สายลมหนาวพัดโชยเข้ามาจากหน้าต่างห้องพักผู้ป่วยสุริยะพ่อของพราวตะวันนอนอยู่บนเตียง ร่างกายที่เคยแข็งแรงบัดนี้ซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าซีดเซียวจนแทบไม่มีสีเลือด
ท่ามกลางเสียงเครื่องช่วยหายใจที่ดังสม่ำเสมอแต่กลับฟังดูน่าหวาดหวั่น พราวตะวันนั่งจับมือพ่อแน่น น้ำตาที่รื้นขึ้นมาคลอเบ้าถูกปาดทิ้งอย่างรวดเร็ว เธอจ้องมองแผงหน้าปัดที่แสดงคลื่นหัวใจของพ่อซึ่งเต้นอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ
นายแพทย์ธีระเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียดกว่าทุกครั้ง คุณหมอหันมามองพราวตะวันด้วยแววตาเห็นใจ
“หนูพราวสุริยะอาการทรุดหนักลงกว่าเดิมมากนะ ถ้าไม่ได้รับการผ่าตัดด่วนและใช้เครื่องพยุงหัวใจที่ดีที่สุด โอกาสที่จะรอดชีวิตมีน้อยมาก” คำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจพราวตะวัน ร่างกายของเธอชาไปทั้งตัว
“ค่าใช้จ่าย” เธอพึมพำน้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องค่าใช้จ่ายแล้วหนูพราว” นายแพทย์ธีระกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“มันคือเรื่องเวลาถ้าตัดสินใจช้ากว่านี้อาจจะไม่ทัน” พราวตะวันหันไปมองหน้าอรัญญาผู้เป็นแม่ที่นั่งร้องไห้อยู่ข้าง ๆ แม่พยักหน้าให้เธออย่างช้า ๆ น้ำตาไหลพราก ดวงตาอ้อนวอนราวกับจะบอกว่า
“พ่อไม่มีเวลาแล้ว” อรัญญาเอ่ยขึ้นมาเสียงแผ่วทั้งน้ำตา เธอหลับตาลง ภาพใบหน้าของพ่อผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ใบหน้าของชายที่เลี้ยงดูเธอมาด้วยความรักชและความเสียสละทุกอย่าง
เสียงสะอื้นของแม่ดึงเธอกลับมาสู่โลกแห่งความจริงไม่มีทางเลือกอีกแล้ว พราวตะวันกัดริมฝีปากแน่นจนได้รสเค็มปร่าของเลือด ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความฝันและความสดใส บัดนี้กลับฉายแววความมุ่งมั่นที่ผสมผสานกับความเจ็บปวดอย่างไม่อาจแยกออกได้
พราวตะวันเดินออกมาจากห้องพักผู้ป่วยด้วยก้าวที่หนักอึ้ง เธอเดินตรงไปยังห้องทำงานของนายแพทย์ธีระโดยมีอคิณยืนรออยู่ก่อนแล้วในชุดสูทสีเข้ม
ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉย ทว่าแววตาคมกริบของเขากลับจับจ้องมาที่เธออย่างไม่วางตา พราวตะวันรู้สึกถึงแรงบีบคั้นในอกแต่เธอก็พยายามเชิดหน้าขึ้นสูงสง่า แม้ภายในใจจะเจ็บปวดรวดร้าวเพียงใด
“ฉันตกลง” พราวตะวันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้หนักแน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทว่าก็ยังคงมีบางสิ่งที่สั่นเครืออยู่
อคิณไม่ตอบอะไร เพียงพยักหน้าเบา ๆ พราวตะวันรู้สึกว่าท่าทางของเขาราวกับว่าเขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าเธอจะต้องยอมรับข้อเสนอ
“แต่มีเงื่อนไข” พราวตะวันกล่าวต่อทันทีดวงตาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขาอย่างไม่ยอมแพ้
“ผมฟังอยู่ครับ” อคิณตอบเสียงเรียบสีหน้ายังคงนิ่งเฉย
“ฉันจะแต่งงานกับคุณ เพื่อรักษาชีวิตพ่อของฉัน” พราวตะวันกล่าวเน้นย้ำทุกคำให้ชัดเจน
“แต่คุณจะไม่มีวันได้อะไรจากฉันเด็ดขาด ทั้งร่างกายและหัวใจของฉันจะเป็นของคนที่ฉันรักเท่านั้น คุณก็แค่ผู้ชายเจ้าชู้ที่หลงตัวเองและฉันจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้คุณเกลียดฉัน จนกว่าคุณจะทนไม่ไหวและยอมหย่ากับฉันเอง” เธอตอกย้ำด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวเต็มไปด้วยความขยะแขยงและความโกรธที่ปะปนกันไป
อคิณยืนนิ่งงันไปชั่วขณะหลังจากได้ยินคำประกาศกร้าวของพราวตะวัน แววตาคมกริบของเขาที่เคยสงบนิ่ง
แววตาของความผิดหวังและความเจ็บปวดที่พยายามจะเก็บซ่อนไว้ เขามองใบหน้าสวยที่เต็มไปด้วยความรังเกียจและความเกลียดชังของเธอ หัวใจของเขาที่แอบเก็บความรู้สึกดี ๆ ที่มีต่อเธอมาตั้งแต่แรกเห็นถูกบดขยี้อย่างโหดร้าย
“ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณ” อคิณกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนอย่างน่าประหลาดใจ
“ผมรู้ว่าคุณเจ็บปวด และการแต่งงานครั้งนี้อาจดูเหมือนการบีบบังคับสำหรับคุณ” พราวตะวันแค่นหัวเราะในลำคอ
“คุณจะเข้าใจอะไรในเมื่อคุณไม่ได้เป็นคนที่จะต้องแลกชีวิตพ่อด้วยการแต่งงานกับคนที่ไม่รัก”
อคิณไม่ตอบโต้คำพูดที่เจ็บแสบนั้น เขายังคงมองเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละ
“ผมอาจจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ผมรู้ว่าผมต้องการคุณและผมจะไม่มีวันยอมแพ้” พราวตะวันเบิกตากว้างเล็กน้อยกับคำพูดที่ตรงไปตรงมาของเขา เธอคิดว่าเขาจะโกรธหรือตอบโต้แต่เขากลับแสดงออกถึงความเข้าใจแทน
“คุณคิดว่าคุณจะทำให้ฉันรักคุณได้เหรอคะคุณอคิณ” พราวตะวันถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“คุณคงไม่รู้ว่าฉันเกลียดคุณมากแค่ไหน”
“ผมจะทำให้คุณรู้” อคิณตอบกลับ ดวงตาคมกริบของเขาสะท้อนภาพของเธอ
“ผมจะทำให้คุณเชื่อใจผมและรักผมให้ได้ ผมจะพิสูจน์ตัวเองให้คุณเห็น ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน” คำพูดของเขาหนักแน่นมั่นคง ราวกับคำสัตย์ปฏิญาณที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง พราวตะวันรู้สึกถึงพลังบางอย่างจากแววตาและน้ำเสียงของเขาที่ไม่สามารถปฏิเสธได้
หลังจากการสนทนาอันตึงเครียด อคิณเดินเข้ามาใกล้พราวตะวันช้า ๆ กลิ่นกายสะอาดผสมกับกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ของเขาโชยมาแตะจมูกเธอ ทำให้เธอต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยอัตโนมัติ
“เตรียมตัวสำหรับการแต่งงานเถอะครับพราว” อคิณกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ แววตาของเขามีประกายบางอย่างที่พราวตะวันอ่านไม่ออก
“เรื่องพิธีการทั้งหมด ครอบครัวผมจะจัดการให้เรียบร้อย ส่วนคุณแค่เตรียมตัวให้พร้อม” พราวตะวันกำหมัดแน่นพยายามควบคุมอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน
“อย่าหวังว่ามันจะเป็นงานแต่งงานที่มีความสุขเลยค่ะ” เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“คุณจะได้เห็นเองว่ามันจะกลายเป็นฝันร้ายของคุณ”
อคิณยิ้มมุมปากเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นไม่ได้แสดงความยินดี แต่กลับแฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่นและท้าทาย
“คุณคงยังไม่รู้จักผมดีพอพราว” อคิณกล่าว
“ผมจะทำให้คุณรักผมให้ได้ต่อให้ต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม” เขาก้าวผ่านเธอไป โดยไม่รอฟังคำตอบใด ๆ พราวตะวันยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มองแผ่นหลังกว้างของอคิณที่เดินจากไปอย่างองอาจ ภายในใจของเธอเหมือนมีไฟลุกโชนขึ้นมา นี่ไม่ใช่แค่การแต่งงานแต่เป็นสงครามที่เธอจะต้องเอาชนะให้ได้ เพื่ออิสรภาพและศักดิ์ศรีของเธอเอง
"ไม่มีทางที่ฉันจะรักคนแบบคุณ" พราวตะวันพึมพำกับตัวเอง เสียงนั้นแทบจะไม่ได้ยินแต่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวที่พร้อมจะต่อสู้ เธอรู้ดีว่าหนทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่เธอจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาดเธอจะทำให้เขายอมแพ้และยอมปล่อยเธอไปให้ได้
ตอนที่ 12 ยิ่งพยายามใกล้ยิ่งห่างไกล อคิณกลับเข้ามาในห้องทำงานด้วยสีหน้าอ่อนล้าจากการประชุมที่ยาวนานกว่าที่คิด เขามองไปที่พราวตะวันที่กำลังยืนอยู่ริมหน้าต่าง ใบหน้าของเธอหันออกไปมองทิวทัศน์ข้างนอก แต่แววตาของเธอกลับว่างเปล่า ราวกับว่าความคิดของเธอกำลังล่องลอยไปในที่ไกลแสนไกล อคิณเดินเข้ามาใกล้เธอช้าๆ เขารู้สึกผิดที่บังคับเธอให้มารอเขาประชุม “ผมขอโทษนะครับพราว ที่ทำให้คุณต้องรอนาน” อคิณกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พราวตะวันไม่ตอบอะไร เธอยังคงนิ่งราวกับว่าไม่มีใครอยู่ในห้องกับเธอ ราวกับว่าการมีตัวตนของเขาไม่มีผลอะไรต่อเธอเลยแม้แต่น้อย อคิณถอนหายใจเบาๆ เขาเดินเข้าไปใกล้เธอมากขึ้นแล้วเอื้อมมือไปจับมือของเธอไว้เบาๆ “ผมรู้ว่าคุณโกรธ แต่ผมขอโทษได้ไหม” พราวสะบัดมือของเขาออกอย่างแรง “ฉันไม่ได้โกรธ แต่ฉันรำคาญที่ต้องอยู่ใกล้ๆ คุณอย่างนี้และยิ่งตอนนี้ฉันก็ยิ่งไม่อยากอยู่ใกล้ๆ คุณ” “ผมรู้ว่าคุณรำคาญผมแต่ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมไม่ได้อยากทำให้คุณอึดอัด” อคิณบอกกับเธอ อคิณเงียบไปชั่วขณะ เขามองพราวตะวันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด และตัดพ้อ “พราวคุณไม่เคยคิ
ตอนที่ 11 โรคจิต สุริยะพ่อของเธอกำลังนอนพักฟื้นอยู่ในห้องพิเศษยิ้มกว้างด้วยความดีใจที่ได้เห็นลูกสาวและลูกเขยมาเยี่ยม “พ่อดีใจมากที่พราวมาหาพ่อ ไม่ได้เจอกันหลายวันเป็นไงบ้างลูกอยู่กับอคิณ” สุริยะพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข “ก็ไม่มีอะไรพิเศษค่ะ แต่วันนี้พราวเห็นพ่อดีขึ้นพราวก็ดีใจแล้วค่ะ แล้วแม่ไปไหนคะพราวคิดถึง” พราวตะวันถามหาแม่พร้อมกับมองไปรอบๆ เพื่อหาแม่ของเธอ “แม่ไปซื้อของน่ะลูก เพิ่งออกไปน่าจะอีกเป็นชั่วโมงกว่าจะกลับ” สุริยะพูดกับพราวตะวันก่อนจะหันไปหาอคิณยิ้มๆ ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความสุขใจ “อคิณ ขอบใจมากนะลูกที่ดูแลพราวแทนพ่อ” “ไม่เป็นไรเลยครับคุณพ่อ” อคิณยิ้มอบอุ่นและอ่อนโยน “ดูแลพราวเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ” คำพูดของอคิณทำให้พราวตะวันรู้สึกได้ว่าเขาจะอบอุ่นและแสนดีไปไหนทั้งๆ ที่เขารู้อยู่แล้วว่าเธอไม่มีทางรักเขาได้ พราวตะวันอยู่คุยกับพ่อสักพักก่อนจะกลับเพราะอคิณมีประชุมด่วนเข้ามา “พราวเราต้องกลับกันแล้ว คุณพ่อครับผมต้องพาพราวกลับบ้านแล้วนะครับ เพราะมีประชุมด่วนเข้ามา ไว้ผมจะพาพราวมาหาบ
ตอนที่ 10 ความจริงที่ถูกซ่อน เสียงนกเจื้อยแจ้วปลุกพราวตะวันให้ตื่นจากภวังค์ เธอยังคงสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่หลงเหลือบนหมอนข้างที่ใช้กอดเมื่อคืน ความรู้สึกปลอดภัยที่อ้อมกอดของอคิณมอบให้ยังคงหลงเหลืออยู่ในความรู้สึกของเธอ พราวตะวันโกรธตัวเองที่เผลอไผลไปกับสัมผัสของเขา ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีตีวนอยู่ในอก ความดีที่เขาแสดงออกตลอดมาสวนทางกับภาพลักษณ์เสือผู้หญิงที่เธอปักใจเชื่อ “พราวแกจะมาเห็นใจเขาง่ายๆ อย่างนี้ไม่ได้นะ แกต้องแข็งแกร่งเข้าไว้” พราวตะวันพึมพำกับตัวเอง เพราะเธอไม่อยากให้ความรู้สึกอ่อนไหวไปกับการกระทำแค่นี้ของเขาไม่ได้ไม่เช่นนั้นแผนการทั้งหมดของเธอก็จะพังทลายลง ในเช้าวันนั้น อคิณกำลังจะออกไปทำงานตามปกติ พราวตะวันลงมายังห้องอาหารด้วยสีหน้าเรียบเฉย เธอยังคงรักษาระยะห่างจากเขาเหมือนเดิม แต่สายตาของเธอก็มีเผลอมองเขาอยู่บ่อยครั้ง อคิณเองก็เช่นกัน เขามองเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและอ่อนโยนที่มันออกมาจากใจของเขาจริงๆ “วันนี้ผมต้องเข้าโรงพยาบาลทั้งวัน” อคิณกล่าวขึ้นมาขณะจิบกาแฟ “ถ้าคุณมีอะไรก็เรียกคนใช้หรือว่าโทรหาผมได้ตลอดเลยนะ ไม่ต้องเกรง
ตอนที่ 9 ไฟดับพายุฝนโหมกระหน่ำลงมาอย่างหนักตั้งแต่หัวค่ำ เสียงฟ้าร้องครืนครืนตามมาด้วยแสงฟ้าผ่าแปลบปลาบ ทำให้บ้านทั้งหลังมืดสนิทในพริบตา เมื่อกระแสไฟฟ้าดับลงอย่างกะทันหันพราวตะวันที่กำลังเดินอยู่ในห้องโถงกรีดร้องออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ เธอเป็นคนกลัวความมืดและเสียงฟ้าฝนที่กระหน่ำลงมายิ่งทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวจับใจทันใดนั้นเองมือหนาก็เอื้อมมาคว้าแขนของเธอไว้ อคิณจุดเทียนไขหลายเล่มที่วางเตรียมไว้ทั่วบ้าน ทำให้บ้านแสงสลัวของเปลวเทียนเป็นสิ่งเดียวที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด เขาเห็นใบหน้าของพราวตะวันที่ซีดเผือดและดวงตาที่ฉายแววหวาดกลัวอย่างชัดเจน“คุณกลัวความมืดเหรอพราว” อคิณถามเสียงนุ่มน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใยพราวตะวันสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของเขา เธอไม่ชอบให้ใครเห็นความอ่อนแอของตัวเอง“เปล่า ฉันไม่ได้กลัว” เธอตอบเสียงแข็ง พยายามซ่อนความสั่นเทาในน้ำเสียง“แค่ตกใจนิดหน่อย”อคิณไม่ได้เซ้าซี้อะไร เขาจูงมือเธอให้เดินตามเขาไปยังห้องนั่งเล่นที่มีโซฟาตัวใหญ่และผิงไฟที่ยังคงให้ความอบอุ่นเขาจุดเทียนเพิ่มอีกสองสามเล่ม เพื่อให้ห้องสว่างขึ้นเล็กน้อย พราวตะวันนั่งลงบนโซฟาอย่างเงียบ
ตอนที่ 8 ฟิล์มผู้ห่างเหินหลังจากเหตุการณ์ในห้องนอน พราวตะวันรู้สึกสับสนและว้าวุ่นใจมากขึ้นกว่าเดิม เธอพยายามสลัดภาพและสัมผัสจากอคิณออกไปจากหัว แต่ก็ทำไม่ได้ หนทางเดียวที่จะยืนยันว่าเธอไม่ได้หวั่นไหวคือการยึดมั่นใน ฟิล์ม เธอจึงพยายามติดต่อเขาให้มากขึ้น หวังว่าจะได้ระบายความอึดอัดในชีวิตคู่ที่อ้างว้างนี้ข้อความแล้วข้อความเล่าถูกส่งไปหาฟิล์ม เล่าถึงความทุกข์ใจ การถูกบีบบังคับและความรู้สึกโดดเดี่ยวที่ต้องเผชิญ ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมานั้นช้าลงเรื่อย ๆ และมักจะมาพร้อมข้ออ้างเดิม ๆ"พี่กำลังเรียนหนักมากเลยพราว""วันนี้มีงานกลุ่มด่วน พี่ต้องรีบส่ง" หรือแม้แต่"พราวอย่าคิดมากสิ พี่ช่วยอะไรไม่ได้อยู่แล้ว"พราวตะวันกุมโทรศัพท์แน่น ดวงตาจับจ้องหน้าจอที่ว่างเปล่า ความผิดหวังเล็ก ๆ น้อย ๆ เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ คนที่เธอเคยคิดว่าเป็นที่พึ่งเดียวในชีวิต กลับดูห่างเหินและไม่สนใจความทุกข์ของเธอเลยแม้แต่น้อย เธอเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังพูดอยู่กับกำแพง ยิ่งเธอบอกเล่าความเจ็บปวดมากเท่าไหร่ ฟิล์มก็ยิ่งดูห่างไกลออกไปเท่านั้นค่ำวันหนึ่งสุริยะและอรัญญาพ่อและแม่ของพราวตะวัน พร้อมด้วยพราวฟ้าน้องสาวของเธอ ได
ตอนที่ 7 หึงหวงชุดราตรีสีน้ำเงินเข้มขับผิวขาวผ่องของพราวตะวันให้โดดเด่น เธอยืนอยู่ข้างอคิณในงานเลี้ยงการกุศลที่จัดขึ้นอย่างหรูหราผู้คนมากมายเดินสวนกันไปมา เสียงดนตรีบรรเลงเบา ๆ คลอเคล้ากับเสียงหัวเราะและบทสนทนา อคิณในชุดสูทสีดำสนิทดูสง่างามและเป็นที่สนใจของสาว ๆ ทั่วทั้งงานแต่เขากลับไม่เคยละสายตาจากพราวตะวันเลยแม้แต่น้อย“ยิ้มหน่อยสิครับพราว คุณดูเครียดไปนะ” อคิณกระซิบข้างหูเธอ เสียงทุ้มต่ำของเขาทำให้พราวตะวันรู้สึกขนลุกซู่ เธอปั้นหน้ายิ้มออกมาอย่างฝืน ๆ“ฉันไม่ชอบงานแบบนี้ค่ะ มันน่าเบื่อ” เธอตอบเสียงเรียบ“แต่คุณก็ต้องร่วมงานสังคมบ้างในฐานะภรรยาของผม” อคิณกล่าว เขาเอื้อมมือมาโอบเอวเธออย่างเป็นธรรมชาติ สัมผัสอุ่นร้อนจากฝ่ามือเขาที่แนบชิดกับผิวของเธอทำให้พราวตะวันรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว เธอพยายามปัดมือเขาออก แต่เขากลับกระชับวงแขนแน่นขึ้นเล็กน้อย“คุณรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ ผมขอไปคุยกับเพื่อนสักครู่” อคิณที่เห็นว่าพราวตะวันไม่ชอบการที่มีคนเยอะ ๆ เขาจึงไม่พาเธอไปคุยกับกลุ่มเพื่อนของเขาเลยให้เธอยืนรอเงียบ ๆ คนเดียวในขณะที่อคิณเดินไปหาเพื่อน ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่งก็เดินตรงเข้ามาหาพ