นับตั้งแต่ฉีหลินพาสามีกลับมารักษาตัวที่บ้านตอนนี้เวลาก็ผ่านไปแล้วหลายวัน เช้าวันนี้หลังจากกินมื้อเช้าพวกเขาจะย้ายบ้านไปอยู่ที่หมู่บ้านป่าหมอกกันแล้ว
คนที่ดีใจที่สุดที่จะได้ย้ายบ้านไม่ใช่ใครที่ไหนแต่หากเป็นหยางเฟยจินผู้ที่หวังมานานว่าจะได้ย้ายไปจากตรงนี้เสียที อย่างน้อย ๆ ครอบครัวของเขาจะได้ไม่โดนเอาเปรียบและถูกป้าสะใภ้รังแกเช่นที่ผ่านมา
“พวกเจ้าเร่งมือกันหน่อยประเดี๋ยวสายแล้วจะร้อนเอาได้” หยางเทียนฉีเร่งลูกเมีย
“ท่านพี่ท่านขนของพวกนี้ขึ้นเกวียนไปเถอะ แล้วให้อาเทียนนั่งไปกับท่านส่วนข้าจะเดินไปกับลูกสะใภ้และหลาน ๆ เอง” นางฟางบอกผู้เป็นสามี
“เจ้าจะเดินไหวหรือ เอาเช่นนี้ดีหรือไม่เราจ้างเกวียนบ้านลุงเมิ่งไปส่งพวกเจ้าดีกว่า จะเดินทำไมให้เหนื่อย”
“เอาแบบนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ท่านรีบไปบ้านท่านลุงเมิ่งเถอะ”
ในตอนที่คนบ้านหยางจัดแจงข้าวของกันอยู่นั้น นางหลินที่ตอนนี้รักษาตัวหายดีแล้วก็เดินมาที่บ้านหยางสายรองเพื่อดูว่าคนพวกนี้ย้ายออกไปจริงหรือไม่ และหยิบจับอะไรตัดไม้ติดมือไปด้วยหรือเปล่า
“เหอะรีบ ๆ ไสหัวของพวกเจ้าออกไปจากบ้านของข้า และอย่าได้หยิบอะไรของข้าติดไม้ติดมือไปเป็นอันขาดจะหาว่าข้าไม่เตือน”
“นี่ป้าสะใภ้ท่านคิดว่าทุกคนทุกคนจะเหมือนท่านหรือเจ้าคะที่มีนิสัยอยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของตัวเอง ขนาดสินเดิมของข้าและท่านแม่ท่านยังหน้าด้านยึดเอาไปเป็นของตัวเอง การที่ท่านเดินมาบอกให้พวกข้าอย่าได้หยิบของอะไรที่เป็นของท่านไปข้าใคร่อยากถามท่านสักนิด ของที่อยู่ในบ้านหลังนี้เป็นพ่อสามีและสามีของข้าหามาทั้งนั้น ไม่ทราบว่าท่านให้อะไรพวกเรามาหรือ นอกจากท่านจะคอยมาหยิบฉวยเอาของจากบ้านพวกเราไปท่านก็ไม่เคยให้อะไรก็พวกเรามาสักอย่าง แล้วท่านยังกล้าที่จะมาพูดแบบนี้อีกหรือเจ้าคะ หากข้าจะบอกว่าท่านหน้าด้านเกินไปหน่อย ข้าก็กลัวว่าคนอื่นจะว่าข้านั้นไม่ได้รับการสั่งสอนที่ดี”
“หวังฉีหลิน เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร เจ้ากล้ามาพูดเช่นนี้ไม่เห็นข้าที่เป็นผู้อาวุโสอยู่ในสายตา พ่อแม่สามีของพวกเจ้าช่างสั่งสอนมาดีเสียจริง ๆ”
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ ท่านแม่สอนข้ามาดี สอนให้ข้ารู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรและอะไรไม่ควร แล้วท่านล่ะใครสั่งสอนมาหรือ ถึงได้จิตใจชั่วช้าจ้องหาเอาแต่ผลประโยชน์ ละโมบโลภมาก อ่อ ท่านอย่าลืมไปเสียล่ะตอนนี้พวกเราแยกบ้านกันแล้วการที่ข้ายังเรียกท่านว่าป้าสะใภ้ยังถือว่าข้าให้เกียรติท่านอยู่ หรือท่านว่ามันไม่จริงเจ้าคะ”
นางหลินจนด้วยคำพูดตลอดชีวิตนางไม่เคยเจอใครที่ตอกหน้านางจนจุกขนาดนี้ เมื่อเห็นว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้แล้วจึงได้เดินจากไปด้วยความกรุ่นโกรธและอาฆาตแค้นในใจ
“อู๊ววว ท่านแม่เก่งที่สุด” เฉิงเอ๋อร์
“ท่านแม่ของข้านะ ต้องเก่งเหมือนข้าสิ ” เจี้ยนเอ๋อร์
“พี่สะใภ้สุดยอดมาก ฮ่า ๆๆ ข้าสะใจจริง ๆ ป้าสะใภ้พูดไม่ออกเลย” เฟยจิน
“ใช่เจ้าค่ะ พี่สะใภ้เก่งมากข้าจะต้องเอาอย่างพี่สะใภ้” เยว่เล่อ
“พวกเจ้านี่ก็นะ ไป ๆ ยกของขึ้นเกวียนรอพ่อเจ้า เสียเวลามามากแล้ว" นางฟาง
“ไม่ใช่ว่าท่านแม่ก็สาแก่ใจอยู่ไม่น้อยหรือขอรับ” เฟยเทียน
“เจ้าใหญ่กล้านักนะ กล้าล้อเลียนแม่หรือ”
“ฮ่า ๆๆๆๆๆ” จากนั้นเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของทุกคนก็ดังลั่นบ้าน ในตอนที่หยางเทียนฉีกลับมาเขาได้แต่ทำหน้าไม่เข้าใจว่าลูกเมียเขาหัวเราะอะไรกัน แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา มีความสุขก็ดีแล้วที่ผ่านมาบ้านเขาไม่เคยมีเสียงหัวเราะเลยสักครั้ง การที่เห็นทุกคนในครอบครัวเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว
“พวกเจ้าขนของกันเสร็จหรือยัง มีอะไรที่ต้องการจะเอาไปอีกหรือไม่” ลุงเมิ่ง
“ไม่มีแล้วขอรับท่านลุงเมิ่ง วันก่อนท่านพ่อทยอยขนไปบ้างแล้วตอนนี้ไม่มีอะไรให้เอาไปแล้วล่ะขอรับ” เฟยเทียน
“เช่นนั้นก็ขึ้นเกวียนมาได้แล้วจะได้ออกเดินทางประเดี๋ยวสายแล้วจะร้อนเอาได้” ลุงเมิ่ง
“เฉิงเอ๋อร์ เจี้ยนเอ๋อร์ พวกลูกพาเจ้าพวกนั้นไปนั่งเกวียนของท่านปู่นะ” เฟยเทียน
“ขอรับท่านแม่ ไปกันเถอะพวกเราไปนั่งเกวียนท่านปู่กัน” เจี้ยนเอ๋อร์
“ทำไมไม่ให้ลูก ๆ ของเจ้านั่งเกวียนไปด้วยกันเสียล่ะ เกวียนของพ่อเจ้าก็มีข้าวของอยู่ไม่น้อย” ลุงเมิ่งถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ
“ให้พวกเขาไปนั่งเกวียนของท่านพ่อดีแล้วขอรับ หากว่ามานั่งเกวียนเล่มนี้ข้ากลัวว่าท่านลุงเมิ่งจะตกใจเสียเปล่า ๆ” เฟยเทียนอธิบายออกมานิดหน่อยเท่านั้น
“ก็แค่เด็กสองคนเองไม่ใช่หรือไง มีอะไรให้ข้าตกใจกัน เจ้านี่ก็พูดจาอะไรแปลก ๆ นะเฟยเทียน”
ในตอนที่ท่านลุงเมิ่งหันหน้ากลบมาจากการคุยกับเฟยเทียนที่ด้านหลัง เขามองไปข้างหน้าและกำลังจะสั่งให้วัวออกเดินเขาก็ต้องตกใจแทบหงายหลังตกจากเกวียนหากว่ามืออีกข้างของเขาไม่ได้จับกับขอบเกวียนอยู่
“เพ้ย งูมาจากที่ใด เด็ก ๆ ออกมา ระวังงูจะฉกพวกเจ้า เพ้ย หมาป่า พวกเจ้ารีบลงไปช่วยลูกหลานของพวกเจ้าเร็วเข้า” ตอนนี้ลุงเมิ่งมีท่าทางแตกตื่นทำอะไรไม่ถูก
“ท่านลุงเมิ่งใจเย็น ๆ ขอรับ ท่านสงบสติก่อน ใจเย็น ๆ ขอรับ นั่นเป็นสัตว์เลี้ยงของบ้านข้าเอง หรือพูดง่าย ๆ คือเพื่อนเล่นของลูก ๆ ขอข้าขอรับไม่มีอะไรร้ายแรงหรอกขอรับ”
“ห๊ะ เจ้าว่าอะไรนะ สัตว์เลี้ยงของบ้านเจ้า เพื่อนเล่นของลูกชายเจ้า นี่เจ้าสติดีอยู่หรือไม่ถึงได้เอาสัตว์อันตรายแบบนั้นมาเป็นเพื่อนเล่นของลูกเจ้า พวกเจ้าไม่กลัวมันจะกินลูกของเจ้าเป็นอาหารรึ”
“ท่านลุงอย่ากังวลไปเลยเจ้าค่ะ พวกมันไม่ดุร้ายหรอกนะเจ้าคะ เจ้าพวกนั้นมาอยู่ที่บ้านพวกข้าได้สักพักใหญ่ ๆ แล้วเจ้าค่ะ” ฉีหลิน
“เอาเถอะ ๆ ในเมื่อพวกเจ้ามั่นใจว่ามันจะไม่ทำอันตรายกับลูก ๆ ของเจ้า ข้าก็วางใจ”
“ขอบคุณท่านลุงที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ”
หลังจากที่ทุกคนขึ้นนั่งประจำที่ครบทุกคนแล้ว เกวียนสองเล่มก็ออกเดินทางจากหมู่บ้านเหอมู่ไปยังหมู่บ้านป่าหมอกทันที ตอนนี้ที่ดินทั้ง 120 หมู่ล้อมรั้วทำกำแพงเสร็จเรียบร้อยแล้ว บ้านพักชั่วคราวของพวกเขาสร้างขึ้นจากไม้ไผ่และดินเหนียวแบบง่าย ๆ พออยู่ได้เท่านั้น ส่วนบ้านใหม่ของพวกเขาช่างกำลังเร่งมือก่อสร้างอยู่เช่นเดียวกันคาดว่าไม่เกิน 1เดือนจะสร้างเสร็จ
เมื่อเกวียนทั้งสองเล่มวิ่งมาถึงที่ดินที่อยู่ท้ายหมู่บ้านป่าหมอก บ้านหยางนั้นอยู่ติดกับชายป่าหมอก ลุงเมิ่งเห็นกำแพงล้อมรอบที่ดินสูงตระหง่านทำให้เขาสบายใจขึ้นมาบ้าง อย่างน้อย ๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีสัตว์ร้ายออกจากป่ามาทำร้ายเอา
“ที่ดินของพวกเจ้าทั้งหมดเลยหรือ”
“ขอรับท่านลุงเมิ่ง พอดีท่านพ่อซื้อเพิ่มอีก 100 หมู่ขอรับ ที่ดินสินเดิมของท่านแม่มี 20 หมู่ตอนนี้รวมกันแล้วก็ 120 หมู่พอดี” เฟยเทียน
“เจ้าเองก็รีบ ๆ หายเข้าล่ะ จะได้ช่วยพ่อเจ้าทำงานข้าเองดีใจกับพวกเจ้าด้วยในที่สุดพวกเจ้าก็หลุดพ้นจากนางหลินเสียที เจ้าเองก็น่าจะพาลูกเมียแยกออกมานานแล้วนะเทียนฉี ต่อไปนี้ใช้ชีวิตของเจ้าให้ดี พ่อเจ้าที่ตายไปแล้วจะได้ตายตาหลับเสียที”
“ข้าขอบคุณท่านลุงเมิ่งมากขอรับ”
“เอาล่ะข้ากลับก่อนถ้ามีอะไรให้ข้าช่วยก็ไปหาข้าได้ตลอดเวลา”
“ขอรับ เอาไว้จินตั๋งกลับมาเมื่อไหร่ อย่าลืมให้เขามาหาข้านะขอรับ” เฟยเทียน
“ได้ ๆ ข้าจะบอกจินตั๋งให้”
หลังจากที่ลุงเมิ่งกลับไปแล้วทุกคนก็ช่วยกันยกข้าวของเข้าไปเก็บในบ้านและช่วยกันจัดของให้เข้าที่ บ้านไม้ไผ่มีทั้งหมด 5 ห้องนอน 1 ห้องครัว 1 ห้องน้ำ และ 1ห้องโถง ถึงแม้จะเป็นเพียงบ้านไม้ไผ่แต่สร้างได้ออกมาดีมากอีกทั้งยังแข็งแรงมากอีกด้วย
บ้านใหม่นี้เจ้าแฝดมีห้องเป็นของตัวเอง 1 ห้อง ทั้งสองคนนอนด้วยกันและพ่วงไปด้วยพวกสามเสี่ยว แต่ละตัวนางฟางทำฟูกนอนให้พวกมันทุกตัว
“เสี่ยวเฮย เสี่ยวหลาง เสี่ยวหู่ ไปดูห้องของพวกเรากันเถอะท่านแม่บอกว่ามีห้องของพวกเราด้วย” เสียงเล็ก ๆ ขอเจี้ยนเอ๋อร์ที่พูดออกมาอย่างดีใจ
“ใช่แล้วล่ะเราไปดูห้องนอนใหม่กันดีกว่า ท่านย่าบอกว่ามีฟูกนอนของพวกเจ้าด้วยนะ” เฉิงเอ๋อร์เองก็พลอยดีใจไปด้วย
นางฟางที่ตอนนี้ถึงกับน้ำตาร่วง ที่นางร้องไห้ไม่ใช่เพราะนางเสียใจ นางดีใจมากต่างหากในที่สุดครอบครัวของนางจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที
“พี่สะใภ้เจ้าคะ มื้อเที่ยงกินอะไรดีเจ้าคะ แถวนี้มีลำธารหรือไม่ ถ้ามีข้ากับพี่รองจะไปจับปลาเปลือกแข็งมาให้พี่สะใภ้ทำกับข้าว วันนั้นข้ายังกินไม่ทันได้อิ่มก็หมดเสียแล้ว” เยว่เล่อที่พูดออกมาด้วยท่าทีเสียดาย
“ใช่แล้วขอรับพี่สะใภ้ ข้าเองก็อยากกินขอรับ” เฟยจินเองก็เริ่มตะกละเช่นเดียวกัน
“พวกเจ้าไปที่ลำธารเถอะ ที่นี่พ่อกับแม่และพี่ใหญ่ของเจ้าจัดการได้เหลือไม่มากแล้ว”
“ท่านแม่ พวกข้าไปด้วยนะขอรับ บ้านใหม่ของพวกเรากว้างมากเลย ข้าชอบมากขอรับ” เจี้ยนเอ๋อร์
“ใช่แล้วขอรับท่านแม่ ให้เฉิงเอ๋อร์ไปด้วยนะขอรับ สัญญาเลยว่าจะเชื่อฟังท่านแม่กับท่านอาทุ๊กอย่างเลย”
“เสียงสูงขนาดนี้แม่เชื่อพวกเจ้าได้หรือไม่”
“ได้แน่น๊อน ท่านแม่เชื่อเจี้ยนเอ๋อร์ได้เลยขอรับ”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ จะได้รีบมาทำมื้อเที่ยงกัน พวกลูกเล่นกันดี ๆ รู้หรือไม่อย่าเข้าไปเล่นในส่วนที่นายช่างกำลังสร้างบ้านรู้หรือไม่อาจจะเกิดอันตรายและเป็นการรบกวนการทำงานของช่างที่กำลังสร้างบ้าน เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจขอรับท่านแม่ เรารีบไปกันเถอะประเดี๋ยวท่านพ่อจะหิวข้าวเอาได้ขอรับ” เฉิงเอ๋อร์
ฉีหลินได้แต่ส่ายหน้า ตัวเองหิวเองแต่กลับบอกว่าท่านพ่อหิว ไม่รู้ได้นิสัยจากใครมาช่างเจ้าเล่ห์จริง ๆ เลย ทั้งห้าคนและสามตัวมุ่งหน้าไปยังลำธารที่อยู่ด้านหลังที่ดินของพวกเขา ตอนทำกำแพงฉีหลินให้นายช่างทำประตูด้วยเพื่อสะดวกในการเข้าออกจากทางด้านหลังไม่ต้องเดินอ้อมจากด้านหน้า
อาจจะเป็นเพราะว่าลำธารสายนี้ไม่มีชาวบ้านมาจับปลาเพราะอยู่ใกล้กับป่าหมอกทำให้ปลาในแม่น้ำมีเยอะมากและที่สำคัญพวกมันยังตัวใหญ่มากอีกด้วย ส่วนปลาเปลือกแข็งหรือกุ้งก็ตัวใหญ่ด้วยเช่นกัน แม้กระทั่งปูภูเขาหรือที่คนที่นี่เรียกกันว่าปลากระดองแข็งนั้นก็มีขนาดตัวที่ใหญ่มากเช่นเดียวกัน
“พี่สะใภ้ ปลาเยอะมากเลยเจ้าค่ะ ปลาเปลือกแข็งเองก็ตัวใหญ่มาก เอ๊ะนั่นปลากระดองแข็งทำไมตัวใหญ่ขนาดนี่เนี่ย มันกินได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ย่อมกินได้อยู่แล้ว รีบจับกันเถอะจะได้รีบกลับ”
ในใจฉีหลินคิดถึงน้ำจิ้มซีฟู้ดแล้วแต่จะทำยังไงได้ในบ้านไม่มีพริกสักเม็ดแถมคนที่นี่ยังไม่รู้จักพริกอีกด้วย เอาไว้คงต้องไปหาดูในป่าหมอกเสียแล้ว ของกินอุดมสมบูรณ์แบบนี้ นางจะขุนให้ทุกคนมีเนื้อมีหนังเอง ลูก ๆ ของนางย่อมต้องกลายเป็นลูกหมูน้อยถึงจะน่ารัก
ในตอนที่ประมุขมารได้ตายไปพร้อมกับดวงจิตที่แตกสลาย แต่ทว่ากลับไม่ได้แตกสลายไปทั้งหมด ยังมีดวงจิตอีกเสี้ยวได้หลุดลอยไปเกิดใหม่ในอีกภพชาติหนึ่ง เกิดใหม่เป็นมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถระลึกชาติได้ ไม่มีความสามารถพิเศษอะไร เพียงใช้ชีวิตเรียบง่ายเพียงเท่านั้น นี่คือสิ่งที่ประมุขมารร่ำร้องขอความเมตตาจากสวรรค์ก่อนที่เข้าจะแหลกสลายไปหวังฉีหลินและเฟยเทียนกลับถึงหมู่บ้านป่าหมอก ทุกอย่างนางไม่คิดว่าจะง่ายดายถึงเพียงนี้ ในที่สุดประมุขมารก็คิดได้เสียที และหวังว่าพรที่นางและสามีร้องขอกับท่านมหาเทพนั้นจะทำให้ประมุขมารไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดี มีความสุขและมีภรรยาที่รักเขามากแล้วก็ขอให้ทั้งสองคนเป็นคู่ด้ายแดงทุกภพทุกชาติไป นี่เป็นสิ่งเดียวที่นางและสามีทำได้หลังจากที่หมดปัญหา หมดสงคราม ทุกคนก็ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข แคว้นหลงอยู่ในยุคที่เจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดีกินดี และข่าวการกลับมาขององค์ชายแปดผู้หายสาบสูญ ตอนนี้ถูกแต่งตั้งเป็นชินอ๋อง ที่ดินศักดินาหมู่บ้านป่าหมอกและหมู่บ้านใกล้เคียงอีกสามหมู่บ้าน หวังฉีหลินทิ้งงานให้ลูกชายทั้งหลายแล้วหนีไปท่องเที่ยวกับสามี ทั้งสองคนออกไปท่องโลกกว้าง และมักจะนำผลไม้หรือพืช
หลังจากที่ประมุขมารได้รับสารท้ารบจากเฟยเทียน ทำให้เขาได้รู้ว่าต่อให้เวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหนบุรุษผู้กระหายสงครามและพร้อมจะทำลายศัตรูตรงหน้าให้ย่อยยับได้ทุกเมื่ออย่างแม่ทัพสวรรค์ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยถึงแม้ในชาติภพนี้เขาจะลงมาจุติในดินแดนของมนุษย์แต่ความสามารถของเขายังติดตัวมานั่นไม่ใช่เรื่องโกหก ถึงแม้มหาเทพจะไม่ค่อยชอบหน้าลูกเขยสักเท่าไหร่ แต่มหาเทพผู้รักลูกสาวยิ่งกว่าสิ่งใดย่อมไม่มีทางให้นางลำบากส่วนมารอย่างตัวเขาเล่าทำอันใดได้บ้าง เป็นเขาเองที่ไปตกหลุมรักนางข้างเดียว เป็นเขาเองที่ยึดมั่นถือมั่น เป็นเขาเองที่ไม่ยอมปล่อยวาง เขารู้ตัวเองดีด้วยพลังของตัวเขาเองยังไม่ฟื้นคืนกลับมาทั้งหมด ต่อให้สู้จนตัวตายก็ไม่สามารถเอาชนะทั้งสองได้ถึงแม้จะเอาชนะแม่ทัพสวรรค์ได้แล้วธิดามหาเทพจะชายตาแลเขาหรือก็ไม่ นางไม่เพียงไม่ชายตาแลหากแต่นางคงแก้แค้นเขาที่ทำให้สามีของนางต้องมีอันเป็นไป นอกจากจะไม่ได้ความรักแล้วสิ่งที่ได้กลับมาคือความเกลียดชังต่างหากที่นางจะหยิบยื่นให้เขาแล้วเหตุใดเขาถึงได้หน้ามืดตามัวเช่นนี้อยู่ถึงแสนปี ประชาชนเผ่ามารล้วนล้มตายไปตั้งเท่าไหร่ น้องชายคนเดียวของเขาที่เฝ้าเตือนสติเขาอยู่ตลอด
เวลาผ่านไปแล้วนับเดือน ตอนนี้กองกำลังที่ฉีหลินฝึกฝนขึ้นมาก็ออกจากด่านกักตนกันทุกคนแล้ว เวลานี้ฉีหลินกับสามีพร้อมด้วยเหล่าสัตว์เทพพร้อมไปเยือนเผ่ามารแล้วเฟยเทียนเองก็เห็นสมควรว่าไม่ควรปล่อยเวลาให้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ หลังจากจบปัญหานี้ได้เท่ากับภารกิจของภรรยาได้เสร็จสิ้นลงเช่นกัน ต่อจากนี้ไปพวกเขาสามีภรรยาจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเสียทีหลังจากกำหนดวันเคลื่อนพลได้แล้วฉีหลินก็ให้ทุกคนได้พักผ่อนให้เต็มที่ และเตรียมข้าวของที่จำเป็นใส่ลงในแหวนมิติให้เรียบร้อย ทั้งอาหารการกิน ยารักษาต่าง ๆ ทุกคนต่างเตรียมไปให้พร้อมสรรพ ด้วยศึกครั้งนี้อีกฝ่ายคือเผ่ามารไม่รู้ว่าจะมีฝีมือร้ายกาจขนาดไหน แต่พวกเขาเชื่อมั่นในตัวนายท่านและนายหญิงว่าจะนำพาพวกเขากลับบ้านมาอย่างปลอดภัยเฟยจิน เฮ่ออี และฮั่นเหวินไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการรบในครั้งนี้ ลูก ๆ ของเฟยเทียนทุกคนก็เช่นเดียวกัน ส่วนสัตว์เทพที่คอยดูแลความปลอดภัยที่หมู่บ้านป่าหมอกมีเพียงต้าเซี่ยกับเสี่ยวเสวียนอู่เพียงสองตัวเท่านั้นส่วนเสี่ยวหลาง เสี่ยวหู่ เสี่ยวเฮย เสี่ยวรุ่ยจื่อ และพี่ใหญ่อย่างจินหลงล้วนเข้าร่วมการรบในครั้งนี้ คนที่กระตือรือร้นมากที่สุดคื
ไป๋อี้ถังผู้โสดสนิท ครองตัวเป็นผู้บริสุทธิ์ประหนึ่งนักพรตผู้ทรงศีล อีกทั้งรังเกียจสตรีมากเล่ห์ หลังจากออกจากด่านกักตนมา เขาก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาสั่งสอนลูกศิษย์ในสำนัก ไม่มีภรรยาและบุตรให้ดูแล เวลาทั้งหมดที่มีนอกจากฝึกฝนพลังปราณแล้ว เวลาส่วนที่เหลือเขาจึงเคี่ยวเข็ญลูกศิษย์ในสำนักศึกษาด้วยความเข้มงวดในเวลาต่อมา อาจารย์ใหญ่ไป๋อี้ถังจึงมีฉายาว่า อาจารย์ใหญ่จอมโหด หากใครไม่ทำการบ้านมาส่งก็จะโดนลงโทษให้ไปวิ่งรอบสถานศึกษา อีกทั้งยังจะต้องทำการบ้านในครั้งหน้ามากกว่าคนอื่นสองเท่าเท่านั้นยังไม่พอ ยังต้องเขียนจดหมายสำนึกผิดอีก 100 จบ และไปเก็บมูลทำความสะอาดคอกของสือเอ้อร์กับสืออีแทนคนงานในไร่ แถมยังต้องถูกเจ้าสือเอ้อร์กับสืออีกลั่นแกล้งจนหน้าทิ่มกองอึอีก ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าไม่ทำการบ้านอีกเลยวันนี้เป็นวันที่ไป๋อี้ถังว่างมาก มากที่สุด วันนี้เป็นวันหยุดของสถานศึกษา ไป๋อี้ถังจึงคิดว่าจะไปเดินเล่นที่ตลาดในเมือง และหาซื้อพู่กันกับแท่นฝนหมึกเพิ่มเพราะเท่าที่เขามีอยู่ตอนนี้ใช้ไปจนเกือบจะหมดแล้วจากนั้นเขาตั้งใจว่าจะชวนสหายทั้งสามของเขาไปด้วยกัน แต่กลับไม่มีใครไปเพราะแต่ละคนต้องการอยู่กับภรรยาแ
หลังจากที่เฟยเทียนกับฉีหลินเดินทางกลับมาถึงหมู่บ้านป่าหมอกพร้อมลูกชายและเหล่าสหาย หนึ่งเดือนให้หลังเฟยจินก็กลับมาพร้อมกับฮั่นเหวินและเฮ่ออี หลังจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้และรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน รวมถึงส่งรายชื่อหนอนให้กับเบื้องบนแล้ว ตัวเขาเองก็หมดหน้าที่ ตอนนี้สงครามสงบลงแล้ว ทั้งสามจึงได้ยื่นหนังสือขอลาพักกลับบ้านเกิดเพื่อเยี่ยมบิดามารดาไป๋อี้ถังและสหายทั้งสามจะเข้าด่านกักตนเพื่อฝึกฝนในอีก 3 วันข้างหน้า โดยผู้ที่จะรับหน้าที่สั่งสอนศิษย์ในสถานศึกษาก็คือราชครูไป๋หย่งเต๋อที่เดินทางตามหลังเฟยจินได้เพียง 7 วันนอกจากไป๋หย่งเต๋อแล้วยังมีไป๋เจิ้นกั๋วเจ้ากรมอาญา เดินทางมาพร้อมกับไท่ปิงองครักษ์ประจำตัว นับเป็นการรวมตัวกันระหว่างองครักษ์เลยก็ว่าได้ เซียวหลางตัดสินใจแต่งงานและติดตามไป๋อี้ถัง ม่อถูเองก็เช่นเดียวกัน มีเพียงไท่ปิงเท่านั้นที่มีหน้าที่ดูแลไป๋เจิ้นกั๋วที่เมืองหลวงไท่ปิงเองก็อยากจะมีชีวิตเฉกเช่นสหายทั้งสองบ้าง เขาเองก็คงต้องเร่งฝึกองครักษ์ขึ้นมาใหม่เพื่อจะได้ทำหน้าที่แทนเขา ส่วนตัวเขาเองจะตามมาตั้งรกรากที่หมู่บ้านป่าหมอกแห่งนี้ตามสหายทั้งสองคนวันนี้ฉีหลินเรียกประชุมหน่วยลับที่เป
เฟยเทียนพาภรรยามุ่งหน้ากลับหมู่บ้านป่าหมอกทันที หลังจากจัดการทั้งสองแคว้นเรียบร้อยแล้ว และด่านสุดท้ายของภารกิจในครั้งนี้ก็คือจัดการกับเผ่ามารให้เด็ดขาด หากไม่กำจัดประมุขเผ่ามารเสียตอนนี้ ไม่แน่ว่าวันข้างหน้าก็จะเกิดปัญหาเช่นนี้อีก มีเพียงกำจัดประมุขมารให้ได้เท่านั้นทุกคนจะได้ไม่เดือดร้อน ตอนนี้มีข่าวส่งว่าอ๋องมารน้องชายเพียงคนเดียวของประมุขมารได้หนีออกจากเผ่ามารไปตั้งรกรากที่อื่นแต่เดิมอ๋องมารก็ไม่เห็นด้วยกับประมุขมารเรื่องยึดดินแดนมนุษย์ แต่ไหนเลยประมุขมารผู้เป็นพี่ชายจะยอมฟัง ในเมื่อมันเป็นความแค้นใจที่มีต่อธิดามหาเทพและสามี ต่อให้อีกนับล้านปีประมุขมารก็วางความแค้นในใจลงไม่ได้“ไม่รู้ว่าเจ้าสามแสบจะทำเรื่องปวดหัวให้ท่านพ่อกับท่านปู่มากมายเพียงใด โดยเฉพาะลูกสาวของท่านพี่ ป่านนี้ไม่ใช่พี่อี้ถังปวดหัวจนผมขาวหมดหัวแล้วหรือเจ้าคะ”“ฮ่า ฮ่า ไม่ขนาดนั้นกระมัง ลูกสาวของเราออกจะน่ารัก อีกอย่างพี่อี้ถังก็ไม่ใช่ว่าจะรับมือไม่ได้เลยนี่นะ”“ท่านพี่ก็เข้าข้างนางตลอดล่ะเจ้าค่ะ อีกหน่อยนางก็เสียคนพอดี”“ไม่ใช่ว่านางกลัวท่านแม่อย่างเจ้าอยู่หรอกหรือ เอาน่าลูกยังเด็กอยู่ยังไม่รู้ความ มีพวกต้าเซี่ยอย