LOGIN“แม่บ้านค่ะ” หญิงสาวเอ่ยตอบ แต่สายจ้องไปที่ปิ่นโต
หัสดินมองตามสายตาเธอ แล้วก็เขาก็ทำหน้าประดักประเดิก
“นี่ของเธอเหรอ”
“ใช่ค่ะ อาหารกลางวันของดิฉัน” หญิงสาวตอบทำตาปริบๆ เขากินไปไม่กี่คำหรอก แต่ว่า นั้นข้าวกลางวันของเธอเชียวนะ
“เอ่อ... ผมไม่รู้” เขาทำหน้านิ่งกลบความเก้อเขิน “เธอเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง”
“ก็เข้าทางประตูยังไงคะ” แม่บ้านไม่ได้ตั้งใจจะพูดจากวนประสาท แต่หงุดหงิดที่ถูกขโมยของกิน ถ้าเขาถามสักคำจะไม่ว่าอะไรเลย
“ไม่มีใครบอกเหรอว่าผมอยู่ในห้อง” เขาจ้างแม่บ้านทำความสะอาดห้องสัปดาห์ละสองครั้ง แต่แม่บ้านจะมาตอนที่เขาไม่อยู่ เขาเองก็ไม่เคยเจอแม่บ้านที่จ้างผ่านบริษัททำความสะอาด ออกจะแปลกใจที่เห็นหญิงสาวตัวเล็กอยู่ในห้องของเขาแบบนี้
“ไม่ค่ะ” เธอตอบรวดเร็วไม่ลังเล “ฉันก็มาทำงานตามตารางที่ทางบริษัทให้มา”
“ฮืม”
เขาเพียงแค่พยักหน้ารับ เขาเป็นคนกำหนดตารางทำความสะอาดให้แม่บ้านมาที่นี่ แต่ละสัปดาห์จะมาไม่ตรงกัน เขาสลับสับเปลี่ยนวันอยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัยของเขาเอง ‘ดิน’ เองก็มีศัตรูทางการค้ามากอยู่ไม่น้อย
“ทำไม?”
“คะ?” หญิงสาวเอียงคอมองอย่างสงสัย เขาพูดอะไรนะ
“ทำไมเธออยู่ที่นี่ตอนนี้”
“ฉันควรถามคุณมากกว่า ปกติฉันเข้ามาทำความสะอาดก็ไม่เคยเจอลูกค้าอย่างคุณเลยสักครั้ง แล้วก็ไม่มีใครแจ้งว่าวันนี้คุณอยู่ในห้อง”
“เธอเข้ามาตั้งแต่กี่โมง”
“สิบโมงเช้าค่ะ” โดยปกติเธอจะทำงานเสร็จประมาณบ่ายกว่าๆ ได้พักนิดหน่อย ถ้าไม่มีคิวที่อื่นก็กลับไปตอกบัตรที่ออฟฟิศ การห่อข้าวใส่ปิ่นโตเป็นเรื่องปกติของเธอ ก็ห้องพักหรูหราแบบนี้ ถ้าเธอสั่งอาหารมากินนี่อาจต้องใช้เงินค่าแรงสิบวันของเธอเลยทีเดียว
“ไม่รู้หรือว่าผมนอนอยู่”
“ไม่ค่ะ” ถ้ารู้ฉันจะเสนอหน้าอยู่ทำไมล่ะ หญิงสาวได้แต่บ่นเขาในใจ “แล้วคุณไม่ได้ยินเสียงเครื่องดูดฝุ่นหรือคะ”
หัสดินส่ายหน้า สำรวจคนตัวเล็กกวาดสายตาไร้มารยาทตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “เธอชื่ออะไร”
“แพรดาวค่ะ” หญิงสาวตอบรวดเร็ว “คุณโทรไปเช็กกับทางบริษัทก็ได้ค่ะ”
เขาเพียงพยักหน้ารับ เลียริมฝีปากอย่างเสียดายอาหารพื้นๆในปิ่นโต คนทำอาหารอย่างเขาเป็นคนเรื่องมากในการเลือกกิน
“ให้ฉันโทรสั่งอาหารให้คุณไหม? หรือคุณอยากกินอะไรรองท้องเสียหน่อย ฉันจะทำให้ค่ะ”
“ผมไม่เคยซื้อของสดไว้ในครัว” เขาโคลงศีรษะไปมา ปกติเขาไม่ซื้อของสดไว้ที่นี่ ที่คอนโดมีเพื่อนอนหลับพักผ่อน
“ฉันรู้ค่ะ ฉันเป็นคนซื้อของใส่บ้านคุณเอง” เธอเป็นแม่บ้านนี่ หน้าที่หนึ่งคือซื้อของใช้ให้นายจ้าง กระดาษทิชชู่ น้ำยาล้างจาน เจลน้ำหอมในห้องน้ำ ของใช้จิปาถะทั่วๆไป ตามคำสั่งของผู้ว่าจ้าง
เห็นเขาไม่พูดอะไรเธอจึงเสนอขึ้น “เริ่มเป็นกาแฟร้อนกับขนมปังแผ่นดีไหมคะ “
“ก็ได้”
เธอถอนหายใจโล่งอก อย่างน้อยเขาจะได้เลิกสนใจข้าวกล่องของเธอได้ หญิงสาวเดินไปล้างมือ จัดการต้มเปิดเครื่องชงกาแฟทันสมัยแล้วเตรียมทำแซนวิชให้เขาสักสองคู่ หัสดินมองการเคลื่อนไหวคล่องแคล้วของหญิงสาวแล้วแอบคิดไปว่า เธออาจเคยใช้เครื่องครัวเขาทำอะไรกินจนชำนาญ นอกจากชงเหล้าดื่มเอง เขาก็แทบไม่เคยทำอะไรเลย
“กาแฟดำนะคะ” เธอหันมาถาม เขาพยักหน้าแทนคำตอบ ผู้ชายคนนี้หวงคำพูดเสียจริง
ไม่นาน กาแฟร้อนกับแซนวิชก็ถูกยกมาว่างตรงหน้าเขา เธอเลื่อนอาหารกลางวันของตัวเองออก คิดจะหลบมุมไปหาที่นั่งกินเงียบๆ แต่เขากลับเรียกไว้ก่อน
“นั่งกินด้วยกันก็ได้”
“แต่ว่า...” เขาเป็นลูกค้า เป็นนายจ้าง เกิดไปร้องเรียนกับทางบริษัทขึ้นมา เธอจะตกงานเสียเปล่าๆนะซิ ยิ่งหางานประจำอื่นไม่ได้อยู่
“นั่งเถอะ ผมไม่โทรไปฟ้องบริษัทคุณหรอก”
เขาพูดเหมือนที่เธอคิด หญิงสาวทำตาโตแต่เมื่อเห็นแววตาดุๆของเขาแล้วก็ยอมทำตามที่เขาสั่งง่ายๆ นั่งลงแล้วกินอาหารของตัวเอง
“เธอทำงานที่นี่นานหรือยัง” ถามเพราะจ้างบริษัททำความสะอาดมาเกือบสองปี แต่ไม่เคยเจอผู้หญิงคนนี้เลย
“หกเดือนแล้วค่ะ” หกเดือนของเธอ แต่ห้าปีของแม่ แค่นี้เธอก็รู้แล้วว่าแม่ต้องเจออะไรมาบ้าง ลูกค้าบางคนก็มองอย่างเหยียดหยาม เธอเลยโดนดุด่าสาดเสียเทเสียทั้งที่ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลยสักนิดมาแล้ว
“ไม่เคยเห็นหน้าเธอเลย”
“ค่ะ เมื่อครู่คุณบอกแล้ว” เธอกินข้าวของตัวเองไปเงียบๆ
“เคยเจอผมบ้างไหม” คราวนี้เขาเปลี่ยนคำถามใหม่ หญิงสาวตอบด้วยการส่ายหน้าไปมา
เขาเป็นเชฟที่ชอบทำอาหารหวาน ประเภทขนมอบหรือเบเกอรี่ ส่วนการทำอาหารคาวนั้นทำได้แต่ไม่ชอบ ไม่รู้ทำไม แต่การทำขนมอาจเป็นสิ่งเดียวที่ดึงดูดสมาธิและผ่อนคลายจากเรื่องที่เผชิญอยู่ ช่วงเวลาที่อยู่ในห้องครัวจึงเป็นความสุขเล็กๆของเขา
ปกติเขากินข้าวคนเดียว หรือถ้าทำขนมเสร็จก็ยืนดูคนอื่นกิน กับครอบครัวแทบไม่ต้องพูดถึง เขาเป็นห่วงแม่พยายามกลับบ้านใหญ่ทุกสัปดาห์ แต่ระยะหลังแม่อาการดีขึ้นมาก และต่อสู้กับโรคซึมเศร้าอย่างดีเยี่ยม เขาจึงมีเวลาทำอะไรทีอยากทำ ชีวิตเขาไม่คาดแคลนผู้หญิง แต่กับผู้หญิงคนนี้เขารู้สึกแปลกประหลาด หน้าตาก็ธรรมดา แต่เธอ...มีกลิ่นเหมือนแสงแดดอุ่นๆยามเช้า ท่าทางไม่ใส่ใจเขาทำให้เขากลับสนใจเธอ
“กับข้าวนั้น เธอซื้อที่ไหน”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้น รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้คงมีปัญหากับการพูดแน่ๆ เหมือนเขาจะเรียงลำดับประโยคตลกๆดี พูดจาสั้นๆ ทำเหมือนคนอื่นจะมีกระแสจิตเข้าใจเขาได้
“ทำเองค่ะ”
“คิวงานของเธอมาอีกทีวันไหน” สมองเขามีเรื่องให้คิดเยอะ ไม่จำอะไรกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้
“วันจันทร์ค่ะ”
“เวลาเดิม?”
“ใช่ค่ะ”
“มาเช้ากว่าที่เคยมา แล้วทำกับข้าวมาให้ผมด้วย ผมจ่ายพิเศษให้”
“เอ่อ...” อย่างเขาไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องอาหารการกิน รวยระดับนี้สั่งอาหารจากโรงแรมหรูๆ หรือเรียกเชฟมาทำอาหารที่บ้านก็ยังไหว
“ผมอยากกินหมูสามชั้นนั้นอีก” เขายืนยัน
“หมูติดมันต่างหาก” เธอไม่ชอบหมูสามชั้นมันเยอะเกินไป ชอบแบบติดมันนิดๆ อร่อยกว่า
“ข้าวกล้องด้วย หอมและนุ่มกำลังดี”
เพราะแม่ไม่ค่อยสบาย แพรดาวหันมาดูแลเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ ถึงข้าวกล้องจะแพงกว่าข้าวธรรมดาก็เถอะ
“ตกลงตามนี้ ผมจ่ายค่าอาหารให้คุณก่อนก็แล้วกัน” เห็นเธอนิ่งไป เขาคิดว่าเธอคงไม่มีเงินทุนสำหรับทำอาหารให้เขา เขากัดแซนวิชชิ้นสุดท้ายหมดคำแล้วก็เดินเข้าไปในห้องนอน ครู่หนึ่งก็ถือแบงค์พันส่งให้เธอ
“คุณจะให้ฉันทำหมดเงินนี่เลยเหรอ”
“ทำไมล่ะ ไม่พอเหรอ?”
“นี่มันได้หม้อใหญ่ๆเลยนะ” เธอทำหน้ายุ่ง คนรวยนี่ใช้เงินไม่เป็นหรือไง “หรือคุณจะทำไปเลี้ยงคนอื่น”
“ไม่ ผมคนเดียว” เขาตอบหน้านิ่ง “คุณก็จัดการเอาแล้วกัน”
“ก็ได้ค่ะ” เธอรับเงินไว้แล้วเขาก็เดินไปไม่สนใจเธออีก หญิงสาวจัดการเก็บปิ่นโตของตัวเองและล้างแก้วกาแฟของเขา ไม่นานเขาก็ออกจากห้องในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงแสลคเหมือนคนจะไปทำงาน แต่...มันบ่ายแล้วนะ
“ช่วยหน่อย”
“คะ” เธอทำหน้างง แล้วก็เข้าใจเพราะเขายื่นแขนให้เธอช่วยติดกระดุมแขนเสื้อทั้งสองข้าง เขายืนนิ่งๆ และไม่พูดอะไรต่อ แต่เธอก็เข้าใจว่าเขาจะให้เธอช่วยจัดเนคไทให้ ซึ่งเธอก็ทำให้
“ผมต้องเข้าบริษัท วันจันทร์เจอกัน”
“ค่ะ”
แพรดาวยังงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอมาทำความสะอาดที่นี่หลายเดือนไม่เคยเจอเจ้าของห้อง แต่เธอชอบห้องของเขามาก เหมือนทุกอย่างไม่เคยถูกแตะต้อง เขาไม่เคยพาใครมา เธอจัดการทำความสะอาดง่ายดายและรวดเร็ว ผิดกับบ้านหลังอื่นๆ
เอาเถอะ ผู้ชายหล่อเหลาอย่างกับเดินออกมาจากนิตยสารแฟชั่นคนนั้นคงไม่ได้สนใจอะไรเธออยู่แล้ว ถ้าเขาถูกใจ บางทีเธออาจพอมีรายได้เพิ่มขึ้น เธอไม่ดูถูกเงินเล็กๆน้อยๆ งานสุจริต เธอไม่อับอายอยู่แล้ว
ฝ่ามือใหญ่สอดไปใต้เสื้อนอนน่ารัก แล้วหัสดินต้องประหลาดใจเมื่อรู้ว่าผิวเรียบเนียนนุ่มนั้นไม่มีอาภรณ์ชิ้นน้อยปกปิด เขาผละจากริมฝีปากหวานเพื่อให้หญิงสาวได้สูดอากาศหายใจ แม้อยู่ในความมืดเขายังเห็นประกายตางดงามของคนรัก “มันอึดอัด น้องแพรเลยไม่ได้ใส่...” แพรดาวพูดเสียงเบาหวิว ปกตินอนคนเดียวก็ใส่ชุดนอนแต่ไม่ใส่ชุดชั้นใน และตั้งแต่แต่งงานกันมาก็ไม่เห็นว่าสามีหมาดๆ จะเป็นฝ่ายเริ่มอะไรสักนิด แรกๆ แพรดาวถึงกับหาชุดชั้นในเซ็กส์ซี่มาใส่ แต่เพราะเขาหลับเป็นตายเธอก็ก็ถอดใจ ไม่คิดว่าคืนที่ไม่ได้เตรียมตัว เขาจะเป็นฝ่ายเริ่มแบบนี้ “ไม่ใส่อะไรนอนก็ได้นะ งั้นพี่ถอดด้วยน้องแพรจะได้ไม่เขิน” หัสดินยิ้มทะเล้นให้แล้วขยับตัวถอยออกมาเพื่อถอดเสื้อนอนของตัวเองออก สายตาของแพรดาวปรับกับความมืดในห้องได้แล้วจึงเห็นร่างกายกำยำของคนรัก เขาโน้มตัวแล้วพูดเสียงพร่า “พี่ดินเป็นของน้องแพรแล้วอยากมองก็มองอยากจับลูบคลำตรงไหนก็ได้” เขาดึงมือเล็กมาวางบนแผ่นอกของตน แพรดาวเขินอายแต่ก็ลองลูบกล้ามเนื้อแน่นของคนตรงหน้า เพียงการสัมผัสแผ่วเบากลับปลุกเร้าเลือดในกายให้เดือดพล่านจนเข
แพรดาวเพิ่งได้พบหน้าคุณพ่อคุณแม่ของหัสดินครั้งแรกก็ตอนที่ผู้หลักผู้ใหญ่มาพบหน้าเพื่อเจรจาการสู่ขอและแต่งงาน คุณแม่ของหัสดินดูเป็นกังวลอยู่ไม่น้อยแต่พอได้คุยกันตามลำพังและรู้ว่าเธอรู้เรื่องที่เขาเป็นโรคสองบุคลิกแล้วและอยู่ระหว่างการรักษาตัว ‘ถ้าหนูแพรไม่รังเกียจ ก็ฝากลูกชายแม่ด้วยนะจ๊ะ’ ‘จะรังเกียจได้ยังไงคะ พี่ดินยังไม่เคยรังเกียจตอนที่น้องแพรเป็นแค่แม่บ้านกับเด็กเสิร์ฟเลยค่ะ และไม่ว่าจะเป็นเชฟดินหรือมิสเตอร์ดาร์ก น้องแพรก็รักทั้งสองคนค่ะ’ สวนเรือนหอนั้น สร้างขึ้นใหม่ในบริเวณเดียวกับคฤหาสน์ตระกูลศาตนันท์ ตอนนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง สองหนุ่มสาวตัดสินใจพักด้วยกันที่คอนโดของหัสดิน ‘จะไม่คับแคบไปเหรอ อยู่คอนโดสองคนแบบนั้น’ คทาภัทรอดเป็นกังวลไม่ได้ แต่อีกส่วนก็ดีใจเพราะอยู่ใกล้กัน ‘ดีเสียอีก ห้องเล็กดูแลง่าย เลี้ยงแมวก็ได้ แล้วก็ใกล้ที่ทำงานด้วยค่ะ’ ตั้งแต่ตัดสินใจรับการรักษา แพรดาวไม่เห็นบุคลิกของมิสเตอร์ดาร์กเลย เพียงแค่บางครั้งเธอรู้สึกเหมือนทั้งสองคนรวมอยู่ในร่างผู้ชายตรงหน้า เชฟดินที่ดูอ่อนโยนขี้เล่นเส
การปรากฏตัวของสองหนุ่มตระกูลศาตนันท์ ทำให้นักข่าวและช่างภาพหันไปสนใจแสงแฟลชวูบวาบชวนตาพร่า แม้คนมากมายเพียงใดแต่สายตาของหัสดินมีเพียงแพรดาวเท่านั้น หัสวีร์เดินเข้ามาแล้วยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน เขาสวมสูทสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำในขณะที่น้องชายต่างมารดาสวมสูทสีดำลบบุคลิกเชฟหนุ่มขี้เล่นไปหมดสิ้น “ผมเป็นตัวแทนตระกูลศาตนันท์ แต่คิดว่าอีกไม่กี่วันญาติผู้ใหญ่ของเราจะขอเข้าไปเยี่ยมเยือนทักทายที่บ้านนะครับ” คทาภัทรได้ยินก็กระตุกยิ้มมุมปาก ดูเหมือนจะมีคนรีบร้อนแต่งงานจริงๆ “เรื่องที่ควรทำให้ถูกต้องก็ควรรีบทำ ใช่ไหมครับคุณคทาภัทร” หัสวีร์พูดขึ้นอย่างรู้ทัน เอาเถอะอย่างไรวันข้างหน้าก็เป็นญาติกันแล้ว เขาจะมาใส่ใจท่าทีไร้สาระนี้เพื่ออะไร คนเป็นพ่อแม่ย่อมมองออกว่าลูกสาวมีใจให้ใคร ทำให้ถูกครรลองย่อมดีกว่าปล่อยให้ลูกสาวไปค้างแรมกับผู้ชายโดยไม่มีสถานะที่ชัดเจน แล้วแพรดาวก็สัญญาแล้วว่าต่อให้แต่งงานแล้วก็จะยังทำงานที่บริษัทอัครเวช ครอบครัวของศาตนันท์เองก็อยู่กรุงเทพฯ ไม่ได้ห่างกันไกลจนมาเยี่ยมเยือนกันไม่ได้ หัสดินก้าวเท้าเข้าไป
ขอบตาของคทาภัทรดำคล้ำเพราะอดนอน ในขณะที่น้องสาวหน้าชื่นตาบานจนน่าหมั้นไส้ เพิ่งคุยกันเรื่องนี้แท้ๆ แต่แพรดาวกลับมาค้างคืนกับหัสดิน แม้รู้ว่าน้องสาวทำตามที่พูดแน่นอน แต่เขาก็ไม่สบายใจอยู่ดี “พี่ภัทร” แพรดาวเข้าไปกอดเอวพี่ชาย การมีพี่น้องนี้ดีแบบนี้เองเหรอที่ผ่านมาใช้ชีวิตกับแม่จ๋าแค่สองคน หนีเจ้าหนี้บ้าง หลบซ่อนคนต้องย้ายโรงเรียน ผ่านเรื่องมากมายสุดท้ายก็ได้อยู่กับครอบครัวและคนที่รัก คทาภัทรได้แต่ถอนหายใจแล้วก็ยิ้มบางๆ เคยจินตนาการไว้เขาต้องเป็นพี่ชายที่หวงน้องสาว ใครจะมาจีบน้องต้องผ่านเขาก่อน นี่พอเกิดขึ้นจริงเขาก็อดปวดหัวไม่ได้เลย แต่ทำอย่างไรได้เล่า ก็เขามีน้องสาวคนเดียว และเป็นคนที่เขาเคยทำหายไป “เอาล่ะๆ ไม่ได้ยอมรับไอ้ เอ่อ หัสดินหรอกนะ” “ค่ะ น้องแพรทราบแล้ว” หญิงสาวไม่อยากกวนอารมณ์พี่ชาย ทุกอย่างคลี่คลายไปได้ด้วยดีแล้วก็ไม่อยากให้มีเรื่องไม่สบายใจอีก “ทำไมพี่ภัทรไม่ชอบพี่ดินล่ะคะ” “พี่ก็ไม่ชอบทุกคนที่เข้าใกล้น้องแพรนั้นแหละ” เขาสารภาพไปตามตรง “แต่ที่สำคัญ หัสดินไม่ใช่คนดีนักหรอก” แพรดาว
แพรดาวออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดนอนเสื้อยืดตัวยาวลายหมีพูห์สีเหลืองอ่อน กางเกงขาสั้นแต่เหมือนไม่ได้ใส่อะไร ชายเสื้อยืดยาวคลุมสะโพกอย่างพอดี มือเล็กก็ดึงชายเสื้อลงอีกแต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรนัก กลิ่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทำให้แพรดาวเดินไปตามกลิ่นหอมๆ ทีแรกก็ไม่คิดว่าตัวเองจะหิว แต่พอได้กลิ่นอาหารท้องก็ร้องทันที “โทษทีนะ พี่หลับไปนาน ไอ้มิสเตอร์ดาร์กมันยัดแต่เบียร์ไว้ในตู้เย็น มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ กินรองท้องไปก่อน ถ้าไงพี่จะโทรสั่งอาหารมาให้อีกที” “ไม่เป็นไรค่ะ นี่ก็เยอะนะคะ” เธอยิ้มเขย่งปลายเท้าเพื่อเปิดตู้ชั้นบนเพื่อหยิบชาม แต่หัสดินเอื้อมมือไปหยิบก่อน “ไปนั่งรอดีๆ” เขาพูดน้ำเสียงอ่อนโยน แล้วก็ยิ้มเมื่อเห็นว่าเธอทำตามอย่างว่าง่ายก็อารมณ์ดีขึ้น เขาตักบะหมี่ใส่ชามแล้วยกมาบริการให้ จากนั้นก็ยกชามของตนเองมาวางแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม “ว้าว วันนี้เชฟดินต้มบะหมี่ให้กินเลยนะเนี้ย” แพรดาวยิ้มทะเล้นแล้วกินบะหมี่ในชามของตน “เอาไว้คราวหน้าจัดให้ทั้งคาวและหวานครบเซ็ต” “จะรอค่ะ” แพรดาวสูดเส้นบะหมี่อย่างมีควา
จูบ? แบบนี้เรียกจูบที่ไหนกัน ไอ้ดินมันไม่ได้สอนเลยหรือไงนะ นั้นคือสิ่งที่มิสเตอร์ดาร์กคิด แต่สิ่งที่แพรดาวทำคือรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีประกบริมฝีปากกับเขาก่อน เพียงสัมผัสเบาๆกลับทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นสงบลง เธอผละจากริมฝีปากเขาแล้วกลับมานั่งที่เดิม อยากจะต่อว่าแต่ก็ทำไม่ลง ชายหนุ่มจึงได้แต่ส่ายหน้าไปมาก่อนยิ้มมุมปาก “มิน่า ไอ้ดินมันถึงได้หลงเธอนัก” “พูดแบบนี้หมายความว่าไง” แพรดาวย่นจมูกใส่ “หรือว่า...แพรไม่คู่ควรกับพี่ดินเหรอคะ” “สมัยไหนแล้วมาใช้คำโบราณแบบนี้” เขาหัวเราะแล้วนึกอยากสูบบุหรี่ แต่นึกได้ทิ้งบุหรี่และไฟแช็กไปนานแล้ว “แล้วทำไมมิสเตอร์ดาร์กพูดแบบนั้นละคะ” “ก็เธอไม่ทิ้งเขา ทั้งที่รู้ว่าเขาเป็นคนโรคจิต” “ก็ไม่ใช่ฆาตกรนี่คะ” เธอยิ้มบางๆออกมา “ตอนที่น้องแพรเป็นแค่แม่บ้าน พี่ดินก็ใจดีกับแพรมาก หรือตอนที่แพรเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ซีเคร็ทคลับ มิสเตอร์ดาร์กก็ดูแลแพร ไม่ว่าทั้งจะเป็นมิสเตอร์ดาร์กหรือพี่ดิน แพรก็รักทั้งสองคนมาก แพรให้คุณมีความสุขกับชีวิต...”







