เวินเหลียงรีบแก้สถานการณ์โดยใช้ตะเกียบกลางคีบอาหารให้คุณปู่ “คุณปู่คะ ลองชิมมะเขือผัดเปรี้ยวหวานนี่สิคะ หนูทำเองกับมือเลยนะ เมื่อก่อนคุณปู่ชอบกินที่สุดเลย”คุณย่าก็สมทบอีกแรง “ดูสิ อาเหลียงยังจำได้ว่าคุณชอบ ฉันงอนแล้วนะ”“ยังเป็นอาเหลียงที่กตัญญู” คุณปู่ชายหยิบตะเกียบ พยักหน้าหัวเราะชอบใจ “ไม่เหมือนใครบางคนที่ไม่มีหัวใจ ดีแต่ทำให้ฉันโมโห ฉันว่านะ คงต้องให้ฉันโมโหตายก่อนเขาถึงจะพอใจ”ฟู่เจิงผู้ไม่มีหัวใจ “...”“คุณปู่คะ คุณปู่อย่าพูดอย่างนี้สิคะ คุณปู่ต้องอายุยืนร้อยปีแน่ค่ะ”พ่อแม่ของเวินเหลียงหย่ากันตั้งแต่ตอนที่เธอเด็กมาก เธอถูกตัดสินยกให้พ่อ แต่ถ้าจะพูดให้ถูกคือแม่ไม่ต้องการเธอ อย่างหลายปีมานี้ แม่ก็ไม่เคยมาเยี่ยมเธอสักครั้งพ่อทำงานยุ่งมาก ตอนแรกเธออยู่กับปู่ย่าที่บ้านนอก เพียงแต่ไม่กี่ปีให้หลังปู่กับย่าก็ทยอยจากไป พ่อจึงรับเธอมาอยู่ด้วยตอนที่เธออายุสิบหก พ่อก็จากไปเหมือนกัน เธอจึงตัวคนเดียวแล้วจริง ๆ กระทั่งคุณปู่ คุณย่าในตอนนี้รับตัวเธอมา มอบความอบอุ่น มอบบ้านอีกหลังให้เธอความทุกข์ที่ครอบครัวจากไปทีละคน เธอไม่อยากสัมผัสอีกไม่มีใครหวังให้คุณปู่สุขภาพแข็งแรงอายุยืนร้อ
ตอนบ่ายขณะที่ทั้งสองคนออกมาจากบ้านใหญ่แล้วระหว่างอยู่บนรถเวินเหลียงก็พูดขึ้น “คุณคงดูท่าทีของคุณปู่ออก เขาไม่สนับสนุนให้เราหย่ากัน หลังจากนี้คุณคิดจะทำยังไงคะ?”ฟู่เจิงมองไปนอกหน้าต่าง พลันถอนหายใจ “เราเอาใบสำคัญการหย่ามาก่อนก็ได้ ปิดคุณปู่เอาไว้ แล้วหลังจากนั้นค่อย ๆ บอกเขา”เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ เขาก็ยังเลือกที่จะทำแบบนี้อยู่ดี ไม่มีทีท่าจะเปลี่ยนความคิดแม้คุณปู่จะพูดจารุนแรงกับเขา แม้จะต้องปิดบังคุณปู่ ต่อต้านคุณปู่ก็ตามเวินเหลียงหายใจอย่างหนัก ทุกลมหายใจราวกับถูกมีดแทงเธอก้มหน้าแล้วส่ายหัวเงียบ ๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “โอเคค่ะ จะไปเอาใบสำคัญการหย่าเมื่อไรเหรอคะ?”ฟู่เจิงเลื่อนดูกำหนดการในโทรศัพท์ “หลายวันนี้ฉันค่อนข้างยุ่ง วันจันทร์หน้าก็แล้วกัน”“ได้ค่ะ”เห็นเวินเหลียงตอบอย่างไม่ลังเล ฟู่เจิงก็เม้มริมฝีปากแล้วมองเธอสองสามทีหากวิจารณ์อย่างไม่มีอคติ เวินเหลียงหน้าตาสะสวยเป็นอย่างมากหางตาดอกท้อเชิดขึ้น ดวงตาคมชัด บางครั้งก็ดูอ่อนโยนบางครั้งก็ดูดุเดือด ตอนที่ดูอ่อนโยนจะมีเสน่ห์แสนตรึงใจอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ผู้คนจมดิ่งลงไปอยู่ในนั้น ทว่าตอนที่ดูดุเดือดกลับมีคว
เมื่อเริ่มถ่ายทำโฆษณาอย่างเป็นทางการ เวินเหลียงมาถึงสตูดิโอก่อนเวลา เธอให้พนักงานที่เป็นลูกน้องจัดการสถานที่ไม่นานช่างภาพและช่างแต่งหน้าก็มาถึงตามลำดับ ทั้งสองคนนี้ล้วนเป็นพาร์ตเนอร์เก่าของเวินเหลียง ร่วมงานกันมาหลายปี เวินเหลียงเอ่ยมาคำเดียว พวกเขาก็เข้าใจทันทีว่าเวินเหลียงต้องการผลลัพธ์แบบไหนสถานที่จัดแต่งจนใกล้จะเสร็จ เวินเหลียงเหลือบดูนาฬิกาทีหนึ่ง จวนจะเก้าโมงแล้ว อีกครึ่งชั่วโมงจะถึงเวลานัด แต่ก็ยังไร้วี่แววของฉู่ซืออี๋และทีมของเธอผู้ช่วยมาเร่งเร้าไปรอบหนึ่งแล้วจูฝานช่างภาพขยับกล้องถ่ายรูปในมือเล่นไปมา พลางถอนหายใจก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ฉู่ซืออี๋นี่ช่างวางมาดใหญ่โตจริง ๆ”ถังซือซือช่างแต่งหน้าหัวเราะเยาะ แล้วพูดขึ้นว่า “ทำยังไงได้ ใครใช้ให้เขากลับมาจากเมืองนอกล่ะ? เขาอยากเล่นตัวแล้วพวกเราจะทำอะไรได้? จะไปไล่เขาออกได้ยังไง? อย่าว่าแต่พวกเราเลย ขนาดเวินเหลียงยังไม่มีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ”ใครไม่รู้บ้างว่าแอมบาสเดอร์คนนี้ประธานฟู่เป็นคนเลือกมาเองนอกเหนือเวลานี้เวินเหลียงในฐานะผู้จัดการแบรนด์ของเอ็มคิว ย่อมมีอำนาจในการสั่งเปลี่ยนคน แต่ว่าฉู่ซืออี๋คนนี้เธอเปลี่ยนไม่ได
เสร็จสิ้นการประชุมฟู่เจิงนั่งนวดคิ้วอยู่บนพนักพิงเก้าอี้ในจังหวะนี้เองเสียงริงโทนโทรศัพท์ก็ดังขึ้นฟู่เจิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองหน้าจอทีหนึ่งก่อนจะรับสาย “ฮัลโหล”“อาเจิง คุณอยู่ที่บริษัทหรือเปล่าคะ? ฉันจะไปหาคุณเดี๋ยวนี้”ฟู่เจิงมองปฏิทินบนโต๊ะ “วันนี้ถ่ายงานเสร็จเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”ฉู่ซืออี๋ทำทีอยากจะพูดแต่ก็ชะงักไป “วันนี้...วันนี้ไม่ได้ถ่ายค่ะ”“ไม่ได้ถ่ายงั้นเหรอ? ทำไมล่ะ?” ฟู่เจิงถามตอนที่เขาเพิ่งออกมาจากห้องน้ำ ยังเห็นห้องทำงานของเวินเหลียงถูกล็อกเอาไว้ เห็นชัดว่าออกไปทำงานข้างนอกทุกครั้งที่มีการถ่ายโฆษณา เวินเหลียงจะไปดูที่สถานที่ถ่ายทำในเมื่อวันนี้เธอก็ออกไปสตูดิโอ ทำไมถึงไม่ได้ถ่ายล่ะ?“ตอนที่เราไปถึงสตูดิโอ จู่ ๆ อาเหลียงก็บอกกับเราว่ามีเรื่องด่วนไม่ถ่ายแล้ว พูดจบเธอก็ออกไปเลย เราเองก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”“คงจะมีเรื่องอะไรด่วนจริง ๆ แหละมั้ง ไหน ๆ ก็ไม่ได้ถ่ายแล้ว คุณมาหาผมที่บริษัทสิ”ในสามปีนี้ ฟู่เจิงรู้ท่าทีในการทำงานของเวินเหลียงมาตลอดถ้าไม่ได้เกิดเหตุการณ์พิเศษขึ้นมาจริง ๆ เธอไม่มีทางบอกว่าไม่ถ่ายก็ไม่ถ่ายเด็ดขาดเมื่อได้ยินว่าในน้ำเสียงของ
ที่แท้ฟู่เจิงก็ตอบตกลงแล้วนี่เองทันใดนั้นเวินเหลียงก็รู้สึกน่าขันเป็นอย่างมากเพราะฉู่ซืออี๋ ฟู่เจิงถึงแทรกแซงเรื่องของเอ็มคิวครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะฉู่ซืออี๋ ฟู่เจิงจึงทำแผนของเธอพังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่ากลับให้เธอมาเก็บกวาดทุกสิ่งแผนของการตลาดในก่อนหน้านี้ก็เตรียมจะลงมือทำเรียบร้อยแล้ว แต่เพราะเปลี่ยนแอมบาสเดอร์เลยต้องกลายเป็นเศษกระดาษ เขาไม่เห็นว่าเธอลงทุนลงแรงไปเท่าไร ถึงจะรักษาสถานการณ์ในตอนนี้เอาไว้ได้เขาต้องการเพียงแค่เอาใจฉู่ซืออี๋ก็พอแล้วส่วนจะกลายเป็นเรื่องวุ่นวายหรือเปล่านั้น ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของเวินเหลียงแล้วเขาจะมาสนใจได้ยังไง?เมื่อถังซือซือได้ยินดังนั้น ก็ยิ่งรู้สึกว่าเกินไปแล้ว “ประธานฟู่ตกลงแล้วงั้นเหรอ? ประธานฟู่สนใจเรื่องเล็ก ๆ แบบนี้ด้วยเหรอ?”ฉู่ซืออี๋หัวเราะ “คุณถังเองก็รู้ว่านี่เป็นแค่เรื่องเล็ก เพราะงั้นอาเจิงถึงบอกให้ฉันเป็นคนตัดสินใจเองได้เลย”ถังซือซือ “คุณฉู่คะ ทุกคนต่างรู้ดีว่าเรื่องเล็กสำหรับประธานฟู่ที่จริงมันสำคัญมาก ๆ ในการถ่ายทำการแต่งหน้าและทรงผมสำคัญมาก หวังว่าคุณจะเข้าใจนะคะ ฉันแค่สงสัยในตัวประธานฟู่ ว่าทำไมถึงมาสนใจเรื่องแบบนี้ด้วย?
เวินเหลียงมองโทรศัพท์ที่อยู่บนพื้นอย่างแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ ยืนมองอยู่นานสองนานเธอถึงค่อย ๆ ก้มลงไปเก็บมือถือขึ้นมาเวินเหลียงไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวอีกต่อไปหัวใจของฟู่เจิงลำเอียงไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มีแต่จะลำเอียงไปทางฉู่ซืออี๋เรื่องเมื่อวาน ขอแค่ฟู่เจิงอยากรู้ความจริง ส่งคนไปสืบดูก็จะรู้แล้ว แต่เขาเชื่อคำพูดของฉู่ซืออี๋มากกว่าเท่านั้นนี่คือรักแรกที่ผู้ชายลืมได้ยากงั้นเหรอ?…“ผู้อำนวยการเวินคะ คุณถังกับคุณจูกำลังรอคุณอยู่ในห้องพักค่ะ”ผู้ช่วยเห็นเวินเหลียงยืนอึ้งอยู่ที่เดิม จึงเดินมาเตือนอย่างระมัดระวัง“โอเค ฉันรู้แล้ว” เวินเหลียงรีบเก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ ก่อนจะสาวเท้ายาวก้าวไปทางห้องพัก“เป็นยังไงบ้าง? ประธานฟู่ว่ายังไง?” เมื่อเห็นเวินเหลียงเข้ามา ถังซือซือก็รีบถามจูฝานเงยหน้ามองอย่างลุกลี้ลุกลนเวินเหลียงส่ายหน้าจูฝานถอนหายใจถังซือซือทอดถอนใจ “นึกไม่ถึงเลยจริง ๆ ทีแรกคิดว่าประธานฟู่คือถังไท่จง [footnoteRef:1]ใครจะไปรู้ว่าจะเป็นโจวโยวอ๋อง[footnoteRef:2]” [1: ถังไท่จง คือหนึ่งในจักรพรรดิที่สร้างชื่อเสียงในราชวงศ์ถัง สร้างคุณูปการให้กับ
คนขับรถชำเลืองมองฟู่เจิงผ่านกระจกหลังสองที ก่อนจะมองตามสายตาของฟู่เจิงออกไปนอกหน้าต่าง ทันใดนั้นตาทั้งสองพลันเบิกโพลง นั่นมันคุณผู้หญิงไม่ใช่เหรอ?แล้วผู้ชายที่อยู่ข้างคุณผู้หญิงเป็นใครกัน?สวมหมวกแก๊ปและหน้ากากอนามัย ปิดบังมิดชิดขนาดนั้น แถมยังปรากฏตัวในสตูดิโอ คงจะเป็นดาราคนหนึ่งใช่ไหม?ดูท่าทางแล้วผู้ชายคนนั้นสนิทสนมกับคุณผู้หญิงอยู่ไม่น้อยคนขับรถพูดกระซิบเตือน “คุณผู้ชายครับ คุณฉู่ออกมาแล้วครับ”ฟู่เจิงตอบกลับว่า “อืม” ด้วยน้ำเสียงที่ไม่หนักและไม่เบาทีหนึ่งคนขับรถชักไม่แน่ใจอยู่นิดหน่อยว่าเขาหมายความว่ายังไง“ขับรถไปหน้าประตูสตูดิโอ” ฟู่เจิงเอ่ยขับรถไปหน้าประตูสตูดิโองั้นเหรอ แบบนั้นจะไม่ถูกคุณผู้หญิงเห็นเข้าหรือยังไง?ในใจของคนขับรถกำลังไตร่ตรอง ทว่ายังคงเชื่อฟังคำสั่งของฟู่เจิง ขับรถไปที่หน้าประตูสตูดิโอระหว่างพูดคุยกัน โจวอวี่เชิดคางขึ้น “นั่นประธานฟู่ไม่ใช่เหรอ?”เวินเหลียงมองตามสายตาไป เห็นเพียงหน้าสตูดิโอมีรถยี่ห้อปอร์เช่รุ่นคาเยนน์สีดำคันหนึ่ง แล่นมาจอดอยู่ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ป้ายทะเบียนรถคันนั้นเป็นรถที่ฟู่เจิงใช้อยู่เป็นประจำ ฉู่ซืออี๋ยืนอยู่หน้ารถฟู่
ฟู่เจิงเงยหน้าขึ้น มองไปปราดเดียวก็เห็นเงาร่างของเวินเหลียงยืนอยู่หน้าประตูเธอยืนในทิศทางย้อนแสง สีหน้าคลุมเครือมองเห็นไม่ชัด ทว่าเขากลับมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่ง เธอกำลังมองเขาอยู่“บังเอิญเจอฉางคงตรงทางเดิน ก็เลยมาทักทายกับทุกคนสักหน่อย” ใบหน้าของเวินเหลียงแฝงรอยยิ้มเล็กน้อย พลางกวาดสายตาไปที่ทุกคนอย่างรวดเร็ว“มากินข้าวกับเพื่อนที่นี่เหรอ?” ฟู่เจิงถาม“อืม”เจียงมู่ยิ้มพร้อมถามขึ้นว่า “เวินเหลียง ช่วงนี้กำลังยุ่งอะไรอยู่เหรอ?”“แอมบาสเดอร์ของเอ็มคิวค่ะ”เจียงมู่อึ้งไป ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าตัวเองหยิบระเบิดขึ้นมาแล้วแต่เห็นได้ชัดว่าคนอื่นไม่รู้ ระเบิดลูกนี้นั้นหมายถึงฉู่ซืออี๋ เขาหัวเราะแล้วพูดขึ้น “แอมบาสเดอร์ก็อยู่นี่ไม่ใช่เหรอ?”เวินเหลียงยิ้มชืด ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปที่โต๊ะ แล้วหยิบแก้วเปล่าขึ้นมารินชาให้ตัวเอง “วันนี้ไหน ๆ ก็บังเอิญได้เจอกัน ฉันขอใช้ชาแทนเหล้าดื่มให้คุณทั้งสองคนนะคะ รบกวนแล้วนะคะ วันหน้าค่อยเลี้ยงข้าวทุกคนอีกครั้งก็แล้วกันนะคะ พี่รอง ฉันขอดื่มให้คุณด้วย”“พี่รอง” สองคำนี้ เธอเรียกอย่างชัดเจนเป็นพิเศษนับตั้งแต่ทั้งสองคนแต่งงานกัน ราวกับเวินเหลียงเธอไม่เ