“แม่บ้านค่ะ” หญิงสาวเอ่ยตอบ แต่สายจ้องไปที่ปิ่นโต
หัสดินมองตามสายตาเธอ แล้วก็เขาก็ทำหน้าประดักประเดิก
“นี่ของเธอเหรอ”
“ใช่ค่ะ อาหารกลางวันของดิฉัน” หญิงสาวตอบทำตาปริบๆ เขากินไปไม่กี่คำหรอก แต่ว่า นั้นข้าวกลางวันของเธอเชียวนะ
“เอ่อ... ผมไม่รู้” เขาทำหน้านิ่งกลบความเก้อเขิน “เธอเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง”
“ก็เข้าทางประตูยังไงคะ” แม่บ้านไม่ได้ตั้งใจจะพูดจากวนประสาท แต่หงุดหงิดที่ถูกขโมยของกิน ถ้าเขาถามสักคำจะไม่ว่าอะไรเลย
“ไม่มีใครบอกเหรอว่าผมอยู่ในห้อง” เขาจ้างแม่บ้านทำความสะอาดห้องสัปดาห์ละสองครั้ง แต่แม่บ้านจะมาตอนที่เขาไม่อยู่ เขาเองก็ไม่เคยเจอแม่บ้านที่จ้างผ่านบริษัททำความสะอาด ออกจะแปลกใจที่เห็นหญิงสาวตัวเล็กอยู่ในห้องของเขาแบบนี้
“ไม่ค่ะ” เธอตอบรวดเร็วไม่ลังเล “ฉันก็มาทำงานตามตารางที่ทางบริษัทให้มา”
“ฮืม”
เขาเพียงแค่พยักหน้ารับ เขาเป็นคนกำหนดตารางทำความสะอาดให้แม่บ้านมาที่นี่ แต่ละสัปดาห์จะมาไม่ตรงกัน เขาสลับสับเปลี่ยนวันอยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัยของเขาเอง ‘ดิน’ เองก็มีศัตรูทางการค้ามากอยู่ไม่น้อย
“ทำไม?”
“คะ?” หญิงสาวเอียงคอมองอย่างสงสัย เขาพูดอะไรนะ
“ทำไมเธออยู่ที่นี่ตอนนี้”
“ฉันควรถามคุณมากกว่า ปกติฉันเข้ามาทำความสะอาดก็ไม่เคยเจอลูกค้าอย่างคุณเลยสักครั้ง แล้วก็ไม่มีใครแจ้งว่าวันนี้คุณอยู่ในห้อง”
“เธอเข้ามาตั้งแต่กี่โมง”
“สิบโมงเช้าค่ะ” โดยปกติเธอจะทำงานเสร็จประมาณบ่ายกว่าๆ ได้พักนิดหน่อย ถ้าไม่มีคิวที่อื่นก็กลับไปตอกบัตรที่ออฟฟิศ การห่อข้าวใส่ปิ่นโตเป็นเรื่องปกติของเธอ ก็ห้องพักหรูหราแบบนี้ ถ้าเธอสั่งอาหารมากินนี่อาจต้องใช้เงินค่าแรงสิบวันของเธอเลยทีเดียว
“ไม่รู้หรือว่าผมนอนอยู่”
“ไม่ค่ะ” ถ้ารู้ฉันจะเสนอหน้าอยู่ทำไมล่ะ หญิงสาวได้แต่บ่นเขาในใจ “แล้วคุณไม่ได้ยินเสียงเครื่องดูดฝุ่นหรือคะ”
หัสดินส่ายหน้า สำรวจคนตัวเล็กกวาดสายตาไร้มารยาทตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “เธอชื่ออะไร”
“แพรดาวค่ะ” หญิงสาวตอบรวดเร็ว “คุณโทรไปเช็กกับทางบริษัทก็ได้ค่ะ”
เขาเพียงพยักหน้ารับ เลียริมฝีปากอย่างเสียดายอาหารพื้นๆในปิ่นโต คนทำอาหารอย่างเขาเป็นคนเรื่องมากในการเลือกกิน
“ให้ฉันโทรสั่งอาหารให้คุณไหม? หรือคุณอยากกินอะไรรองท้องเสียหน่อย ฉันจะทำให้ค่ะ”
“ผมไม่เคยซื้อของสดไว้ในครัว” เขาโคลงศีรษะไปมา ปกติเขาไม่ซื้อของสดไว้ที่นี่ ที่คอนโดมีเพื่อนอนหลับพักผ่อน
“ฉันรู้ค่ะ ฉันเป็นคนซื้อของใส่บ้านคุณเอง” เธอเป็นแม่บ้านนี่ หน้าที่หนึ่งคือซื้อของใช้ให้นายจ้าง กระดาษทิชชู่ น้ำยาล้างจาน เจลน้ำหอมในห้องน้ำ ของใช้จิปาถะทั่วๆไป ตามคำสั่งของผู้ว่าจ้าง
เห็นเขาไม่พูดอะไรเธอจึงเสนอขึ้น “เริ่มเป็นกาแฟร้อนกับขนมปังแผ่นดีไหมคะ “
“ก็ได้”
เธอถอนหายใจโล่งอก อย่างน้อยเขาจะได้เลิกสนใจข้าวกล่องของเธอได้ หญิงสาวเดินไปล้างมือ จัดการต้มเปิดเครื่องชงกาแฟทันสมัยแล้วเตรียมทำแซนวิชให้เขาสักสองคู่ หัสดินมองการเคลื่อนไหวคล่องแคล้วของหญิงสาวแล้วแอบคิดไปว่า เธออาจเคยใช้เครื่องครัวเขาทำอะไรกินจนชำนาญ นอกจากชงเหล้าดื่มเอง เขาก็แทบไม่เคยทำอะไรเลย
“กาแฟดำนะคะ” เธอหันมาถาม เขาพยักหน้าแทนคำตอบ ผู้ชายคนนี้หวงคำพูดเสียจริง
ไม่นาน กาแฟร้อนกับแซนวิชก็ถูกยกมาว่างตรงหน้าเขา เธอเลื่อนอาหารกลางวันของตัวเองออก คิดจะหลบมุมไปหาที่นั่งกินเงียบๆ แต่เขากลับเรียกไว้ก่อน
“นั่งกินด้วยกันก็ได้”
“แต่ว่า...” เขาเป็นลูกค้า เป็นนายจ้าง เกิดไปร้องเรียนกับทางบริษัทขึ้นมา เธอจะตกงานเสียเปล่าๆนะซิ ยิ่งหางานประจำอื่นไม่ได้อยู่
“นั่งเถอะ ผมไม่โทรไปฟ้องบริษัทคุณหรอก”
เขาพูดเหมือนที่เธอคิด หญิงสาวทำตาโตแต่เมื่อเห็นแววตาดุๆของเขาแล้วก็ยอมทำตามที่เขาสั่งง่ายๆ นั่งลงแล้วกินอาหารของตัวเอง
“เธอทำงานที่นี่นานหรือยัง” ถามเพราะจ้างบริษัททำความสะอาดมาเกือบสองปี แต่ไม่เคยเจอผู้หญิงคนนี้เลย
“หกเดือนแล้วค่ะ” หกเดือนของเธอ แต่ห้าปีของแม่ แค่นี้เธอก็รู้แล้วว่าแม่ต้องเจออะไรมาบ้าง ลูกค้าบางคนก็มองอย่างเหยียดหยาม เธอเลยโดนดุด่าสาดเสียเทเสียทั้งที่ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลยสักนิดมาแล้ว
“ไม่เคยเห็นหน้าเธอเลย”
“ค่ะ เมื่อครู่คุณบอกแล้ว” เธอกินข้าวของตัวเองไปเงียบๆ
“เคยเจอผมบ้างไหม” คราวนี้เขาเปลี่ยนคำถามใหม่ หญิงสาวตอบด้วยการส่ายหน้าไปมา
เขาเป็นเชฟที่ชอบทำอาหารหวาน ประเภทขนมอบหรือเบเกอรี่ ส่วนการทำอาหารคาวนั้นทำได้แต่ไม่ชอบ ไม่รู้ทำไม แต่การทำขนมอาจเป็นสิ่งเดียวที่ดึงดูดสมาธิและผ่อนคลายจากเรื่องที่เผชิญอยู่ ช่วงเวลาที่อยู่ในห้องครัวจึงเป็นความสุขเล็กๆของเขา
ปกติเขากินข้าวคนเดียว หรือถ้าทำขนมเสร็จก็ยืนดูคนอื่นกิน กับครอบครัวแทบไม่ต้องพูดถึง เขาเป็นห่วงแม่พยายามกลับบ้านใหญ่ทุกสัปดาห์ แต่ระยะหลังแม่อาการดีขึ้นมาก และต่อสู้กับโรคซึมเศร้าอย่างดีเยี่ยม เขาจึงมีเวลาทำอะไรทีอยากทำ ชีวิตเขาไม่คาดแคลนผู้หญิง แต่กับผู้หญิงคนนี้เขารู้สึกแปลกประหลาด หน้าตาก็ธรรมดา แต่เธอ...มีกลิ่นเหมือนแสงแดดอุ่นๆยามเช้า ท่าทางไม่ใส่ใจเขาทำให้เขากลับสนใจเธอ
“กับข้าวนั้น เธอซื้อที่ไหน”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้น รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้คงมีปัญหากับการพูดแน่ๆ เหมือนเขาจะเรียงลำดับประโยคตลกๆดี พูดจาสั้นๆ ทำเหมือนคนอื่นจะมีกระแสจิตเข้าใจเขาได้
“ทำเองค่ะ”
“คิวงานของเธอมาอีกทีวันไหน” สมองเขามีเรื่องให้คิดเยอะ ไม่จำอะไรกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้
“วันจันทร์ค่ะ”
“เวลาเดิม?”
“ใช่ค่ะ”
“มาเช้ากว่าที่เคยมา แล้วทำกับข้าวมาให้ผมด้วย ผมจ่ายพิเศษให้”
“เอ่อ...” อย่างเขาไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องอาหารการกิน รวยระดับนี้สั่งอาหารจากโรงแรมหรูๆ หรือเรียกเชฟมาทำอาหารที่บ้านก็ยังไหว
“ผมอยากกินหมูสามชั้นนั้นอีก” เขายืนยัน
“หมูติดมันต่างหาก” เธอไม่ชอบหมูสามชั้นมันเยอะเกินไป ชอบแบบติดมันนิดๆ อร่อยกว่า
“ข้าวกล้องด้วย หอมและนุ่มกำลังดี”
เพราะแม่ไม่ค่อยสบาย แพรดาวหันมาดูแลเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ ถึงข้าวกล้องจะแพงกว่าข้าวธรรมดาก็เถอะ
“ตกลงตามนี้ ผมจ่ายค่าอาหารให้คุณก่อนก็แล้วกัน” เห็นเธอนิ่งไป เขาคิดว่าเธอคงไม่มีเงินทุนสำหรับทำอาหารให้เขา เขากัดแซนวิชชิ้นสุดท้ายหมดคำแล้วก็เดินเข้าไปในห้องนอน ครู่หนึ่งก็ถือแบงค์พันส่งให้เธอ
“คุณจะให้ฉันทำหมดเงินนี่เลยเหรอ”
“ทำไมล่ะ ไม่พอเหรอ?”
“นี่มันได้หม้อใหญ่ๆเลยนะ” เธอทำหน้ายุ่ง คนรวยนี่ใช้เงินไม่เป็นหรือไง “หรือคุณจะทำไปเลี้ยงคนอื่น”
“ไม่ ผมคนเดียว” เขาตอบหน้านิ่ง “คุณก็จัดการเอาแล้วกัน”
“ก็ได้ค่ะ” เธอรับเงินไว้แล้วเขาก็เดินไปไม่สนใจเธออีก หญิงสาวจัดการเก็บปิ่นโตของตัวเองและล้างแก้วกาแฟของเขา ไม่นานเขาก็ออกจากห้องในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงแสลคเหมือนคนจะไปทำงาน แต่...มันบ่ายแล้วนะ
“ช่วยหน่อย”
“คะ” เธอทำหน้างง แล้วก็เข้าใจเพราะเขายื่นแขนให้เธอช่วยติดกระดุมแขนเสื้อทั้งสองข้าง เขายืนนิ่งๆ และไม่พูดอะไรต่อ แต่เธอก็เข้าใจว่าเขาจะให้เธอช่วยจัดเนคไทให้ ซึ่งเธอก็ทำให้
“ผมต้องเข้าบริษัท วันจันทร์เจอกัน”
“ค่ะ”
แพรดาวยังงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอมาทำความสะอาดที่นี่หลายเดือนไม่เคยเจอเจ้าของห้อง แต่เธอชอบห้องของเขามาก เหมือนทุกอย่างไม่เคยถูกแตะต้อง เขาไม่เคยพาใครมา เธอจัดการทำความสะอาดง่ายดายและรวดเร็ว ผิดกับบ้านหลังอื่นๆ
เอาเถอะ ผู้ชายหล่อเหลาอย่างกับเดินออกมาจากนิตยสารแฟชั่นคนนั้นคงไม่ได้สนใจอะไรเธออยู่แล้ว ถ้าเขาถูกใจ บางทีเธออาจพอมีรายได้เพิ่มขึ้น เธอไม่ดูถูกเงินเล็กๆน้อยๆ งานสุจริต เธอไม่อับอายอยู่แล้ว
แม้เห็นเพียงแค่แผ่นหลังแต่แพรดาวก็จำได้ หญิงสาวนอนตะแคงมองแผ่นหลังกว้างของชายในชุดดำที่ยืนอยู่ริมเตียงของมารดา เธอขยับตัวลุกขึ้นนั่งขยี้ตาไล่ความงัวเงียออกไป คนตัวสูงรับรู้การเคลื่อนไหวจึงหันมามอง “มิสเตอร์...” แพรดาวเรียกได้แค่นั้นเขาก็ยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากเป็นสัญญาบอกให้เงียบๆ เธอพยักหน้าเข้าใจ และเมื่อเขาชี้นิ้วไปทางประตู เธอก็รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร มือเล็กยกขึ้นลูบผมสองสามทีแล้วก้มมองตัวเองก่อนลุกขึ้นเดินตามเขาออกไปที่นอกห้อง “การผ่าตัดเรียบร้อยดี?” เขาถามขณะเดินนำเธอมาที่บริเวณจุดที่จัดไว้ให้ญาตินั่งพักผ่อนได้ “ค่ะ ใช้เวลาห้าชั่วโมง ทุกอย่างราบรื่นดี ตอนนี้ก็รอดูผลตรวจชิ้นเนื้อแล้วก็พักฟื้นหลังการผ่าตัดค่ะ ถ้าฟื้นตัวเร็วไม่มีติดเชื้อหลังการผ่าตัดก็จะได้กลับไปพักฟื้นที่บ้าน” “อืม”ชายหนุ่มในชุดดำเอ่ยรับรู้ในลำคอ ดวงตาดุดันมองเส้นผมที่ยุ่งเหยิงเพราะเพิ่งตื่นนอน เขายื่นมือไปลูบอย่างไม่รู้ตัว เส้นผมนุ่มลื่นลูบไม่กี่เข้าที่เข้าทาง ความใกล้ชิดสนิทสนมผสานกับความอ่อนโยนที่ได้รับทำเอาแพรดาวทำตัวไม่ถูก และเหมือนชายหน
เสียงหมัดหนักๆ กระแทกใส่ท้องคนแรงๆ แต่อีกฝ่ายก็ส่งเสียงไม่ได้เพราะมีเศษผ้าอุดปากอยู่ เสียงคนซูดปากเพราะเจ็บแทนแต่ก็ได้แค่ยืนมองเจ้านายกระหนำหมัดและเท้าใส่คนที่สลบไปรอบหนึ่งแล้วแต่ถูกน้ำสาดให้ตื่นมารับหมัดหนักๆอีก “ทำไมวันนี้เจ้านายเราโหดจังวะ” “นั้นสิ ปกติไม่ลงมือเองนะ” “สงสัยอารมณ์ไม่ดี” “ไอ้หมอนั้นซวยเลย” สายตาคมกริบตวัดตามองมาทางลูกน้องสี่คน ที่ยื่นเอามือประสานไว้ด้านหน้าด้วยท่าทีนอบน้อม แต่สายตาดุจคมมีดนั้น ก็ทำให้พวกเขาถึงกับผวาเฮือกจนแทบลืมหายใจกันไปเลยทีเดียว “สงสารมากก็มาให้กูซ้อมนี่” “ไม่สงสารๆครับเจ้านาย” ทั้งสี่ส่ายหน้ารัว “งั้นมาลากมันไป” ดาร์กปรายตามองชายคนหนึ่งที่โดนซ้อมจนแทบมองเค้าหน้าเดิมไม่ออก ทั้งหน้าตาที่บวมปูดและเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยบาดแผล “อยู่ดีไม่ว่าดี ดันมาซ่าที่ซีเคร็ท คลับ” ลูกน้องคนหนึ่งบ่นพึมพำแล้วเข้าไปลากคนนั้นออกมา ‘ดาร์ก’ ก้มมองมือตัวเองที่เลอะคราบเลือด ลูกน้องที่ยืนใกล้ๆ รีบเอาผ้าเย็นมาให้เขาเช็ดมือ “คราบเลื
หลายวันมานี่ศรีฟ้าหลับๆ ตื่น ไม่ค่อยได้สติเต็มที่นัก ทุกครั้งจะรู้ว่าแพรดาวอยู่ใกล้เสมอ และรู้ว่าตัวเองทำให้ลูกต้องลำบากและพอรู้ว่าอยู่โรงพยาบาลเอกชนก็ยิ่งกังวลมากยิ่งขึ้น “น่าจะย้ายแม่ไปโรงพยาบาลรัฐนะลูก” “ที่นี่ดีแล้วค่ะแม่ ถ้าไปโรงพยาบาลรัฐ แม่ต้องรอคิวรักษานาน” “แต่ค่ารักษา...” “แม่จ๋าไม่ต้องห่วงนะ เจ้านายของหนูแพรจะช่วยออกให้ก่อนแล้วหนูแพรจะทำงานใช้หนี้เอง เอาล่ะๆ แม่จ๋าห้ามดื้อต้องหายเร็วๆ จะได้ออกจากโรงพยาบาลเร็วๆนะคะ” ศรีฟ้าไม่อยากทำให้ลูกต้องลำบากใจอีกจึงยอมทำตามที่ลูกสาวสั่ง เมื่อครู่ลูกออกไปซื้อของกิน นางก็เลยได้นอนเพียงลำพัง ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นภาระของลูกขนาดนี้ เสียงประตูเลื่อนเปิดออกเบาๆ แต่เพราะในห้องที่ค่อนข้างเงียบทำให้คนที่นอนอยู่ได้ยินและนึกว่าเป็นลูกสาวกลับมาแล้ว ทว่าเมื่อหันหน้ามามองก็เห็นภาพชายคนหนึ่งก้าวเข้ามาใกล้ นางเบิกตากว้าง คนตัวสูงเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างเตียงคนป่วย เขาขยับแว่นตาเล็กน้อยแล้วพูดน้ำเสียงหนักแน่น “พี่จ๋า...ผมยังเรียกแบบนี้ได้ใช่ไหม”
“เนื้องอกที่สมอง” แพรดาวทวนคำที่ได้ยิน ถ้อยคำที่หมออธิบายอาการป่วยของแม่ทั้งหมดเธอจับใจความได้แค่นี้ “ต้องทำการเจาะชิ้นเนื้อ (biopsy) วิเคราะห์ว่าเป็นเนื้อดีหรือมะเร็ง รู้เร็วรักษาเร็วโอกาสกลับมาเป็นปกติก็จะยิ่งเร็วขึ้น” “ครับ คุณหมอรักษาได้เลยครับ” หัสดินเป็นฝ่ายตอบแทนหญิงสาวที่ยืนนิ่งไปแล้ว เขาบีบมือเธอเบาๆ ทำให้อีกฝ่ายได้สติแล้วพยักหน้ารับตามที่เขาพูด หลังจากคุณหมอกับพยาบาลออกจากห้องไปแล้ว แพรดาวก็แทบไม่มีแรงยืนโชดดีที่หัสดินประคองไว้ได้ทันและพาเธอไปนั่งที่โซฟา “แพร...แพรน่าจะสังเกตอาการแม่ได้เร็วกว่านี้” “อย่าโทษตัวเองเลยนะ คนเจ็บคนป่วยเราไม่มีทางรู้ล่วงหน้า” “หมอบอกว่า ถ้าไม่รักษา แม่อาจจะชักและ...” แพรดาวรู้สึกมีก้อนแข็งๆจุกที่คอ “ไม่ต้องกังวลไป หมอที่นี่เก่ง เชื่อใจหมอเถอะ” เขาลูบแผ่นหลังบอบบางอย่างปลอบโยน “เรื่องค่ารักษาก็ไม่ต้องกังวล พี่ช่วยเอง” ได้ยินคำว่า ‘ค่ารักษา’ แพรดาวก็เพิ่งนึกได้ ใครคนหนึ่งก็พูดไว้แบบนี้ “เป็นอะไรไป ไม่ต้องเกรงใจพี่นะ พี
หลังจากเดินออกจากห้องคนไข้พิเศษได้ไม่กี่ก้าว คทาภัทรก็เก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือโทรหามารดาทันที และเมื่อได้ยินเสียงผู้เป็นแม่ เขาก็ยิงคำถามโดยไม่รั้งรอ “คุณแม่ครับ แม่จำพี่เลี้ยงที่คุณแม่เคยจ้างเมื่อยี่สิบปีก่อนได้ไหม” “จำได้สิลูก มีอะไรเหรอ” “พี่เลี้ยงคนนั้นชื่ออะไรนะครับ” “ชื่อเหรอ...ชื่อจันทร์กระจ่าง” คุณนิตยาแทบไม่ต้องคิดนานเลย เพราะพี่เลี้ยงคนนั้นจ้างมาเป็นพี่เลี้ยงให้ลูกชายแต่ทำงานได้ดีจึงให้อยู่ด้วยกันจนกระทั่งลูกคนที่สองเกิด “คุณแม่ได้ข่าวเธอไหมครับ” “ตอนนั้น ยัยจ๋าลาออกไปแต่งงาน แม่ก็ยังบ่นเสียดายอยู่เลย ติดต่อกันอยู่ครึ่งปีก็หายไป แม่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีกเพราะคิดว่าคงจะมีครอบครัวแล้วคงไม่อยากให้เราไปวุ่นวายกับเขา” “จ๋า...ชื่อเล่นชื่อจ๋าใช่ไหมครับ” “ใช่จ๊ะ ตอนเด็กๆ ลูกติดพี่เลี้ยงมากเลยนะ” คุณนิตยาพูดแล้วก็ถอนหายใจ “ถ้าลูกดาวยังอยู่ก็คงดีสินะ” “ครับแม่” “แล้วลูกมีอะไรหรือเปล่า ทำไมอยู่ดีๆ ถามเรื่องนี้” “ไม่มีอะไรครับ จู่ๆ
หัสดินยืนที่หน้าตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติ ในมือถือถุงอาหารกล่องที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อที่ชั้นล่างของโรงพยาบาล ยืนคิดอยู่ว่าจะซื้อกาแฟร้อนดีไหมเพราะอยากให้เธอพักผ่อนบ้าง เขารู้ดีว่าตอนนี้เธอคงนอนไม่หลับเป็นแน่ งั้นเปลี่ยนเป็นเครื่องดื่มอุ่นร้อนอย่างอื่นดีไหม “คุณหัสดิน?” ชายหนุ่มหันไปตามเสียงที่ได้ยิน เขาหรี่ตามองอย่างครุ่นคิดแต่อีกฝ่ายยิ้มขบขันแล้วเดินเข้ามาใกล้ “ผมคณาภัทรครับ” เขาแนะนำตัวเองแล้วยกมือไหว้อีกฝ่ายตามมารยาทในฐานะที่อายุน้อยกว่า “ลูกชายของพ่อฐากรูกับแม่นิตยาไงครับ คุณหัสดินจำไม่ได้แน่เลย” “อ้อ! ขอโทษด้วย มาเจอแบบนี้เลยจำไม่ได้” “แต่คงจำได้นะครับว่านี่โรงพยาบาลของผม” คณาภัทรยิ้มแล้วดันแว่นตาชิดใบหน้า เขาเห็นอีกฝ่ายทำหน้างุนงงก็ยิ้มกว้างขึ้น “ตอนนี้คุณพ่อยกให้ผมดูแลจัดการทั้งหมดแล้ว” “ยินดีด้วยครับ” หัสดินผงกศีรษะให้ ครั้งก่อนที่เจอยังเห็นแต่งตัวง่ายๆ แต่วันนี้สวมเสื้อสูทผูกเนคไทเลยดูแปลกตาไปสักหน่อย แต่ก็เหมาะสมแล้วสำหรับผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชน “คุณดินมาที่นี่มีใครเป็นอะไรหรือ