รมิดาได้ยินแบบนั้นแต่ก็ยังฉีกยิ้มประจบประแจง คงเพราะจับน้ำเสียงเขาได้ว่าเขาอารมณ์ดี อาจเพราะการเจรางานวันนี้ลุล่วงด้วยดี ทุกอย่างเรียกว่าสมบูรณ์แบบ เธอรู้ว่าเขาเองก็ทำงานหนักไม่น้อยไปกว่าเธอ เขาคือหัสวีร์ประธารบริษัทศาตนันท์กรุ๊ฟรุ่นที่สาม เขาเองก็ต้องการพิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ยอมรับจากคนทุกคนเช่นกัน
“ผมเบื่องานเลี้ยงแล้ว หาที่นั่งดื่มเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ”
“ถ้าดื่มที่อื่นเราต้องจ่ายค่าเครื่องดื่มเองนะคะ”
“คุณรมิดา”
“รับทราบค่ะบอส”
แล้วจะถามเธอทำไม ในเมื่อมีที่อยากไปอยู่แล้ว
ไม่จำเป็นต้องร่ำลาใครมากมาย เจ้าของร่างสูงโปร่งในชุดสูทเรียบหรูก้าวเท้าออกจากงานเลี้ยงโดยมีเลขาสาวสวยเดินตามหลังไม่ห่างนัก รมิดาไม่เคยถามว่าเขาจะพาเธอไปไหน กลับเต็มไปด้วยความเชื่อใจ หัสวีร์มีผู้หญิงที่คบหา เอ่อ...เรียกว่าเพื่อนเที่ยวดีกว่า เป็นเพื่อนสนิทชิดบนเตียงหลายคน เรื่องนี้เธอรู้เพราะเธอเป็นคนดูแลผู้หญิงเหล่านั้น ถนอมน้ำใจพวกเธอด้วยการส่งของขวัญในวาระพิเศษต่างๆ โดยที่หัสวีร์ให้เธอจัดการตามความเหมาะสม เว้นแค่เรื่องของคุณคาเรนที่ดูท่าทางบอสของเธอจะชอบดาราสาวคนนี้อยู่ไม่น้อย การเห็นเขาเปลี่ยนคู่ควงบ่อยและพิถีพิถันเลือกคบผู้หญิงมีระดับ กลับทำให้เธอมั่นใจว่าเธอไม่ได้อยู่ในสายตาเขาแม้แต่น้อย
หัสวีร์ไม่ได้ไปไหนไกลอย่างที่รมิดาคิด เขากลับมาที่ห้องพักสุดหรูแล้วสั่งรูมเซอร์วิชนำเครื่องดื่มมาบริการ
“ผิดหวังหรือไง” เขาพูดยิ้มๆ แล้วถอดเสื้อสูทตัวนอก รมิดายื่นมือไปรับอย่างเคยชิน เมื่อก่อนเธอผูกเนคไทไม่เป็น ก็แน่ล่ะ เธอจะไปเคยผูกได้อย่างไร ทุกวันที่ผูกเนคไทเป็นก็เพราะบอสสอน
‘ฝึกไว้ เผื่อคุณต้องช่วยผม’
รมิดาจำได้ เขายกเนคไทให้เธอหนึ่งเส้น เธอฝึกผูกอยู่นานนับสัปดาห์จนผูกได้ดี เธอยังจำไปสอนน้องชายอยู่เลย
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองร่างเพรียวบางเก็บเนคไทและเสื้อสูทของเขาไว้ที่ตู้เสื้อผ้า เขาชี้นิ้วไปที่รองเท้า อนุญาตให้เธอใส่รองเท้าสลิปเปอร์ในห้องของเขาได้ สีหน้าเธอผ่อนคลายเมื่อไม่ต้องใส่รองเท้าส้นสูง
“รินไวน์ให้ผม” เขาสั่งหลังจากเอนกายลงบนโซฟาหรู แล้วยกเท้าพาดไปที่โต๊ะเตี้ยตรงหน้า เลขาสาวจัดการให้ตามสั่งแล้วส่งแก้วไวน์ให้เขา
“ถ้าคุณอยากดื่มก็รินเองได้เลย”
“ไม่ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวฉันเดินกลับห้องไม่ถูก”
เสียงหัวเราะทุ่มต่ำดังในความเงียบ เขาเปิดแค่โคมไฟในห้องทำให้แสงสลัวนวลตาและชวนผ่อนคลาย
“บอสมีเรื่องไม่สบายใจหรือคะ” รมิดาถามหลังจากเติมไวน์ให้เขาอีกแก้ว
“หน้าผมบอกชัดขนาดนั้นเลยเหรอ” เขาปรายตามองเธอเล็กน้อย
“ทำงานกับบอสมาหลายปี ก็พอดูออกค่ะ” เธอตอบไปตามตรงแล้วนั่งที่เก้าอี้บุนวมฝั่งตรงข้าม
ริมฝีปากหยักสวยคลี่ยิ้ม เขายกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม ความจริงอยากดื่มอะไรที่มันแรงกกว่านี้แต่พรุ่งนี้ยังต้องทำงานอีก เขาไม่อยากให้สิ่งที่ทุมเทมาต้องสูญเปล่าเพราะเมาค้าง
“คุณคงพอรู้เรื่องยุ่งเหยิงในครอบครัวผมบ้าง”
รมิดาแค่ยิ้มน้อย แน่นอนว่าเธอรู้เพียงแต่มันเป็นเรื่องของเจ้านาย เธอเป็นลูกน้องไม่อาจก้าวก่ายได้ เช่นเดียวกับเขาที่แม้ปากร้ายวิจารณ์เรื่องในครอบครัวเธอแต่ก็ไม่เคยเข้ามายุ่มย่ามแต่อย่างใด
“กลับไปครั้งนี้ปู่จะนัดให้ผมไปดูตัวเจ้าสาว” เขามองเหม่อไปยังวิวด้านนอกของชั้นที่ยี่สิบ ทิวทัศน์แสงสียามราตรีทำให้เขาคิดว่าตัวเองเหมือนอยู่ในกรุงเทพฯ “ผมไม่ชอบที่ถูกเจ้ากี้เจ้าการเรื่องชีวิตคู่”
เลขาสาวได้แต่นิ่งฟังอย่างตั้งใจ ไม่กล้าเอ่ยปากขัดแม้ในใจมีคำถามมากมาย
“พ่อผมทำเรื่องไว้เยอะ คราวนี้ปู่เลยคาดหวังว่าผมจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ปู่เลือกให้”
“แต่บอสคบกับคุณคาเรนไม่ใช่หรือคะ” คราวนี้เธออดถามไม่ได้จริงๆ คาเรนเป็นดารานางแบบชื่อดัง โปรโฟล์ยอดเยี่ยมแทบไม่มีข่าวเสียเลยสักนิด เธอไม่รู้ว่าระดับความสัมพันธ์ของบอสกับดาราสาวเรียกว่าอะไร แต่เธอมั่นใจว่าคาเรนไม่เหมือนคู่ขาคนอื่นๆ ของบอส
“ผมเคยขอคาเรนแต่งงาน แต่เธอยังไม่พร้อม ส่วนปู่ผมก็ยิ่งไม่ชอบผู้หญิงต่างชาติ ก็เพราะเรื่องแม่ของผมที่สุดท้ายก็หย่ากับพ่อทั้งที่ผมเกิดได้ไม่กี่เดือน ปู่ผมเลยฝั่งใจไม่ชอบผู้หญิงต่างชาติที่เข้ากับธรรมเนียมไทยไม่ได้”
แหม...ใครจะไปคิดว่าคนรวยก็มีความทุกข์แบบคนรวย รมิดาได้แต่พูดกับตัวเองในใจ และทำหน้าที่ผู้ฟังที่ดี
“ก่อนที่คาเรนจะกลับไปสวีเดน ผมเคยบอกว่าจะรอเธอ แต่สองปีมานี่ คุณก็เห็นว่าปู่ย่าวุ่นวายกับการส่งผู้หญิงมาหาผมที่บริษัทตั้งไม่รู้กี่ครั้ง ถ้าผมยังไม่แต่งงานกับใครสักคนก็คงถูกรบกวนอยู่แบบนี้”
“แล้วบอสปรึกษาเรื่องนี้กับคุณคาเรนหรือยังคะ”
เขายักไหล่แล้วดื่มไวน์จนหมดแก้ว
“พูดแล้ว แต่พ่อของคาเรนป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เธอไม่สามารถกลับเมืองไทยได้ และไม่พร้อมจะแต่งงาน เธอยังพูดให้ผมไปหาผู้หญิงคนใหม่อยู่เลย”
‘พูดไปแล้วก็น่าน้อยใจ คนอย่างหัสวีร์ถูกผู้หญิงทิ้งเหรอเนี้ย’
“แต่บอสก็อยากจะรอคุณคาเรนใช่ไหมคะ”
“ใช่ ผมอยากรักษาคำพูดตัวเอง”
ถึงเขาเป็นเพลย์บอยตัวพ่อ คาสโนว่าเรียกพี่ แต่เขาเป็นคนรักษาคำพูด แน่นอนว่าเขามีพ่อเป็นต้นแบบที่ไม่ดีเอาเสียเลย แม้เขาจะไม่โตมาโดยมีแม่อยู่ใกล้ๆ แต่เท่าที่เขาเห็นจากพฤติกรรมเจ้าชู้ของพ่อแล้ว เรื่องเดียวที่เขาจะไม่ขอเป็นแบบพ่อก็คือคนไม่รักษาคำพูด ผู้หญิงคนอื่นที่เข้ามาในชีวิตเขาต้องเคลียร์ใจกันชัดเจน ไม่ให้มีปัญหาผิดใจเพราะคำพูด
“แล้ว..ถ้าบอสแต่งงานกับผู้หญิงที่ตัวเองเลือก คุณปู่ของบอสจะเลิกวุ่นวายกับชีวิตบอสหรือคะ”
อาจเพราะเขาระบายความในใจ เธอจึงกล้าเอ่ยปากถามไป
“ก็ถ้าผมแต่งงานแล้ว ปู่คงเข้ามาทำอะไรไม่ได้อีก อย่างน้อยก็ไม่ต้องส่งผู้หญิงมาให้ผมดูตัวอีก”
นิ้วเรียวเคาะโต๊ะเบาๆ “ถ้าเป็นในนิยายก็คงจ้างผู้หญิงมาแต่งงานเป็นเมียปลอมๆ รอจนกว่านางเอกตัวจริงจะกลับมา”
“หือ? คุณพูดว่าอะไรนะ”
“อ้อ! ไม่มีอะไรค่ะ ฉันก็ปากไม่ดีพูดไปไม่ทันคิด” เธอตบปากตัวเองเบาๆ เป็นการลงโทษ
หัสวีร์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นยืนทำให้รมิดาลุกขึ้นยืนตามเขา
“ดึกมากแล้ว คุณกลับไปพักผ่อนเถอะ”
“ค่ะ...ถ้างั้นฉันกลับห้องแล้วนะคะ เจอกันตอนเช้าค่ะ”
หญิงสาวเปลี่ยนรองเท้าแล้วก็เดินออกมาอย่างเงียบๆ ทิ้งให้ท่านประธานหนุ่มหล่อรินไวน์ให้ตัวเองแล้วยกแก้วขึ้นดื่มพลางกดโทรศัพท์มือถือโทรหาน้องชายต่างมารดา
“ว่าไงพี่วีร์ เที่ยงคืนแล้วไม่หลับไม่นอนหรือไง” น้ำเสียงงัวเงียตอบรับ
“มีเรื่องปรึกษา”
“หูย ระดับท่านประธานโทรมาปรึกษาเลยนะเนี้ย” หัสดินที่นอนอยู่ดีดตัวลุกขึ้นมานั่งบนเตียงทันที
“ฉันว่าจะหาผู้หญิงมาแต่งงานเป็นเมียปลอมๆ ปู่จะได้เลิกยุ่งดูตงดูตัวเสียที”
“หา!”
“ทำไม นายคิดว่าไง”
“เคยเห็นแต่ในซีรีย์ พี่จะเอาจริงเหรอ”
“เออ ถ้ามันเป็นทางออกให้ปู่เลิกยุ่งกับฉัน ฉันยอมจ่าย”
“หาผู้หญิงมาแต่งงานด้วยมันไม่ยากหรอก แต่ตอนจะเลิกนะ ผู้หญิงจะยอมไปง่ายๆหรือเปล่า”
“เรื่องนั้น...ฉันก็คิดอยู่ ต้องหามืออาชีพที่รับมือปู่และหย่าได้ทันทีที่คาเรนกลับมา”
“คุณสมบัติที่พี่พูดมา ผมนึกออกอยู่คนเดียว”
“ใคร”
“เรนนี่ไง”
“ใครนะ!”
“ก็คุณรมิดา เลขาคนเก่งของพี่ไง" หัสดินคิดว่าพี่ชายไม่เข้าใจที่เขาพูดไปจึงอธิบายเพิ่ม "ถ้าเป็นเรนนี่คงรับมือกับปู่และทุกปัญหาได้แน่นอน และถ้าพี่ต้องการหย่า เธอก็คงไม่สร้างปัญหาแน่นอน”
“ทำไมนายคิดอย่างนั้น”
“ก็เรนนี่ไม่ชอบพี่ คือผมหมายถึงเธอไม่ได้ชอบแบบชู้สาว ถ้าเธอชอบพี่จริงคงทนเห็นพี่ไปกับผู้หญิงคนอื่นไม่รู้ตั้งกี่คน แถมยังต้องคอยเอาใจผู้หญิงของพี่อีกสารพัด แล้วเธอก็ไม่มีความคิดอย่างแต่งงานด้วย ไม่งั้นจะยอมรับเงื่อนไขของพี่แล้วทำงานด้วยกันได้ไงตั้งเกือบห้าปี”
"นี่ฉันดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ แต่ผู้หญิงพวกนั้นก็เคยบ่นนี่นะ"
"พี่นี่ถอดแบบพ่อมาหรือไง" น้องชายต่างมารดาบ่น "เอาเป็นว่าผมเสนอ ส่วนเรนนี่จะสนองไหม พี่ไปถามเอาเอง"
ปลายนิ้วกดตัดสัญญาณไปแล้วจมกับความคำพูดของหัสดิน ผู้หญิงที่อยู่ใกล้ชิดเขามากที่สุดยิ่งกว่าแม่ก็เลขาขี้เหนียวที่ะรักเงินเป็นที่สุดของเขา แต่เรื่องนี้มันเหมือนนิยายน้ำเน่าไปเสียหน่อย ไม่รู้ว่าเธอรับบทเป็นภรรยาประธานพันล้านของเขาได้ไหมนะ
หัสวีร์ติดค้างรมิดามากเหลือเกิน แม้มีทรัพย์สมบัติเป็นพันล้านก็ชดเชยให้เธอได้ไม่หมด แค่เรื่องง่ายๆ อย่างพาเธอมาเที่ยว ‘ทะเล’ ก็ต้องรออยู่หลายปี ยังไม่ได้ทันได้ไปฮันนีมูนก็มีเรื่องเสียก่อน เขาอยากพาเธอไปต่างประเทศ แต่รมิดาก็เป็นห่วงลูกชายทั้งที่มีคนอาสาเลี้ยงลูกเป็นขโยง แต่ในที่สุด ก็ได้พาเมียมาทะเลเสียที “พี่วีร์ ตลกไหมคะ” เสียงหวานเอ่ยถามเรียกชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ หัสวีร์หันไปตามเสียงก็พบรมิดาอยู่ในชุดว่ายน้ำทูพีชสีชมพูหวานฉ่ำ แม้จะเป็นชุดว่ายน้ำแบบเรียบๆ แต่รูปร่างอวบอิ่มของหญิงสาวก็ทำเอาทะเลเดือดได้เหมือนกัน “พี่วีร์” รมิดาทำหน้ามุยที่เห็นหัสวีร์มองหน้านิ่ง เธอก้มมองตัวเองแล้วก็ถอนหายใจ ว่ากันว่าหลังคลอดลูกแล้วรูปร่างเปลี่ยน มันก็จริงนะ ตอนนั้นเธอห่วงแค่ต้องเลี้ยงลูก และยังช่วยพี่สาวเปิดร้านเบเกอรี่ไม่มีเวลามาดูแลรูปร่างให้เข้าที่เหมือนคนอื่นเสียด้วย “อ๊ะ!” หัสวีร์ได้สติก็คว้าเอวคอดมานั่งตักแล้วกดปลายคางกับไหล่เนียนนุ่ม “ฝนทำให้พี่ตะลึงเลย หุ่นแบบนี้บอกว่ามีลูกแล้วคงไม่มีใครเชื่อ” “สรุปว่าดีหรือไม่ดีคะ”
ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง รมิดานั่งอ่านข่าวจากหน้าจอเครื่องไอแพด ข่าวตำรวจทลายแหล่งค้ามนุษย์เป็นที่พูดถึงในโลกโซเซียลอยู่หลายวันและมีการสืบขยายผลผู้เกี่ยวข้องอีกหลายฝ่าย ไม่เพียงแค่ค้ามนุษย์แต่ยังมีเรื่องยาเสพติดสิ่งผิดกฎหมายอีกหลายอย่าง แต่ไม่มีการพาดพิงถึงเรื่องที่รวิศถูกจับตัวไป การมีเงินใช้เงินให้ถูกที่ก็ไม่ได้แย่นัก รมิดารู้ดีว่าที่หัสวีร์ทำไปทั้งหมดก็เพื่อลูก เขาไม่ต้องการให้ลูกกลายเป็นเป้าสนใจของสื่อทุกแขนงและยังจะกระทบกระเทือนจิตใจลูกด้วย รวิศเข้ารับการตรวจร่างกายอย่างละเอียด นอกจากการขาดน้ำ-อาหารและบาดแผลถลอกที่ไม่ติดเชื้อแล้วก็นับว่าร่างกายแข็งแรงดี ส่วนสภาพจิตใจนั้น จิตแพทย์เด็กได้ให้การดูแลอยู่เชื่อว่าความรักจากคนในครอบครัวจะทำให้เด็กน้อยผ่านความทรงจำเลวร้ายนี้ได้ แต่เพราะความเป็นห่วงของปู่ย่าจึงอยากให้รวิศอยู่โรงพยาบาลสักวันสองวันเพื่อความมั่นใจ แต่คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือเพื่อนใหม่ของรวิศ...เด็กหญิงผักหอม เด็กแข็งแกร่งที่รมิดาเห็นแล้วก็นึกถึงตัวเองในวัยเด็ก หัสวีร์ให้คนสืบเรื่องของผักหอมและเมื่อรู้ว่าครอบครัวไม่ได้อบอุ่นและยังทำร้ายร่างกายเด็ก ทำให้ทั้งสองปรึก
มือเล็กๆ จับกันแน่น รวิศเผลอหันไปมองด้านหลังทำให้เท้าที่ไม่มีแรงสะดุดก้อนอิฐที่ปูไม่เรียบตรงหน้า ร่างเขาเซถลาล้มลงแต่ผักหอมก็ไม่ยอมปล่อยมือ “อย่าหยุดนะ คนใจร้ายตามมาแล้ว!” “อื้อ” น้ำตาคลอเบ้าตา รวิศเจ็บมากแต่ไม่กล้าร้องไห้และไม่กล้ามองเข่าที่เจ็บมากและรู้ว่าเลือดไหลซึมออกมา ผักหอมออกแรงดึงแขนรวิศแล้วสบตากัน เด็กหญิงก็หวาดกลัวไม่น้อยแต่ก็ฝืนยิ้มแล้วพูดออกมา “เพี้ยงงงง หาย ไม่เจ็บแล้วนะ” ดวงตากลมกะพริบตาปริบๆ เหมือนความเจ็บนั้นจะหายไปชั่วขณะ เสียงคนโวยวายดังไล่หลังทำให้เด็กน้อยทั้งสองสะดุ้งโหย่ง ผักหอมเห็นท่าไม่ดีดึงแขนของรวิศให้มาหลบอยู่หลังกองไม้ “หลบอยู่ตรงนี้ อย่าสงเสียงนะ รอจนกว่าคนใจร้ายไปแล้วค่อยออกมาล่ะ” “แล้วเธอล่ะ มาหลบด้วยกันสิ” รวิศกระถดกายเข้าไปด้านในเพื่อให้ผักหอมเข้ามาหลบด้วยกัน แต่เด็กหญิงส่ายหน้ารัวๆ “นายเข่าเจ็บ วิ่งไม่ทันแน่ ฉันจะหลอกพวกมันไปอีกทางเอง” “ไม่ได้นะ! พวกมัน...พวกมัน...” เด็กหญิงฉีกยิ้มเศร้า เธอรู้...เธอเป็นคนจน...พวกมันเอาเธอไปขาย แต่ถ้าเ
รมิดาเผชิญหน้ากับชายสวมหน้ากากอนามัยสีดำ ความหวาดกลัวที่มีหายไปหมดสิ้นเมื่อคิดว่าต้องช่วยลูกออกมาให้ได้ แม้จะมีหน้ากากปิดครึ่งหน้าแต่แววตามันกำลังแสยะยิ้มให้เธออยู่ “น่าปรบมือให้จริงๆ ภรรยาของประธานหัสวีร์กล้ามาด้วยตัวเองคนเดียวจริงๆ” ภาคภูมิที่ออกมาต้อนรับด้วยตัวเองพูดน้ำเสียงราบเรียบ ดวงตาหรี่มองอย่างประเมิน มิน่าเล่า จากเลขาถึงกลายเป็นเมียได้ ก็สวยขนาดนี้เลยนี่ สวยกว่ายัยปอไหมนั้นอีก “ลูกชายฉันอยู่ที่ไหน” รมิดาถามรักษาระดับน้ำเสียงไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าเธอหวาดกลัวมากแค่ไหน เธอไม่ได้ตัวเองเป็นอันตรายแต่เป็นห่วงลูก กลัวว่าลูกจะไม่ปลอดภัย “ผมต้องค้นตัวคุณก่อน” ภาคภูมิสาวเท้าเข้าไปใกล้หญิงสาวไม่ถอยหลังหนีซ้ำยังยืนนิ่งเชิดใบหน้าขึ้นไร้ความเกรงกลัว เขายิ้มพอใจแล้วยื่นมือข้างใบหูเพื่อสำรวจว่าเธอติดเครื่องมือสื่อสารอะไรมาหรือเปล่า “ฉันพกโทรศัพท์มือถือมา มันต้องใช้โอนเงิน” เธอยื่นโทรศัพท์ที่ปิดเครื่องให้มันด้วยตัวเอง ชายหนุ่มยื่นมือไปรับแล้วใช้มืออีกข้างแตะที่กระดุมเสื้อเชิ้ตของรมิดา หญิงสาวปัดมือเขาออกทำให้โจรชั่วเลิกคิ้วขึ้นเล
เด็กชายวัยสามขวบเศษเนื้อตัวมอมแมมแต่กระนั้นยังเห็นได้ชัดว่าเป็นมีเชื้อชาวต่างชาติ รวิศยกหลังมือจะเช็ดน้ำตาแต่ก็นึกได้ว่าแม่สอนไว้ให้ใช้ผ้าเช็ดหน้า เขาล้วงมือในกระเป๋ากางเกงเจอแท่งช็อกโกแลต เขาเผลอยิ้มอย่างดีใจเพราะตั้งแต่กินมื้อเที่ยงไปยังไม่ได้กินอะไรอีกเลย ขณะกำลังฉีกห่อขนมก็รู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองอยู่ เขามองกลับเห็นว่าเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เนื้อตัวมอมแมมเหมือนเขาและน่าจะอายุพอๆกัน หรืออาจจะถูกคนใจร้ายจับมาเหมือนกัน “กินด้วยกันไหม” รวิศถามแล้วลุกขึ้นเดินไปยังมุมห้องที่เด็กผู้หญิงนั่งกอดเข่าอยู่ เขาเอียงหน้ามองแล้วก็อุทานตกใจคว้าหาผ้าเช็ดหน้าแล้วยื่นไปแตะๆที่หน้าผากของเด็กหญิงคนนั้น “เธอมีแผล ต้องเช็ดแผล” “เจ็บ” เด็กหญิงแบะปากอยากร้องไห้ แต่ท่าทางจะร้องมาหนักแล้วจนดวงตาบวมแดงและแห้งผาก “มาๆ เราเป่าให้นะ เพี้ยง!หาย” “ยังเจ็บอยู่เลย” “เราทำแบบที่แม่สอน เดี๋ยวเป่าอีกทีนะ เพี้ยงงงง หายยยย” อาจเพราะไม่ได้อยู่คนเดียว เด็กหญิงจึงอารมณ์ดีขึ้น เธอเผลอยิ้มแต่ก็ต้องร้อ
เสียงลูกชายดังขึ้นมาทันทีที่ยังพูดไม่จบ รมิดามือไม้สั่นไปหมดแทบจับโทรศัพท์ไม่อยู่ หัสวีร์รีบยื่นมือไปประคองมือของเธอไว้ ปลายสายตัดสัญญาไปแล้ว ร่างบางถึงกับเข่าอ่อนแต่เพราะมีหัสวีร์ประคองอยู่จึงไม่ได้ลงไปนั่งกับพื้น “สงสัยปู่ต้องรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับกำนันคมคายเสียหน่อย” เมื่อก่อนปู่ก็จัดว่าเป็นนักเลงเก่ามาก่อน เพราะได้เมียดีคอยเตือนสติไม่หลงเดินทางผิดจึงสร้างอาณาจักรศาตนันท์ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจผิดกฎหมาย แต่ก็มี...เลี้ยงคนไว้ใช้งานอยู่บ้าง “ตั้งสติ” เสียงย่าพูดกับรมิดา “ผู้หญิงบ้านนี้ห้ามอ่อนแอ” “ค่ะ” รมิดาสูดลมหายใจลึกแล้วพยุงตัวเองขึ้น เธอยังสวมชุดกระโปรงที่ใส่ไปทำงานอยู่ “ฝนขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ พี่วีร์จัดการเรื่องเงินรอได้เลย จะให้ฝนทำอะไร ฝนพร้อมค่ะ” เงินห้าสิบล้านไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหัสวีร์ รมิดาเป็นเลขาของเขามาห้าปีจัดการเรื่องการเงินให้เขาย่อมรู้ดีทุกอย่าง แต่การไม่รู้ว่าต้องเตรียมเงินเพื่อโอนไปที่ไหนหรือจะทำเอาไปให้ใครทำให้เธอหงุดหงิดมากกว่า รมิดาสวมกางเกงยีนกับเสื้อยืดพอดีตัว ผมยาวรวบขึ้นเป็นหางม้าท่