รอยน้ำเจิ่งนองบริเวณหน้าบ้านทำให้ต้องชะงักเท้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองหาสาเหตุ แพรดาวกวาดสายตาไปทั่วหน้าบ้านสองชั้นหลังเล็กที่อยู่เข้ามาในซอยประมาณห้าร้อยเมตร ร่างชายชราวัยหกสิบเจ็ดปีก้มๆเงยๆอยู่บริเวณแปลงปลูกดอกไม้เล็กๆหน้าบ้าน ปลายสายยางอยู่ในอ่างบัวน้ำล้นจนมีปลาหางนกยูงออกมานอนดิ้นเล่นน้ำอยู่บนพื้นดินเฉอะแฉะ
“น้ำท่วมแล้วคุณตา”
แพรดาวรีบสาวเท้าเดินเข้าไปปิดก๊อกน้ำ ชายชราหันมามองทำหน้าเหรอหราแต่ยิ้มให้จนเห็นฟันหลอซี่หน้า
หญิงสาวรวบกระโปรงยาวคลุมเข่าสีดำก่อนทรุดตัวลงนั่งยองๆข้างๆ ชายชราที่กำลังสาละวนกำการย้ายต้นไม้ในกระถางลงดิน จนเผลอลืมดูน้ำที่เปิดใส่อ่างบัว มือหยาบและเหี่ยวย่นค่อยๆช้อนปลาหางนกยูงตัวน้อยนอนดิ้นรนบนพื้นดินกลับสู่พื้นน้ำดังเดิม คุณตาทำเหมือนไม่มีเธออยู่ใกล้ดูแลต้นไม้ใบหญ้าของตาต่อไป
“คุณตาบรรพต คะ”
บรรพตคือชื่อคุณตาเจ้าของบ้านเช่าที่แสนใจดี เรียกไม่ดังนัก แต่เหมือนคุณตาจะไม่สนใจเธอ หญิงสาวได้แต่ยิ้มเหงาๆ แล้วลุกขึ้นเดินเข้าบ้านเช่าของตัวเอง บ้านสองหลังปลูกใกล้กันในเนื้อที่บริเวณเดียวกัน หลายปีก่อนที่แม่ตระเวนหาบ้านเช่าราคาถูกจนมาเจอสองตายายที่อยู่กันตามลำพัง นานๆลูกหลานจะมาเยี่ยมสักครั้ง คุณยายใจดีให้เธอกับแม่เช่าอยู่ด้วยราคาไม่สูงนักเพียงเดือนละแค่สามพันบาท ไม่รวมค่าน้ำค่าไฟฟ้า ทำให้เธอกับแม่ได้มีบ้านอยู่เสียที แม้ว่าจะเป็นบ้านเช่าก็ตาม แต่หลังจากนั้นไม่นาน คุณยายก็ล้มป่วยและจากไป พอคุณตาเหลือตัวคนเดียวก็กลายเป็นคนไม่พูดไม่จา ช่วงนั้นลูกหลานจะมารับปู่ไปอยู่ด้วยและขายบ้านทิ้งเสีย ตอนนั้นเธอกับแม่ก็เสียขวัญไม่น้อย เพราะกว่าจะหาบ้านเช่าราคานี้ได้ไม่ง่ายเลย แต่คุณตาไม่ยอมย้ายทำให้เธอกับแม่ยังมีที่ซุกหัวนอนถึงทุกวันนี้
“กลับมาแล้วเหรอลูกแพร” เสียงแม่ดังมาจากด้านหลัง แพรดาวยิ้มเหนื่อยๆ วันนี้ไปสมัครงานแต่เห็นแววแล้วว่าตัวเองอดแน่ๆ ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกที่กลับบ้านด้วยสภาพห่อเหี่ยวอย่างนี้ แม่พยักหน้ารับรู้แล้วหันไปสนใจกับจักรเย็บผ้าที่มีเสื้อผ้ารอซ่อมอยู่อีกสองกองใหญ่
“มีเงาะในตู้เย็นนะลูก” แม่เอ่ยขึ้นเข้าใจความรู้สึกของลูกสาว
“ค่ะแม่จ๋า”
แพรดาวเดินไปกอดแม่ที่นั่งอยู่หลังจักรเย็บผ้า หลายเดือนก่อนแม่ประสบอุบัติเหตถูกรถมอเตอร์ไซค์ชน บาดเจ็บสาหัส ต้องหยุดงานที่ทำในบริษัททำความสะอาดนานนับเดือน แม้จะกลับมาพักฟื้นที่บ้านแล้ว ร่างกายแม่ก็ยังไม่เหมือนเดิม เดินเหินไม่สะดวก เธอจึงทำงานแทนระหว่างที่ตัวเองยังหางานประจำอื่นไม่ได้
“อย่าคิดมาก” แม่ตบหลังมือลูกสาวเบาๆ
เสียงถีบจักรของแม่ดังขึ้นเรียกสติแพรดาวกลับมา เธอเผลอระบายลมหายใจก่อนหมุนตัวเดินเข้าบ้าน กี่ปีแล้วนะที่ผ่านพ้น ชีวิตที่ผ่านมาก็เพียงแค่เธอกับแม่สองคนมาตลอด ตอนที่ยังเด็กๆ เคยถามเรื่องพ่อ แม่ก็นิ่งเงียบและไม่เคยตอบอะไร แววตาเศร้าหมองของแม่ทำให้เธอไม่ซักไซ้อีก มีเธอกับแม่อยู่ แค่นี้ก็พอแล้ว
ที่บ้านกว่าจะกินมื้อเย็นก็เกือบกลายเป็นมือค่ำหลังทุ่มครึ่งทุกทีไป แต่แพรดาวต้องเตรียมอาหารวางไว้บนโต๊ะให้เรียบร้อยแล้วครอบไว้ด้วยฝาชี ที่ผ่านมาแม่ทำงานหาเลี้ยงเธอ งานในบ้านเธอจึงทำเองจนเคยชินแล้ว
ปฏิทินบอกเวลาผ่านมากว่าสี่ปีและอะไรๆในบ้านมันเปลี่ยนแปลงไปตั้งมากมาย แต่บ้านหลังน้อยที่แทรกอยู่มาเนิ่นนานแม้มีบริเวณบ้านบ้านไม่มากแต่ก็ถูกจัดแบ่งพื้นที่ให้ต้นไม้นานาชนิดของปู่ได้อยู่อาศัย
หลังจากการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของย่าด้วยโรคร้าย คุณปู่ก็คล้ายเป็นครอบครัวไปด้วย แม้คุณปู่จะไม่ได้ร่าเริงเหมือนตอนที่คุณย่ายังอยู่ แต่พอรู้ว่าแม่ของเธอต้องอยู่บ้านไปทำงานไม่ได้ ก็อนุญาตให้ยกจักรเย็บผ้าของคุณย่ามาใช้ทำมาหากิน มีรายได้เล็กๆน้อยๆ พอได้ซื้อข้าวสารกรอกหม้อ
หลายต่อหลายครั้งที่เกิดคำถามในใจ...และหลายต่อหลายครั้งที่เลิกค้นหาคำตอบ...แม่ยังสาวและสวยจะหาผู้ชายอีกสักคนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกในสมัยนี้
แม่ก็ยังเลือกที่จะเป็นแม่จ๋าของเธอ แต่แม่รักพ่อขนาดไม่มีใครใหม่เชียวหรือ?
“ลูกแพร หนูไปดูคุณตาด้วยนะลูก ไม่รู้กินข้าวหรือยัง เมื่อตอนบ่ายเห็นลูกๆหลานๆมาเยี่ยม ซื้อของมาเยอะเชียว”
“ค่ะแม่จ๋า”
หญิงสาวเดินเร็วๆไปบ้านอีกหลังที่อยู่ห่างกันประมาณยี่สิบก้าว
“คุณตากินข้าวเย็นหรือยังคะ”
แพรดาวเดินไปเรียกคุณตาที่หน้าบ้าน บรรพตหันมายิ้มเห็นฟันหลอแต่มือหยาบใหญ่และเหี่ยวย่นกำลังตบดินบนพื้นให้แน่น ชายชราย้ายดาวเรืองมาปลูกที่หน้าบ้านหลังจากที่มันเบียดก่ออยู่ในกระถางใบเล็ก
“คุณตาเย็นแล้วนะคะ พรุ่งนี้ค่อยทำต่อเถิดค่ะ” เธอเข้าไปช่วยเก็บของ
“ไม่ได้หรอก ยายเค้าจะบ่นเอา”
คำพูดของคุณตาบรรพต ทำให้หญิงสาวชะงักแล้วส่งยิ้มให้ “คุณตากินอะไรหรือยังคะ”
“ยังไม่หิว”
“ไม่หิวก็ต้องกิน คุณยายสั่งให้แพรดูแลคุณตาให้กินข้าวครบสามมื้อ”
เธอยิ้มทะเล้น ได้ผล คุณตามองหน้าเธอยิ้มๆ หญิงสาวช่วยประคองคุณปู่เข้าบ้าน เห็นมีถุงใส่ของวางอยู่ เธอจึงช่วยเอาข้าวของในถุงใส่ตู้เย็น และเก็บตามที่ที่มันควรอยู่
“ทำไมยายไม่ให้ปู่ไปอยู่ด้วยนะ”
หญิงสาวใจหายที่ได้ยินแบบนั้น แต่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยิน
“ถ้าคุณตาไม่อยู่ หนูแพรกับแม่ก็ไม่มีที่ซุกหัวนอนเหมือนกัน” เธอพูดไปตามตรง ลูกๆหลานๆของปู่อยากได้ที่แปลงนี้จะตายไป แต่คุณตาไม่ยอมย้ายออก จะเอาบ้านคืนก็ไม่ได้
แพรดาวดูแลคุณตาเสร็จแล้วก็เดินกลับบ้านหลังน้อยของตัวเอง ไม่ทันสังเกตว่ามีรถเก๋งคันหนึ่งจอดอยู่นานแล้ว เหมือนคนในรถมั่นใจแล้วว่าคนในบ้านจะอยู่เพียงลำพังจึงลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในบ้าน บิดประตูที่ไม่ได้ล็อกเข้าไปอย่างง่ายดาย ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำพับแขนเสื้อถึงข้อศอกกวาดตามองไปรอบๆ แล้วถอนหายใจเหนื่อยๆ
แม้เห็นเพียงแค่แผ่นหลังแต่แพรดาวก็จำได้ หญิงสาวนอนตะแคงมองแผ่นหลังกว้างของชายในชุดดำที่ยืนอยู่ริมเตียงของมารดา เธอขยับตัวลุกขึ้นนั่งขยี้ตาไล่ความงัวเงียออกไป คนตัวสูงรับรู้การเคลื่อนไหวจึงหันมามอง “มิสเตอร์...” แพรดาวเรียกได้แค่นั้นเขาก็ยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากเป็นสัญญาบอกให้เงียบๆ เธอพยักหน้าเข้าใจ และเมื่อเขาชี้นิ้วไปทางประตู เธอก็รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร มือเล็กยกขึ้นลูบผมสองสามทีแล้วก้มมองตัวเองก่อนลุกขึ้นเดินตามเขาออกไปที่นอกห้อง “การผ่าตัดเรียบร้อยดี?” เขาถามขณะเดินนำเธอมาที่บริเวณจุดที่จัดไว้ให้ญาตินั่งพักผ่อนได้ “ค่ะ ใช้เวลาห้าชั่วโมง ทุกอย่างราบรื่นดี ตอนนี้ก็รอดูผลตรวจชิ้นเนื้อแล้วก็พักฟื้นหลังการผ่าตัดค่ะ ถ้าฟื้นตัวเร็วไม่มีติดเชื้อหลังการผ่าตัดก็จะได้กลับไปพักฟื้นที่บ้าน” “อืม”ชายหนุ่มในชุดดำเอ่ยรับรู้ในลำคอ ดวงตาดุดันมองเส้นผมที่ยุ่งเหยิงเพราะเพิ่งตื่นนอน เขายื่นมือไปลูบอย่างไม่รู้ตัว เส้นผมนุ่มลื่นลูบไม่กี่เข้าที่เข้าทาง ความใกล้ชิดสนิทสนมผสานกับความอ่อนโยนที่ได้รับทำเอาแพรดาวทำตัวไม่ถูก และเหมือนชายหน
เสียงหมัดหนักๆ กระแทกใส่ท้องคนแรงๆ แต่อีกฝ่ายก็ส่งเสียงไม่ได้เพราะมีเศษผ้าอุดปากอยู่ เสียงคนซูดปากเพราะเจ็บแทนแต่ก็ได้แค่ยืนมองเจ้านายกระหนำหมัดและเท้าใส่คนที่สลบไปรอบหนึ่งแล้วแต่ถูกน้ำสาดให้ตื่นมารับหมัดหนักๆอีก “ทำไมวันนี้เจ้านายเราโหดจังวะ” “นั้นสิ ปกติไม่ลงมือเองนะ” “สงสัยอารมณ์ไม่ดี” “ไอ้หมอนั้นซวยเลย” สายตาคมกริบตวัดตามองมาทางลูกน้องสี่คน ที่ยื่นเอามือประสานไว้ด้านหน้าด้วยท่าทีนอบน้อม แต่สายตาดุจคมมีดนั้น ก็ทำให้พวกเขาถึงกับผวาเฮือกจนแทบลืมหายใจกันไปเลยทีเดียว “สงสารมากก็มาให้กูซ้อมนี่” “ไม่สงสารๆครับเจ้านาย” ทั้งสี่ส่ายหน้ารัว “งั้นมาลากมันไป” ดาร์กปรายตามองชายคนหนึ่งที่โดนซ้อมจนแทบมองเค้าหน้าเดิมไม่ออก ทั้งหน้าตาที่บวมปูดและเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยบาดแผล “อยู่ดีไม่ว่าดี ดันมาซ่าที่ซีเคร็ท คลับ” ลูกน้องคนหนึ่งบ่นพึมพำแล้วเข้าไปลากคนนั้นออกมา ‘ดาร์ก’ ก้มมองมือตัวเองที่เลอะคราบเลือด ลูกน้องที่ยืนใกล้ๆ รีบเอาผ้าเย็นมาให้เขาเช็ดมือ “คราบเลื
หลายวันมานี่ศรีฟ้าหลับๆ ตื่น ไม่ค่อยได้สติเต็มที่นัก ทุกครั้งจะรู้ว่าแพรดาวอยู่ใกล้เสมอ และรู้ว่าตัวเองทำให้ลูกต้องลำบากและพอรู้ว่าอยู่โรงพยาบาลเอกชนก็ยิ่งกังวลมากยิ่งขึ้น “น่าจะย้ายแม่ไปโรงพยาบาลรัฐนะลูก” “ที่นี่ดีแล้วค่ะแม่ ถ้าไปโรงพยาบาลรัฐ แม่ต้องรอคิวรักษานาน” “แต่ค่ารักษา...” “แม่จ๋าไม่ต้องห่วงนะ เจ้านายของหนูแพรจะช่วยออกให้ก่อนแล้วหนูแพรจะทำงานใช้หนี้เอง เอาล่ะๆ แม่จ๋าห้ามดื้อต้องหายเร็วๆ จะได้ออกจากโรงพยาบาลเร็วๆนะคะ” ศรีฟ้าไม่อยากทำให้ลูกต้องลำบากใจอีกจึงยอมทำตามที่ลูกสาวสั่ง เมื่อครู่ลูกออกไปซื้อของกิน นางก็เลยได้นอนเพียงลำพัง ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นภาระของลูกขนาดนี้ เสียงประตูเลื่อนเปิดออกเบาๆ แต่เพราะในห้องที่ค่อนข้างเงียบทำให้คนที่นอนอยู่ได้ยินและนึกว่าเป็นลูกสาวกลับมาแล้ว ทว่าเมื่อหันหน้ามามองก็เห็นภาพชายคนหนึ่งก้าวเข้ามาใกล้ นางเบิกตากว้าง คนตัวสูงเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างเตียงคนป่วย เขาขยับแว่นตาเล็กน้อยแล้วพูดน้ำเสียงหนักแน่น “พี่จ๋า...ผมยังเรียกแบบนี้ได้ใช่ไหม”
“เนื้องอกที่สมอง” แพรดาวทวนคำที่ได้ยิน ถ้อยคำที่หมออธิบายอาการป่วยของแม่ทั้งหมดเธอจับใจความได้แค่นี้ “ต้องทำการเจาะชิ้นเนื้อ (biopsy) วิเคราะห์ว่าเป็นเนื้อดีหรือมะเร็ง รู้เร็วรักษาเร็วโอกาสกลับมาเป็นปกติก็จะยิ่งเร็วขึ้น” “ครับ คุณหมอรักษาได้เลยครับ” หัสดินเป็นฝ่ายตอบแทนหญิงสาวที่ยืนนิ่งไปแล้ว เขาบีบมือเธอเบาๆ ทำให้อีกฝ่ายได้สติแล้วพยักหน้ารับตามที่เขาพูด หลังจากคุณหมอกับพยาบาลออกจากห้องไปแล้ว แพรดาวก็แทบไม่มีแรงยืนโชดดีที่หัสดินประคองไว้ได้ทันและพาเธอไปนั่งที่โซฟา “แพร...แพรน่าจะสังเกตอาการแม่ได้เร็วกว่านี้” “อย่าโทษตัวเองเลยนะ คนเจ็บคนป่วยเราไม่มีทางรู้ล่วงหน้า” “หมอบอกว่า ถ้าไม่รักษา แม่อาจจะชักและ...” แพรดาวรู้สึกมีก้อนแข็งๆจุกที่คอ “ไม่ต้องกังวลไป หมอที่นี่เก่ง เชื่อใจหมอเถอะ” เขาลูบแผ่นหลังบอบบางอย่างปลอบโยน “เรื่องค่ารักษาก็ไม่ต้องกังวล พี่ช่วยเอง” ได้ยินคำว่า ‘ค่ารักษา’ แพรดาวก็เพิ่งนึกได้ ใครคนหนึ่งก็พูดไว้แบบนี้ “เป็นอะไรไป ไม่ต้องเกรงใจพี่นะ พี
หลังจากเดินออกจากห้องคนไข้พิเศษได้ไม่กี่ก้าว คทาภัทรก็เก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือโทรหามารดาทันที และเมื่อได้ยินเสียงผู้เป็นแม่ เขาก็ยิงคำถามโดยไม่รั้งรอ “คุณแม่ครับ แม่จำพี่เลี้ยงที่คุณแม่เคยจ้างเมื่อยี่สิบปีก่อนได้ไหม” “จำได้สิลูก มีอะไรเหรอ” “พี่เลี้ยงคนนั้นชื่ออะไรนะครับ” “ชื่อเหรอ...ชื่อจันทร์กระจ่าง” คุณนิตยาแทบไม่ต้องคิดนานเลย เพราะพี่เลี้ยงคนนั้นจ้างมาเป็นพี่เลี้ยงให้ลูกชายแต่ทำงานได้ดีจึงให้อยู่ด้วยกันจนกระทั่งลูกคนที่สองเกิด “คุณแม่ได้ข่าวเธอไหมครับ” “ตอนนั้น ยัยจ๋าลาออกไปแต่งงาน แม่ก็ยังบ่นเสียดายอยู่เลย ติดต่อกันอยู่ครึ่งปีก็หายไป แม่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีกเพราะคิดว่าคงจะมีครอบครัวแล้วคงไม่อยากให้เราไปวุ่นวายกับเขา” “จ๋า...ชื่อเล่นชื่อจ๋าใช่ไหมครับ” “ใช่จ๊ะ ตอนเด็กๆ ลูกติดพี่เลี้ยงมากเลยนะ” คุณนิตยาพูดแล้วก็ถอนหายใจ “ถ้าลูกดาวยังอยู่ก็คงดีสินะ” “ครับแม่” “แล้วลูกมีอะไรหรือเปล่า ทำไมอยู่ดีๆ ถามเรื่องนี้” “ไม่มีอะไรครับ จู่ๆ
หัสดินยืนที่หน้าตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติ ในมือถือถุงอาหารกล่องที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อที่ชั้นล่างของโรงพยาบาล ยืนคิดอยู่ว่าจะซื้อกาแฟร้อนดีไหมเพราะอยากให้เธอพักผ่อนบ้าง เขารู้ดีว่าตอนนี้เธอคงนอนไม่หลับเป็นแน่ งั้นเปลี่ยนเป็นเครื่องดื่มอุ่นร้อนอย่างอื่นดีไหม “คุณหัสดิน?” ชายหนุ่มหันไปตามเสียงที่ได้ยิน เขาหรี่ตามองอย่างครุ่นคิดแต่อีกฝ่ายยิ้มขบขันแล้วเดินเข้ามาใกล้ “ผมคณาภัทรครับ” เขาแนะนำตัวเองแล้วยกมือไหว้อีกฝ่ายตามมารยาทในฐานะที่อายุน้อยกว่า “ลูกชายของพ่อฐากรูกับแม่นิตยาไงครับ คุณหัสดินจำไม่ได้แน่เลย” “อ้อ! ขอโทษด้วย มาเจอแบบนี้เลยจำไม่ได้” “แต่คงจำได้นะครับว่านี่โรงพยาบาลของผม” คณาภัทรยิ้มแล้วดันแว่นตาชิดใบหน้า เขาเห็นอีกฝ่ายทำหน้างุนงงก็ยิ้มกว้างขึ้น “ตอนนี้คุณพ่อยกให้ผมดูแลจัดการทั้งหมดแล้ว” “ยินดีด้วยครับ” หัสดินผงกศีรษะให้ ครั้งก่อนที่เจอยังเห็นแต่งตัวง่ายๆ แต่วันนี้สวมเสื้อสูทผูกเนคไทเลยดูแปลกตาไปสักหน่อย แต่ก็เหมาะสมแล้วสำหรับผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชน “คุณดินมาที่นี่มีใครเป็นอะไรหรือ