เวินเหลียงกอดโทรศัพท์มือถือ ปวดใจจนหายใจไม่ออกที่แท้พอฟู่เจิงลงจากเครื่องบินก็พาฉู่ซืออี๋ไปเจอกับเพื่อนของเขานี่เองพวกเขารู้และอวยพรกันทุกคนมีแต่เธอที่ถูกครอบอยู่ในกะลาและสามปีมานี้ การแต่งงานของพวกเขา มีแต่คนตระกูลฟู่ที่รู้เขาไม่เคยพาเธอไปเจอเพื่อนของเขาเลย แม้ว่าจะเจอบ้าง แต่ทุกคนต่างก็คิดว่าเธอเป็นลูกบุญธรรมตระกูลฟู่โดยปริยาย“คุณผู้หญิงครับ?”คนขับรถมาถึงโรงจอดรถเพื่อมาเป็นสารถี เห็นรถของเวินเหลียงยังอยู่จึงเรียกด้วยความสงสัยเวินเหลียงปาดน้ำตาอย่างว่องไว ทำเป็นไม่ได้ยินและสตาร์ตรถออกไปทันทีเวินเหลียงจะไม่ใช้อารมณ์ส่วนตัวในการทำงานตอนนี้เธอจึงได้แต่ใช้การทำงานเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองเมื่อเวินเหลียงหาอีเมลของฟู่เจิงพบ จึงอัพโหลดแผนงานลงในอีเมลแล้วกดส่งแพล็บเดียวฟู่เจิงก็ตอบกลับสั้นกระชับเหมือนทุกที ‘ผ่าน หลังจากนี้เธอคอยจับตาดูให้มากหน่อยแล้วกัน’เวินเหลียงหยุดชะงักครู่หนึ่ง พิมพ์คำว่า ‘ได้’ ส่งไปแล้วมอบหมายงานอย่างรวดเร็วหลังจากเลิกงานตอนเย็น เวินเหลียงก็ได้รับข้อความจากฟู่เจิง ‘คืนนี้มีธุระ เธอกลับไปก่อน’เวินเหลียงเม้มริมฝีปาก ในใจเกิดความรู้สึกเจ็
เวินเหลียงรู้สึกแสบบริเวณปลายจมูก ภาพตรงหน้าถูกปกคลุมด้วยม่านน้ำตา หัวใจทุกข์ระทมขื่นขมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเธอไม่เคยเห็นท่าทางอ่อนโยนอย่างนี้ของฟู่เจิงเลย แต่งงานกันสามปีเขามักเมินเฉยใส่เธอเสมอเธอมักปลอบใจตัวเองว่าเขาเป็นคนอย่างนี้เองโกหกจนแม้แต่ตัวเองเธอก็ยังเชื่อเวลานี้เธอเห็นแล้วว่าเขาก็อ่อนโยนเป็นเหมือนกัน เพียงแค่มอบให้กับผู้หญิงอีกคนหนึ่งเท่านั้นพวกเขาเดินผ่านหน้ารถของเธอไป เขาไม่ได้สังเกตว่านั่นคือรถของเธอ และแน่นอนว่าไม่เคยสังเกตตัวเธอเช่นกัน“คุณผู้หญิง กลับมาแล้วเหรอคะ กลางคืนจะกิน...”แม่บ้านเห็นหยดน้ำตาบนใบหน้าของเวินเหลียงแวบ ๆ ยังไม่ทันพูดจบก็เห็นเธอเข้าห้องนอนไปเลย จึงไม่กล้าถามอีกเวินเหลียงทรุดหลังพิงกับประตู ลำคอรู้สึกถึงรสชาติขมเฝื่อนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดหลังจากอดกลั้นมาทั้งวันในที่สุดเธอก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไป ม่านน้ำตาเอ่อขึ้นมาในเบ้าตาอย่างรวดเร็ว มันมากเสียจนล้นออกมาจากขอบตาและไหลลงตามพวงแก้มเธอปวดหัวใจมาก ปวดมากจริง ๆหลังจากที่พ่อแม่แยกทางกัน เธอก็ทนรับกับความทุกข์ของครอบครัวพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวมากพอแล้ว เธอจึงไม่อยากให้ลูกของเธอต้องเป็นเหมือนกั
พอพี่ลี่ผู้จัดการส่วนตัวของหลินเยียนหรันได้ยินเสียงของเวินเหลียงก็โวยวานมาเป็นชุดด้วยความโมโห “ผู้อำนวยการเวิน ถ้าพวกคุณคิดว่าฐานะของเยียนหรันไม่คู่ควรกับฟู่ซื่อของพวกคุณก็บอกมาตรง ๆ เยียนหรันไม่ใช่ว่าต้องทำกับพวกคุณให้ได้! ตอนนี้ ฉันปัดงานแบรนด์แอมบาสเดอร์ของที่อื่นไปหมดแล้ว แต่พวกคุณดันกลับคำพูดจะเปลี่ยนตัวเยียนหรัน ปั่นหัวพวกเราเล่นอยู่หรือยังไง? เรื่องนี้ พวกคุณต้องให้คำอธิบายกับเยียนหรันนะ!”เวินเหลียง “พี่ลี่ พี่ใจเย็นก่อนนะคะ แบรนด์แอมบาสเดอร์ที่เรากำหนดก็คือเยียนหรัน จะเปลี่ยนตัวเธอได้ยังไง?”“เฮอะ? คุณยังไม่รู้อีกเหรอ? หัวหน้าแผนกประชาสัมพันธ์ของพวกคุณโทรมาบอกเองว่าจะเปลี่ยนคน!”เวินเหลียงชะงัก “พี่ลี่ ฉันจะไปถามเรื่องนี้ให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้ และจะให้คำอธิบายกับเยียนหรันแน่นอนค่ะ”หลังจากวางสายโทรศัพท์ เวินเหลียงก็หน้าตึง ลุกขึ้นยืนแล้วตรงดิ่งไปแผนกประชาสัมพันธ์ ส้นสูงใต้เท้าดังตึก ๆหลังจากเข้าฟู่ซื่อสามปี อู๋หลิงก็หาเรื่องเธอไม่น้อย“จะมีเรื่องสนุกให้ดูแล้วสิ” พนักงานเห็นเธอเดินไปฉับ ๆ ก็กระซิบกระซาบกัน “ผู้อำนวยการอู๋แผนกประชาสัมพันธ์ไม่ถูกกับผู้อำนวยการเวินของเราตลอด
ฟู่เจิงมองเธอด้วยใบหน้าปราศจากอารมณ์ แล้วมองอู๋หลิงอีกที พร้อมแผ่รังสีเย็นชาอันเย็นเฉียบออกมาจากทั่วร่าง “พวกคุณอารมณ์ดีจังเลยนะ ในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการ กลับทะเลาะวิวาทต่อหน้าพนักงาน พวกคุณทำตัวเป็นแบบอย่างกันอย่างนี้เหรอ? เห็นบริษัทเป็นสถานที่อะไร?” พนักงานทุกคนรีบหดคอ ได้แต่แอบชำเลืองเล็กน้อยอู๋หลิงพูดเหตุผลอย่างมั่นใจ “ประธานฟู่ ฉันทำงานอยู่ดี ๆ จู่ ๆ ผู้อำนวยการเวินก็เข้ามาเอะอะโวยวาย แล้วยังตบฉันแบบไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดี คนแบบนี้จะเป็นผู้จัดการแบรนด์ได้ยังไงคะ...”สายตาของฟู่เจิงจ้องไปยังร่างของเวินเหลียง น้ำเสียงเย็นชา “ขอโทษซะ”เวินเหลียงสูดลมหายใจเข้าลึก กำหมัดที่ทิ้งตัวแน่น ๆ “หลังจากผู้อำนวยการอู๋ขอโทษฉันแล้ว ฉันก็จะขอโทษเขาเองนั่นแหละ!”เป็นถึงผู้อำนวยการแต่ตบหน้าคนในบริษัท เธอทำไม่ถูก แต่ก็ไม่นึกเสียใจเธอจะรับผลที่ตามมาแต่อู๋หลิงต้องขอโทษเธอก่อนอู๋หลิงมองไปทางฟู่เจิงแบบน้อยเนื้อต่ำใจ “ประธานฟู่ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไรผิด...”เวินเหลียงกำลังจะค้าน แต่ฟู่เจิงพูดแทรกฉับพลัน “ขอโทษ!”น้ำเสียงแข็งกร้าว ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธเวินเหลียงแหงนหน้ามองอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เธอกลืนน้ำลายลงแรง ๆ ข่มความขมเฝื่อนในลำคอ “แต่ภาพลักษณ์ของฉู่ซืออี๋ไม่เข้ากับธีมผลิตภัณฑ์” ฉู่ซืออี๋ทำงานอยู่เมืองนอกสไตล์โก้หรู“นี่เป็นเรื่องของเธอ ไม่ใช่เรื่องของฉัน” ฟู่เจิงพูด “ฉันรู้ว่าเธอต้องมีวิธีแน่นอน แบรนด์แอมบาสเดอร์นี้สำคัญกับซืออี๋มาก ดังนั้นเธอต้องติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ”เวินเหลียงตัวชาไปหมด ผิวหน้าแข็งทื่อ ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดีฟู่เจิงให้ความสำคัญกับความสามารถของเธอขนาดนี้ แต่กลับผลักรักแรกของเขามาให้ภรรยาตัวจริงอย่างเธอด้วยความโหดเหี้ยมฟู่เจิง คุณเห็นฉันเป็นตุ๊กตาดินปั้นจริง ๆ เหรอ เสียใจเจ็บปวดไม่เป็นใช่ไหม?“ได้ ฉันจะพยายามสุดความสามารถแน่นอนค่ะ” ภายในลำคอของเวินเหลียงเหมือนมีเศษแก้วที่แตกระเนระนาดเกลื่อนพื้น แหบแห้งเต็มประดา ต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดในการเปล่งแต่ละคำ……ในห้องน้ำเวินเหลียงอาเจียนแห้งไม่หยุด กลับไม่มีอะไรออกมาเลยเธอลูบท้องน้อยและปลอบลูกในท้องกระจกตรงหน้าสะท้อนภาพผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งมีสีหน้าซีดขาว ขอบตาแดงระเรื่อเวินเหลียงวักน้ำเย็นล้างหน้าอย่างต่อเนื่องไม่เป็นไร...ไม่เป็นไรก็แค่ให้ฉู่ซืออี๋เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์เองไม่ใช
สามปีก่อน ฟู่เจิงเคยพาฉู่ซืออี๋กลับบ้านใหญ่ตอนนั้นเธอยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ ทั้งที่มหาวิทยาลัยห่างจากบ้านใหญ่มาก แต่เธอก็เดินทางกลับไปทุกวัน ซึ่งสาเหตุที่ทำก็เพื่อจะได้ไม่พลาดการมาเป็นครั้งคราวของเขาวันนั้นเธอไม่พลาดเธอเห็นฟู่เจิงแนะนำฉู่ซืออี๋กับทุกคนในฐานะแฟนสาวเห็นพวกเขาโอบกอดจูบกันที่สวนหลังบ้านกับตาเธอคิดว่าชาตินี้คงได้แต่มองดูเขาอยู่ไกล ๆ แล้ววันที่แต่งงานกับฟู่เจิง เธอยังถึงกับนึกว่าตัวเองกำลังฝันในเมื่อเป็นความฝัน ก็ต้องตื่นขึ้นสักวันและฉู่ซืออี๋ก็คือคนนั้นที่ปลุกเธอหัวใจเวินเหลียงพลันเกิดความเจ็บถี่ยิบ ก่อนจะยิ้มบางตอบ “ไม่เจอกันนานเลยนะคะ คุณฉู่เฉิดฉายน่าประทับใจกว่าเดิม”เวลานี้ เธอคงเรียกคำว่า ‘พี่สะใภ้รอง’ ไม่ออกอีกแล้วฉู่ซืออี๋ยิ้มพูด “ขอบใจนะ เธอก็เหมือนกัน จริงสิ อาเหลียง เธอชอบซีดีลายเซ็นของแอลเอกซ์ไหม? เมื่อก่อนเคยได้ยินว่าเธอชอบแอลเอกซ์ เขาเป็นเพื่อนที่ฉันรู้จักตอนอยู่เมืองนอกพอดี กลับมาเที่ยวนี้เลยให้เขาเซ็นชื่อของเธอให้เป็นพิเศษเลยนะ”เวินเหลียงเหมือนถูกสายฟ้าฟาดผ่าเดี๋ยวนั้น เธอที่ไม่ว่าเจอกับเรื่องอะไรจะรักษาสีหน้าได้เสมอ วินาทีนี้กลับเหม่อ
ตอนนี้ไม่ใช่แค่คนของฟู่ซื่อหน้าตึงแล้ว แม้แต่คนของทีมฉู่ซืออี๋ก็เริ่มปั้นหน้าไม่ถูกเหมือนกัน ผู้ช่วยแอบกระตุกแขนเสื้อของหวังเหยียนใต้โต๊ะหวังเหยียนกลับเชิดหน้าเหมือนเดิม“ความหมายของหัวหน้าหวังคือ ประธานใหญ่ฟู่ไม่ได้เห็นแก่มิตรภาพเก่าก่อน เห็นแต่ผลประโยชน์เหรอคะ?” เวินเหลียงใจเย็นโต้กลับหวังเหยียนหน้าแข็งทื่อ “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”ตอนนี้เอง ประตูห้องวีไอพีเปิดออก ฟู่เจิงเดินเคียงข้างฉู่ซืออี๋เข้ามาผู้ชายหน้าตาหล่อเหลา ชาติตระกูลมีฐานะ ผู้หญิงรูปโฉมสวยหวาน ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน พอยืนอยู่ด้วยกันแล้วก็ชวนให้คนอิจฉาถ้วนหน้าผู้จัดการผลิตภัณฑ์กระเถิบมาทางเวินเหลียง กระซิบ “ประธานฟู่กับคุณฉู่เหมาะสมกันจริง ๆ ดูท่าเราจะได้เถ้าแก่เนี้ยเพิ่มมาอีกคนแล้วนะคะ”เวินเหลียงเจ็บแปลบในใจ หน้าซีดฉีกยิ้ม พลางลุกขึ้นยืนต้อนรับพวกเขาสองคนนั่ง“ประธานฟู่ให้เกียรติจริง ๆ มาค่ะ เชิญนั่งทางนี้ ซืออี๋ เธอก็นั่งด้วยสิ” หวังเหยียนชิงตัดหน้าเวินเหลียง จัดแจงให้ฟู่เจิงนั่งกับฉู่ซืออี๋คนที่เหลือก็ลุกขึ้นยืนต้อนรับด้วย“นั่งลงเถอะ”รอจนฟู่เจิงเอ่ยปาก ทุกคนถึงจะนั่งลงเหมือนเดิมบรรยา
“ไม่”ฟู่เจิงพิงพนักเก้าอี้ นวดระหว่างคิ้ว ปิดคอมพิวเตอร์แล้วลุกขึ้นยืน “ไปกันเถอะ”พอกลับถึงบ้าน คนรับใช้ก็เตรียมมื้อค่ำไว้แล้วหลังจากกินมื้อค่ำแบบเรียบง่าย ฟู่เจิงก็เข้าไปทำงานต่อในห้องทำงานอีกเวินเหลียงนั่งดูโทรทัศน์ที่ห้องรับแขกพักหนึ่ง เทน้ำอุ่นให้ตัวเอง แล้วหยิบยาจากลิ้นชักออกมากินพร้อมกับน้ำอุ่น“เธอกำลังกินยาอยู่เหรอ? เป็นอะไรไป? ไม่สบายเหรอ?”เสียงฟู่เจิงดังมาจากข้างหลังกะทันหันเวินเหลียงหัวใจหล่นตุบ หันไปมองเขาและตอบแบบใจเย็น “ช่วงนี้ท้องไส้ไม่ค่อยดีค่ะ”ฟู่เจิงเดินเข้ามาหา เทน้ำให้ตัวเองแก้วหนึ่ง “ไปหาหมอที่โรงพยาบาลหรือยัง?”เขานึกถึงข้ออ้างของเวินเหลียงบนโต๊ะอาหารตอนกลางวัน แต่ก็ไม่ได้สงสัยอะไร“หามาแล้วค่ะ”“งั้นก็ดี ร่างกายตัวเอง ต่อไปก็ต้องดูแลเองดี ๆ”ได้ยินถ้อยคำเป็นห่วงเป็นใยจากเขา เวินเหลียงผงกศีรษะเล็กน้อย ทว่าในใจกลับรู้สึกปวดร้าว……เช้าตรู่ เวินเหลียงถูกเสียงโทรศัพท์รบกวนจนตื่นเธอลืมตาที่ขมุกขมัวทั้งสองข้างพลางควานหาโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะหัวเตียง แล้วมองหน้าจอแวบหนึ่งก่อนจะรับสาย “ฮัลโหล”เสียงร้อนรนของผู้ช่วยดังมาจากปลายสาย “ผู้อำนวยการเวิน แ