เฟยเทียนบังคับเกวียนเข้ามาในเมืองและมุ่งหน้าไปยังเหลาอาหารหมื่นลี้ เมื่อมาถึงจุดรับซื้อของเสี่ยวเอ้อร์ที่ทำหน้าที่รับซื้อของจากชาวบ้านรีบเดินมาต้อนรับทันที
“เชิญจอดเกวียนด้านนี้เลยขอรับ ไม่ทราบว่าท่านนำอะไรมาขายให้เหลาหมื่นลี้ของเราหรือขอรับ ขอข้าตรวจดูได้หรือไม่”
“ย่อมได้อยู่แล้ว เชิญเจ้ามาตรวจสอบดูได้”
เมื่อเสี่ยวเอ้อร์เห็นสิ่งที่อยู่บนเกวียนทันทีที่คนบนเกวียนยกเสื่อไม้ไผ่ออกเขาได้แต่ตกตะลึงตาค้าง ก่อนที่จะบอกให้เฟยเทียนเอาเสื่อไม้ไผ่คลุมกลับไปเช่นเดิมจากนั้นเขาก็กลับหลังหันวิ่งเข้าไปตามหลงจู๊ทันที
“นะ.. นะ นี่มัน กะ. กะ กวางดาว ท่านช่วยเอาเสื้อคลุมเอาไว้ก่อนนะขอรับ ข้าจะไปตามหลงจู๊เดี๋ยวนี้”
เสี่ยวเอ้อร์วิ่งหน้าตั้งกลับเข้าไปด้านใน เพื่อไปตามหลงจู๊ของเหลาอาหารหมื่นลี้มาเป็นผู้เจรจาซื้อขายในครั้งนี้ เพราะตั้งแต่เขามาทำงานในตำแหน่งเสี่ยวเอ้อร์รับซื้อก็ไม่เคยมีใครเอากวางมาขายเลยสักครั้ง เขาเองไม่สามารถตัดสินใจได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องให้หลงจู๊มาตัดสินใจด้วยตัวเอง
“หลงจู๊ขอรับ ท่านช่วยออกไปเจรจาที่จุดรับซื้อได้หรือไม่ขอรับ พอดีมีของที่ข้าไม่สามารถตัดสินใจได้มาขายขอรับ”
“ของอะไรของเจ้า ถึงกับตัดสินใจไม่ได้กัน”
“ข้าว่าท่านไปดูเองเถอะขอรับ หากให้ข้าพูดมันจะไม่เป็นการดี”
“ได้ ๆ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”
ในระหว่างที่รอหลงจู๊อยู่นาน เจี้ยนเอ๋อร์ก็บ่นออกมาเล็กน้อยและไม่เข้าใจท่าทีของเสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นทำไมจะต้องทำท่าทางร้อนรนแบบนั้นด้วย พวกเขาก็แค่เอากวางมาขายเองนะทำไมเขาต้องไปตามหลงจู๊ด้วย
“ท่านพ่อขอรับ ตกลงพวกเขาจะซื้อหรือเปล่า ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนั้น เราแค่เอากวางมาขายเองนะ” เจี้ยนเอ๋อร์
“ซื้อสิลูก แต่เสี่ยวเอ้อร์รับซื้อไม่สามารถที่จะตัดสินใจได้ว่าจะให้ราคาเท่าไหร่ จึงต้องไปถามหลงจู๊ก่อนน่ะ” เฟยเทียนตอบลูกอย่างใจเย็น
“ขอรับท่านพ่อ ข้าเข้าใจแล้ว”
ทันใดนั้นหลงจู๊เดินนำหน้าเสี่ยวเอ้อร์ตรงมาที่เกวียนของครอบครัวหยาง พร้อมกับเอ่ยขอโทษที่ทำให้รอและเกิดการล่าช้าเพราะการไม่กล้าตัดสินใจของเสี่ยวเอ้อร์
“ขออภัยที่ให้รอนานนะ ข้าขอโทษแทนเสี่ยวเอ้อร์ของเราด้วย ขอข้าดูของที่เจ้านำมาขายหน่อย ประเดี๋ยวข้าจะประเมินราคาให้ พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะ เหลาหมื่นลี้ของเราย่อมไม่กดราคาพวกเจ้าอยู่แล้ว”
“นี่ขอรับ เชิญหลงจู๊ทางนี้เลยขอรับ” เฟยเทียนยกเสื่อไม้ไผ่ออกจากซากกวาง
เมื่อหลงจู๊เห็นสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าเขาเองก็มีอาการเช่นเดียวกับเสี่ยวเอ้อร์ก่อนหน้านี้ เฉิงเอ๋อร์กับเจี้ยนเอ๋อร์มองหลงจู๊ด้วยความสงสัยเด็กน้อยทั้งสองไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลงจู๊ถึงต้องตกใจด้วย ท่านพ่อกับท่านแม่แค่เอากวางที่ล่าได้มาขายแค่นั้นเอง
“หลงจู๊ขอรับ ท่านหลงจู๊ขอรับ ตกลงท่านจะรับซื้อหรือไม่” เฟยเทียนที่เห็นหลงจู๊กำลังเหม่อลอยเขาจึงถามออกมา
“หะ เอ่อ ซื้อสิซื้อข้ารับซื้อข้าขอโทษด้วยพอดีข้าดีใจมากไปหน่อย นานมากแล้วไม่มีพรานป่าล่ากวางมาขายให้เหลาของเรา เช่นนั้นข้าให้เจ้า 20 ตำลึงทอง เจ้าตกลงขายหรือไม่”
“ขายขอรับ หลงจู๊จะให้ข้ายกไปไว้ที่ใดขอรับ”
“ไม่ต้อง ๆ เดี๋ยวข้าให้เด็ก ๆ มายกไปเก็บเอง เจ้ารอสักครู่ข้าจะไปนำเงินมาให้”
“ขอรับ”
หลังจากเสี่ยวเอ้อร์ในร้าน 2 คนมายกซากกวางลงจากเกวียน เด็ก ๆ สองคนบนเกวียนก็เริ่มพูดคุยกันอีกครั้ง ทั้งสองคนไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่เห็นกวางจะต้องตกใจทุกคน เพราะเด็กทั้งสองคนไม่รู้ว่ากวางนั้นหายากเพียงใดหลังจากป่าหมอกที่อยู่ดี ๆ ก็มีหมอกหนาทึบมากขึ้นทุกปี และมีนายพรานจบชีวิตในป่าหมอกไปไม่น้อย ไม่ใช่ว่ากวางเป็นสัตว์หายากอะไร เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเข้าป่าหมอกไปล่าต่างหาก มันจึงกลายเป็นของหายากขึ้นมาและมีราคาแพง
“นี่เงินของเจ้า หากครั้งหน้าเจ้าล่าได้อีกอย่าลืมมาขายให้เหลาหมื่นลี้นะ”
“ขอรับ ขอบคุณขอรับ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
เกวียนเทียมวัวเคลื่อนที่ออกไปอย่างช้า ๆ ในตอนนั้นเองหลงจู๊ถึงได้เห็นว่าบนเกวียนมีหมาป่านั่งอยู่ข้าง ๆ เด็กน้อยทั้งสองคน นี่คงไม่ใช่ครอบครัวพรานป่าธรรมดาเสียกระมัง เขาทำงานที่เหลาหมื่นลี้มากว่า 30 ปีเขาไม่เคยได้ยินว่ามีพรานป่าคนไหนสามารถเลี้ยงหมาป่าให้เชื่องได้ ต่อไปเขาคงต้องสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์รับซื้ออาหารปฏิบัติตัวให้ดีกับครอบครัวนี้เสียแล้ว
“เสี่ยวฉุน หากครั้งต่อไปคนพวกนี้นำของมาขายที่นี่เจ้าต้องปฏิบัติกับพวกเขาให้ดีล่ะเข้าใจหรือไม่”
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับหลงจู๊”
“อืม ไม่มีอะไรแล้วกลับไปทำงานของเจ้าต่อเถอะ”
เฟยเทียนเห็นว่าวันนี้เวลาก็ล่วงเลยไปนานมากแล้ว เขาจึงไม่ได้พาลูกเมียเดินเที่ยวในเมืองเขาขับเกวียนมุ่งหน้ากลับหมู่บ้านป่าหมอกไปทันที ตลอดการเดินทางมีเสียงพูดคุยหยอกล้อของลูกชายทั้งสองคนเฟยเทียนมองลูก ๆ ด้วยสายตารักใคร่
“ท่านแม่ขอรับ วันนี้เราจะทำหมูย่างหรือไม่ขอรับ” เจี้ยนเอ๋อร์
“ทำสิ ทำไมจะไม่ทำล่ะก็ลูกบอกว่าอยากกินไม่ใช่หรือ แล้วลูกอย่าลืมขอบคุณเสี่ยวหลางเสียด้วยล่ะ เสี่ยวหลางเป็นคนล่าหมูมาได้ ไม่ใช่พ่อกับแม่หรอกนะ” ฉีหลินบอกกับลูกชาย
“จริงหรือขอรับท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์
“จริงจ้ะ”
“เสี่ยวหลางขอบคุณเจ้ามากนะ เจ้าดีที่สุดเลย” เจี้ยนเอ๋อร์
“ใช่แล้วเสี่ยวหลาง ข้าเองก็ขอบคุณเจ้าด้วยเช่นกัน เจ้าเก่งมากจริง ๆ” เฉิงเอ๋อร์
เวลาผ่านไปเพียง 2 เค่อเท่านั้นพวกเขาก็กลับมาถึงหมู่บ้านป่าหมอก เฟยเทียนปลดวัวออกจากเกวียน และนำวัวไปผูกเอาไว้ที่คอกชั่วคราว หลังจากหาน้ำและหญ้าให้กับวัวแล้ว เขารีบไปช่วยพ่อกับน้องชายทำความสะอาดหมูต่อทันที
“ท่านพ่อมีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่ขอรับ ”
“ไม่มีอะไรแล้ว แล้วจะจัดการทั้งหมดนี่ยังไง”
“หลินเอ๋อร์บอกว่านางจะรมควันเก็บเอาไว้เป็นเสบียงขอรับ และแบ่งบางส่วนทำหมูย่างหนังกรอบขอรับ"
“เช่นนั้นก็จัดการเถอะ พ่อขอเอาเครื่องในพวกนี้ไปฝังก่อน”
“ท่านพ่อเจ้าคะเดี๋ยวเจ้าค่ะ ท่านพ่อจะเอาเครื่องในไปฝังหรือเจ้าคะ”
“ใช่แล้ว ทำไมหรือกลิ่นเหม็นขนาดนี้ไม่มีผู้ใดเขาเอามากินหรอกนะลูกสะใภ้ เงินที่เจ้าให้มาในมือพ่อยังเหลืออยู่อีกมาก เราไม่ได้ลำบากเช่นเมื่อก่อนแล้วของพวกนี้เจ้าอย่ากินเลยนะ” หยางเทียนฉีมองลูกสะใภ้ด้วยความรู้สึกผิดเพราะความกตัญญูโง่ ๆ ของเขาทำให้ครอบครัวเดือดร้อนกว่าจะคิดได้ก็เกือบสายไปแล้ว
“มันกินได้เจ้าค่ะท่านพ่อ ข้ารู้วิธีทำท่านพ่อปล่อยเอาไว้ตรงนี้แหละเจ้าค่ะข้าจะจัดการเอง รับรองว่ามันอร่อยจนพวกท่านต้องกลืนลิ้นตัวเองแน่ ๆ"
“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้าเถอะ ”
“ท่านพ่อขอรับพรุ่งนี้ท่านพ่อแบ่งเนื้อหมูไปให้ท่านลุงเมิ่งด้วยนะขอรับ ยังมีท่านหมออีกเอาสมุนไพรที่ข้ากับหลินเอ๋อร์เก็บมาวันนี้แบ่งไปให้ท่านหมอสักหน่อย”
“ได้ ๆ พ่อจะจัดการให้”
“ขอรับท่านพ่อ”
จากนั้นฉีหลินก็มีหน้าที่ล้างเครื่องในจนสะอาดและคลุกเกลือเก็บใส่ไหเอาไว้ กระเพาะหมูนางนำมาตุ๋นกับไก่เพื่อเป็นน้ำแกงบำรุงร่างกาย ส่วนไส้นางตั้งใจจะนำมาทำกุนเชียงและใส้ใหญ่นำมาตุ๋นรวมกับหัวหมู
เฟยเทียนก่อไฟเตรียมย่างหมู นางฟางกับเยว่เล่อทำมื้อเย็น วันนี้อาหารบ้านหยางจึงอุดมสมบูรณ์กว่าที่ผ่านมา นอกจากนี้ฉีหลินยังแบ่งเนื้อหมูให้พ่อสามีเอาไปให้หัวหน้าหมู่บ้านป่าหมอกด้วยเช่นเดียวกัน
หยางเทียนฉีขี่วัวเอาเนื้อหมูไปให้หัวหน้าหมู่บ้าน เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านเห็นคนบ้านหยางที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ในที่ดินที่ติดกับชายป่าหมอก คราแรกเขาคิดว่าคนบ้านหยางน่าจะมาขอความช่วยเหลือหรือไม่ก็ต้องการจ้างแรงงานไปทำงานในที่ดินของพวกเขา แต่พอหัวหน้าหมู่บ้านเห็นว่าคนบ้านหยางนั้นแบ่งเนื้อหมูมาให้หลายชั่งเขาก็ดีใจจนพูดไม่ออก
ถึงแม้ว่าหมู่บ้านป่าหมอกจะล้อมรอบไปด้วยป่าเขาแต่พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าหมอกซึ่งไม่มีใครกล้าที่จะเสี่ยงตายเข้าไปล่าสัตว์ ชาวบ้านธรรมดาจึงได้แต่เข้าป่าอีกด้านของหมู่บ้านแต่ก็ไม่ได้มีสัตว์ให้ล่ามากมายนัก
หากอยากได้สัตว์ใหญ่จำเป็นจะต้องเข้าป่าลึกและเข้าไปค้างคืนในป่าถึงจะไม่ใช่ป่าหมอกแต่จะมีชาวบ้านสักกี่คนที่กล้าเข้าไปพักค้างแรมในป่าลึกเพื่อล่าสัตว์กัน
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าแบ่งเนื้อหมูมาให้ขอรับไม่ทราบว่าบ้านท่านทำมื้อเย็นหรือยัง”
“เอ่อ มันมากไปหรือไม่ ข้าจะกล้ารับเอาไว้ได้ยังไง เอามาให้ข้าจะดีหรือ”
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้านอย่าได้คิดมากเลยขอรับ เนื้อหมูเพียงเล็กน้อยแค่นี้ถือว่าข้าได้แสดงความขอบคุณที่ท่านได้ให้ความช่วยเหลือนับตั้งแต่ข้าและครอบครัวย้ายเข้ามาอยู่ที่หมู่บ้านป่าหมอกแห่งนี้ขอรับ”
“แล้วเจ้าเอามาเสียเยอะขนาดนี้ ครอบครัวของเจ้ามีคนเยอะพอกินหรือไม่”
“พอขอรับพอดีลูกชายข้าโชคดีได้หมูตัวใหญ่ ที่บ้านยังเหลืออีกมากขอรับ ขอท่านอย่าได้เกรงใจ”
“เช่นนั้นก็ขอบใจเจ้ามากนะ หากมีอะไรให้ข้าช่วยก็สามารถมาบอกกับข้าได้ตลอดเวลา"
“ขอบคุณมากขอรับ เช่นนั้นข้ากลับก่อน”
หลังจากที่หยางเทียนฉีกลับไปได้ไม่นานภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านก็กลับมาจากแปลงนา เมื่อเห็นในมือสามีมีหมูชิ้นใหญ่น่าจะมีน้ำหนักไม่ตำกว่า 5 ชั่ง นางจึงถามสามีด้วยความแปลกใจ
“ท่านพี่ ท่านไปซื้อเนื้อหมูมาจากที่ใดเจ้าคะ ทำไมซื้อมามากมายขนาดนี้”
ที่ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านถามเช่นนี้เพราะในมือของนางมือเงินอยู่ไม่มาก อย่าคิดว่าสามีของนางเป็นหัวหน้าหมู่บ้านแล้วจะมีฐานะดีกว่าชาวบ้านคนอื่น ถึงจะดีกว่าชาวบ้านแต่ก็ดีกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพราะชาวบ้านยึดอาชีพทำนาและหาของป่าขาย แต่ตอนนี้ในป่าด้านนี้แทบจะไม่มีอะไรให้หาแล้ว จะเหลือก็แต่ป่าหมอกเท่านั้น แล้วใครจะกล้าเข้าไปกัน
“เจ้ากลับมาแล้วหรือ หมูนี่ข้าไม่ได้ซื้อหรอก เป็นบ้านหยางเอามาให้น่ะ”
“บ้านหยางหรือเจ้าคะ ใช่ที่เพิ่งย้ายมาอยู่ติดกับป่าหมอกใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ใช่แล้วล่ะ เห็นว่าลูกชายบังเอิญล่าได้หมูตัวใหญ่ เลยแบ่งมาขอบคุณที่ข้าช่วยเหลือพวกเขาในหลายวันที่ผ่านมา”
“ดู ๆ แล้วพวกเขาก็เป็นคนดีไม่น้อย สะใภ้บ้านเฉียนเล่าว่านางมีญาติอยู่ที่หมู่บ้านเดิมของพวกเขา เห็นว่าที่ต้องย้ายออกมาเพราะโดนพี่ชายกับพี่สะใภ้รังแกลูกเมียและเอารัดเอาเปรียบพวกเขาน่ะเจ้าค่ะ ทำงานในนางก ๆ กินก็ไม่อิ่มป่วยไม่ยอมรักษา โชคยังดีที่ลูกสะใภ้บ้านหยางเข้าป่าและได้สมุนไพรราคาแพงมา ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็คงไม่มีเงินสร้างบ้านและซื้อที่ดินเพิ่มหรอกเจ้าค่ะ เห็นว่าบ้านใหญ่เลวร้ายขนาดยึดเอาสินเดิมพวกนางไว้ด้วยนะเจ้าคะ”
“เลวร้ายขนาดนั้นเลยหรือ ขนาดพี่น้องกันแท้ ๆ ยังทำได้ขนาดนี้ ใจคนนี่ช่างยากแก่การคาดเดาจริง ๆ ”
“ใช่เจ้าค่ะ สะใภ้บ้านเฉียนยังเล่าว่า สองสะใภ้บ้านใหญ่แย่งโสมที่สะใภ้บ้านหยางขุดได้บนเขาและผลักนางตกร่องเขาอาการเป็นตายเท่ากัน แต่นับว่าสวรรค์ยังเมตตาหลังจากนางฟื้นขึ้นมา นางก็กลายเป็นคนกล้าขึ้นมาทันที นางไล่ทุบตีคนบ้านใหญ่และเอาคืนทุกคนจากนั้นก็ทวงสินเดิมและแยกบ้านย้ายออกมาเจ้าค่ะ”
“นางคงหมดความอดทนเข้าจริง ๆ ใครจะยอมถูกผู้อื่นรังแกอยู่ตลอดไปกันล่ะ”
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าไปทำมื้อเย็นก่อนนะเจ้าคะ”
ในตอนที่ประมุขมารได้ตายไปพร้อมกับดวงจิตที่แตกสลาย แต่ทว่ากลับไม่ได้แตกสลายไปทั้งหมด ยังมีดวงจิตอีกเสี้ยวได้หลุดลอยไปเกิดใหม่ในอีกภพชาติหนึ่ง เกิดใหม่เป็นมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถระลึกชาติได้ ไม่มีความสามารถพิเศษอะไร เพียงใช้ชีวิตเรียบง่ายเพียงเท่านั้น นี่คือสิ่งที่ประมุขมารร่ำร้องขอความเมตตาจากสวรรค์ก่อนที่เข้าจะแหลกสลายไปหวังฉีหลินและเฟยเทียนกลับถึงหมู่บ้านป่าหมอก ทุกอย่างนางไม่คิดว่าจะง่ายดายถึงเพียงนี้ ในที่สุดประมุขมารก็คิดได้เสียที และหวังว่าพรที่นางและสามีร้องขอกับท่านมหาเทพนั้นจะทำให้ประมุขมารไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดี มีความสุขและมีภรรยาที่รักเขามากแล้วก็ขอให้ทั้งสองคนเป็นคู่ด้ายแดงทุกภพทุกชาติไป นี่เป็นสิ่งเดียวที่นางและสามีทำได้หลังจากที่หมดปัญหา หมดสงคราม ทุกคนก็ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข แคว้นหลงอยู่ในยุคที่เจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดีกินดี และข่าวการกลับมาขององค์ชายแปดผู้หายสาบสูญ ตอนนี้ถูกแต่งตั้งเป็นชินอ๋อง ที่ดินศักดินาหมู่บ้านป่าหมอกและหมู่บ้านใกล้เคียงอีกสามหมู่บ้าน หวังฉีหลินทิ้งงานให้ลูกชายทั้งหลายแล้วหนีไปท่องเที่ยวกับสามี ทั้งสองคนออกไปท่องโลกกว้าง และมักจะนำผลไม้หรือพืช
หลังจากที่ประมุขมารได้รับสารท้ารบจากเฟยเทียน ทำให้เขาได้รู้ว่าต่อให้เวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหนบุรุษผู้กระหายสงครามและพร้อมจะทำลายศัตรูตรงหน้าให้ย่อยยับได้ทุกเมื่ออย่างแม่ทัพสวรรค์ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยถึงแม้ในชาติภพนี้เขาจะลงมาจุติในดินแดนของมนุษย์แต่ความสามารถของเขายังติดตัวมานั่นไม่ใช่เรื่องโกหก ถึงแม้มหาเทพจะไม่ค่อยชอบหน้าลูกเขยสักเท่าไหร่ แต่มหาเทพผู้รักลูกสาวยิ่งกว่าสิ่งใดย่อมไม่มีทางให้นางลำบากส่วนมารอย่างตัวเขาเล่าทำอันใดได้บ้าง เป็นเขาเองที่ไปตกหลุมรักนางข้างเดียว เป็นเขาเองที่ยึดมั่นถือมั่น เป็นเขาเองที่ไม่ยอมปล่อยวาง เขารู้ตัวเองดีด้วยพลังของตัวเขาเองยังไม่ฟื้นคืนกลับมาทั้งหมด ต่อให้สู้จนตัวตายก็ไม่สามารถเอาชนะทั้งสองได้ถึงแม้จะเอาชนะแม่ทัพสวรรค์ได้แล้วธิดามหาเทพจะชายตาแลเขาหรือก็ไม่ นางไม่เพียงไม่ชายตาแลหากแต่นางคงแก้แค้นเขาที่ทำให้สามีของนางต้องมีอันเป็นไป นอกจากจะไม่ได้ความรักแล้วสิ่งที่ได้กลับมาคือความเกลียดชังต่างหากที่นางจะหยิบยื่นให้เขาแล้วเหตุใดเขาถึงได้หน้ามืดตามัวเช่นนี้อยู่ถึงแสนปี ประชาชนเผ่ามารล้วนล้มตายไปตั้งเท่าไหร่ น้องชายคนเดียวของเขาที่เฝ้าเตือนสติเขาอยู่ตลอด
เวลาผ่านไปแล้วนับเดือน ตอนนี้กองกำลังที่ฉีหลินฝึกฝนขึ้นมาก็ออกจากด่านกักตนกันทุกคนแล้ว เวลานี้ฉีหลินกับสามีพร้อมด้วยเหล่าสัตว์เทพพร้อมไปเยือนเผ่ามารแล้วเฟยเทียนเองก็เห็นสมควรว่าไม่ควรปล่อยเวลาให้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ หลังจากจบปัญหานี้ได้เท่ากับภารกิจของภรรยาได้เสร็จสิ้นลงเช่นกัน ต่อจากนี้ไปพวกเขาสามีภรรยาจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเสียทีหลังจากกำหนดวันเคลื่อนพลได้แล้วฉีหลินก็ให้ทุกคนได้พักผ่อนให้เต็มที่ และเตรียมข้าวของที่จำเป็นใส่ลงในแหวนมิติให้เรียบร้อย ทั้งอาหารการกิน ยารักษาต่าง ๆ ทุกคนต่างเตรียมไปให้พร้อมสรรพ ด้วยศึกครั้งนี้อีกฝ่ายคือเผ่ามารไม่รู้ว่าจะมีฝีมือร้ายกาจขนาดไหน แต่พวกเขาเชื่อมั่นในตัวนายท่านและนายหญิงว่าจะนำพาพวกเขากลับบ้านมาอย่างปลอดภัยเฟยจิน เฮ่ออี และฮั่นเหวินไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการรบในครั้งนี้ ลูก ๆ ของเฟยเทียนทุกคนก็เช่นเดียวกัน ส่วนสัตว์เทพที่คอยดูแลความปลอดภัยที่หมู่บ้านป่าหมอกมีเพียงต้าเซี่ยกับเสี่ยวเสวียนอู่เพียงสองตัวเท่านั้นส่วนเสี่ยวหลาง เสี่ยวหู่ เสี่ยวเฮย เสี่ยวรุ่ยจื่อ และพี่ใหญ่อย่างจินหลงล้วนเข้าร่วมการรบในครั้งนี้ คนที่กระตือรือร้นมากที่สุดคื
ไป๋อี้ถังผู้โสดสนิท ครองตัวเป็นผู้บริสุทธิ์ประหนึ่งนักพรตผู้ทรงศีล อีกทั้งรังเกียจสตรีมากเล่ห์ หลังจากออกจากด่านกักตนมา เขาก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาสั่งสอนลูกศิษย์ในสำนัก ไม่มีภรรยาและบุตรให้ดูแล เวลาทั้งหมดที่มีนอกจากฝึกฝนพลังปราณแล้ว เวลาส่วนที่เหลือเขาจึงเคี่ยวเข็ญลูกศิษย์ในสำนักศึกษาด้วยความเข้มงวดในเวลาต่อมา อาจารย์ใหญ่ไป๋อี้ถังจึงมีฉายาว่า อาจารย์ใหญ่จอมโหด หากใครไม่ทำการบ้านมาส่งก็จะโดนลงโทษให้ไปวิ่งรอบสถานศึกษา อีกทั้งยังจะต้องทำการบ้านในครั้งหน้ามากกว่าคนอื่นสองเท่าเท่านั้นยังไม่พอ ยังต้องเขียนจดหมายสำนึกผิดอีก 100 จบ และไปเก็บมูลทำความสะอาดคอกของสือเอ้อร์กับสืออีแทนคนงานในไร่ แถมยังต้องถูกเจ้าสือเอ้อร์กับสืออีกลั่นแกล้งจนหน้าทิ่มกองอึอีก ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าไม่ทำการบ้านอีกเลยวันนี้เป็นวันที่ไป๋อี้ถังว่างมาก มากที่สุด วันนี้เป็นวันหยุดของสถานศึกษา ไป๋อี้ถังจึงคิดว่าจะไปเดินเล่นที่ตลาดในเมือง และหาซื้อพู่กันกับแท่นฝนหมึกเพิ่มเพราะเท่าที่เขามีอยู่ตอนนี้ใช้ไปจนเกือบจะหมดแล้วจากนั้นเขาตั้งใจว่าจะชวนสหายทั้งสามของเขาไปด้วยกัน แต่กลับไม่มีใครไปเพราะแต่ละคนต้องการอยู่กับภรรยาแ
หลังจากที่เฟยเทียนกับฉีหลินเดินทางกลับมาถึงหมู่บ้านป่าหมอกพร้อมลูกชายและเหล่าสหาย หนึ่งเดือนให้หลังเฟยจินก็กลับมาพร้อมกับฮั่นเหวินและเฮ่ออี หลังจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้และรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน รวมถึงส่งรายชื่อหนอนให้กับเบื้องบนแล้ว ตัวเขาเองก็หมดหน้าที่ ตอนนี้สงครามสงบลงแล้ว ทั้งสามจึงได้ยื่นหนังสือขอลาพักกลับบ้านเกิดเพื่อเยี่ยมบิดามารดาไป๋อี้ถังและสหายทั้งสามจะเข้าด่านกักตนเพื่อฝึกฝนในอีก 3 วันข้างหน้า โดยผู้ที่จะรับหน้าที่สั่งสอนศิษย์ในสถานศึกษาก็คือราชครูไป๋หย่งเต๋อที่เดินทางตามหลังเฟยจินได้เพียง 7 วันนอกจากไป๋หย่งเต๋อแล้วยังมีไป๋เจิ้นกั๋วเจ้ากรมอาญา เดินทางมาพร้อมกับไท่ปิงองครักษ์ประจำตัว นับเป็นการรวมตัวกันระหว่างองครักษ์เลยก็ว่าได้ เซียวหลางตัดสินใจแต่งงานและติดตามไป๋อี้ถัง ม่อถูเองก็เช่นเดียวกัน มีเพียงไท่ปิงเท่านั้นที่มีหน้าที่ดูแลไป๋เจิ้นกั๋วที่เมืองหลวงไท่ปิงเองก็อยากจะมีชีวิตเฉกเช่นสหายทั้งสองบ้าง เขาเองก็คงต้องเร่งฝึกองครักษ์ขึ้นมาใหม่เพื่อจะได้ทำหน้าที่แทนเขา ส่วนตัวเขาเองจะตามมาตั้งรกรากที่หมู่บ้านป่าหมอกแห่งนี้ตามสหายทั้งสองคนวันนี้ฉีหลินเรียกประชุมหน่วยลับที่เป
เฟยเทียนพาภรรยามุ่งหน้ากลับหมู่บ้านป่าหมอกทันที หลังจากจัดการทั้งสองแคว้นเรียบร้อยแล้ว และด่านสุดท้ายของภารกิจในครั้งนี้ก็คือจัดการกับเผ่ามารให้เด็ดขาด หากไม่กำจัดประมุขเผ่ามารเสียตอนนี้ ไม่แน่ว่าวันข้างหน้าก็จะเกิดปัญหาเช่นนี้อีก มีเพียงกำจัดประมุขมารให้ได้เท่านั้นทุกคนจะได้ไม่เดือดร้อน ตอนนี้มีข่าวส่งว่าอ๋องมารน้องชายเพียงคนเดียวของประมุขมารได้หนีออกจากเผ่ามารไปตั้งรกรากที่อื่นแต่เดิมอ๋องมารก็ไม่เห็นด้วยกับประมุขมารเรื่องยึดดินแดนมนุษย์ แต่ไหนเลยประมุขมารผู้เป็นพี่ชายจะยอมฟัง ในเมื่อมันเป็นความแค้นใจที่มีต่อธิดามหาเทพและสามี ต่อให้อีกนับล้านปีประมุขมารก็วางความแค้นในใจลงไม่ได้“ไม่รู้ว่าเจ้าสามแสบจะทำเรื่องปวดหัวให้ท่านพ่อกับท่านปู่มากมายเพียงใด โดยเฉพาะลูกสาวของท่านพี่ ป่านนี้ไม่ใช่พี่อี้ถังปวดหัวจนผมขาวหมดหัวแล้วหรือเจ้าคะ”“ฮ่า ฮ่า ไม่ขนาดนั้นกระมัง ลูกสาวของเราออกจะน่ารัก อีกอย่างพี่อี้ถังก็ไม่ใช่ว่าจะรับมือไม่ได้เลยนี่นะ”“ท่านพี่ก็เข้าข้างนางตลอดล่ะเจ้าค่ะ อีกหน่อยนางก็เสียคนพอดี”“ไม่ใช่ว่านางกลัวท่านแม่อย่างเจ้าอยู่หรอกหรือ เอาน่าลูกยังเด็กอยู่ยังไม่รู้ความ มีพวกต้าเซี่ยอย