หลังจากที่จับปูจับปลาจับกุ้งกันจนพอใจแล้ว สามเสี่ยวลงเล่นน้ำอย่างสนุกสนานฉีหลินนึกได้ว่ายังไม่ได้ขุดบ่อน้ำเอาไว้ใช้สอยเลย จะพึ่งพาเพียงแค่น้ำจากลำธารไม่ได้ อีกทั้งนางต้องการที่จะเปลี่ยนน้ำในบ่อให้เป็นน้ำพลังวิญญาณโดยการนำน้ำพุวิญญาณในมิติมาเติมลงไป
เมื่อกลับจากจับปลาที่ลำธารแล้วนางจึงปรึกษาเรื่องนี้กับพ่อสามีและสามีทันที บ่อน้ำที่นางต้องการคือ บ่อน้ำขนาดใหญ่ 1 บ่อ และบ่อน้ำสำหรับใช้สอยในบ้าน 1 บ่อ นางคิดว่าจะจ้างชาวบ้านในหมู่บ้านมาช่วยขุดให้
“ท่านพ่อเจ้าคะ ข้ามีเรื่องจะปรึกษาเจ้าค่ะ ท่านพี่ด้วยนะเจ้าคะ”
“มีเรื่องอะไรหรือหลินเอ๋อร์” เฟยเทียนถามภรรยาออกมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ข้าต้องการขุดบ่อน้ำขนาดใหญ่ในที่ดินของเราเจ้าค่ะ และบ่อน้ำสำหรับใช้สอยในบ้านอีก 1 บ่อ ข้าอยากให้ท่านพ่อไปว่าจ้างชาวบ้านมาช่วยขุดเจ้าค่ะ เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปตักน้ำที่ลำธารเจ้าค่ะ"
“ดีเหมือนกัน เช่นนั้นหลังกินมื้อเที่ยงแล้วพ่อจะเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อพูดคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านเรื่องการจ้างงานก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ ฝากด้วยนะเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไรไม่ได้ลำบากอะไร พวกเจ้าเอาปลาไปให้แม่ของเจ้าทำเถอะจะได้รีบกินข้าว ดูท่าพวกเจ้าแฝดหิวจนจะกินปลาดิบแล้ว น้ำลายยืดเสียขนาดนั้น”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ ”
“ท่านแม่ขอรับแล้วจะทำปลากระดองแข็งกับปลาเปลือกแข็งหรือไม่ขอรับ เสี่ยวหู่บอกว่ามันอยากกินมาก” เจี้ยนเอ๋อร์
“เจ้าเด็กหน้าเหม็น เจ้าอยากกินเองแล้วทำไมถึงกล้าเอาข้าไปกล่าวอ้างกันเล่า อีกอย่างข้าไม่เคยพูดกับเจ้าสักคำ ครึ่งคำก็ไม่มี" เสี่ยวหู่มองบนใส่เจี้ยนเอ๋อร์
“เอาล่ะ แม่รู้ว่าเจ้าอยากกิน เจ้าแค่บอกว่าเจ้าอยากกินก็พอไม่ต้องเอาคนอื่นมาอ้าง เข้าใจหรือไม่ เกิดเป็นคนต้องซื่อสัตย์เข้าใจหรือไม่”
“ขอรับท่านแม่ ข้าขอโทษขอรับ ข้าขอโทษเจ้าด้วยนะเสี่ยวหู่”
เมื่อฉีหลินเห็นว่าลูกชายรู้จักขอโทษเมื่อทำผิดนางจึงไม่ได้ต่อว่าเขาอีก นางเดินเข้าครัวเพื่อไปช่วยแม่สามีทำมื้อเที่ยงโดยทิ้งให้สามีของนางอยู่กับลูกชายและพวกสามเสี่ยว เสี่ยวเฮยนึกอยากจะแกล้งเฟยเทียนขึ้นมา เพราะมันรู้ว่าเฟยเทียนนั้นยังทำใจไม่ค่อยได้เวลาเห็นพวกมัน เขายังมีความกลัวอยู่บ้าง
“อะไรเจ้าจ้องหน้าข้าทำไม ไม่ต้องเข้ามาใกล้ข้าเลยเสี่ยวเฮย ออกไปไกล ๆ ข้าเลยนะ” เฟยเทียนร้องออกมาเสียงหลงเมื่อเสี่ยวเฮยเลื้อยเข้ามาใกล้ ๆ เขาแถมยังกลายร่างเสียใหญ่โตอีกด้วย
“หยุดข้าบอกให้หยุดอย่าเข้ามายังไงเล่า ตัวของเจ้าใหญ่ขนาดนี้คิดจะเลื้อยมาทับข้าให้ตายเลยหรือไง เจี้ยนเอ๋อร์ เฉิงเอ๋อร์ เอาเพื่อนเล่นของลูกออกไปห่าง ๆ พ่อ”
“ท่านพ่อ เสี่ยวเฮยแค่อยากเล่นกับท่านพ่อเองนะขอรับ เสี่ยวเฮยออกจะนิสัยดี”
“พามันออกไปเถอะ ตอนนี้ก็รู้จักกันแล้ว พวกลูกก็บอกให้มันอยู่ห่าง ๆ พ่อก็พอ”
“ขอรับ ๆ ท่านพ่อ ไปเล่นกันเถอะเสี่ยวเฮย เสี่ยวเฮยนวดขาให้ข้าหน่อยสิ” เสียงเล็ก ๆ ของลูกชายค่อย ๆ ห่างออกไปพร้อมเพื่อนเล่นตัวเขื่อง เฟยเทียนถึงกับต้องถอนหายใจเลยทีเดียว
“เฮ้อ ข้าล่ะไม่ชินจริง ๆ” เขาได้แต่พูดกับตัวเอง
“ทำใจเสียเถอะเจ้าใหญ่ พ่อว่าเจ้าสามตัวนั่นไม่ธรรมดาเลย พ่อเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี แต่พ่อรู้สึกว่าต้องเป็นเช่นนั้น”เทียนฉีบอกกับลูกชาย
“ขอรับท่านพ่อ ข้าจะพยายามขอรับ ข้าเองก็เกือบจะหายดีแล้ว เราคงต้องเริ่มบุกเบิกที่ดินรกร้าง ท่านพ่ออย่าลืมจ้างชาวบ้านมาช่วยพลิกหน้าดินด้วยนะขอรับ แรงงานในบ้านของเราไม่เพียงพอหากไม่รีบเสียแต่ตอนนี้เราจะเพราะปลูกไม่ทัน”
“พ่อคิดว่าในส่วนนี้คงต้องไปจ้างทาสหลวงเพราะตอนนี้ชาวบ้านเองก็คงจะยุ่งอยู่กับการเพาะปลูกในที่ดินของตัวเองทั้งนั้น พ่อคิดว่าคนที่ทำงานในที่ดินของตัวเองเสร็จแล้ว จะมีไม่กี่คนเท่านั้น"
“ขอรับเรื่องนี้ข้าฝากท่านพ่อด้วยขอรับ”
“ไม่เป็นไรมันเป็นหน้าที่ของพ่อ ที่ผ่านมาพ่อไม่ดีเองทำให้พวกเจ้าและน้อง ๆ ลำบาก พ่อขอโทษเจ้าด้วย”
“อย่าเก็บมาใส่ใจเลยขอรับ มันผ่านไปแล้วตอนนี้เรามาเริ่มต้นใหม่กับบ้านหลังใหม่ของพวกเราดีกว่าขอรับ ข้าคิดว่าในอนาคตพวกเราจะไม่ลำบากแน่นอน”
“อือ พ่อเห็นด้วยกับเจ้า ตอนนี้แม่ของเจ้าสบายใจขึ้นมากตั้งแต่พวกเราแยกบ้าน หลายปีมานี้พ่อติดค้างแม่ของเจ้ามาก พ่อทำให้นางลำบาก เพราะความกตัญญูโง่ ๆ ของพ่อเอง”
“อย่าโทษตัวเองเลยขอรับ ตอนนี้เราออกมาแล้ว ถือว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”
ฉีหลินและแม่สามีใช้เวลาทำมื้อเที่ยงไม่นานก็เสร็จ เฟยจินกับเยว่เล่อช่วยกันจัดโต๊ะอาหารและยกอาหารออกมาวาง อาหารมื้อเที่ยงวันนี้มีน้ำแกงปลา ปลาทอด ปลาเปลือกแข็งคั่วเกลือ ข้าวผัดปลากระดองแข็ง เมื่อทุกคนเห็นหน้าตาอาหารและกลิ่นหอมชวนให้หิวท้องของพวกเขาแข็งกันร้องออกมาเสียงดัง ไม่เว้นแม้กระทั่งสามเสี่ยวยังน้ำลายไหลยืด
หลังมื้อเที่ยงเทียนฉีเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อพูดคุยเรื่องจ้างแรงงานกับหัวหน้าหมู่บ้าน นางฟางและเยว่เล่อตัดเย็บเสื้อผ้าสำหรับทุกคนในบ้าน ส่วนแฝดทั้งสองคนนอนกลางวันพร้อมกับสามเสี่ยว เฟยจินกับฉีหลินจึงออกไปสำรวจพื้นที่รอบ ๆ บ้าน
“เฟยจินหากข้าอยากได้ธนูสักคันจะต้องทำยังไง”
“พี่สะใภ้ ร้านขายอาวุธในเมืองมีขอรับหรือเราจะทำเองก็ได้แต่หัวของลูกธนูย่อมต้องซื้อเพราะหัวโลหะชาวบ้านเช่นเราไม่สามารถทำขึ้นเองได้ขอรับ”
“อ่อ เช่นนั้นรอท่านพ่อกลับมาจากบ้านหัวหน้าหมู่บ้านเราค่อยขับเกวียนเข้าไปซื้อดีหรือไม่”
“ถ้าพี่สะใภ้ว่าดี ข้าก็ว่าดีขอรับ ข้าเองก็อยากได้ด้วยเช่นกัน เวลาเราไปล่าสัตว์จะได้ไม่ต้องหวังพึ่งพาแค่กับดักที่วางเอาไว้”
“นั่นสิ ข้าคิดว่าข้าจะยึดอาชีพเป็นนายพรานล่ะ ฮ่า ๆ”
“พี่ใหญ่จะยอมหรือขอรับ ในป่าอันตรายขนาดนั้น”
“เอาเถอะ พี่ใหญ่เจ้าจะต้องยินยอมแน่ ๆ”
“ขอรับ” เฟยจินได้แต่ไม่เข้าใจความคิดของพี่สะใภ้ นางช่างแตกต่างจริง ๆ แต่ช่างเถอะเขาพร้อมที่จะเคารพการตัดสินใจของนาง
“เจ้าล่ะเฟยจิน เจ้าอยากทำอะไร หรือมีอะไรที่อยากทำหรือไม่”
“ข้าหรือขอรับ ข้าอยากเรียนหนังสือให้มากกว่านี้ ตอนนี้ข้าเพียงแค่อ่านออกเขียนได้นิดหน่อยเท่านั้น และข้าอยากเป็นเจ้าของสวนผลไม้ขอรับ ข้าอยากปลูกผัก ปลูกผลไม้ขาย”
“ดีเลย ในเมื่อเจ้าเองก็มีจุดมุ่งหมายของตัวเอง ตั้งใจเข้าล่ะ ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องทำได้ เอาไว้ข้าจะช่วยเจ้าหาผลไม้มาปลูกด้วยดีหรือไม่”
“ดีขอรับ ขอบคุณพี่สะใภ้มากขอรับ”
“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอกพวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน”
สองวันต่อมาชาวบ้านที่จ้างมาขุดบ่อน้ำก็เริ่มเข้ามาทำงาน ส่วนทาสหลวงมีหน้าที่พลิกหน้าดิน ฉีหลินเองก็ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการเตรียมหน้าดินเช่นเดียวกัน นางแบ่งพื้นที่ทำการเกษตรออกเป็นสัดส่วน สวนผลไม้ 60 หมู่ สวนผัก 20 หมู่ แปลงนา 30 หมู่ อีก 5 หมู่ เลี้ยงสัตว์ และอีก 5 หมู่ เป็นที่อยู่อาศัย
ตอนนี้ตระกูลหยางแห่งหมู่บ้านป่าหมอกได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว และทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเริ่มต้นไปด้วยดี เฟยเทียนเองตอนนี้หายดีแล้ว เขาเองก็ทำงานในสวนอย่างเต็มที่ ปีนี้พวกเขาปลูกข้าวและผัก ส่วนผลไม้นั้นต้องเข้าเมืองไปหาซื้อต้นกล้าเพื่อมาปลูก
ฉีหลินเองยังชอบที่จะเข้าป่าอยู่เนือง ๆ เมื่อเห็นว่าสามีสามารถจัดการงานในไร่ในสวนได้เรียบร้อย ไม่มีอะไรให้นางต้องห่วงนางเองก็ชอบที่จะเข้าป่าเพื่อหาของป่าและล่าสัตว์
ทันทีที่สามีของนางหายป่วยเขาก็เข้าไปช่วยงานท่านพ่อทันที ท่านแม่สามีเองก็ลงไปช่วยปลูกผักเช่นเดียวกัน ไม่เว้นแม้แต่ลูก ๆ ของนางเอง ทุกคนทำงานด้วยกันอย่างมีความสุข
ในขณะที่ทุกคนกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่นั้น สามเสี่ยวเองก็ช่วยงานด้วยเช่นกัน เสี่ยวหลางช่วยขุดหลุมเตรียมเอาไว้เพื่อปลูกผลไม้ เสี่ยวหู่ช่วยคาบกิ่งไม้ออกจากแปลงดิน ส่วนเสี่ยวเฮยมันเลื้อยผ่านดินที่พลิกหน้าดินเอาไว้ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่โตของมันทำให้เกิดร่องดินขึ้น ทำให้พวกเขาสะดวกในการทำแปลงผักเป็นอย่างมาก
“ขอบใจพวกเจ้าทุกตัว เช่นนั้นเย็นนี้ข้าจะเพิ่มอาหารให้นะ” ฉีหลินบอกกับสามเสี่ยว
“ไม่เป็นไร พวกข้าแค่ช่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น อีกอย่างตอนนี้ก็อยู่ว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำพอดี” เสี่ยวหู่
หลังจากทำงานกันอย่างหนักมา 6 วันเต็ม ๆ พื้นที่เพาะปลูกก็สามารถปลูกผักได้แล้ว แต่ปีนี้พวกเขาไม่สามารถปลูกข้าวได้ ฉีหลินจึงให้พ่อสามีปลูกถั่วบำรุงดินไปก่อน
ในส่วนของแปลงผัก นางปลูกผักกาดขาว หัวไชเท้า กวางตุ้ง คะน้า กะหล่ำ ผักบุ้ง นอกจากนั้นนางยังปลูกถั่วฝักยาว แตงกวา ฟักทองเอาไว้ข้าง ๆ กำแพงอีกด้วย
หลังจากปลูกผักเสร็จแล้วฉีหลินจึงมีเวลาเข้าเมืองเพื่อซื้อธนูที่นางอยากได้ และไปร้านขายเมล็ดพืชเพื่อดูว่ามีต้นกล้าผลไม้ขายหรือไม่ ผลไม้มีน้อยมากสำหรับที่แห่งนี้ ฉีหลินได้เมล็ดแตงโม แตงหอมมาอย่างละห่อ ได้แอปเปิ้ลมาสองต้นเพียงเท่านั้น
“ผลไม้หายากมากเลย”
“ใช่แล้วหลินเอ๋อร์ ไม่ค่อยมีคนปลูกจะมีก็แต่ที่เมืองหลวงแต่เป็นผลไม้ที่ซื้อมาจากแคว้นอื่นน่ะ”
“เช่นนั้นเราไปร้านขายอาวุธก่อนเจ้าค่ะ ข้าอยากจะได้ธนูเอาไว้ติดตัวเข้าป่า”
“ได้พี่ตามใจเจ้า แต่เจ้าต้องให้รางวัลพี่เช่นกันรู้หรือไม่”
“รางวัลอะไรของท่านพี่กันเจ้าคะ”
“เอาไว้กลับถึงบ้านแล้วพี่จะบอกนะ”
“ข้าไม่คุยกับท่านพี่แล้วพูดจาเลื่อนเปื้อน”
เฟยเทียนมองตามหลังภรรยาไปด้วยสายตารักใคร่ ขอบคุณสวรรค์ที่พานางกลับมาหาเขาขอบคุณที่ไม่พรากนางไปจากเขาตลอดชีวิตต่อไปนี้เขาตั้งใจเอาไว้ว่าจะดูแลปกป้องนางให้ดี จะไม่ยอมให้นางต้องจากไปไหนอีกแล้ว เขาเองก็เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่งแต่สวรรค์คงจะเห็นใจถึงได้ส่งเขากลับมาในตอนที่เขาเพิ่งจะได้รับบาดเจ็บได้ไม่นาน
ชาติที่แล้วของเขา ภรรยาของเขาตายไปในวันที่เขาบาดเจ็บกลับมา แต่การกลับมาครั้งนี้ของเขาภรรยาของเขาไม่ได้ตายจากเขาไปเพียงแต่นางบาดเจ็บเท่านั้น ท่านเทพที่พาเขามาส่งบอกกับเขาว่าดวงจิตของภรรยาของเขากำลังจะกลับมาและการกลับมาครั้งนี้ของนาง นางจะนำพาให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
เรื่องที่ตัวเองเคยตายไปแล้วครั้งหนึ่งเฟยเทียนไม่เคยบอกกับใคร เขาจะเก็บให้มันเป็นความลับเช่นนี้ตลอดไป ตอนนี้ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ความสุขกำลังจะวิ่งมาหาเขาในไม่ช้านี้
ในตอนที่ประมุขมารได้ตายไปพร้อมกับดวงจิตที่แตกสลาย แต่ทว่ากลับไม่ได้แตกสลายไปทั้งหมด ยังมีดวงจิตอีกเสี้ยวได้หลุดลอยไปเกิดใหม่ในอีกภพชาติหนึ่ง เกิดใหม่เป็นมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถระลึกชาติได้ ไม่มีความสามารถพิเศษอะไร เพียงใช้ชีวิตเรียบง่ายเพียงเท่านั้น นี่คือสิ่งที่ประมุขมารร่ำร้องขอความเมตตาจากสวรรค์ก่อนที่เข้าจะแหลกสลายไปหวังฉีหลินและเฟยเทียนกลับถึงหมู่บ้านป่าหมอก ทุกอย่างนางไม่คิดว่าจะง่ายดายถึงเพียงนี้ ในที่สุดประมุขมารก็คิดได้เสียที และหวังว่าพรที่นางและสามีร้องขอกับท่านมหาเทพนั้นจะทำให้ประมุขมารไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดี มีความสุขและมีภรรยาที่รักเขามากแล้วก็ขอให้ทั้งสองคนเป็นคู่ด้ายแดงทุกภพทุกชาติไป นี่เป็นสิ่งเดียวที่นางและสามีทำได้หลังจากที่หมดปัญหา หมดสงคราม ทุกคนก็ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข แคว้นหลงอยู่ในยุคที่เจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดีกินดี และข่าวการกลับมาขององค์ชายแปดผู้หายสาบสูญ ตอนนี้ถูกแต่งตั้งเป็นชินอ๋อง ที่ดินศักดินาหมู่บ้านป่าหมอกและหมู่บ้านใกล้เคียงอีกสามหมู่บ้าน หวังฉีหลินทิ้งงานให้ลูกชายทั้งหลายแล้วหนีไปท่องเที่ยวกับสามี ทั้งสองคนออกไปท่องโลกกว้าง และมักจะนำผลไม้หรือพืช
หลังจากที่ประมุขมารได้รับสารท้ารบจากเฟยเทียน ทำให้เขาได้รู้ว่าต่อให้เวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหนบุรุษผู้กระหายสงครามและพร้อมจะทำลายศัตรูตรงหน้าให้ย่อยยับได้ทุกเมื่ออย่างแม่ทัพสวรรค์ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยถึงแม้ในชาติภพนี้เขาจะลงมาจุติในดินแดนของมนุษย์แต่ความสามารถของเขายังติดตัวมานั่นไม่ใช่เรื่องโกหก ถึงแม้มหาเทพจะไม่ค่อยชอบหน้าลูกเขยสักเท่าไหร่ แต่มหาเทพผู้รักลูกสาวยิ่งกว่าสิ่งใดย่อมไม่มีทางให้นางลำบากส่วนมารอย่างตัวเขาเล่าทำอันใดได้บ้าง เป็นเขาเองที่ไปตกหลุมรักนางข้างเดียว เป็นเขาเองที่ยึดมั่นถือมั่น เป็นเขาเองที่ไม่ยอมปล่อยวาง เขารู้ตัวเองดีด้วยพลังของตัวเขาเองยังไม่ฟื้นคืนกลับมาทั้งหมด ต่อให้สู้จนตัวตายก็ไม่สามารถเอาชนะทั้งสองได้ถึงแม้จะเอาชนะแม่ทัพสวรรค์ได้แล้วธิดามหาเทพจะชายตาแลเขาหรือก็ไม่ นางไม่เพียงไม่ชายตาแลหากแต่นางคงแก้แค้นเขาที่ทำให้สามีของนางต้องมีอันเป็นไป นอกจากจะไม่ได้ความรักแล้วสิ่งที่ได้กลับมาคือความเกลียดชังต่างหากที่นางจะหยิบยื่นให้เขาแล้วเหตุใดเขาถึงได้หน้ามืดตามัวเช่นนี้อยู่ถึงแสนปี ประชาชนเผ่ามารล้วนล้มตายไปตั้งเท่าไหร่ น้องชายคนเดียวของเขาที่เฝ้าเตือนสติเขาอยู่ตลอด
เวลาผ่านไปแล้วนับเดือน ตอนนี้กองกำลังที่ฉีหลินฝึกฝนขึ้นมาก็ออกจากด่านกักตนกันทุกคนแล้ว เวลานี้ฉีหลินกับสามีพร้อมด้วยเหล่าสัตว์เทพพร้อมไปเยือนเผ่ามารแล้วเฟยเทียนเองก็เห็นสมควรว่าไม่ควรปล่อยเวลาให้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ หลังจากจบปัญหานี้ได้เท่ากับภารกิจของภรรยาได้เสร็จสิ้นลงเช่นกัน ต่อจากนี้ไปพวกเขาสามีภรรยาจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเสียทีหลังจากกำหนดวันเคลื่อนพลได้แล้วฉีหลินก็ให้ทุกคนได้พักผ่อนให้เต็มที่ และเตรียมข้าวของที่จำเป็นใส่ลงในแหวนมิติให้เรียบร้อย ทั้งอาหารการกิน ยารักษาต่าง ๆ ทุกคนต่างเตรียมไปให้พร้อมสรรพ ด้วยศึกครั้งนี้อีกฝ่ายคือเผ่ามารไม่รู้ว่าจะมีฝีมือร้ายกาจขนาดไหน แต่พวกเขาเชื่อมั่นในตัวนายท่านและนายหญิงว่าจะนำพาพวกเขากลับบ้านมาอย่างปลอดภัยเฟยจิน เฮ่ออี และฮั่นเหวินไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการรบในครั้งนี้ ลูก ๆ ของเฟยเทียนทุกคนก็เช่นเดียวกัน ส่วนสัตว์เทพที่คอยดูแลความปลอดภัยที่หมู่บ้านป่าหมอกมีเพียงต้าเซี่ยกับเสี่ยวเสวียนอู่เพียงสองตัวเท่านั้นส่วนเสี่ยวหลาง เสี่ยวหู่ เสี่ยวเฮย เสี่ยวรุ่ยจื่อ และพี่ใหญ่อย่างจินหลงล้วนเข้าร่วมการรบในครั้งนี้ คนที่กระตือรือร้นมากที่สุดคื
ไป๋อี้ถังผู้โสดสนิท ครองตัวเป็นผู้บริสุทธิ์ประหนึ่งนักพรตผู้ทรงศีล อีกทั้งรังเกียจสตรีมากเล่ห์ หลังจากออกจากด่านกักตนมา เขาก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาสั่งสอนลูกศิษย์ในสำนัก ไม่มีภรรยาและบุตรให้ดูแล เวลาทั้งหมดที่มีนอกจากฝึกฝนพลังปราณแล้ว เวลาส่วนที่เหลือเขาจึงเคี่ยวเข็ญลูกศิษย์ในสำนักศึกษาด้วยความเข้มงวดในเวลาต่อมา อาจารย์ใหญ่ไป๋อี้ถังจึงมีฉายาว่า อาจารย์ใหญ่จอมโหด หากใครไม่ทำการบ้านมาส่งก็จะโดนลงโทษให้ไปวิ่งรอบสถานศึกษา อีกทั้งยังจะต้องทำการบ้านในครั้งหน้ามากกว่าคนอื่นสองเท่าเท่านั้นยังไม่พอ ยังต้องเขียนจดหมายสำนึกผิดอีก 100 จบ และไปเก็บมูลทำความสะอาดคอกของสือเอ้อร์กับสืออีแทนคนงานในไร่ แถมยังต้องถูกเจ้าสือเอ้อร์กับสืออีกลั่นแกล้งจนหน้าทิ่มกองอึอีก ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าไม่ทำการบ้านอีกเลยวันนี้เป็นวันที่ไป๋อี้ถังว่างมาก มากที่สุด วันนี้เป็นวันหยุดของสถานศึกษา ไป๋อี้ถังจึงคิดว่าจะไปเดินเล่นที่ตลาดในเมือง และหาซื้อพู่กันกับแท่นฝนหมึกเพิ่มเพราะเท่าที่เขามีอยู่ตอนนี้ใช้ไปจนเกือบจะหมดแล้วจากนั้นเขาตั้งใจว่าจะชวนสหายทั้งสามของเขาไปด้วยกัน แต่กลับไม่มีใครไปเพราะแต่ละคนต้องการอยู่กับภรรยาแ
หลังจากที่เฟยเทียนกับฉีหลินเดินทางกลับมาถึงหมู่บ้านป่าหมอกพร้อมลูกชายและเหล่าสหาย หนึ่งเดือนให้หลังเฟยจินก็กลับมาพร้อมกับฮั่นเหวินและเฮ่ออี หลังจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้และรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน รวมถึงส่งรายชื่อหนอนให้กับเบื้องบนแล้ว ตัวเขาเองก็หมดหน้าที่ ตอนนี้สงครามสงบลงแล้ว ทั้งสามจึงได้ยื่นหนังสือขอลาพักกลับบ้านเกิดเพื่อเยี่ยมบิดามารดาไป๋อี้ถังและสหายทั้งสามจะเข้าด่านกักตนเพื่อฝึกฝนในอีก 3 วันข้างหน้า โดยผู้ที่จะรับหน้าที่สั่งสอนศิษย์ในสถานศึกษาก็คือราชครูไป๋หย่งเต๋อที่เดินทางตามหลังเฟยจินได้เพียง 7 วันนอกจากไป๋หย่งเต๋อแล้วยังมีไป๋เจิ้นกั๋วเจ้ากรมอาญา เดินทางมาพร้อมกับไท่ปิงองครักษ์ประจำตัว นับเป็นการรวมตัวกันระหว่างองครักษ์เลยก็ว่าได้ เซียวหลางตัดสินใจแต่งงานและติดตามไป๋อี้ถัง ม่อถูเองก็เช่นเดียวกัน มีเพียงไท่ปิงเท่านั้นที่มีหน้าที่ดูแลไป๋เจิ้นกั๋วที่เมืองหลวงไท่ปิงเองก็อยากจะมีชีวิตเฉกเช่นสหายทั้งสองบ้าง เขาเองก็คงต้องเร่งฝึกองครักษ์ขึ้นมาใหม่เพื่อจะได้ทำหน้าที่แทนเขา ส่วนตัวเขาเองจะตามมาตั้งรกรากที่หมู่บ้านป่าหมอกแห่งนี้ตามสหายทั้งสองคนวันนี้ฉีหลินเรียกประชุมหน่วยลับที่เป
เฟยเทียนพาภรรยามุ่งหน้ากลับหมู่บ้านป่าหมอกทันที หลังจากจัดการทั้งสองแคว้นเรียบร้อยแล้ว และด่านสุดท้ายของภารกิจในครั้งนี้ก็คือจัดการกับเผ่ามารให้เด็ดขาด หากไม่กำจัดประมุขเผ่ามารเสียตอนนี้ ไม่แน่ว่าวันข้างหน้าก็จะเกิดปัญหาเช่นนี้อีก มีเพียงกำจัดประมุขมารให้ได้เท่านั้นทุกคนจะได้ไม่เดือดร้อน ตอนนี้มีข่าวส่งว่าอ๋องมารน้องชายเพียงคนเดียวของประมุขมารได้หนีออกจากเผ่ามารไปตั้งรกรากที่อื่นแต่เดิมอ๋องมารก็ไม่เห็นด้วยกับประมุขมารเรื่องยึดดินแดนมนุษย์ แต่ไหนเลยประมุขมารผู้เป็นพี่ชายจะยอมฟัง ในเมื่อมันเป็นความแค้นใจที่มีต่อธิดามหาเทพและสามี ต่อให้อีกนับล้านปีประมุขมารก็วางความแค้นในใจลงไม่ได้“ไม่รู้ว่าเจ้าสามแสบจะทำเรื่องปวดหัวให้ท่านพ่อกับท่านปู่มากมายเพียงใด โดยเฉพาะลูกสาวของท่านพี่ ป่านนี้ไม่ใช่พี่อี้ถังปวดหัวจนผมขาวหมดหัวแล้วหรือเจ้าคะ”“ฮ่า ฮ่า ไม่ขนาดนั้นกระมัง ลูกสาวของเราออกจะน่ารัก อีกอย่างพี่อี้ถังก็ไม่ใช่ว่าจะรับมือไม่ได้เลยนี่นะ”“ท่านพี่ก็เข้าข้างนางตลอดล่ะเจ้าค่ะ อีกหน่อยนางก็เสียคนพอดี”“ไม่ใช่ว่านางกลัวท่านแม่อย่างเจ้าอยู่หรอกหรือ เอาน่าลูกยังเด็กอยู่ยังไม่รู้ความ มีพวกต้าเซี่ยอย