ชายชรานั่งอยู่ที่เก้าอี้เอนหลัง รู้สึกตัวว่ามีคนเข้าก็ขยับตัวอย่างเกียจคร้าน จ้องมองคนที่ก้าวเข้ามายืนตรงหน้า
“คุณเองรึ” เสียงแหบแห้งเอ่ยาถาม “ไม่ได้เจอนาน”
“ความจำดีจริงๆ” ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเอ่ยขึ้น ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำพับแขนเสื้อถึงข้อศอก เข้ากับรองเท้าหนังที่สวมอยู่ การเดินเข้ามาราวกับคนคุ้นเคยทำให้อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กน้อย
“ไม่เจอกันกี่ปีแล้ว” บรรพตถอนหายใจอีกเฮือกหนึ่ง
“ก่อนที่คุณยายจะเสีย” เขาตอบแล้วเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างๆ ปรายตามองออกไปทางหน้าต่างซึ่งมองเห็นบ้านเล็กๆ ใกล้ๆ กัน “บ้านหลังนั้นมีคนเช่าแล้วเหรอ”
“อืม” คุณตาตอบเบาๆ “คุณผู้หญิงเป็นยังไงบ้าง”
“สบายดีครับ” เขาตอบไปตามตรง “รักษาตัวเองหลายปี อาการดีขึ้น แต่ก็ยังไปหาหมอตามนัดสม่ำเสมอ”
“ก็ดีแล้ว” คุณตาพยักหน้าเศร้าๆ อดีตเคยรุ่งโรจน์ ทรัพยสินเงินทองมากมาย แต่ครอบครัวกลับแตกแยก ลูกหลานไม่เหลียวแลสนใจแต่เงินในบัญชี มันคือผลกรรมจากการได้มาโดยมิชอบทั้งสิ้น
“แล้วคุณ...ไปหาหมอหรือเปล่า”
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ “ผมจัดการตัวเองได้”
“ช่างเถอะ ผมยุ่งเรื่องของคุณหนูมากเกินไป”
“ผมสามสิบแล้ว เลิกเรียกคุณหนูได้แล้ว” ชายหนุ่มหัวเราะร่วนอารมณ์ดีขึ้น “ผมแค่มาหาคนเล่นหมากรุกด้วยเท่านั้น”
“เอาซิ ผมเองก็...จะอยู่เล่นหมากรุกได้กี่วันเชียว”
“จะรีบตายไปไหนกัน” ชายหนุ่มเบ้ปาก แปลกใจที่รู้สึกเหมือนในห้องมีกลิ่นหอมของดอกไม้ หรือเพราะตาแก่นี่ชอบปลูกต้นไม้ดอกไม้จึงมีกลิ่นหอมของดอกมะลิอยู่ในนี่
“มาเถอะ เล่นหมากรุกกัน” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นแล้วเดินไปหยิบชุดกระดานหมากรุกที่ฝุ่นเขรอะออกมาวางตรงหน้า
“ถ้าไม่มีเดิมพันก็ไม่สนุก” คุณตาหัวเราะเสียงแห้ง
“เอาอะไรดี”
“นั้นซิ จะเดิมพันด้วยอะไร”
“มีเรื่องอยากให้ช่วย”
“อะไรเหรอ”
“เอากระดานตานี้ให้ชนก่อนแล้วจะบอก”
“แบบนี้ก็ได้เหรอ” ชายหนุ่มอายุน้อยกว่าแต่กลับพูดจาราวกับคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ความสนใจเรื่องอื่นหายไปเมื่อบนกระดานมีหมากแต่ละตัววางในตำแหน่งสำคัญ
.....................
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นเห็นภาพในห้องนอนอันแสนคุ้นตา ความเบื่อหน่ายคือสิ่งแรกที่ทักทายในยามเช้า เขายันร่างเปลือยท่อนบนขึ้นนั่ง เสยผมยุ่งๆ แล้วมองไปที่นาฬิกาดิจิตอลตั้งอยู่ในห้องนอน
“เที่ยงแล้ว ตลกล่ะ”
หัสดินบ่นงึมงำ เขารู้ว่าถ้าช่วงที่เขาหลับลึกเพราะอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มหัวเสียที่ตัวเองตื่นเอาตอนเที่ยงอย่างนี้ นี่ไม่ใช่วันหยุด และเขามีการมีงานทำเหมือนคนปกติ หิวและอิ่มไม่ต่างกัน
น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขาโรคสองบุคลิก (DID)
อาการของเขาชัดเจนตอนอายุ 18 ปี ก่อนหน้านั้นเขาไม่แน่ใจนัก แต่ตอนนั้นเป็นหัสวีร์ที่จับความผิดปกติในตัวเขาได้
‘ฉันไม่ได้รังเกียจนาย แต่นายต้องรักษาตัวเอง’
‘แต่’
‘ฉันต้องไปเมืองนอก ไม่มีฉันอยู่ใครจะดูแลนายได้’
‘ก็ได้ ผมเชื่อฟังพี่ แต่เรื่องนี้ผมไม่อยากให้คนอื่นรู้’
‘อืม แค่ปู่รู้คนเดียวก็พอ เราไปหวังพึ่งพ่อเจ้าชู้ของเราคงไม่ได้หรอก’
หัสดินไม่ได้รักษาตัวเองจริงจังนัก ลึกๆ แล้วเขากลับพอใจที่เป็นอย่างนี้
ห้องชุดสุดหรูชั้นที่30 ของคอนโดกลางกรุงเป็นที่ซุกหัวนอนของเขา แม้พ่อมีคฤหาสน์หลังงามใหญ่โตเนื้อที่กว่าสิบไร่ เขาไม่ได้น้อยใจที่เกิดมาเป็นลูกนอกสมรส ที่ผ่านมาก็ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากคุณปู่คุณย่าและยังช่วยสนับสนุนการรักษาโรคซึมเศร้าหลังคลอดของแม่ด้วย
หลายปีมานี้ เขาตอบแทนบุญคุณตระกูลศาตนันท์ ที่ให้การเลี้ยงดูเขากับแม่เป็นอย่างดี แม้ว่าแม่จะไม่ได้เป็นเมียออกหน้าออกตาของพ่อ แต่ก็เป็นคนที่สองที่พ่อรับแม่มาอยู่ในคฤหาสน์อย่างเป็นทางการหลังจากแม่ของหัสวีร์หย่าขาดและกลับไปใช้ชีวิตต่างประเทศ ธุรกิจสีเทาที่ไม่เป็นที่เปิดเผยนั้น เขาดูแลทำกำไรหลายสิบล้าน อาจไม่มากหากเทียบกับหัสวีร์ แต่ก็...ทำให้หลายชีวิตหลายปากร้องมีเงินใช้ในยุคเศรษฐกิจย่ำแย่
เบื้องหน้าที่ใครๆ รู้จัก เขาคือเชฟหัสดิน หรือเชฟดิน เรื่องการทำอาหารอาจเป็นสิ่งเดียวที่เป็นตัวตนของเขามากที่สุด สิ่งที่ได้มาจากสองมือของเขา แม้จะยากลำบากสักหน่อยแต่ยั่งยืนกว่า และไม่มีใครมาพรากสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาไปจากเขาได้
ช่วงอายุยี่สิบต้นๆ เขาสนุกรื่นเริงกับ ผู้หญิง ปาร์ตี้ เซ็กส์ ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยง ร่างกายกระหายเซ็กส์เติมอย่างไรก็ไม่เต็ม บุคลิกที่สองของเขา ‘ดิน’ ยิ่งอิ่มเอมเพราะมันเสพกามตัณหาราวกับเป็นอาหาร ทว่าไม่กี่ปี เขาก็เริ่มเบื่อหน่าย ถอยห่างไม่รู้ตัว
หัสดินกระหายน้ำ เมื่อวาน ‘ดิน’ คงไปท่องราตรี แต่เขาไม่รู้สึกแฮงค์แค่คอแห้งอย่างหนัก บางครั้งเขาก็จำจำได้ว่า ‘ดิน’ ใช้ร่างของเขาไปทำอะไรบ้าง และบ้างครั้งเขาตื่นมาพร้อมกับจำอะไรไม่ได้เบน ร่างเปลือยท่อนบนเดินลากเท้าอย่างอ่อนแรงออกมาที่ครัวทันสมัยที่แทบไม่เคยใช้ เขาใช้ที่นี่เป็นที่หลับนอน ไม่เคยพาใครเข้ามา ปกติจะพบเขาต้องโทรนัดเวลาก่อน ไม่มีการจู่โจมมาพบถึงตัว
เขาเปิดตู้เย็นหยิบขาวน้ำดื่มมายกดื่มอย่างกระหาย น้ำเย็นไหลออกมาจากมุมปาก ผ่านลำคอไปสู่แผงอก แล้วสายตาของเขาก็ปะทะกับปิ่นโตบนโต๊ะ เขาวางขวดน้ำลงแล้วเดินไปปิ่นโตสามชั้นออกดู ชั้นแรกเป็นข้าวกล้องเรียงเม็ดดูน่ากิน อีกชั้นเป็นไข่พะโล้ ส่วนชั้นสุดท้ายเป็นกุนเชียงทอด จู่ๆรู้สึกน้ำลายเต็มปาก ยื่นมือไปหยิบกุนเชียงที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำเข้าปาก มันก็แค่กุนเชียง สายตามองไปที่ข้าวสวยมีช้อนสั้นวางอยู่ด้านบน เขาหยิบมันตักข้าวใส่ปาก ข้าวไม่แข็งจนเกินไป เขาตักหมูสามชั้นกับน้ำพะโล้ราดข้าวก่อนตักเข้าปาก
กับข้าวง่ายๆ ทำไมอร่อย หรือเพราะเขาหิว ‘ดิน’ เอาร่างเขาไปทำอะไรถึงได้ทั้งหิวและกระหายน้ำขนาดนี้
ชายหนุ่มชะงักไปเมื่อเห็นหญิงสาวตัวเล็กในชุดเสื้อเครื่องแบบสีฟ้าเข้ม ยืนจ้องมองด้วยสีหน้ายากจะอธิบาย
“เธอเป็นใคร” เขาเอ่ยถามแล้วยกขวดน้ำขึ้นดื่ม ไม่ได้รินใส่แก้ว
แม้เห็นเพียงแค่แผ่นหลังแต่แพรดาวก็จำได้ หญิงสาวนอนตะแคงมองแผ่นหลังกว้างของชายในชุดดำที่ยืนอยู่ริมเตียงของมารดา เธอขยับตัวลุกขึ้นนั่งขยี้ตาไล่ความงัวเงียออกไป คนตัวสูงรับรู้การเคลื่อนไหวจึงหันมามอง “มิสเตอร์...” แพรดาวเรียกได้แค่นั้นเขาก็ยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากเป็นสัญญาบอกให้เงียบๆ เธอพยักหน้าเข้าใจ และเมื่อเขาชี้นิ้วไปทางประตู เธอก็รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร มือเล็กยกขึ้นลูบผมสองสามทีแล้วก้มมองตัวเองก่อนลุกขึ้นเดินตามเขาออกไปที่นอกห้อง “การผ่าตัดเรียบร้อยดี?” เขาถามขณะเดินนำเธอมาที่บริเวณจุดที่จัดไว้ให้ญาตินั่งพักผ่อนได้ “ค่ะ ใช้เวลาห้าชั่วโมง ทุกอย่างราบรื่นดี ตอนนี้ก็รอดูผลตรวจชิ้นเนื้อแล้วก็พักฟื้นหลังการผ่าตัดค่ะ ถ้าฟื้นตัวเร็วไม่มีติดเชื้อหลังการผ่าตัดก็จะได้กลับไปพักฟื้นที่บ้าน” “อืม”ชายหนุ่มในชุดดำเอ่ยรับรู้ในลำคอ ดวงตาดุดันมองเส้นผมที่ยุ่งเหยิงเพราะเพิ่งตื่นนอน เขายื่นมือไปลูบอย่างไม่รู้ตัว เส้นผมนุ่มลื่นลูบไม่กี่เข้าที่เข้าทาง ความใกล้ชิดสนิทสนมผสานกับความอ่อนโยนที่ได้รับทำเอาแพรดาวทำตัวไม่ถูก และเหมือนชายหน
เสียงหมัดหนักๆ กระแทกใส่ท้องคนแรงๆ แต่อีกฝ่ายก็ส่งเสียงไม่ได้เพราะมีเศษผ้าอุดปากอยู่ เสียงคนซูดปากเพราะเจ็บแทนแต่ก็ได้แค่ยืนมองเจ้านายกระหนำหมัดและเท้าใส่คนที่สลบไปรอบหนึ่งแล้วแต่ถูกน้ำสาดให้ตื่นมารับหมัดหนักๆอีก “ทำไมวันนี้เจ้านายเราโหดจังวะ” “นั้นสิ ปกติไม่ลงมือเองนะ” “สงสัยอารมณ์ไม่ดี” “ไอ้หมอนั้นซวยเลย” สายตาคมกริบตวัดตามองมาทางลูกน้องสี่คน ที่ยื่นเอามือประสานไว้ด้านหน้าด้วยท่าทีนอบน้อม แต่สายตาดุจคมมีดนั้น ก็ทำให้พวกเขาถึงกับผวาเฮือกจนแทบลืมหายใจกันไปเลยทีเดียว “สงสารมากก็มาให้กูซ้อมนี่” “ไม่สงสารๆครับเจ้านาย” ทั้งสี่ส่ายหน้ารัว “งั้นมาลากมันไป” ดาร์กปรายตามองชายคนหนึ่งที่โดนซ้อมจนแทบมองเค้าหน้าเดิมไม่ออก ทั้งหน้าตาที่บวมปูดและเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยบาดแผล “อยู่ดีไม่ว่าดี ดันมาซ่าที่ซีเคร็ท คลับ” ลูกน้องคนหนึ่งบ่นพึมพำแล้วเข้าไปลากคนนั้นออกมา ‘ดาร์ก’ ก้มมองมือตัวเองที่เลอะคราบเลือด ลูกน้องที่ยืนใกล้ๆ รีบเอาผ้าเย็นมาให้เขาเช็ดมือ “คราบเลื
หลายวันมานี่ศรีฟ้าหลับๆ ตื่น ไม่ค่อยได้สติเต็มที่นัก ทุกครั้งจะรู้ว่าแพรดาวอยู่ใกล้เสมอ และรู้ว่าตัวเองทำให้ลูกต้องลำบากและพอรู้ว่าอยู่โรงพยาบาลเอกชนก็ยิ่งกังวลมากยิ่งขึ้น “น่าจะย้ายแม่ไปโรงพยาบาลรัฐนะลูก” “ที่นี่ดีแล้วค่ะแม่ ถ้าไปโรงพยาบาลรัฐ แม่ต้องรอคิวรักษานาน” “แต่ค่ารักษา...” “แม่จ๋าไม่ต้องห่วงนะ เจ้านายของหนูแพรจะช่วยออกให้ก่อนแล้วหนูแพรจะทำงานใช้หนี้เอง เอาล่ะๆ แม่จ๋าห้ามดื้อต้องหายเร็วๆ จะได้ออกจากโรงพยาบาลเร็วๆนะคะ” ศรีฟ้าไม่อยากทำให้ลูกต้องลำบากใจอีกจึงยอมทำตามที่ลูกสาวสั่ง เมื่อครู่ลูกออกไปซื้อของกิน นางก็เลยได้นอนเพียงลำพัง ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นภาระของลูกขนาดนี้ เสียงประตูเลื่อนเปิดออกเบาๆ แต่เพราะในห้องที่ค่อนข้างเงียบทำให้คนที่นอนอยู่ได้ยินและนึกว่าเป็นลูกสาวกลับมาแล้ว ทว่าเมื่อหันหน้ามามองก็เห็นภาพชายคนหนึ่งก้าวเข้ามาใกล้ นางเบิกตากว้าง คนตัวสูงเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างเตียงคนป่วย เขาขยับแว่นตาเล็กน้อยแล้วพูดน้ำเสียงหนักแน่น “พี่จ๋า...ผมยังเรียกแบบนี้ได้ใช่ไหม”
“เนื้องอกที่สมอง” แพรดาวทวนคำที่ได้ยิน ถ้อยคำที่หมออธิบายอาการป่วยของแม่ทั้งหมดเธอจับใจความได้แค่นี้ “ต้องทำการเจาะชิ้นเนื้อ (biopsy) วิเคราะห์ว่าเป็นเนื้อดีหรือมะเร็ง รู้เร็วรักษาเร็วโอกาสกลับมาเป็นปกติก็จะยิ่งเร็วขึ้น” “ครับ คุณหมอรักษาได้เลยครับ” หัสดินเป็นฝ่ายตอบแทนหญิงสาวที่ยืนนิ่งไปแล้ว เขาบีบมือเธอเบาๆ ทำให้อีกฝ่ายได้สติแล้วพยักหน้ารับตามที่เขาพูด หลังจากคุณหมอกับพยาบาลออกจากห้องไปแล้ว แพรดาวก็แทบไม่มีแรงยืนโชดดีที่หัสดินประคองไว้ได้ทันและพาเธอไปนั่งที่โซฟา “แพร...แพรน่าจะสังเกตอาการแม่ได้เร็วกว่านี้” “อย่าโทษตัวเองเลยนะ คนเจ็บคนป่วยเราไม่มีทางรู้ล่วงหน้า” “หมอบอกว่า ถ้าไม่รักษา แม่อาจจะชักและ...” แพรดาวรู้สึกมีก้อนแข็งๆจุกที่คอ “ไม่ต้องกังวลไป หมอที่นี่เก่ง เชื่อใจหมอเถอะ” เขาลูบแผ่นหลังบอบบางอย่างปลอบโยน “เรื่องค่ารักษาก็ไม่ต้องกังวล พี่ช่วยเอง” ได้ยินคำว่า ‘ค่ารักษา’ แพรดาวก็เพิ่งนึกได้ ใครคนหนึ่งก็พูดไว้แบบนี้ “เป็นอะไรไป ไม่ต้องเกรงใจพี่นะ พี
หลังจากเดินออกจากห้องคนไข้พิเศษได้ไม่กี่ก้าว คทาภัทรก็เก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือโทรหามารดาทันที และเมื่อได้ยินเสียงผู้เป็นแม่ เขาก็ยิงคำถามโดยไม่รั้งรอ “คุณแม่ครับ แม่จำพี่เลี้ยงที่คุณแม่เคยจ้างเมื่อยี่สิบปีก่อนได้ไหม” “จำได้สิลูก มีอะไรเหรอ” “พี่เลี้ยงคนนั้นชื่ออะไรนะครับ” “ชื่อเหรอ...ชื่อจันทร์กระจ่าง” คุณนิตยาแทบไม่ต้องคิดนานเลย เพราะพี่เลี้ยงคนนั้นจ้างมาเป็นพี่เลี้ยงให้ลูกชายแต่ทำงานได้ดีจึงให้อยู่ด้วยกันจนกระทั่งลูกคนที่สองเกิด “คุณแม่ได้ข่าวเธอไหมครับ” “ตอนนั้น ยัยจ๋าลาออกไปแต่งงาน แม่ก็ยังบ่นเสียดายอยู่เลย ติดต่อกันอยู่ครึ่งปีก็หายไป แม่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีกเพราะคิดว่าคงจะมีครอบครัวแล้วคงไม่อยากให้เราไปวุ่นวายกับเขา” “จ๋า...ชื่อเล่นชื่อจ๋าใช่ไหมครับ” “ใช่จ๊ะ ตอนเด็กๆ ลูกติดพี่เลี้ยงมากเลยนะ” คุณนิตยาพูดแล้วก็ถอนหายใจ “ถ้าลูกดาวยังอยู่ก็คงดีสินะ” “ครับแม่” “แล้วลูกมีอะไรหรือเปล่า ทำไมอยู่ดีๆ ถามเรื่องนี้” “ไม่มีอะไรครับ จู่ๆ
หัสดินยืนที่หน้าตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติ ในมือถือถุงอาหารกล่องที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อที่ชั้นล่างของโรงพยาบาล ยืนคิดอยู่ว่าจะซื้อกาแฟร้อนดีไหมเพราะอยากให้เธอพักผ่อนบ้าง เขารู้ดีว่าตอนนี้เธอคงนอนไม่หลับเป็นแน่ งั้นเปลี่ยนเป็นเครื่องดื่มอุ่นร้อนอย่างอื่นดีไหม “คุณหัสดิน?” ชายหนุ่มหันไปตามเสียงที่ได้ยิน เขาหรี่ตามองอย่างครุ่นคิดแต่อีกฝ่ายยิ้มขบขันแล้วเดินเข้ามาใกล้ “ผมคณาภัทรครับ” เขาแนะนำตัวเองแล้วยกมือไหว้อีกฝ่ายตามมารยาทในฐานะที่อายุน้อยกว่า “ลูกชายของพ่อฐากรูกับแม่นิตยาไงครับ คุณหัสดินจำไม่ได้แน่เลย” “อ้อ! ขอโทษด้วย มาเจอแบบนี้เลยจำไม่ได้” “แต่คงจำได้นะครับว่านี่โรงพยาบาลของผม” คณาภัทรยิ้มแล้วดันแว่นตาชิดใบหน้า เขาเห็นอีกฝ่ายทำหน้างุนงงก็ยิ้มกว้างขึ้น “ตอนนี้คุณพ่อยกให้ผมดูแลจัดการทั้งหมดแล้ว” “ยินดีด้วยครับ” หัสดินผงกศีรษะให้ ครั้งก่อนที่เจอยังเห็นแต่งตัวง่ายๆ แต่วันนี้สวมเสื้อสูทผูกเนคไทเลยดูแปลกตาไปสักหน่อย แต่ก็เหมาะสมแล้วสำหรับผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชน “คุณดินมาที่นี่มีใครเป็นอะไรหรือ