แสงแดดอ่อนยามบ่ายสาดส่องกระทบใบหน้าของพราวตะวัน ทำให้รอยยิ้มของเธอดูกระจ่างสดใสเป็นพิเศษ วันนี้คือวันจบการศึกษาของเธอ ท่ามกลางเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเพื่อนฝูงที่กำลังฉลองกันอย่างคึกคัก พราวตะวันหันไปคุยกับ กานต์ เพื่อนสนิท และพราวฟ้า น้องสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกล ดวงตาคู่สวยเปล่งประกายด้วยความสุขที่เปี่ยมล้น
“ในที่สุดก็จบสักทีกานต์ พราวฟ้า ต่อจากนี้ฉันก็จะทำงานเก็บเงินอย่างที่ฝันไว้แล้วรอพี่ฟิล์มกลับมาสร้างครอบครัวด้วยกัน” พราวตะวันกล่าวด้วยน้ำเสียงมีความสุขล้นปรี่ โลกทั้งใบของเธอเต็มไปด้วยภาพอนาคตที่สดใสกับชายที่เธอรักหมดหัวใจ
กานต์อดแซวไม่ได้ “แหม ตอนนี้ก็เหมือนรอเจ้าชายกลับมาแต่งงานเลยนะแก”
พราวตะวันหัวเราะเบา ๆ แก้มใสขึ้นสีระเรื่อ
“ก็ใกล้แล้วล่ะ เราคุยเรื่องอนาคตกันไว้เยอะเลย ทั้งเรื่องบ้าน เรื่องงาน เรื่องลูก เขาบอกว่าจะดูแลฉันไปตลอดชีวิตเลยนะ” เสียงของเธอเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นและเปี่ยมสุข
พราวฟ้าเข้ามากอดพี่สาวแน่น “ดีใจด้วยนะพี่พราว ชีวิตพี่กำลังจะไปได้สวยเลย นี่แหละที่พราวฟ้าอยากเห็นที่สุด”
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังยิ้มแย้มยินดี เสียงโทรศัพท์ของพราวตะวันก็ดังขึ้น หน้าจอแสดงชื่อแม่ของเธอ น้ำเสียงปลายสายที่รับฟังนั้นฟังดูตื่นตระหนกและสั่นเครือจนเธอรู้สึกใจหายวาบ
“พราวรีบมาที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลยนะลูก พ่ออาการไม่ดีเลย”
โลกทั้งใบของพราวตะวันพังทลายลงอย่างไม่เหลือชิ้นดีในพริบตา เมื่อเธอมาถึงโรงพยาบาล ภาพแรกที่เห็นคือแม่ที่กำลังทรุดตัวร้องไห้อย่างหนักอยู่บนเก้าอี้ พยาบาลหลายคนกำลังวิ่งวุ่นและใบหน้าของนายแพทย์ที่เดินออกมาจากห้องฉุกเฉินนั้นดูหนักใจอย่างเห็นได้ชัดจนเธอรู้สึกเหมือนหัวใจหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“โรคหัวใจกำเริบอย่างรุนแรงครับ ต้องใช้เครื่องพยุงหัวใจและทำการรักษาเร่งด่วน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดค่อนข้างสูงนะครับ”
คำพูดของหมอเหมือนค้อนทุบลงกลางศีรษะ พราวตะวันหันไปมองแม่ที่ส่ายหน้าน้ำตาไหลเป็นทางไม่หยุด “ไม่รู้ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้พร้อม ๆ กัน ธุรกิจที่ลงทุนไปก็ขาดทุนยับเยิน ตอนนี้เราไม่มีเงินเหลือเลยลูก ไม่มีแม้แต่บาทเดียวที่จะรักษาพ่อ”
พราวตะวันรู้สึกหัวใจหล่นวูบไปถึงตาตุ่มอีกครั้ง เธอเพิ่งจะวาดฝันอนาคตอย่างสวยงามอยู่แท้ ๆ แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับกลายเป็นสีดำมืด ไม่มีเงินรักษาพ่อ
ชีวิตที่เคยวาดฝันไว้พังทลายลงในพริบตา ความรู้สึกโดดเดี่ยวและไร้ทางออกถาโถมเข้าใส่ เธอเดินเข้าไปนั่งข้างเตียงพ่อที่นอนหมดสติอยู่ด้วยความสิ้นหวัง มือเรียวสั่นเทาเอื้อมไปกุมมือหยาบกร้านของพ่อไว้แน่น ใบหน้าซีดเซียวของพ่อแทบจะกลืนไปกับผ้าปูที่นอน เสียงเครื่องพยุงหัวใจดังเป็นจังหวะหนักอึ้งชวนใจหาย
“พ่อต้องไม่เป็นอะไรนะ” เธอพึมพำกับตัวเองเสียงสั่นเครือ
ในขณะที่ทุกคนกำลังหมดหวัง ประตูห้องพักผู้ป่วยก็เปิดออก พร้อมกับชายร่างสูงสองคน นายแพทย์ธีระผู้เป็นพ่อของอคิณและชายหนุ่มอีกคนที่มีใบหน้าคมคายทว่าสงบนิ่งจนอ่านไม่ออกอย่างอคิณ วรวิชญ์ ทายาทโรงพยาบาลที่เธอเคยได้ยินแต่ข่าวลือด้านลบ
นายแพทย์ธีระเดินเข้ามาหาพราวตะวันด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา แต่ก็แฝงความจริงจัง
“หนูพราวลุงได้ข่าวก็รีบมาดูเลยนะ” เขามองไปที่สุริยะพ่อของพราวตะวันที่นอนอยู่บนเตียงอย่างห่วงใย ก่อนจะหันมามองพราวตะวันอีกครั้ง
“ลุงยินดีที่จะช่วยค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการรักษาสุริยะและจะดูแลจนกว่าเขาจะหายดี”
คำพูดของเขาเหมือนแสงสว่างจ้าที่ปลายอุโมงค์ พราวตะวันมองเขาด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างท่วมท้น เธอแทบจะทรุดตัวลงกราบ แต่แสงสว่างนั้นก็ดับลงอย่างรวดเร็วเมื่อเธอได้ยินประโยคต่อมา น้ำเสียงของนายแพทย์ธีระแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นเล็กน้อย
“แต่มีข้อแลกเปลี่ยนเล็กน้อย ลุงอยากให้หนูแต่งงานกับลูกชายของลุง ตามสัญญาที่ลุงกับพ่อหนูเคยให้ไว้เมื่อครั้งยังหนุ่ม เพราะลุงเองก็อยากให้อคิณเป็นฝั่งเป็นฝาและมีทายาทสืบสกุลเสียที”
พราวตะวันช็อกจนพูดไม่ออก ลมหายใจสะดุดไปชั่วขณะ เธอเหลือบไปมองอคิณที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่มองมาที่เธอด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา นิ่งเฉยราวกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติสามัญ และการแต่งงานคลุมถุงชนนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของธุรกิจไม่ใช่ชีวิตของเธอ
พราวตะวันปฏิเสธในทันทีด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวและเจ็บปวด “ไม่ค่ะ!!! หนูแต่งงานกับเขาไม่ได้”
นายแพทย์ธีระดูเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ดีแต่ก็พยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง
“เราอยากให้หนูกับอคิณได้รู้จักกันและแต่งงานกันจริง ๆ นะ”
“แต่หนูมีแฟนอยู่แล้วค่ะ” พราวตะวันตะโกนออกไปน้ำตาเริ่มเอ่อคลอ
“หนูรักเขาหมดหัวใจ มีคนเดียวที่หนูอยากแต่งงานด้วยและต่อให้หนูไม่มีใคร หนูก็ไม่มีทางแต่งงานกับเขาหรอกค่ะ เขาเป็นคนเจ้าชู้ เป็นเสือผู้หญิงทำไมต้องเป็นคนแบบนี้” อคิณที่ยืนนิ่งมาตลอดขยับตัวเล็กน้อย สีหน้าของเขาไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ แต่แววตาคมกริบกลับดูจริงจังและเจ็บปวดขึ้นมาเพียงชั่วขณะเท่านั้น ทว่าพราวตะวันกลับมองไม่เห็นมันเลยเธอถูกความโกรธ ความอัดอั้น และความกลัวเข้าครอบงำจนมองไม่เห็นสิ่งอื่นใด
ก่อนที่เธอจะทันได้พูดอะไร นายแพทย์ธีระก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงที่จริงจังแต่ยังคงอบอุ่น
“เราจะให้เวลาหนูตัดสินใจ แต่พ่อหนูต้องได้รับการรักษาโดยด่วน ถ้านานกว่านี้อาจไม่ทัน”
คำพูดนั้นเหมือนคำขู่กลาย ๆ ที่บีบให้พราวตะวันจนมุม เธอรู้สึกเหมือนถูกบีบคั้นจนหายใจไม่ออก หญิงสาวหันไปมองพ่อที่หายใจอย่างลำบากอยู่บนเตียง และหันไปมองแม่ที่พยักหน้าอย่างขอร้องพร้อมน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างช้า ๆ
พราวตะวันเดินออกมาจากห้องพักผู้ป่วยราวกับคนไร้วิญญาณ กานต์รีบเดินเข้ามาหาเพื่อนด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“พราว! เกิดอะไรขึ้น เล่ามาให้หมด” กานต์รั้งแขนเพื่อนไว้ พราวตะวันมองหน้าเพื่อนแล้วก็ร้องไห้ออกมาก่อนที่เธอจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับเพื่อนฟัง
หลังจากที่เล่าทุกอย่างให้เพื่อนฟังเสร็จแล้ว พราวตะวันตัดสินใจทำในสิ่งที่เธอคิดว่าถูกต้องที่สุดในเวลานั้น เธอโทรหาฟิล์ม แม้จะรู้ว่าเขาเรียนหนักแต่เธอก็ต้องการกำลังใจจากเขามากที่สุดในตอนนี้ เพียงแค่ได้ยินเสียงของเขา เธอก็คิดว่าจะเข้มแข็งพอที่จะผ่านเรื่องเลวร้ายนี้ไปได้
เสียงรอสายดังขึ้นหลายครั้งจนเธอรู้สึกใจหาย ความกังวลกัดกินหัวใจอย่างช้า ๆ ก่อนที่เขาจะกดรับด้วยเสียงที่ยังงัวเงียเล็กน้อยจากต่างประเทศ “ฮัลโหลพราวเหรอ ทำไมโทรมาดึกจัง”
“พี่ฟิล์มพราวมีเรื่องอยากเล่าให้ฟัง” เธอพยายามกลั้นน้ำตาขณะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง
“จริงเหรอพราว โห แย่จังเลยนะ” ฟิล์มตอบกลับด้วยน้ำเสียงเห็นใจแต่ก็แฝงไปด้วยความลังเล และเย็นชาอย่างน่าประหลาด
“แต่พราวก็รู้นี่ว่าพี่ช่วยอะไรไม่ได้เลยนะ พี่ยังเรียนไม่จบแล้วเรื่องเงิน”
“แล้วเรื่องของเราล่ะพี่ฟิล์ม” พราวตะวันกล่าวด้วยความเจ็บปวด หัวใจของเธอเริ่มบีบรัดอย่างแรง
“พี่จะทิ้งพราวไปใช่ไหม”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะพราว” ฟิล์มกล่าวอย่างอึกอักเสียงของเขาเริ่มแข็งขึ้น ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ในความไร้น้ำใจ
“แค่เรื่องมันซับซ้อนมากนะพราว พี่ยังต้องเรียน ต้องทำงานพิเศษ พี่ไม่สามารถกลับไปได้จริง ๆ นะ”
“พี่ต้องช่วยพราวสิ” พราวตะวันบอกเขาด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน ความหวังสุดท้ายกำลังเลือนหายไป
“พี่จะช่วยได้ยังไงล่ะพราว พี่ก็อยู่ห่างจากพราวขนาดนี้ พี่ขอโทษนะ” ฟิล์มกล่าวอย่างรีบร้อน น้ำเสียงแสดงความรำคาญอย่างชัดเจน
“พี่ว่าพราวลองคิดเรื่องข้อเสนอของเขาก่อนนะ ถ้ามันจะช่วยให้พ่อพราวหาย”
คำพูดของเขาทำให้พราวตะวันรู้สึกเหมือนถูกมีดกรีดลงกลางใจ เลือดทุกหยดในร่างกายเหมือนหยุดไหล นี่คือคนที่เธอรักหมดหัวใจแต่เขากลับเป็นคนบอกให้เธอไปพิจารณาการแต่งงานกับคนอื่นเพื่อแก้ปัญหาของตัวเองอย่างนั้นหรือ
“พี่ขอโทษนะแต่พี่ต้องไปทำงานแล้ว ไว้พี่จะโทรกลับนะ” ฟิล์มกล่าวอย่างรีบร้อนแล้วกดวางสายไปทันทีโดยที่ไม่ได้รอฟังคำตอบใด ๆ ทิ้งให้พราวตะวันจมดิ่งในความเจ็บปวดเพียงลำพัง
พราวตะวันจ้องมองโทรศัพท์ในมือที่ดับไปแล้วด้วยความว่างเปล่า มันจุกแน่นในลำคอจนเธอหายใจไม่ออก กานต์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เห็นท่าทางของเพื่อนก็รีบเอื้อมมือไปกอดเพื่อนเอาไว้แน่น
พราวตะวันปล่อยโฮออกมาสุดเสียงอย่างที่ไม่ได้ทำมาหลายวัน ร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งตัว มันไม่ใช่แค่ความเศร้าจากปัญหาครอบครัว แต่เป็นคำปฏิเสธที่ได้รับจากฟิล์มมันรุนแรงยิ่งกว่าความเจ็บปวดจากปัญหาที่เผชิญอยู่เสียอีก
พราวตะวันผละออกจากอ้อมกอดของเพื่อน เธอเช็ดน้ำตาออกอย่างลวก ๆ ดวงตาคู่สวยที่เคยเศร้าหมองตอนนี้เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและแข็งกร้าว แววตาที่เคยอ่อนไหวบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นเปลวไฟแห่งความมุ่งมั่น เธอลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและมองไปที่ท้องถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป
เธอจะยอมรับการแต่งงานนี้เพราะมันคือทางเดียวที่จะช่วยครอบครัว แต่การแต่งงานนี้จะไม่มีทางสำเร็จไปอย่างที่อคิณและครอบครัวของเขาวาดหวังเอาไว้ เธอจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายมันลงให้สิ้นซาก เธอจะทำให้อคิณเกลียดเธอจนกว่าเขาจะทนไม่ไหวและขอหย่ากับเธอเอง เธอจะทำให้เขาเจ็บปวดเช่นเดียวกับที่เธอรู้สึก
ตอนที่ 12 ยิ่งพยายามใกล้ยิ่งห่างไกล อคิณกลับเข้ามาในห้องทำงานด้วยสีหน้าอ่อนล้าจากการประชุมที่ยาวนานกว่าที่คิด เขามองไปที่พราวตะวันที่กำลังยืนอยู่ริมหน้าต่าง ใบหน้าของเธอหันออกไปมองทิวทัศน์ข้างนอก แต่แววตาของเธอกลับว่างเปล่า ราวกับว่าความคิดของเธอกำลังล่องลอยไปในที่ไกลแสนไกล อคิณเดินเข้ามาใกล้เธอช้าๆ เขารู้สึกผิดที่บังคับเธอให้มารอเขาประชุม “ผมขอโทษนะครับพราว ที่ทำให้คุณต้องรอนาน” อคิณกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พราวตะวันไม่ตอบอะไร เธอยังคงนิ่งราวกับว่าไม่มีใครอยู่ในห้องกับเธอ ราวกับว่าการมีตัวตนของเขาไม่มีผลอะไรต่อเธอเลยแม้แต่น้อย อคิณถอนหายใจเบาๆ เขาเดินเข้าไปใกล้เธอมากขึ้นแล้วเอื้อมมือไปจับมือของเธอไว้เบาๆ “ผมรู้ว่าคุณโกรธ แต่ผมขอโทษได้ไหม” พราวสะบัดมือของเขาออกอย่างแรง “ฉันไม่ได้โกรธ แต่ฉันรำคาญที่ต้องอยู่ใกล้ๆ คุณอย่างนี้และยิ่งตอนนี้ฉันก็ยิ่งไม่อยากอยู่ใกล้ๆ คุณ” “ผมรู้ว่าคุณรำคาญผมแต่ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมไม่ได้อยากทำให้คุณอึดอัด” อคิณบอกกับเธอ อคิณเงียบไปชั่วขณะ เขามองพราวตะวันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด และตัดพ้อ “พราวคุณไม่เคยคิ
ตอนที่ 11 โรคจิต สุริยะพ่อของเธอกำลังนอนพักฟื้นอยู่ในห้องพิเศษยิ้มกว้างด้วยความดีใจที่ได้เห็นลูกสาวและลูกเขยมาเยี่ยม “พ่อดีใจมากที่พราวมาหาพ่อ ไม่ได้เจอกันหลายวันเป็นไงบ้างลูกอยู่กับอคิณ” สุริยะพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข “ก็ไม่มีอะไรพิเศษค่ะ แต่วันนี้พราวเห็นพ่อดีขึ้นพราวก็ดีใจแล้วค่ะ แล้วแม่ไปไหนคะพราวคิดถึง” พราวตะวันถามหาแม่พร้อมกับมองไปรอบๆ เพื่อหาแม่ของเธอ “แม่ไปซื้อของน่ะลูก เพิ่งออกไปน่าจะอีกเป็นชั่วโมงกว่าจะกลับ” สุริยะพูดกับพราวตะวันก่อนจะหันไปหาอคิณยิ้มๆ ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความสุขใจ “อคิณ ขอบใจมากนะลูกที่ดูแลพราวแทนพ่อ” “ไม่เป็นไรเลยครับคุณพ่อ” อคิณยิ้มอบอุ่นและอ่อนโยน “ดูแลพราวเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ” คำพูดของอคิณทำให้พราวตะวันรู้สึกได้ว่าเขาจะอบอุ่นและแสนดีไปไหนทั้งๆ ที่เขารู้อยู่แล้วว่าเธอไม่มีทางรักเขาได้ พราวตะวันอยู่คุยกับพ่อสักพักก่อนจะกลับเพราะอคิณมีประชุมด่วนเข้ามา “พราวเราต้องกลับกันแล้ว คุณพ่อครับผมต้องพาพราวกลับบ้านแล้วนะครับ เพราะมีประชุมด่วนเข้ามา ไว้ผมจะพาพราวมาหาบ
ตอนที่ 10 ความจริงที่ถูกซ่อน เสียงนกเจื้อยแจ้วปลุกพราวตะวันให้ตื่นจากภวังค์ เธอยังคงสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่หลงเหลือบนหมอนข้างที่ใช้กอดเมื่อคืน ความรู้สึกปลอดภัยที่อ้อมกอดของอคิณมอบให้ยังคงหลงเหลืออยู่ในความรู้สึกของเธอ พราวตะวันโกรธตัวเองที่เผลอไผลไปกับสัมผัสของเขา ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีตีวนอยู่ในอก ความดีที่เขาแสดงออกตลอดมาสวนทางกับภาพลักษณ์เสือผู้หญิงที่เธอปักใจเชื่อ “พราวแกจะมาเห็นใจเขาง่ายๆ อย่างนี้ไม่ได้นะ แกต้องแข็งแกร่งเข้าไว้” พราวตะวันพึมพำกับตัวเอง เพราะเธอไม่อยากให้ความรู้สึกอ่อนไหวไปกับการกระทำแค่นี้ของเขาไม่ได้ไม่เช่นนั้นแผนการทั้งหมดของเธอก็จะพังทลายลง ในเช้าวันนั้น อคิณกำลังจะออกไปทำงานตามปกติ พราวตะวันลงมายังห้องอาหารด้วยสีหน้าเรียบเฉย เธอยังคงรักษาระยะห่างจากเขาเหมือนเดิม แต่สายตาของเธอก็มีเผลอมองเขาอยู่บ่อยครั้ง อคิณเองก็เช่นกัน เขามองเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและอ่อนโยนที่มันออกมาจากใจของเขาจริงๆ “วันนี้ผมต้องเข้าโรงพยาบาลทั้งวัน” อคิณกล่าวขึ้นมาขณะจิบกาแฟ “ถ้าคุณมีอะไรก็เรียกคนใช้หรือว่าโทรหาผมได้ตลอดเลยนะ ไม่ต้องเกรง
ตอนที่ 9 ไฟดับพายุฝนโหมกระหน่ำลงมาอย่างหนักตั้งแต่หัวค่ำ เสียงฟ้าร้องครืนครืนตามมาด้วยแสงฟ้าผ่าแปลบปลาบ ทำให้บ้านทั้งหลังมืดสนิทในพริบตา เมื่อกระแสไฟฟ้าดับลงอย่างกะทันหันพราวตะวันที่กำลังเดินอยู่ในห้องโถงกรีดร้องออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ เธอเป็นคนกลัวความมืดและเสียงฟ้าฝนที่กระหน่ำลงมายิ่งทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวจับใจทันใดนั้นเองมือหนาก็เอื้อมมาคว้าแขนของเธอไว้ อคิณจุดเทียนไขหลายเล่มที่วางเตรียมไว้ทั่วบ้าน ทำให้บ้านแสงสลัวของเปลวเทียนเป็นสิ่งเดียวที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด เขาเห็นใบหน้าของพราวตะวันที่ซีดเผือดและดวงตาที่ฉายแววหวาดกลัวอย่างชัดเจน“คุณกลัวความมืดเหรอพราว” อคิณถามเสียงนุ่มน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใยพราวตะวันสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของเขา เธอไม่ชอบให้ใครเห็นความอ่อนแอของตัวเอง“เปล่า ฉันไม่ได้กลัว” เธอตอบเสียงแข็ง พยายามซ่อนความสั่นเทาในน้ำเสียง“แค่ตกใจนิดหน่อย”อคิณไม่ได้เซ้าซี้อะไร เขาจูงมือเธอให้เดินตามเขาไปยังห้องนั่งเล่นที่มีโซฟาตัวใหญ่และผิงไฟที่ยังคงให้ความอบอุ่นเขาจุดเทียนเพิ่มอีกสองสามเล่ม เพื่อให้ห้องสว่างขึ้นเล็กน้อย พราวตะวันนั่งลงบนโซฟาอย่างเงียบ
ตอนที่ 8 ฟิล์มผู้ห่างเหินหลังจากเหตุการณ์ในห้องนอน พราวตะวันรู้สึกสับสนและว้าวุ่นใจมากขึ้นกว่าเดิม เธอพยายามสลัดภาพและสัมผัสจากอคิณออกไปจากหัว แต่ก็ทำไม่ได้ หนทางเดียวที่จะยืนยันว่าเธอไม่ได้หวั่นไหวคือการยึดมั่นใน ฟิล์ม เธอจึงพยายามติดต่อเขาให้มากขึ้น หวังว่าจะได้ระบายความอึดอัดในชีวิตคู่ที่อ้างว้างนี้ข้อความแล้วข้อความเล่าถูกส่งไปหาฟิล์ม เล่าถึงความทุกข์ใจ การถูกบีบบังคับและความรู้สึกโดดเดี่ยวที่ต้องเผชิญ ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมานั้นช้าลงเรื่อย ๆ และมักจะมาพร้อมข้ออ้างเดิม ๆ"พี่กำลังเรียนหนักมากเลยพราว""วันนี้มีงานกลุ่มด่วน พี่ต้องรีบส่ง" หรือแม้แต่"พราวอย่าคิดมากสิ พี่ช่วยอะไรไม่ได้อยู่แล้ว"พราวตะวันกุมโทรศัพท์แน่น ดวงตาจับจ้องหน้าจอที่ว่างเปล่า ความผิดหวังเล็ก ๆ น้อย ๆ เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ คนที่เธอเคยคิดว่าเป็นที่พึ่งเดียวในชีวิต กลับดูห่างเหินและไม่สนใจความทุกข์ของเธอเลยแม้แต่น้อย เธอเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังพูดอยู่กับกำแพง ยิ่งเธอบอกเล่าความเจ็บปวดมากเท่าไหร่ ฟิล์มก็ยิ่งดูห่างไกลออกไปเท่านั้นค่ำวันหนึ่งสุริยะและอรัญญาพ่อและแม่ของพราวตะวัน พร้อมด้วยพราวฟ้าน้องสาวของเธอ ได
ตอนที่ 7 หึงหวงชุดราตรีสีน้ำเงินเข้มขับผิวขาวผ่องของพราวตะวันให้โดดเด่น เธอยืนอยู่ข้างอคิณในงานเลี้ยงการกุศลที่จัดขึ้นอย่างหรูหราผู้คนมากมายเดินสวนกันไปมา เสียงดนตรีบรรเลงเบา ๆ คลอเคล้ากับเสียงหัวเราะและบทสนทนา อคิณในชุดสูทสีดำสนิทดูสง่างามและเป็นที่สนใจของสาว ๆ ทั่วทั้งงานแต่เขากลับไม่เคยละสายตาจากพราวตะวันเลยแม้แต่น้อย“ยิ้มหน่อยสิครับพราว คุณดูเครียดไปนะ” อคิณกระซิบข้างหูเธอ เสียงทุ้มต่ำของเขาทำให้พราวตะวันรู้สึกขนลุกซู่ เธอปั้นหน้ายิ้มออกมาอย่างฝืน ๆ“ฉันไม่ชอบงานแบบนี้ค่ะ มันน่าเบื่อ” เธอตอบเสียงเรียบ“แต่คุณก็ต้องร่วมงานสังคมบ้างในฐานะภรรยาของผม” อคิณกล่าว เขาเอื้อมมือมาโอบเอวเธออย่างเป็นธรรมชาติ สัมผัสอุ่นร้อนจากฝ่ามือเขาที่แนบชิดกับผิวของเธอทำให้พราวตะวันรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว เธอพยายามปัดมือเขาออก แต่เขากลับกระชับวงแขนแน่นขึ้นเล็กน้อย“คุณรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ ผมขอไปคุยกับเพื่อนสักครู่” อคิณที่เห็นว่าพราวตะวันไม่ชอบการที่มีคนเยอะ ๆ เขาจึงไม่พาเธอไปคุยกับกลุ่มเพื่อนของเขาเลยให้เธอยืนรอเงียบ ๆ คนเดียวในขณะที่อคิณเดินไปหาเพื่อน ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่งก็เดินตรงเข้ามาหาพ