รมิดาเพลิดเพลินกับการกินอาหาร เธอคิดเสมอว่าถ้าไม่ได้ติดตามคุณหัสวีร์คงไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตดีๆ อย่างนี้ ก่อนที่จะได้ทำงานกับหัสวีร์ เธอต้องใช้เงินอย่างประหยัด บางวันได้กินข้างแค่มื้อเดียว เธอไม่มีความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับครอบครัวนัก พ่อที่ทำร้ายทุบตีแม่เป็นประจำ ตอนที่พ่อตาย เธอคิดว่าทุกอย่างมันจบ แต่แม่ก็ยัง...หาผู้ชายใหม่เข้าบ้าน พี่ลาวัลย์ที่เลี้ยงดูเธอเหมือนแม่คนที่สอง ธาตรี-น้องชายคนเล็กที่ขยันทำงานไม่ว่าจะเป็นงานพาร์ทไทม์อะไรก็ทำทุกอย่างพอที่จะมีเงินมาจุนเจือครอบครัว หากไม่เพราะพี่ลาวัลย์...ถูกผู้ชายหลอกจนตั้งท้องและต้องคลอดลูกตามลำพัง บางทีครอบครัวเธออาจดีกว่านี้ ตอนนี้น้องโมกข์ ลูกชายของพี่ลาวัลย์ก็อายุห้าขวบแล้ว ทำให้พี่สาวของเธอออกไปทำงานรับจ้างรายวันพอจะมีรายได้เลี้ยงลูกบ้าง
ถ้าพูดให้ถูก ทั้งครอบครัวมีเธอที่ทำงานมีรายได้มากที่สุด และเพื่อให้ธาตรีได้เรียนจนจบปริญญา เธอยอมอดทนทุกทาง และหลังจากธาตรีเรียนจบ ภาระของเธอก็จะได้ลดลงเหลือเพียงหลายชายตัวน้อยช่างพูดช่างอ้อนอย่างน้องโมกข์
เธอไม่เคยไปเที่ยวไหน นอกจากชุดนักเรียนแล้วก็แทบไม่เคยซื้อเสื้อผ้าใหม่ เธอใส่แต่เสื้อผ้ามือสองหรือของพี่สาว เติบโตมาท่ามกลางเสียงนินทาว่าคนอย่างเธอไม่มีวันได้ดี ถ้าไม่เป็นสก็อตก็คงท้องไม่มีพ่อเหมือนพี่สาว บ้าผู้ชายเหมือนแม่ ยิ่งถูกตราหน้าว่าชีวิตไม่มีวันได้ดี เธอยิ่งถีบตัวเองออกมาจากปลักที่คนดูถูกดูแคลน
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดที่หัสวีร์เลือกเธอเป็นเลขาทั้งที่ไม่มีประสบการณ์ทำงานมาก่อน แต่เธอก็ดีใจและตอบแทนเขาด้วยการทำงานอย่างสุดกำลัง แม้จะถูกเขาพูดจาแรงๆ ใส่หลายครั้ง แต่เธอก็อดทนผ่านมาได้ ผ่านมาสี่ปีเก้าเดือน ใกล้จะหมดสัญญาแล้ว เธอได้แต่หวังว่าเขาจะต่อสัญญาจ้างงาน น้องชายเธอเรียนอีกแค่ปีเดียวและยังโมกข์ที่มีโรคประจำตัวอีก เธอไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้โดยไม่สนใจคนในครอบครัว แม้ครอบครัวเธอจะเต็มไปด้วยคนมีแผลใจก็ตาม
“กินให้มันน้อยๆ หน่อย ประเดี๋ยวคนอื่นคิดว่าผมเลี้ยงดูคนทำงานด้วยไม่ดี”
“ใครจะไปคิดแบบนั้นได้ล่ะค่ะ” รมิดายิ้มให้เขา “ตั้งแต่ทำงานกับบอส น้ำหนักฉันขึ้นมาตั้งสองกิโล”
“น้ำหนักขึ้น? ผมไม่เห็นส่วนใหญ่ของคุณดูใหญ่ขึ้นเลยสักนิด”
คำพูดสบประมาทแบบนี้ไม่ได้ยินเป็นครั้งแรก สำหรับรมิดาแล้วมันเหมือนคำหยอกล้อเสียมากกว่า
“เอาเป็นว่า บอสดูแลลูกน้องดีมากค่ะ ถ้าฉันไม่ได้ทำงานกับบอสคงไม่มีโอกาสได้เดินทางไปไหนมาไหน ได้นั่งเครื่องบิน ได้พักโรงแรมหรูและยังกินของอร่อยอีกด้วย”
“นี่ถ้าอยู่เมืองไทย เธอคงห่ออาหารกลับบ้านสินะ”
“แน่นอนค่ะ” เธอพยักหน้ารับด้วยความภูมิใจ
หัสวีร์คร้านจะต่อปากต่อคำกับเลขา นับวันเธอยิ่งเถียงเก่ง เมื่อก่อนเขาว่าอะไรไปเธอก็เอาแต่เม้มปากแน่นจนเขานึกว่าเธอจะกัดริมฝีปากแตกจนเลือดออกแล้ว ความสัมพันธ์ของเขากับเธอคือเจ้านายกับเลขา แต่บางครั้งที่เธอทำงานเกินหน้าที่ จัดการเรื่องส่วนตัวของเขา แน่นอนว่าเขาจ่ายค่าตอบแทนให้เสมอ ดูเหมือนเลขาของเขาจะรักเงินและของกินเป็นชีวิตจิตใจ แต่กระนั้นมีเส้นบางๆ ที่เขามองไม่เห็น เหมือนจะสนิทแต่ไม่สนม ไม่เหมือนเวลาที่เธอพูดคุยกับหัสดิน-น้องชายของเขา มันดูเป็นธรรมชาติไปเสียทุกอย่าง จนเหมือนภาพของทั้งสองคนมันแหย่ตาเขาจนน่ารำคาญทุกครั้งไป
“บอสคะ”
เขาเลิกคิ้วแล้วยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม คืนนี้เธอสวมชุดเดรสกระโปรงยาวคลุมเข่าสีดำ แต่ละชุดของเธอเป็นเสื้อผ้าแบรนด์เนมแต่มือสอง แบบเรียบง่ายที่เธอประยุกต์ใส่ได้หลายงาน ทรงผมก็ทำเองรวมทั้งแต่งหน้า เรื่องไหนที่เธอทำเองได้ล้วนทำเองไม่ยอมเสียเงินให้คนอื่น เขาที่มีเงินใช้ไม่ขาดมือต้องมาอยู่กับยัยขี้เหนียวที่เก็บทุกบาททุกสตางค์ คิดแล้วก็ตลกตัวเองไม่น้อย
“ว่าไง” เขาถามหลังจากที่เธอนิ่งไม่พูดต่อ
“พรุ่งนี้มีนัดคุยกับทีมงานตอนเก้าโมงเช้าถึงสิบเอ็ดโมง เที่ยวบินเราออกบ่ายสามโมง มีเวลาว่างนิดหน่อย ฉันขอแวะไปซื้อของได้ไหมคะ”
“ซื้อของ? คนอย่างเธอจะซื้ออะไร เห็นกว่าจะหยิบเงินออกจากกระเป๋าแต่ละทีอย่างกับจะกรีดเลือดกรีดเนื้อออกมา”
“บอสก็พูดเกินไป” เธอกัดฟันฉีกยิ้มให้เขา “แค่ซื้อของไปฝากหลานค่ะ”
“หลาน? นอกจากมีน้องชายแล้วยังมีหลานอีกเหรอ”
“มีสิค่ะ” เธอพยักหน้าหงึกหงัก “หลานของฉันชื่อน้องโมกข์ค่ะ อายุห้าขวบแล้ว”
“บ้านเธอก็จนขนาดนั้นยังกล้ามีลูกได้นะ”
รอยยิ้มแข็งค้างอยู่บนใบหน้าหวาน เธอไม่อยากเล่าเรื่องดราม่าเรียกความสงสารจากใคร เอ่อ...ถ้าไม่จำเป็นนะน่ะ
“ก็เพราะแบบนี้ไงคะ ฉันถึงเต็มใจทำงานกับบอสแม้จะมีเงื่อนไขห้ามท้องห้ามมีสามี เพราะฉันอยากตั้งตัวให้ได้เสียก่อน”
“เธอนี่มันจริงๆเลย อยากต่อสัญญางานขนาดนี้เลยเหรอ”
“บอสไม่เคยได้ยินหรือคะ ทุกวันนี้ใครมีงานประจำทำต้องกอดให้แน่นเลยค่ะ”
‘ถ้าได้เกาะขาบอสไปอีกห้าปี จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง’
“เอาเถอะ ซื้อที่สนามบินก็ได้นี่ ร้านขายของฝากของที่ระลึกเยอะแยะไป ปกติเวลาเดินทางกับผม คุณก็ซื้อที่ร้าน Duty Freeไม่ใช่เหรอ”
“ก็...ถ้าซื้อร้านข้างนอกมันถูกกว่านี่คะ”
‘นั้นไง เลขาขี้เหนียวของผม’
“งั้นก็เอาบัตรของผมไปซื้อ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ของนั้นมันของฉันทั้งนั้น แล้วก็มีผงปรุงรสที่คุณหัสดินฝากซื้อด้วย”
“ผงปรุงรส? ผงปรุงรสอะไร นี่คุณสนิทกับหัสดินมากขนาดฝากซื้อของให้กันด้วยเหรอ”
“ผงปรุงรสก็ผงปรุงรสเวลาทำอาหารไงคะ” เธอทำแววตาไม่เชื่อว่าเขาไม่รู้จัก แต่ก็อาจจะจริง คนอย่างเขาจะไปรู้เรื่องในครัวได้อย่างไรกัน “แล้วเรื่องบอสกับฉันมาประชุมงานเซ็นสัญญาที่นี่คนทั้งบริษัทก็รู้ คุณหัสดินก็เลยฝากฉันซื้อของค่ะ”
“เอาเถอะ จะซื้ออะไรก็ซื้อ มาขึ้นเครื่องให้ทันก็พอ”
“รับทราบ ขอบคุณค่ะบอส”
“วันนี้คุณทำได้ดีมาก” หัสวีร์เอ่ยชมเลขาที่ปั้นมากับมือ “พูดจาก็ไม่ติดๆขัดๆ เหมือนเมื่อก่อน เวลาพรีเซนต์งานก็ทำหน้าที่ได้ดี ตระเตรียมเอกสารศึกษาข้อมูลมาดี”
“ขอบคุณค่ะ” เธอนอมรับคำชมด้วยความเต็มใจ “ฉันเก่งขนาดนี้ หวังว่าบอสจะรับฉันไว้พิจารณาต่อสัญญางานอีกห้าปีนะคะ”
ชายหนุ่มหัวเราะเสียงทุ่มต่ำอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก
“ไม่คิดว่าผมเบื่อหน้าคุณบ้างเหรอ”
หัสวีร์ติดค้างรมิดามากเหลือเกิน แม้มีทรัพย์สมบัติเป็นพันล้านก็ชดเชยให้เธอได้ไม่หมด แค่เรื่องง่ายๆ อย่างพาเธอมาเที่ยว ‘ทะเล’ ก็ต้องรออยู่หลายปี ยังไม่ได้ทันได้ไปฮันนีมูนก็มีเรื่องเสียก่อน เขาอยากพาเธอไปต่างประเทศ แต่รมิดาก็เป็นห่วงลูกชายทั้งที่มีคนอาสาเลี้ยงลูกเป็นขโยง แต่ในที่สุด ก็ได้พาเมียมาทะเลเสียที “พี่วีร์ ตลกไหมคะ” เสียงหวานเอ่ยถามเรียกชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ หัสวีร์หันไปตามเสียงก็พบรมิดาอยู่ในชุดว่ายน้ำทูพีชสีชมพูหวานฉ่ำ แม้จะเป็นชุดว่ายน้ำแบบเรียบๆ แต่รูปร่างอวบอิ่มของหญิงสาวก็ทำเอาทะเลเดือดได้เหมือนกัน “พี่วีร์” รมิดาทำหน้ามุยที่เห็นหัสวีร์มองหน้านิ่ง เธอก้มมองตัวเองแล้วก็ถอนหายใจ ว่ากันว่าหลังคลอดลูกแล้วรูปร่างเปลี่ยน มันก็จริงนะ ตอนนั้นเธอห่วงแค่ต้องเลี้ยงลูก และยังช่วยพี่สาวเปิดร้านเบเกอรี่ไม่มีเวลามาดูแลรูปร่างให้เข้าที่เหมือนคนอื่นเสียด้วย “อ๊ะ!” หัสวีร์ได้สติก็คว้าเอวคอดมานั่งตักแล้วกดปลายคางกับไหล่เนียนนุ่ม “ฝนทำให้พี่ตะลึงเลย หุ่นแบบนี้บอกว่ามีลูกแล้วคงไม่มีใครเชื่อ” “สรุปว่าดีหรือไม่ดีคะ”
ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง รมิดานั่งอ่านข่าวจากหน้าจอเครื่องไอแพด ข่าวตำรวจทลายแหล่งค้ามนุษย์เป็นที่พูดถึงในโลกโซเซียลอยู่หลายวันและมีการสืบขยายผลผู้เกี่ยวข้องอีกหลายฝ่าย ไม่เพียงแค่ค้ามนุษย์แต่ยังมีเรื่องยาเสพติดสิ่งผิดกฎหมายอีกหลายอย่าง แต่ไม่มีการพาดพิงถึงเรื่องที่รวิศถูกจับตัวไป การมีเงินใช้เงินให้ถูกที่ก็ไม่ได้แย่นัก รมิดารู้ดีว่าที่หัสวีร์ทำไปทั้งหมดก็เพื่อลูก เขาไม่ต้องการให้ลูกกลายเป็นเป้าสนใจของสื่อทุกแขนงและยังจะกระทบกระเทือนจิตใจลูกด้วย รวิศเข้ารับการตรวจร่างกายอย่างละเอียด นอกจากการขาดน้ำ-อาหารและบาดแผลถลอกที่ไม่ติดเชื้อแล้วก็นับว่าร่างกายแข็งแรงดี ส่วนสภาพจิตใจนั้น จิตแพทย์เด็กได้ให้การดูแลอยู่เชื่อว่าความรักจากคนในครอบครัวจะทำให้เด็กน้อยผ่านความทรงจำเลวร้ายนี้ได้ แต่เพราะความเป็นห่วงของปู่ย่าจึงอยากให้รวิศอยู่โรงพยาบาลสักวันสองวันเพื่อความมั่นใจ แต่คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือเพื่อนใหม่ของรวิศ...เด็กหญิงผักหอม เด็กแข็งแกร่งที่รมิดาเห็นแล้วก็นึกถึงตัวเองในวัยเด็ก หัสวีร์ให้คนสืบเรื่องของผักหอมและเมื่อรู้ว่าครอบครัวไม่ได้อบอุ่นและยังทำร้ายร่างกายเด็ก ทำให้ทั้งสองปรึก
มือเล็กๆ จับกันแน่น รวิศเผลอหันไปมองด้านหลังทำให้เท้าที่ไม่มีแรงสะดุดก้อนอิฐที่ปูไม่เรียบตรงหน้า ร่างเขาเซถลาล้มลงแต่ผักหอมก็ไม่ยอมปล่อยมือ “อย่าหยุดนะ คนใจร้ายตามมาแล้ว!” “อื้อ” น้ำตาคลอเบ้าตา รวิศเจ็บมากแต่ไม่กล้าร้องไห้และไม่กล้ามองเข่าที่เจ็บมากและรู้ว่าเลือดไหลซึมออกมา ผักหอมออกแรงดึงแขนรวิศแล้วสบตากัน เด็กหญิงก็หวาดกลัวไม่น้อยแต่ก็ฝืนยิ้มแล้วพูดออกมา “เพี้ยงงงง หาย ไม่เจ็บแล้วนะ” ดวงตากลมกะพริบตาปริบๆ เหมือนความเจ็บนั้นจะหายไปชั่วขณะ เสียงคนโวยวายดังไล่หลังทำให้เด็กน้อยทั้งสองสะดุ้งโหย่ง ผักหอมเห็นท่าไม่ดีดึงแขนของรวิศให้มาหลบอยู่หลังกองไม้ “หลบอยู่ตรงนี้ อย่าสงเสียงนะ รอจนกว่าคนใจร้ายไปแล้วค่อยออกมาล่ะ” “แล้วเธอล่ะ มาหลบด้วยกันสิ” รวิศกระถดกายเข้าไปด้านในเพื่อให้ผักหอมเข้ามาหลบด้วยกัน แต่เด็กหญิงส่ายหน้ารัวๆ “นายเข่าเจ็บ วิ่งไม่ทันแน่ ฉันจะหลอกพวกมันไปอีกทางเอง” “ไม่ได้นะ! พวกมัน...พวกมัน...” เด็กหญิงฉีกยิ้มเศร้า เธอรู้...เธอเป็นคนจน...พวกมันเอาเธอไปขาย แต่ถ้าเ
รมิดาเผชิญหน้ากับชายสวมหน้ากากอนามัยสีดำ ความหวาดกลัวที่มีหายไปหมดสิ้นเมื่อคิดว่าต้องช่วยลูกออกมาให้ได้ แม้จะมีหน้ากากปิดครึ่งหน้าแต่แววตามันกำลังแสยะยิ้มให้เธออยู่ “น่าปรบมือให้จริงๆ ภรรยาของประธานหัสวีร์กล้ามาด้วยตัวเองคนเดียวจริงๆ” ภาคภูมิที่ออกมาต้อนรับด้วยตัวเองพูดน้ำเสียงราบเรียบ ดวงตาหรี่มองอย่างประเมิน มิน่าเล่า จากเลขาถึงกลายเป็นเมียได้ ก็สวยขนาดนี้เลยนี่ สวยกว่ายัยปอไหมนั้นอีก “ลูกชายฉันอยู่ที่ไหน” รมิดาถามรักษาระดับน้ำเสียงไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าเธอหวาดกลัวมากแค่ไหน เธอไม่ได้ตัวเองเป็นอันตรายแต่เป็นห่วงลูก กลัวว่าลูกจะไม่ปลอดภัย “ผมต้องค้นตัวคุณก่อน” ภาคภูมิสาวเท้าเข้าไปใกล้หญิงสาวไม่ถอยหลังหนีซ้ำยังยืนนิ่งเชิดใบหน้าขึ้นไร้ความเกรงกลัว เขายิ้มพอใจแล้วยื่นมือข้างใบหูเพื่อสำรวจว่าเธอติดเครื่องมือสื่อสารอะไรมาหรือเปล่า “ฉันพกโทรศัพท์มือถือมา มันต้องใช้โอนเงิน” เธอยื่นโทรศัพท์ที่ปิดเครื่องให้มันด้วยตัวเอง ชายหนุ่มยื่นมือไปรับแล้วใช้มืออีกข้างแตะที่กระดุมเสื้อเชิ้ตของรมิดา หญิงสาวปัดมือเขาออกทำให้โจรชั่วเลิกคิ้วขึ้นเล
เด็กชายวัยสามขวบเศษเนื้อตัวมอมแมมแต่กระนั้นยังเห็นได้ชัดว่าเป็นมีเชื้อชาวต่างชาติ รวิศยกหลังมือจะเช็ดน้ำตาแต่ก็นึกได้ว่าแม่สอนไว้ให้ใช้ผ้าเช็ดหน้า เขาล้วงมือในกระเป๋ากางเกงเจอแท่งช็อกโกแลต เขาเผลอยิ้มอย่างดีใจเพราะตั้งแต่กินมื้อเที่ยงไปยังไม่ได้กินอะไรอีกเลย ขณะกำลังฉีกห่อขนมก็รู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองอยู่ เขามองกลับเห็นว่าเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เนื้อตัวมอมแมมเหมือนเขาและน่าจะอายุพอๆกัน หรืออาจจะถูกคนใจร้ายจับมาเหมือนกัน “กินด้วยกันไหม” รวิศถามแล้วลุกขึ้นเดินไปยังมุมห้องที่เด็กผู้หญิงนั่งกอดเข่าอยู่ เขาเอียงหน้ามองแล้วก็อุทานตกใจคว้าหาผ้าเช็ดหน้าแล้วยื่นไปแตะๆที่หน้าผากของเด็กหญิงคนนั้น “เธอมีแผล ต้องเช็ดแผล” “เจ็บ” เด็กหญิงแบะปากอยากร้องไห้ แต่ท่าทางจะร้องมาหนักแล้วจนดวงตาบวมแดงและแห้งผาก “มาๆ เราเป่าให้นะ เพี้ยง!หาย” “ยังเจ็บอยู่เลย” “เราทำแบบที่แม่สอน เดี๋ยวเป่าอีกทีนะ เพี้ยงงงง หายยยย” อาจเพราะไม่ได้อยู่คนเดียว เด็กหญิงจึงอารมณ์ดีขึ้น เธอเผลอยิ้มแต่ก็ต้องร้อ
เสียงลูกชายดังขึ้นมาทันทีที่ยังพูดไม่จบ รมิดามือไม้สั่นไปหมดแทบจับโทรศัพท์ไม่อยู่ หัสวีร์รีบยื่นมือไปประคองมือของเธอไว้ ปลายสายตัดสัญญาไปแล้ว ร่างบางถึงกับเข่าอ่อนแต่เพราะมีหัสวีร์ประคองอยู่จึงไม่ได้ลงไปนั่งกับพื้น “สงสัยปู่ต้องรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับกำนันคมคายเสียหน่อย” เมื่อก่อนปู่ก็จัดว่าเป็นนักเลงเก่ามาก่อน เพราะได้เมียดีคอยเตือนสติไม่หลงเดินทางผิดจึงสร้างอาณาจักรศาตนันท์ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจผิดกฎหมาย แต่ก็มี...เลี้ยงคนไว้ใช้งานอยู่บ้าง “ตั้งสติ” เสียงย่าพูดกับรมิดา “ผู้หญิงบ้านนี้ห้ามอ่อนแอ” “ค่ะ” รมิดาสูดลมหายใจลึกแล้วพยุงตัวเองขึ้น เธอยังสวมชุดกระโปรงที่ใส่ไปทำงานอยู่ “ฝนขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ พี่วีร์จัดการเรื่องเงินรอได้เลย จะให้ฝนทำอะไร ฝนพร้อมค่ะ” เงินห้าสิบล้านไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหัสวีร์ รมิดาเป็นเลขาของเขามาห้าปีจัดการเรื่องการเงินให้เขาย่อมรู้ดีทุกอย่าง แต่การไม่รู้ว่าต้องเตรียมเงินเพื่อโอนไปที่ไหนหรือจะทำเอาไปให้ใครทำให้เธอหงุดหงิดมากกว่า รมิดาสวมกางเกงยีนกับเสื้อยืดพอดีตัว ผมยาวรวบขึ้นเป็นหางม้าท่