กลิ่นยาฆ่าเชื้อยังคงคละคลุ้งในอากาศ พราวตะวันนั่งอยู่ตรงข้ามกับโต๊ะทำงานของทนายประจำตระกูลวรวิชญ์ มือเรียวสั่นเทาเมื่อหยิบปากกาขึ้นมา
บรรยากาศในห้องเงียบสงัดมีเพียงเสียงปลายปากกาที่กำลังจรดลงบนกระดาษ นายแพทย์ธีระและอคิณนั่งอยู่ไม่ไกล ดวงตาของอคิณจับจ้องมาที่เธอไม่วางตา ความหนักอึ้งในอกทำให้พราวตะวันแทบสำลักออกมา
“เชิญคุณพราวเซ็นตรงนี้เลยครับ” ทนายกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ พลางชี้ไปยังบรรทัดสุดท้ายของสัญญา เอกสารหนาหลายแผ่นวางอยู่ตรงหน้า คำว่า “สัญญาการสมรส” ปรากฏหราอยู่บนหน้าแรก แต่ดวงตาของพราวตะวันพร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำตาและความกังวล
เธอพยายามกวาดสายตาอ่านเนื้อหาแต่ตัวอักษรก็เลือนรางพร่ามัวไปหมด ภาพของพ่อที่นอนหมดสติอยู่ในห้องฉุกเฉินฉายชัดในความคิด ทุกนาทีที่ผ่านไปคือชีวิตของพ่อ
“ไม่ต้องกังวลหรอกครับหนูพราว สัญญานี้เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ทุกอย่าง” นายแพทย์ธีระกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับจะคลายความกังวลให้เธอ คำพูดนั้นทำให้พราวตะวันรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เธอเชื่อใจนายแพทย์ธีระเพราะเขาคือเพื่อนของพ่อ ความเร่งรีบและความตื่นตระหนกทำให้เธอละเลยที่จะอ่านรายละเอียดปลีกย่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วรรคสำคัญที่ระบุว่า "คู่สมรสฝ่ายหญิงจะต้องอยู่กินฉันสามีภริยากับคู่สมรสฝ่ายชายและให้กำเนิดทายาทแก่ตระกูลวรวิชญ์อย่างน้อยสองคน จึงจะถือว่าสัญญาสมบูรณ์" เธอจรดปากกาลงบนกระดาษเซ็นชื่อ "พราวตะวัน สุริยกานต์" อย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าหากช้าไปเพียงวินาทีเดียวชีวิตของพ่อจะดับสิ้นลง
วินาทีที่ปากกาถูกยกขึ้นจากกระดาษ พันธะที่ไร้หัวใจก็ถูกผูกมัดขึ้นอย่างสมบูรณ์
ทันทีที่พราวตะวันเซ็นสัญญาเสร็จ นายแพทย์ธีระก็สั่งให้ทีมแพทย์เตรียมห้องผ่าตัดฉุกเฉินทันที บุรุษพยาบาลรีบเข็นเตียงของพ่อเธอเข้าไปในห้องผ่าตัดด้วยความเร่งรีบ
พราวตะวันยืนมองประตูที่ปิดลงตรงหน้าด้วยหัวใจที่เต้นระรัว ความหวังและความกลัวผสมปนเปกันไปหมด ชีวิตของพ่อแขวนอยู่บนเส้นด้ายและเธอได้แลกมันมาด้วยอิสรภาพของตัวเอง
อคิณเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างเธอ มือหนาเอื้อมมาแตะไหล่เธอเบา ๆ อย่างปลอบโยน ทว่าพราวตะวันกลับสะดุ้งเล็กน้อยเธอสะบัดไหล่ออกจากการสัมผัสของเขาอย่างรวดเร็ว ดวงตาคู่สวยมองเขาด้วยความเย็นชา
“อย่ามาแตะต้องฉัน” เธอพึมพำเสียงเรียบ
อคิณถอนหายใจเบา ๆ ความเจ็บปวดฉายชัดในแววตาเพียงชั่วครู่ก่อนจะถูกปกปิดไว้ภายใต้ความสงบนิ่งเช่นเคย เขาเก็บมือกลับไปยืนกอดอกนิ่ง ๆ อยู่ข้างเธออย่างเงียบ ๆ บรรยากาศที่เคยตึงเครียดในห้องผ่าตัดเริ่มผ่อนคลายลงบ้าง เมื่อเสียงเครื่องมือแพทย์และคำสั่งการผ่าตัดเริ่มดังขึ้นจากภายใน พราวตะวันยืนรออยู่ตรงนั้นนานแสนนาน โดยมีอคิณยืนเป็นเพื่อนเงียบ ๆ ไม่ไปไหน จนกระทั่งหมอเดินออกมาจากห้องผ่าตัดด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม
“การผ่าตัดสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีครับคุณสุริยะปลอดภัยแล้ว”
คำพูดของหมอเหมือนเสียงสวรรค์ พราวตะวันทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความโล่งอก น้ำตาแห่งความสุขและความอ่อนล้าไหลทะลักออกมา แม่กับพราวฟ้าที่เพิ่งเดินมาถึงก็พุ่งเข้ามากอดเธอไว้แน่น แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์บัดนี้สว่างจ้าขึ้นมาจริง ๆ แต่พราวตะวันรู้ดีว่าแสงสว่างนี้ต้องแลกมาด้วยพันธะที่เธอไม่ต้องการ
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับความฝัน สถานการณ์ของพ่อดีขึ้นเป็นลำดับ แต่ชีวิตของพราวตะวันกลับดำดิ่งสู่ความจริงที่เธอพยายามปฏิเสธ
งานแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และอลังการสมฐานะของตระกูลวรวิชญ์ โรงแรมหรูใจกลางเมืองถูกเนรมิตให้เป็นเหมือนดินแดนเทพนิยาย ประดับประดาด้วยดอกไม้นานาชนิด แสงไฟระยิบระยับและแขกเหรื่อผู้มีชื่อเสียงมากมาย
พราวตะวันยืนอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ในชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์งดงาม ชุดราตรีแขนยาวผ้าลูกไม้ปักละเอียดเผยให้เห็นเนินอกขาวเนียนและช่วงเอวที่คอดกิ่ว ผ้าคลุมผมยาวประดับด้วยเพชรระยิบระยับขับให้เธอดูราวกับเจ้าหญิงในนิยาย ทว่าใบหน้าสวยหวานกลับซีดเซียว ดวงตาเหม่อลอย ไม่ได้แสดงความยินดีแม้แต่น้อย
กานต์เพื่อนสนิทในชุดเพื่อนเจ้าสาวสีฟ้าอ่อนยืนอยู่ข้าง ๆ ใบหน้าของกานต์เต็มไปด้วยความกังวลปนความเห็นใจ
“พราวแกสวยมากเลยนะ” กานต์พยายามปลอบใจ แต่ก็รู้ดีว่าคำพูดเหล่านั้นไม่ช่วยอะไร พราวตะวันยิ้มรับจาง ๆ
“ฉันอยากให้ทั้งหมดนี้เป็นแค่ฝัน”
“แกอย่าคิดอย่างนั้นเลยนะ อย่างน้อย ๆ สิ่งที่แกทำตอนนี้ก็เพื่อให้พ่อของแกได้อยู่กับแกตอนนี้ไง”
“ก็จริงแต่ฉันก็อดสงสารตัวเองไม่ได้ที่ต้องใช้ชีวิตคู่กับคนที่ฉันไม่ได้รักและไม่เคยคิดจะรักเสียด้วยซ้ำ”
“ไม่เป็นไรแกแต่งไปก่อนแล้วค่อยหย่าก็ได้ ผู้หญิงสมัยเรื่องหย่ากับสามีไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายอะไร” กานต์พยายามพูดให้เพื่อนสบายใจมากที่สุด
“อืม” พราวตะวันตอบกลับเพื่อนเพียงสั้น ๆ วันแต่งงานของพราวตะวันไม่ได้เป็นอย่างที่ฝันไว้ ฝันของเธอคือการได้แต่งงานกับฟิล์ม งานแต่งงานของเธอมีแต่รอยยิ้มและความสุขแต่ตอนนี้ไม่ใช่อย่างนั้นเลย งานแต่งงานของเธอมีแต่ความเจ็บปวดเต็มไปหมด
เมื่อถึงเวลาเข้าพิธีพราวตะวันเดินเคียงข้างอรัญญาแม่ของเธอส่วนสุริยะพ่อของเธอก็อาการดีขึ้นนั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ นายแพทย์ธีระ
ท่ามกลางสายตาของแขกเหรื่อนับร้อยที่จับจ้องมาที่เธอรอยยิ้มและเสียงปรบมืออวยพรดังกึกก้อง แต่พราวตะวันกลับรู้สึกเหมือนอยู่ในความว่างเปล่า เธอเห็นอคิณยืนรออยู่บนเวทีในชุดทักซิโด้สีดำสง่างามข้าง ๆ เขาคือ ชวิน เพื่อนสนิทที่คอยยิ้มและหยอกล้อเขาอยู่เสมอ
วินาทีที่อคิณเอื้อมมือมารับมือของเธอไปกุมไว้ สัมผัสอุ่นร้อนของเขาทำให้พราวตะวันรู้สึกขนลุกซู่ ราวกับถูกไฟลวก เธอพยายามชักมือกลับ แต่เขากลับกุมไว้แน่นกว่าเดิม ดวงตาคมกริบของอคิณมองลึกเข้ามาในดวงตาของเธอ ราวกับจะบอกว่า "คุณหนีผมไม่พ้นหรอก" คำปฏิญาณที่ถูกเอ่ยออกมานั้นดูสมบูรณ์แบบในสายตาของทุกคนแต่สำหรับพราวตะวัน มันคือคำสาปที่เธอจะต้องแบกรับไปตลอดชีวิต
กลิ่นหอมของดอกไม้และแชมเปญยังคงอบอวลในห้องเรือนหอที่ประดับประดาไว้อย่างหรูหรา วิจิตรบรรจง
แสงไฟสลัวจากโคมไฟระยิบระยับส่องให้เห็นเตียงนอนขนาดคิงไซส์ที่เต็มไปด้วยกลีบกุหลาบสีแดงสด
ทว่าบรรยากาศกลับเย็นยะเยือก พราวตะวันในชุดเจ้าสาวยังคงนั่งอยู่ที่ปลายเตียง เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ที่เผยให้เห็นแสงไฟระยิบระยับของเมืองยามค่ำคืน แต่สายตาของเธอกลับว่างเปล่า ไม่ได้สนใจความงดงามภายนอกแม้แต่น้อย
น้ำตาอุ่นร้อนไหลรินอาบแก้มใสอย่างเงียบงัน เธอพยายามกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้เล็ดลอดออกมา ความเจ็บปวดที่ถูกบีบบังคับให้แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักถาโถมเข้าใส่
เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาปลดล็อกหน้าจอ ภาพของฟิล์ม แฟนหนุ่มที่ยังคงครอบครองหัวใจของเธอปรากฏขึ้น เธอพิมพ์ข้อความระบายความรู้สึก ความสิ้นหวัง และความต้องการความช่วยเหลือจากเขา มือสั่นเทาขณะกดส่งข้อความไปหาชายที่เธอเชื่อว่าคือที่พึ่งเดียวของเธอ
ข้อความถูกส่งออกไปแต่ไร้การตอบกลับ เวลาผ่านไปนานหลายนาที ความเงียบงันยิ่งตอกย้ำความโดดเดี่ยว เธอโทรออกไปหาฟิล์มแต่เสียงรอสายก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ จนสายตัดไปเอง ไม่มีแม้แต่ข้อความตอบกลับ ไม่มีแม้แต่สายที่ไม่ได้รับ ความรู้สึกถูกทอดทิ้งและความเจ็บปวดจากการถูกหักหลังเพิ่มทวีคูณขึ้นหลายเท่าตัว ไม่ใช่แค่ปัญหาครอบครัวและการแต่งงานที่ไม่ต้องการ แต่คนที่เธอรักและเชื่อใจที่สุดกลับไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนหรืออยากช่วยเหลือเธอเลยสักนิด
พราวตะวันปล่อยโทรศัพท์ลงข้างตัว ปล่อยให้มันหล่นลงบนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง น้ำตาไหลทะลักออกมาไม่ขาดสาย เสียงสะอื้นถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไม่อาจเก็บงำได้อีกต่อไป เธอฟุบหน้าลงกับหมอน ปล่อยให้ความเจ็บปวดกัดกินหัวใจ ความฝันทั้งหมดที่เคยวาดไว้กับฟิล์มสลายไปในพริบตา เหลือเพียงความว่างเปล่าและพันธะที่ไร้หัวใจที่เธอจะต้องเผชิญหน้าเพียงลำพัง
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ที่เมืองใหญ่อีกซีกโลกหนึ่ง ซึ่งห่างไกลจากความทุกข์ทรมานของพราวตะวันนับหมื่นไมล์ฟิล์ม กำลังนั่งหัวเราะคิกคักอยู่ในบาร์หรูแห่งหนึ่ง แสงสีนีออนสว่างไสว เคล้าคลอด้วยเสียงดนตรีจังหวะเร้าใจ เขานั่งอยู่บนโซฟากำมะหยี่สีแดงเข้มรอบตัวเต็มไปด้วยแก้วเครื่องดื่มและเสียงพูดคุยเซ็งแซ่
ข้างกายเขาคือหญิงสาวชาวต่างชาติผมบลอนด์ยาวสลวย ดวงตาสีฟ้าเป็นประกาย เธอซบศีรษะลงกับไหล่ของฟิล์มอย่างสนิทสนม มือของฟิล์มโอบรอบเอวเธอหลวม ๆ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มพึงพอใจและแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ้าชู้
เขาหัวเราะเสียงดังเมื่อหญิงสาวพูดติดตลกภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกัน ก่อนจะก้มลงจุมพิตที่แก้มของเธอเบา ๆ อย่างไม่แคร์สายตาใคร
โทรศัพท์มือถือของฟิล์มที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นครืดหลายครั้ง แสงหน้าจอเตือนว่ามีข้อความเข้า แต่เขากลับไม่แม้แต่จะชายตามอง
“วันนี้สนุกจังเลยค่ะ ฟิล์ม” หญิงสาวคนนั้นพูดภาษาอังกฤษด้วยน้ำเสียงเย้ายวน
“คุณนี่มันสนุกกว่าที่คิดไว้เยอะเลย” ฟิล์มยกแก้วขึ้นจิบ ยิ้มกว้างอย่างได้ใจ
“แน่นอนสิครับ ที่รัก ผมมีอะไรให้คุณเซอร์ไพรส์อีกเยอะแยะเลย”
เขาไม่ได้นึกถึงข้อความที่เพิ่งเข้ามา ไม่ได้นึกถึงเสียงสะอื้นของพราวตะวัน ไม่ได้นึกถึงพ่อของเธอที่กำลังป่วยหนักหรือพันธะการแต่งงานที่บังคับให้พราวตะวันต้องรับผิดชอบ ในโลกของฟิล์ม มีเพียงความสุขชั่วคราว ความสนุกสนาน และผู้หญิงคนใหม่ที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น
ตอนที่ 12 ยิ่งพยายามใกล้ยิ่งห่างไกล อคิณกลับเข้ามาในห้องทำงานด้วยสีหน้าอ่อนล้าจากการประชุมที่ยาวนานกว่าที่คิด เขามองไปที่พราวตะวันที่กำลังยืนอยู่ริมหน้าต่าง ใบหน้าของเธอหันออกไปมองทิวทัศน์ข้างนอก แต่แววตาของเธอกลับว่างเปล่า ราวกับว่าความคิดของเธอกำลังล่องลอยไปในที่ไกลแสนไกล อคิณเดินเข้ามาใกล้เธอช้าๆ เขารู้สึกผิดที่บังคับเธอให้มารอเขาประชุม “ผมขอโทษนะครับพราว ที่ทำให้คุณต้องรอนาน” อคิณกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พราวตะวันไม่ตอบอะไร เธอยังคงนิ่งราวกับว่าไม่มีใครอยู่ในห้องกับเธอ ราวกับว่าการมีตัวตนของเขาไม่มีผลอะไรต่อเธอเลยแม้แต่น้อย อคิณถอนหายใจเบาๆ เขาเดินเข้าไปใกล้เธอมากขึ้นแล้วเอื้อมมือไปจับมือของเธอไว้เบาๆ “ผมรู้ว่าคุณโกรธ แต่ผมขอโทษได้ไหม” พราวสะบัดมือของเขาออกอย่างแรง “ฉันไม่ได้โกรธ แต่ฉันรำคาญที่ต้องอยู่ใกล้ๆ คุณอย่างนี้และยิ่งตอนนี้ฉันก็ยิ่งไม่อยากอยู่ใกล้ๆ คุณ” “ผมรู้ว่าคุณรำคาญผมแต่ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมไม่ได้อยากทำให้คุณอึดอัด” อคิณบอกกับเธอ อคิณเงียบไปชั่วขณะ เขามองพราวตะวันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด และตัดพ้อ “พราวคุณไม่เคยคิ
ตอนที่ 11 โรคจิต สุริยะพ่อของเธอกำลังนอนพักฟื้นอยู่ในห้องพิเศษยิ้มกว้างด้วยความดีใจที่ได้เห็นลูกสาวและลูกเขยมาเยี่ยม “พ่อดีใจมากที่พราวมาหาพ่อ ไม่ได้เจอกันหลายวันเป็นไงบ้างลูกอยู่กับอคิณ” สุริยะพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข “ก็ไม่มีอะไรพิเศษค่ะ แต่วันนี้พราวเห็นพ่อดีขึ้นพราวก็ดีใจแล้วค่ะ แล้วแม่ไปไหนคะพราวคิดถึง” พราวตะวันถามหาแม่พร้อมกับมองไปรอบๆ เพื่อหาแม่ของเธอ “แม่ไปซื้อของน่ะลูก เพิ่งออกไปน่าจะอีกเป็นชั่วโมงกว่าจะกลับ” สุริยะพูดกับพราวตะวันก่อนจะหันไปหาอคิณยิ้มๆ ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความสุขใจ “อคิณ ขอบใจมากนะลูกที่ดูแลพราวแทนพ่อ” “ไม่เป็นไรเลยครับคุณพ่อ” อคิณยิ้มอบอุ่นและอ่อนโยน “ดูแลพราวเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ” คำพูดของอคิณทำให้พราวตะวันรู้สึกได้ว่าเขาจะอบอุ่นและแสนดีไปไหนทั้งๆ ที่เขารู้อยู่แล้วว่าเธอไม่มีทางรักเขาได้ พราวตะวันอยู่คุยกับพ่อสักพักก่อนจะกลับเพราะอคิณมีประชุมด่วนเข้ามา “พราวเราต้องกลับกันแล้ว คุณพ่อครับผมต้องพาพราวกลับบ้านแล้วนะครับ เพราะมีประชุมด่วนเข้ามา ไว้ผมจะพาพราวมาหาบ
ตอนที่ 10 ความจริงที่ถูกซ่อน เสียงนกเจื้อยแจ้วปลุกพราวตะวันให้ตื่นจากภวังค์ เธอยังคงสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่หลงเหลือบนหมอนข้างที่ใช้กอดเมื่อคืน ความรู้สึกปลอดภัยที่อ้อมกอดของอคิณมอบให้ยังคงหลงเหลืออยู่ในความรู้สึกของเธอ พราวตะวันโกรธตัวเองที่เผลอไผลไปกับสัมผัสของเขา ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีตีวนอยู่ในอก ความดีที่เขาแสดงออกตลอดมาสวนทางกับภาพลักษณ์เสือผู้หญิงที่เธอปักใจเชื่อ “พราวแกจะมาเห็นใจเขาง่ายๆ อย่างนี้ไม่ได้นะ แกต้องแข็งแกร่งเข้าไว้” พราวตะวันพึมพำกับตัวเอง เพราะเธอไม่อยากให้ความรู้สึกอ่อนไหวไปกับการกระทำแค่นี้ของเขาไม่ได้ไม่เช่นนั้นแผนการทั้งหมดของเธอก็จะพังทลายลง ในเช้าวันนั้น อคิณกำลังจะออกไปทำงานตามปกติ พราวตะวันลงมายังห้องอาหารด้วยสีหน้าเรียบเฉย เธอยังคงรักษาระยะห่างจากเขาเหมือนเดิม แต่สายตาของเธอก็มีเผลอมองเขาอยู่บ่อยครั้ง อคิณเองก็เช่นกัน เขามองเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและอ่อนโยนที่มันออกมาจากใจของเขาจริงๆ “วันนี้ผมต้องเข้าโรงพยาบาลทั้งวัน” อคิณกล่าวขึ้นมาขณะจิบกาแฟ “ถ้าคุณมีอะไรก็เรียกคนใช้หรือว่าโทรหาผมได้ตลอดเลยนะ ไม่ต้องเกรง
ตอนที่ 9 ไฟดับพายุฝนโหมกระหน่ำลงมาอย่างหนักตั้งแต่หัวค่ำ เสียงฟ้าร้องครืนครืนตามมาด้วยแสงฟ้าผ่าแปลบปลาบ ทำให้บ้านทั้งหลังมืดสนิทในพริบตา เมื่อกระแสไฟฟ้าดับลงอย่างกะทันหันพราวตะวันที่กำลังเดินอยู่ในห้องโถงกรีดร้องออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ เธอเป็นคนกลัวความมืดและเสียงฟ้าฝนที่กระหน่ำลงมายิ่งทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวจับใจทันใดนั้นเองมือหนาก็เอื้อมมาคว้าแขนของเธอไว้ อคิณจุดเทียนไขหลายเล่มที่วางเตรียมไว้ทั่วบ้าน ทำให้บ้านแสงสลัวของเปลวเทียนเป็นสิ่งเดียวที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด เขาเห็นใบหน้าของพราวตะวันที่ซีดเผือดและดวงตาที่ฉายแววหวาดกลัวอย่างชัดเจน“คุณกลัวความมืดเหรอพราว” อคิณถามเสียงนุ่มน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใยพราวตะวันสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของเขา เธอไม่ชอบให้ใครเห็นความอ่อนแอของตัวเอง“เปล่า ฉันไม่ได้กลัว” เธอตอบเสียงแข็ง พยายามซ่อนความสั่นเทาในน้ำเสียง“แค่ตกใจนิดหน่อย”อคิณไม่ได้เซ้าซี้อะไร เขาจูงมือเธอให้เดินตามเขาไปยังห้องนั่งเล่นที่มีโซฟาตัวใหญ่และผิงไฟที่ยังคงให้ความอบอุ่นเขาจุดเทียนเพิ่มอีกสองสามเล่ม เพื่อให้ห้องสว่างขึ้นเล็กน้อย พราวตะวันนั่งลงบนโซฟาอย่างเงียบ
ตอนที่ 8 ฟิล์มผู้ห่างเหินหลังจากเหตุการณ์ในห้องนอน พราวตะวันรู้สึกสับสนและว้าวุ่นใจมากขึ้นกว่าเดิม เธอพยายามสลัดภาพและสัมผัสจากอคิณออกไปจากหัว แต่ก็ทำไม่ได้ หนทางเดียวที่จะยืนยันว่าเธอไม่ได้หวั่นไหวคือการยึดมั่นใน ฟิล์ม เธอจึงพยายามติดต่อเขาให้มากขึ้น หวังว่าจะได้ระบายความอึดอัดในชีวิตคู่ที่อ้างว้างนี้ข้อความแล้วข้อความเล่าถูกส่งไปหาฟิล์ม เล่าถึงความทุกข์ใจ การถูกบีบบังคับและความรู้สึกโดดเดี่ยวที่ต้องเผชิญ ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมานั้นช้าลงเรื่อย ๆ และมักจะมาพร้อมข้ออ้างเดิม ๆ"พี่กำลังเรียนหนักมากเลยพราว""วันนี้มีงานกลุ่มด่วน พี่ต้องรีบส่ง" หรือแม้แต่"พราวอย่าคิดมากสิ พี่ช่วยอะไรไม่ได้อยู่แล้ว"พราวตะวันกุมโทรศัพท์แน่น ดวงตาจับจ้องหน้าจอที่ว่างเปล่า ความผิดหวังเล็ก ๆ น้อย ๆ เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ คนที่เธอเคยคิดว่าเป็นที่พึ่งเดียวในชีวิต กลับดูห่างเหินและไม่สนใจความทุกข์ของเธอเลยแม้แต่น้อย เธอเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังพูดอยู่กับกำแพง ยิ่งเธอบอกเล่าความเจ็บปวดมากเท่าไหร่ ฟิล์มก็ยิ่งดูห่างไกลออกไปเท่านั้นค่ำวันหนึ่งสุริยะและอรัญญาพ่อและแม่ของพราวตะวัน พร้อมด้วยพราวฟ้าน้องสาวของเธอ ได
ตอนที่ 7 หึงหวงชุดราตรีสีน้ำเงินเข้มขับผิวขาวผ่องของพราวตะวันให้โดดเด่น เธอยืนอยู่ข้างอคิณในงานเลี้ยงการกุศลที่จัดขึ้นอย่างหรูหราผู้คนมากมายเดินสวนกันไปมา เสียงดนตรีบรรเลงเบา ๆ คลอเคล้ากับเสียงหัวเราะและบทสนทนา อคิณในชุดสูทสีดำสนิทดูสง่างามและเป็นที่สนใจของสาว ๆ ทั่วทั้งงานแต่เขากลับไม่เคยละสายตาจากพราวตะวันเลยแม้แต่น้อย“ยิ้มหน่อยสิครับพราว คุณดูเครียดไปนะ” อคิณกระซิบข้างหูเธอ เสียงทุ้มต่ำของเขาทำให้พราวตะวันรู้สึกขนลุกซู่ เธอปั้นหน้ายิ้มออกมาอย่างฝืน ๆ“ฉันไม่ชอบงานแบบนี้ค่ะ มันน่าเบื่อ” เธอตอบเสียงเรียบ“แต่คุณก็ต้องร่วมงานสังคมบ้างในฐานะภรรยาของผม” อคิณกล่าว เขาเอื้อมมือมาโอบเอวเธออย่างเป็นธรรมชาติ สัมผัสอุ่นร้อนจากฝ่ามือเขาที่แนบชิดกับผิวของเธอทำให้พราวตะวันรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว เธอพยายามปัดมือเขาออก แต่เขากลับกระชับวงแขนแน่นขึ้นเล็กน้อย“คุณรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ ผมขอไปคุยกับเพื่อนสักครู่” อคิณที่เห็นว่าพราวตะวันไม่ชอบการที่มีคนเยอะ ๆ เขาจึงไม่พาเธอไปคุยกับกลุ่มเพื่อนของเขาเลยให้เธอยืนรอเงียบ ๆ คนเดียวในขณะที่อคิณเดินไปหาเพื่อน ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่งก็เดินตรงเข้ามาหาพ