เวินเหลียงรีบหลับตาลงโดยพลัน ทำทีแกล้งเป็นหลับจงมองไม่เห็นเธอ จงมองไม่เห็นเธอ จงมองไม่เห็นเธอ เธอแอบคิดอยู่ในใจทว่าร่างกายกลับสั่นหงึกเล็กน้อย เผยความรู้สึกของเธอออกไปอย่างสมบูรณ์โดยไม่ต้องสงสัยเลยเสียงฝีเท้าของชายหนุ่มใกล้เข้ามาเรื่อย ๆเขาเดินมาทางเตียงหัวใจของเวินเหลียงเต้นระรัวแทบจะหลุดออกมาอยู่แล้วทันใดนั้นเธอก็เย็นวาบไปทั้งตัว ผ้าห่มถูกเลิกออกเวินเหลียงตกใจจนแข็งทื่อไปในฉับพลัน เธอหลับตาปี๋ สองขาเหยียดตรง คิดอยู่ในใจเงียบ ๆ ฉันหลับอยู่ ฉันหลับอยู่ขอแค่ฉันไม่เห็นหน้าเขา เขาก็จะไม่ฆ่าฉัน“ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้หลับ ลืมตามามองฉันสิ ไม่งั้นข่มขืนเสร็จแล้วฆ่าทิ้งแน่” ชายหนุ่มกระซิบข้างหูเวินเหลียงในหัวของเวินเหลียงว่างเปล่า เธอลืมตาขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ฉันลืมตาแล้ว คุณอย่าฆ่าฉันนะ คุณอย่าฆ่า...”พูดไปได้ครึ่งหนึ่ง เธอเห็นใบหน้าของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างชัดเจนถ้าไม่ใช่ฟู่เจิงแล้วจะเป็นใครไปได้?สีหน้าของเวินเหลียงแข็งทื่อไปหมด บนดวงหน้ามีความกลัวอยู่เล็กน้อย ทำอะไรไม่ถูกนิดหน่อย และมีความอิหลักอิเหลื่อบางส่วนเธอลืมไปเสียสนิทว่าฟู่เ
เมื่อฉู่ซืออี๋เงยหน้าขึ้นมา เธอก็ตะโกนเรียกอย่างดีอกดีใจ “อาเจิง!”ฟู่เจิงสาวเท้ายาวก้าวเข้ามา ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป “ระวัง!”เวินเหลียงได้ยินเสียง เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็รู้สึกได้ว่ามีแรงมหาศาลมาผลักตัวเองออกไปเสียง “ตึง” ดังขึ้นเสียงหนึ่งชั้นวางของที่อยู่อีกด้านหล่นลงมาบนพื้น ส่งเสียงตึงออกมาเวินเหลียงล้มลงไปกองกับพื้น รู้สึกเพียงว่าข้อเท้าของตัวเองมีความเจ็บแปลบเสียดกระดูกแผ่ซ่านออกมา “ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า” ฟู่เจิงกอดฉู่ซื่ออี๋เอาไว้ พร้อมทั้งพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง“อาเจิง ฉันกลัวจะแย่อยู่แล้ว โชคดีที่คุณมาได้ทันเวลา โชคดีที่คุณมารับฉันเอาไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อกี้คุณดึงฉันไว้ ฉันคงถูกหล่นทับไปแล้ว” ฉู่ซื่ออี๋พิงอยู่ในอ้อมอกของฟู่เจิงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว“อันตรายมาก เมื่อกี้ชั้นวางของนี่อยู่ห่างเธอไม่กี่เซนติเมตร โชคดีที่ประธานฟู่มือไว”หวังเหยียนเดินเข้ามาพูด “ขอบคุณประธานฟู่มากจริง ๆ นะคะ ถ้าไม่ได้ประธานฟู่ ซืออี๋คงได้รับบาดเจ็บไปแล้ว”ภาพตรงหน้าบาดตาเวินเหลียงเป็นอย่างยิ่งเธอเย็นยะเยือกไปทั้งตัว กระทั่งไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ข้อเท้าเลย
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร เวินเหลียงตื่นมาท่ามกลางความมืด อย่างแรกที่สัมผัสได้คือได้กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเวินเหลียงลืมตาขึ้นมา มองไปรอบ ๆ เธอจึงรู้แล้วว่าตัวเองอยู่ในห้องพักผู้ป่วยที่โรงพยาบาล“เวินเหลียง เธอตื่นแล้วเหรอ? รู้สึกยังไงบ้าง?”เมื่อเห็นเวินเหลียงลืมตาขึ้นมา สิ่งที่เข้ามาในตาคือใบหน้าอันหล่อเหลาของฟู่เจิงมือของเวินเหลียงวางบนบริเวณท้องของตัวเองโดยไม่รู้ตัว“ค่อยยังชั่ว” เธอมองไปนอกหน้าต่าง ฟ้ามืดลงแล้วในจังหวะนี้เอง ก็มีเสียงจ๊อก ๆ ดังขึ้นมาจากท้องของเธอสองที“หิวแล้วใช่ไหม ฉันให้คนเอาของกินมาให้สักหน่อยดีไหม?”“กลัวว่าจะช้าเกินไป ตอนนี้ฉันหิวมาก ๆ คุณลงไปซื้อให้ฉันหน่อยได้ไหม?” เวินเหลียงเบือนหน้ามองเขาฟู่เจิงเพิ่งเคยเห็นเวินเหลียงทำสีหน้าเชื่อฟังและอ่อนโยนแบบนี้เป็นครั้งแรก เขาพยักหน้าตามสัญชาตญาณ “ได้ ฉันจะไปซื้อให้ เธออยู่ในห้องพักผู้ป่วยเพียงลำพังก็ระวังด้วยนะ มีเรื่องอะไรก็เรียกพยาบาล ห้ามลุกจากเตียงตามอำเภอใจเป็นอันขาด”เวินเหลียงพยักหน้าหลังฟู่เจิงออกไป เวินเหลียงรีบกดกริ่ง ไม่นานก็มีพยาบาลเดินเข้ามา “คนไข้อยากได้อะไรเหรอคะ? หรือว่าไม่สบายตัวตรงไหนหรือเปล่า
เพื่อหลีกเลี่ยงความลำบากในการขึ้นลงบันได เธอจึงอยู่ในห้องนอนบนชั้นสองตลอดโดยไม่ออกมาจากห้องเลยหากจะกินข้าวก็ให้แม่บ้านเอาขึ้นไปให้เธอในขณะนี้เวินเหลียงกำลังง่วนอยู่กับการจัดการงาน เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู เธอก็นึกว่าเป็นแม่บ้านที่เอาข้าวมาให้ จึงพูดโพล่งออกไปว่า “วางไว้บนโต๊ะก่อนเลยค่ะ เดี๋ยวฉันค่อยกิน”“กินข้าวก่อนแล้วค่อยทำงานเถอะ ไม่เสียเวลาเท่าไรหรอก” น้ำเสียงของฟู่เจิงแว่วดังมาเมื่อเวินเหลียงเงยหน้าขึ้น ถึงได้เห็นว่าฟู่เจิงเป็นคนเอาอาหารมาให้เธอ “คุณเลิกงานแล้วเหรอ”“อืม”เวินเหลียงปิดโน้ตบุ๊กลง ฟู่เจิงเอาอาหารไปวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าเวินเหลียง จากนั้นก็ลงไปกินข้าวรอเมื่อเธอกินข้าวเสร็จแล้ว เขาถึงขึ้นมาเก็บถ้วยชามและตะเกียบให้เวินเหลียงอีกครั้งขณะที่ขึ้นมาอีกครั้ง ในมือของฟู่เจิงมีกระเป๋าอเนกประสงค์เพิ่มขึ้นมาหนึ่งใบ ข้างในใส่ยาบางส่วนของเวินเหลียงเอาไว้ในนั้นไม่ได้มีเพียงยาที่ทางโรงพยาบาลสั่งมาให้เท่านั้น ยังมียาบรรเทาอาการ “กระเพาะอาหารแปรปรวน” ด้วยเห็นฟู่เจิงหยิบยาเหล่านั้นออกมาทีละซอง ๆ ในใจของเวินเหลียงก็เต้นตึกตัก ๆ นิ้วมือจับชายเสื้อเอาไว้แน่นฟู่เจิงหยิบขวด
“ผมจะพยายามกลับมา” ฟู่เจิงเอ่ย“คุณฉู่เป็นอะไรเหรอ?” เวินเหลียงรวบรวมพลังใจถามขึ้นมาในใจของเธอมีการคาดเดาเอาไว้ตั้งนานแล้ว ฟู่เจิงไปคราวนี้ไม่กลับมาอย่างแน่นอน เหมือนอย่างเมื่อวานไม่รู้ว่าฉู่ซืออี๋เรียกเขาไปด้วยเหตุผลอะไร? ตั้งสองวันติดต่อกันแล้วฟู่เจิงหันหลังกลับไปมองเธอ พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “เวินเหลียง ก่อนหน้านี้คุณไม่เคยถามมากมายขนาดนี้เลยนี่”เวินเหลียงสีหน้าซีดขาว “ฉันเจ็บเท้ามาก ๆ คุณช่วย...”“อาการบาดเจ็บที่เท้าคุณก็ไม่ได้รุนแรงอะไร มีเรื่องอะไรก็เรียกแม่บ้าน”น้ำเสียงของฟู่เจิงเย็นชา เขาเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมาเวินเหลียงมองเงาเบื้องหลังของเขา ในใจขมขื่นสุดขีดเธอสลัดศักดิ์ศรีอันแข็งแกร่งของเธอออกมาอย่างยากลำบาก เผยให้เห็นความอ่อนโยนเล็กน้อย ทว่าเขากลับบอกว่าเธอเรื่องมากในตอนที่คนคนหนึ่งไม่สนใจใยดีคุณ ต่อให้คุณจะเผยความอ่อนแอออกไปมากแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์เดิมทีเขาอยากจะหย่าอยู่แล้ว เธอมีสิทธิ์อะไรไปถาม?เธอเลอะเลือนไปเอง แค่ฟู่เจิงเอายาให้เธอกิน เธอก็ลุ่มหลงจนไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครไปแล้วหาเรื่องใส่ตัวอีกแล้วแต่สิ่งที่ทำให้เวินเหลียงนึกไม่ถึงเลยก็คือ ก
“นี่ยังเรียกว่าไม่รุนแรงอีกเหรอ? ทำอีท่าไหนถึงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้?”“อาจเป็นเพราะฉันโชคร้ายเอง ช่วงนี้ดวงตกนิดหน่อยน่ะ” เวินเหลียงพูดไปพลางหัวเราะ“นี่ สองสามวันนี้ที่ฉันหยุดพัก แม่ฉันจะไปวัดพอดีเลย หรือให้เขาช่วยขอยันต์ป้องกันภัยมาให้เธอสักผืนดีไหม?”“ดีแน่นอน!” เวินเหลียงสลับมาใช้กล้องหน้า“นี่ ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนเหรอ? ในเมื่อเธอมาไม่ได้ ให้ฉันไปเยี่ยมเธอแทนดีไหม? เธออยากกินอะไร? ฉันจะได้ซื้อติดไม้ติดมือไปให้เธอสักหน่อย สะดวกไหม?” โจวอวี่แสร้งถามเปรย ๆเวินเหลียงกับโจวอวี่เป็นเพื่อนเล่นในวัยเด็กกันก็จริง ทว่าเพิ่งโคจรกลับมาเจอกันอย่างเป็นทางการเมื่อปีที่แล้วนี่เอง และเป็นเพราะเหตุผลด้านการทำงานของโจวอวี่ที่ยุ่งผิดปกติ เจอกันส่วนตัวเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง แทบจะทุกครั้งล้วนแล้วแต่นัดกันทานข้าวข้างนอก หรือไม่เวินเหลียงก็ไปเยี่ยมพ่อแม่ของโจวอวี่ที่บ้านโจวอวี่ กลับกันโจวอวี่ไม่รู้สถานการณ์ทางฝั่งของเวินเหลียงเลย รู้เพียงแค่ว่าเธอถูกตระกูลฟู่รับไปเลี้ยงเมื่อโจวอวี่เสนอว่าจะมาเยี่ยมเธอ แน่นอนว่าเวินเหลียงย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว ถึงยังไงตอนนี้ฟู่เจิงก็ไม่อยู่บ้านสักหน่อยเธอยิ้มพร้อมทั้ง
เวินเหลียงกลับไปห้องนอนอีกครั้งเพื่อนอนกลางวันบ่ายสามกว่า ๆ ฟู่เจิงก็กลับมาจากข้างนอกด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง เขาตรงดิ่งเข้าไปในห้องครัว แล้วรินน้ำให้ตัวเองแก้วหนึ่ง หลังจากนั้นก็ชำเลืองไปเห็นกองของขวัญที่อยู่ตรงมุมห้องครัวอย่างไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะถามขึ้นว่า “ป้าหวัง วันนี้มีคนมาเหรอ?”ป้าหวังตอบไปตามความจริง “เพื่อนของคุณผู้หญิงค่ะ”ป้าหวังทำท่าเหมือนอยากจะพูดต่อแต่ก็ชะงักไปฟู่เจิงมองเธอ “แล้วยังไงต่อ?”“คุณผู้หญิงให้ฉันเรียกเธอว่าคุณหนูต่อหน้าเพื่อนของเธอ”ฟู่เจิงขมวดคิ้วเข้าหากัน “เพื่อนของคุณผู้หญิงเป็นผู้ชายเหรอ?”“ใช่ค่ะ”ในใจของฟู่เจิงมีลางสังหรณ์ว่า เพื่อนที่มาบ้านในวันนี้คือคนที่เวินเหลียงชอบถึงขั้นเสแสร้งว่ายังไม่ได้แต่งงานต่อหน้าคนคนนั้น ดูท่าเวินเหลียงคงชอบเขามากจริง ๆ เดาว่าคงกลัวคนคนนั้นจะรังเกียจเธอเพราะฐานะการแต่งงานครั้งที่สองของเธอฟู่เจิงบีบแก้วน้ำพลางดื่มน้ำไปหนึ่งอึก แล้วถามต่อว่า “ผู้ชายคนนั้นเป็นยังไงบ้าง? ผมหมายถึงรูปร่างหน้าตา”“เหมือนจะเป็นดาราดังคนหนึ่งที่อยู่ในทีวีนะคะ”ป้าหวังไม่ค่อยได้ดูละครเรื่องใหม่ ๆ มากนัก รู้สึกแค่ว่าคุ้นหน้าคุ้
แต่ในตอนนี้คล้ายกับเธอไม่อยากฟังคำอธิบายของเขาแล้วในเมื่อเป็นคนที่กำลังจะหย่ากันแล้ว เขาอธิบายไปแล้วจะมีความหมายอะไร? ไม่ช้าก็เร็วเขากับฉู่ซืออี๋ก็คบกันอยู่ดีเพียงแต่เป็นปัญหาของเวลาเท่านั้น“เธอว่ามาสิ”“พรุ่งนี้หลังเราหย่ากันแล้ว ฉันอยากลาออก”เมื่อสิ้นเสียง ภายในห้องนอนก็เงียบกริบอยู่หลายนาทีผ่านไปนานสองนาน ฟู่เจิงถึงถามขึ้นว่า “เวินเหลียง เธอแน่ใจนะ? ว่าเธออยากลาออก?”“ค่ะ” เวินเหลียงพยักหน้าอย่างจริงจัง“เธออยากลาออกไปทำอะไร? ผู้จัดการแบรนด์ของเอ็มคิวไม่ดีเหรอ?” ฟู่เจิงขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจ“ฉันอยากจะลาออกไปทำอะไร ฉันมีแผนของตัวเองอยู่แล้ว ในหนังสือสัญญาหย่าคุณทิ้งเงินเอาไว้ให้ฉันเยอะแยะขนาดนั้น ฉันยังจำเป็นต้องไปทำงานอยู่อีกเหรอ?” ฟู่เจิงอดไม่ได้ที่จะขำพรวดออกมาเหตุผลนี้อยู่เหนือความคาดหมายของเขานิดหน่อยสองสามปีที่เข้ามาอยู่ในตระกูลฟู่ คุณปู่คุณย่าเอ็นดูเธอเป็นอย่างมาก เงินค่าขนมที่ให้เธอพอจะทำให้เธอใช้ชีวิตได้อย่างสบาย ๆ โดยไม่ต้องทำงานทว่าเวินเหลียงก็ขยันขันแข็งมาตลอดไม่เหมือนคนที่ชอบเอาแต่นั่งกินนอนกินเลยสักนิด“ถ้าเธอไม่บอกแผนของเธอให้ชัดเจน ฉันก็จะไม่มีวั