอ่ยขึ้นมาเช่นนั้นเด็กสาวจึงหยุดฝีเท้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาของนางยังคงมีรอยแดงก่ำแต่ยังคงความเฉียบคมเช่นเดิม
"เช่นนั้นเชิญท่านหมอซ่งกล่าวมาเถอะ" ถึงจะมืดมากแล้วแต่หน้าเรือนคาดว่าเป็นอาต๋าที่มาจัดตะเกียงเอาไว้จึงไม่มืดจนมองอะไรไม่เห็น
"เข้าไปภายในเรือนเถอะ" ซ่งไป๋เซียวกล่าวจบเขาก็เดินนำเจ้าของเรือนตัวจริงเข้าไปด้านในเสียแล้ว หลินหลีฮวาถึงกับหรี่ตามองตาม บุรุษผู้นี้เป็นเผด็จการจริงเสียด้วย ถนัดออกคำสั่ง เป็นผู้นำ กิริยาเย็นชา รอบกายมีแต่กลิ่นอายสังหารไหนยังจะกิริยาตอบสนองว่องไว นี่มันเป็นหมอแน่หรือ?
"ข้าอยากรับผิดชอบเจ้า" คำพูดนั้นเปล่งออกมาชัดถ้อยชัดคำหลังจากทั้งสองเข้ามาอยู่ภายในโถงกลางของเรือน ที่มีเอาไว้ทั้งรับแขก และกินข้าว รวมถึงทำสิ่งต่างๆ
มือเรียวของหลินหลีฮวาชะงัก ก่อนจะเทน้ำชาใส่ถ้วยเลื่อนไปตรงหน้าของท่านหมอซ่ง ดวงตาของเด็กสาวหรี่แคบลงสามส่วนคล้ายกำลังประเมินคำว่า ‘ข้าอยากรับผิดชอบเจ้า‘ ที่บุรุษตรงหน้าเอ่ยออกมาให้กระจ่าง
"รับผิดชอบ? ข้าไม่เข้าใจ ท่านหมายความว่าอย่างไร?" สุดท้ายนางก็เลิกคาดเดาแล้วถามออกไปเลยย่อมดีกว่า
"แต่งงานกับข้า"
เพล้ง!
"!!!"
ซ่งไป๋เซียวเอ่ยตรงไปตรงมา ทำเอาถ้วยน้ำชาในมือของหลินหลีฮวาตกลงพื้น ก็จะไม่ให้นางตกใจได้อย่างไร หากเป็นร่างเดิมคือหลัวจือจื่อคงไม่แปลกเพราะร่างนั้นสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างนี้และขณะนี้อายุเพิ่งจะสิบสามปี!
"เจ้าตัวคนเดียว ไม่มีครอบครัว ไม่มีผู้ใดคอยดูแล พี่ชายของเจ้าจากไปแล้ว หากเจ้ายังอยู่ลำพังเช่นนี้ วันข้างหน้าอาจมีคนคิดร้าย เจ้าก็รู้ว่าหญิงสาวที่ไร้ญาติขาดมิตรในหมู่บ้านเล็ก ๆ เช่นนี้ มักตกเป็นเป้าของผู้ไม่หวังดีได้โดยง่าย"
หลินหลีฮวาเม้มริมฝีปากแน่น นางกำลังตกใจ แต่ก็เก็บอาการเอาไว้ได้ ผ่านไปครู่นางจึงรวบรวมสติกลับมั่นคงได้
"ข้าไม่ต้องการให้ใครรับผิดชอบ ข้าดูแลตนเองได้" สามเดือนเศษที่ผ่านมานางก็อยู่มาได้
"แต่ผู้เฒ่าในหมู่บ้านมิได้คิดเช่นนั้น"
"หมายความว่าอย่างไร?" นางถามเสียงเย็น
"พวกเขาพูดกับข้าว่าเป็นห่วงเจ้า แต่ก่อนทุกคนยังคิดว่าพี่ชายของเจ้ายังอยู่ถึงจะไกลแต่พี่ชายของเจ้าไปเป็นทหารย่อมไม่มีใครกล้าแตะต้องเจ้า แต่บัดนี้ไม่มีอีกแล้ว ทุกคนกังวลว่าเจ้าจะไม่ปลอดภัย"
ซ่งไป๋เซียวอธิบายจบจึงถอนหายใจก่อนจะกล่าวออกมาอีกหลายประโยค
"หัวหน้าผู้บ้านกับผู้อาวุโสอีกหลายคนก็บอกว่าหากเจ้ายังไม่มีสามี เกรงว่าคนในหมู่บ้านหรือพวกคหบดีในเมืองจะใช้เล่ห์กลมาบีบบังคับเจ้าให้แต่งงานกับคนที่เจ้าไม่ต้องการ และเมื่อถึงวันนั้น เจ้าอาจไม่มีทางเลือก"
หลินหลีฮวาเงียบไป นางย่อมรู้ดีว่าคำพูดของเขาไม่ผิด ยิ่งนางเติบโตขึ้นทุกวัน อันตรายยิ่งคืบคลานเข้ามาใกล้ขึ้นทุกขณะเช่นกัน
"ที่สำคัญข้าทราบมาว่าเจ้าอยากศึกษาวิชาปรุงโอสถและทำเครื่องหอมกับกำยาน ข้าเป็นหมอหลวง และสนิทกับท่านอาจารย์ในสำนักศึกษาหลวงที่เหยียนจิ่ง เจ้าอยากจะเข้าเรียนข้าช่วยเจ้าได้ หรือหากเจ้าไม่ต้องการไปเรียน ข้ายินดีสอนเจ้าด้วยตนเอง และหากเจ้าอยากเปิดร้านกำยาน ร้านเครื่องหอม ข้าก็จะสนับสนุนเจ้าทุกทาง"
ซ่งไป๋เซียวยังคงพูดชักหลินหลีฮวาจูงให้เด็กสาวคล้อยตาม บอกจากใจเขาทอดทิ้งนางให้อยู่ที่ถงหลัวเพียงลำพังไม่ลงจริงๆ หลินหลีฮวาเงียบเพราะคิดตรึกตรองอีกชั่วครู่ก่อนที่นางจะสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบา ๆ ว่า…
"ท่านหมอซ่ง ท่านรู้หรือไม่... ข้าเป็นตัวซวย แม้แต่นามของข้ายังมาจากคำว่าจากลาครั้งแรกข้ายังไม่เชื่อแต่พอวันนั้นที่ท่านกลับมาพร้อมโถกระดูกของพี่ใหญ่ข้าจึงเชื่อสนิทใจว่าข้าคงมีดวงพิฆาตญาติพี่น้อง"
ซ่งไป๋เซียวขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่นางยังคงพูดต่อไป
"ทุกคนที่ใกล้ชิดกับข้ามักพบจุดจบที่เลวร้ายท่านก็เห็นแล้วนี่"
นางหัวเราะเยาะตัวเอง
"พ่อแม่ของข้าตายไปตั้งแต่ข้ายังเด็ก จากนั้นก็เป็นท่านปู่ ท่านย่า แม้แต่พี่ใหญ่ที่รักข้ามากที่สุดก็จากข้าไปแล้ว เช่นนี้แล้วท่าน... ท่านยังกล้าแต่งกับข้าอีกหรือ?"
ซ่งไป๋เซียวมองดูเด็กสาวตรงหน้าอย่างเงียบงัน ก่อนกล่าวเสียงเรียบ
"ชีวิตของข้า อาลู่เป็นคนช่วยเอาไว้"
เขาหยุดเว้นระยะเล็กน้อยก่อนที่เขาเอ่ยต่อเสียงเรียบแต่หนักแน่น
"หากสุดท้ายข้าต้องตายเพราะเจ้าที่เป็นน้องสาวของเขา ข้าก็ยินดี เพราะนับจากวันที่อาลู่เอาชีวิตของเข้าปกป้องตายแทนข้า ชีวิตของข้าก็เป็นของเจ้าไปแล้ว"
คำพูดของเขาทำให้หลินหลีฮวาชะงักงัน หัวใจของนางสั่นไหวอย่างรุนแรง นางจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า แววตาของเขาแน่วแน่มั่นคง ไม่มีแววล้อเล่น ไม่มีความลังเล
"ท่านจะไม่เสียใจแน่หรือ?"
นางถามออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่มีล้อเล่น
"ข้ารู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรและตั้งใจแล้วว่าข้าขอใช้ร่างกายตอบแทนบุญคุณเจ้าไปชั่วชีวิต! "
ซ่งไป๋เซียวตอบกลับนางมาหนักและแน่วแน่ไม่ต่างกัน แต่อันใดคือข้าขอใช้ร่างกายตอบแทนบุญคุณ ฟังดูแล้วขัดหูพิลึก!
"และข้ามิได้แต่งกับเจ้าเพราะความสงสาร แต่เพราะข้าต้องการปกป้องเจ้า ให้เกียรติเจ้า สนับสนุนเจ้า ให้เติบโตขึ้นเป็นสตรีที่มีค่าดังที่อาลู่เขาพูดกับข้าอยู่บ่อยครั้ง"
หลินหลีฮวายังคงนิ่งเงียบ หัวใจของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน ข้อเสนอของเขาน่าสนใจมากจริงๆ ไปเหยียนจิ่ง ย่อมดูกว่าอยู่ที่หยางโจว
ซ่งไป๋เซียวจ้องมองนาง ก่อนเอ่ยเสียงอ่อนลงเล็กน้อย คล้ายกับเขาจะวิงวอนให้นางตอบตกลง บุรุษผู้นี้ยากแท้หยั่งถึงเสียจริง
"เจ้าจะลองเชื่อใจข้าสักครั้งได้หรือไม่?"
หลินหลีฮวาก้มหน้าลง ดวงตาของนางสะท้อนแสงวูบไหว ในที่สุด... นางก็เอ่ยตอบเบา ๆ
"ตกลง"
ผ่านไปอีกสองปีบรรยากาศในเรือนหลิงเซียวครึกครื้นเป็นพิเศษในวันนี้ ทุกผู้ทุกนามพร้อมหน้าพร้อมตากันราวกับจะเน้นย้ำความสุขสมบูรณ์ของครอบครัว เสียงหัวเราะและพูดคุยดังสลับกับเสียงหยอกล้อของเด็กหญิงตัวน้อยวัยสองขวบ ‘เสี่ยวจือจื่อ’ ที่วิ่งเล่นรอบ ๆ โต๊ะอาหาร ดวงตากลมโตสดใส ใบหน้าเล็กน่ารักเหมือนบิดาไม่มีผิด“เสี่ยวจือจื่อ อย่าวิ่งเร็วนัก เดี๋ยวจะล้ม!” อาหลีร้องเตือนด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าหวานคลี่ยิ้มบางเมื่อเห็นบุตรสาวหัวเราะอย่างสดใสเสี่ยวจือจื่อวิ่งถลาเข้ามาซุกในอ้อมกอดของอาหลัวที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ พลางหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน“อาหลัวเจี่ย เจี่ยพาข้าเล่นหน่อย” เสี่ยวจือจื่อออดอ้อนเสียงใสอาหลัวกอดหลานสาวแน่น “ได้สิ วันนี้วันเกิดหลีเจี่ย เสี่ยวจือจื่ออย่าดื้อรู้หรือไม่”นายหญิงโจวมองดูหลานและเหลนด้วยแววตาอ่อนโยน พลางถอนใจอย่างมีความสุข “เวลาเร็วเหลือเกิน อาหลีปีนี้อายุครบยี่สิบสองแล้วสินะ แต่ในสายตาแม่ เจ้ายังเด็กเหมือนวันแรกที่เข้ามาอยู่กับอาเซียวไม่มีผิด”อาหลีได้ยินก็หน้าแดงเล็กน้อย ขณะที่ไป๋เซียวซึ่งกำลังจัดบะหมี่อายุยืนลงในชามหัวเราะเบา ๆ“สำหรับข้า ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี อาหลีก็ยังเหมือนวั
ค่ำคืนวันปีใหม่ที่จวนฉางชิ่งโหวเต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่น เสียงประทัดดังก้องไปทั่วนครเหยียนจิ่ง เสียงหัวเราะพูดคุยภายในเรือนหลิงเซียวดังแว่วอย่างรื่นเริง โต๊ะกลมขนาดใหญ่เต็มไปด้วยอาหารนานาชนิด ส่งกลิ่นหอมกรุ่นอบอวลไปทั่วนายหญิงโจวนั่งประจำที่ ใบหน้าอ่อนโยนประดับด้วยรอยยิ้มเอ็นดู พลางมองไปที่ลูกหลานซึ่งนั่งล้อมรอบ ข้างกายนางคือไป๋ซั่วผู้สงบสุขุมดั่งเคย แม้ปีนี้อายุใกล้สามสิบแต่ยังดูแข็งแกร่งสง่างามถัดจากไป๋ซั่วคืออาหลีที่ท้องใหญ่ใกล้คลอดเต็มที ดวงหน้าของนางเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลมากขึ้นจากเดิมหลายส่วน ไป๋เซียวสามีของนางนั่งอยู่ติดกัน มือใหญ่คอยดูแลภรรยาไม่ห่างตลอดเวลาข้างอาหลีคืออาหลัวที่งดงามสดใสในวัยสิบหกปี สาวน้อยยังคงซุกซนไม่เปลี่ยนแปลง บนตักของอาหลัวมีเจ้าแมวดำ ‘อาจ้าน’ นอนส่งเสียงครางเบา ๆ อย่างสบายใจราวกับร่วมฉลองด้วย“หลีเจี่ย กินไก่ตุ๋นยาจีนอีกหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ข้าตักให้ท่านอีกชามแล้ว!” อาหลัวรีบส่งชามซุปให้พี่สาวบุญธรรมด้วยท่าทีเอาอกเอาใจเช่นเคยไป๋เซียวรีบขัดขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ “อาหลี เจ้ากินเนื้อปลานึ่งบ้างดีกว่า ข้าแกะก้างให้เจ้าแล้ว”อาหลีเห็นท่าทีแย่งชิงเอาใจของทั้งคู่ก็อดหั
หลังจากคืนนั้นผ่านไป ไป๋เซียวก็ตัดสินใจพาอาหลีอยู่พักผ่อนที่หยางโจว และเดินทางท่องเที่ยวเมืองใกล้เคียงอีกสองเดือนเต็ม ด้วยความหวังว่านางจะตั้งครรภ์ก่อนกลับเหยียนจิ่งตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ทุกค่ำคืนของทั้งคู่เต็มไปด้วยความรักที่ลึกซึ้ง ร้อนแรงราวกับคู่รักใหม่แต่ง ทั้ง ๆ ที่ผ่านการแต่งงานมานานถึงเจ็ดปีเข้าสู่ปีที่แปดแล้วเช้าวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิอันสดใส ที่ริมทะเลสาบซีหูในเมืองไห่โจว แสงแดดอ่อนโยนยามสายสาดส่องลงบนผิวน้ำจนเกิดประกายระยิบระยับงดงามจับตาภายในเรือนพักส่วนตัวริมทะเลสาบ ไป๋เซียวและอาหลีนั่งจิบชาด้วยกันหลังอาหารเช้า ดวงหน้าหวานของอาหลีดูสดใส มีน้ำมีนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนไป๋เซียวอดใจไม่ไหว จับมือเล็กขึ้นมาจุมพิตเบา ๆ ด้วยสายตาอ่อนโยน“ช่วงนี้เจ้าดูสดชื่นขึ้นมาก รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?” เขาถามด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน ดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใยอาหลีหน้าแดงเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเขินอาย “รู้สึกสบายตัวมากเจ้าค่ะ ข้าว่า… น่าจะใกล้ได้ข่าวดีแล้วกระมัง”ไป๋เซียวหัวเราะในลำคอเบา ๆ อย่างพึงพอใจ “เช่นนั้นข้าคงต้องขยันให้มากกว่าเดิมเสียแล้ว”“พี่เซียว!” อาหลีตีแขนเขาเบา ๆ ด้วยความเขินอาย “ท่าน
ยามเช้าของต้นฤดูใบไม้ผลิ แสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องลอดผ่านม่านไม้ไผ่บางของรถม้าที่กำลังมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก เสียงล้อรถบดไปตามทางดินเป็นจังหวะช้า ๆ บรรยากาศรอบด้านเงียบสงบ มีเพียงเสียงนกร้องแผ่วเบาและสายลมอ่อนที่พัดเอื่อยหลังจากโรงหมอเผิงไหลอี้เปิดให้บริการมาครึ่งปี ในที่สุดเทศกาลไหว้บรรพบุรุษของต้าฉู่ก็มาถึง ไป๋เซียวเห็นสมควรแล้วที่จะพาอาหลีกลับไปหมู่บ้านถงหลัว ที่เมืองหยางโจว เพื่อเคารพสุสานสกุลหลินตามที่ได้ให้สัญญาไว้เมื่อเจ็ดปีก่อนภายในรถม้า อาหลีนั่งพิงหน้าอกไป๋เซียวอย่างเงียบสงบ แม้จะแต่งงานกันมานานถึงเจ็ดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่คิดถึงบ้านเกิด หัวใจนางก็ยังรู้สึกโหวงเหวงอยู่เสมอ ยิ่งผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด ความทรงจำของ ‘อาหลี’ ก็ยิ่งแจ่มชัดและเป็นจริงมากขึ้น ขณะที่ภาพในอดีตชาติที่นางเคยเป็นท่านหญิงหลัวจือจื่อนั้นกลับค่อย ๆ เลือนรางไปตามกาลเวลา จนบัดนี้แทบจะกลายเป็นเพียงความฝันที่เลือนรางไปหมดแล้ว“เจ้าเป็นอะไรหรือ?” ไป๋เซียวเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน มือใหญ่ลูบแผ่นหลังนางเบา ๆ อย่างปลอบโยนอาหลีหลับตาพริ้ม ซบศีรษะลงกับอกอันอบอุ่นของเขา “ข้ากำลังคิดถึงพี่ใหญ่ คิดถึงท่านย่า ท่านปู่ ส่วนท่านพ่อ
เช้าวันใหม่มาเยือนมหานครเหยียนจิ่ง แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าสาดส่องลงบนถนนสายการค้าอันคึกคัก ผู้คนมากมายต่างพากันเดินจับจ่ายซื้อของ สองฟากถนนเต็มไปด้วยร้านรวงที่เริ่มเปิดประตูต้อนรับลูกค้า เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของชาวบ้านประสานกับเสียงเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ขายอย่างครึกครื้นมีชีวิตชีวาตรงหัวมุมถนนที่เชื่อมต่อกับตลาดกลาง จากพื้นที่โล่งกว้างที่เคยว่างเปล่า บัดนี้ถูกล้อมรอบด้วยรั้วไม้ไผ่สูงทึบ พร้อมป้ายประกาศขนาดใหญ่ที่เขียนด้วยลายมือประณีตสวยงามว่า‘สถานที่ก่อสร้างโรงหมอเผิงไหลอี้’ไป๋เซียวกับอาหลีมายืนดูการเริ่มต้นก่อสร้างโรงหมอด้วยกัน ไป๋เซียวอยู่ในชุดคลุมยาวสีแดงเข้มปักลายกิเลนเพลิง ดูสง่างามโดดเด่นจนผู้คนที่ผ่านไปมาต่างแอบชำเลืองมองด้วยความชื่นชม ส่วนอาหลีในชุดผ้าไหมสีชมพูอ่อนปักลายดอกจือจื่อขาว ใบหน้างดงามฉายแววตาตื่นเต้นและเปี่ยมไปด้วยความหวัง“พี่เซียว… ข้ายังแทบไม่อยากเชื่อเลย ว่าเราจะได้เริ่มก่อสร้างโรงหมอกันจริง ๆ เสียที” อาหลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตากลมโตเป็นประกายเจิดจ้าไป๋เซียวคลี่ยิ้มบาง ลูบเรือนผมนางเบา ๆ อย่างอ่อนโยน“ทุกอย่างล้วนเกิดจากความพยายามของเจ้า ข้าเพียงแค่คอย
วันเวลาหมุนผ่านไปตามครรลอง เผลอเพียงไม่นานกิจการร้านเครื่องหอมหลีฮวาเซียงก็เปิดมาได้แปดเดือนแล้วกิจการยิ่งนานยิ่งรุ่งเรืองทำกำไรงอกงาม ค่ำคืนต้นฤดูหนาวของต้าฉู่เวียนมาบรรจบอีกครั้งภายในห้องหนังสือของเรือนหลิงเซียว แสงตะเกียงนวลอ่อนสาดส่องกระทบใบหน้าหวานของอาหลีที่กำลังนั่งก้มหน้าจดรายละเอียดแผนการเปิดโรงหมอลงบนกระดาษ ดวงตากลมโตสุกใสเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ไป๋เซียวที่นั่งพิงพนักเก้าอี้ข้างกายนางด้วยท่าทีผ่อนคลาย จับจ้องภรรยาไม่วางตา“ข้าว่าคงต้องจ้างช่างก่อสร้างเพิ่ม เพราะอาคารต้องมีพื้นที่กว้างพอสำหรับห้องตรวจหลายห้อง อีกทั้งคลังยาและห้องพักฟื้นก็ต้องกว้างขวางพอให้คนไข้พักอาศัย…” อาหลีพึมพำกับตัวเองพร้อมจดบันทึกด้วยสีหน้าจริงจังเป็นที่สุดไป๋เซียวหัวเราะเบา ๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้ กระซิบข้างใบหูนางอย่างหยอกเย้า “เจ้าช่างขยันจริง ๆ”อาหลีสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นรินรดอยู่ข้างแก้ม ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อทันที นางหันมายิ้มบางๆ เอ่ยตอบเสียงหวาน “ก็ข้าต้องวางแผนให้ดี ท่านเป็นคนสอนข้าเองนี่เจ้าคะ”อยู่กับเขามาไป๋เซียวสั่งสอนให้หลายอย่าง อาหลีล้วนจำใส่ใจ