ทั้งสองคนเดินเข้าป่าหมอกลึกเข้าไปเรื่อย ๆ หมอกก็เริ่มหนาเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน ทั้งสองคนกับอีกหนึ่งตัวเดินยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่หมอกก็ยิ่งหนามากขึ้นอีก แต่พอพวกเขาเดินผ่านหมอกที่หนาทึบลึกเข้ามากลับพบว่าภายในป่าชั้นในที่ลึกเข้ามาไม่มีหมอกเลย
ภาพตรงหน้าทำเอาฉีหลินตกตะลึงอ้าปากค้างเฟยเทียนเองก็มีท่าทางไม่ต่างกัน ภายในป่าหมอกชั้นใน ต้นไม้ทุกต้นสูงเสียดฟ้าป่าเขียวชอุ่มบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าได้เป็นอย่างดี
“ข้างในนี้อุดมสมบูรณ์มากเลยนะเจ้าคะท่านพี่ แต่ทำไมชาวบ้านไม่เข้ามาหาของป่าล่าสัตว์ในป่าหมอกล่ะเจ้าคะ จากที่เราเข้าป่ามายังไม่พบเจอสัตว์ป่าดุร้ายเลยนะเจ้าคะ”
“อาจจะเป็นเพราะพวกชาวบ้านเดินเข้ามาก็เจอกับกำแพงหมอกและมีบางคนหลงทางทำให้หาทางออกไม่เจอก็เป็นได้”
“ข้าก็คิดเช่นเดียวกันกับท่านพี่ หากว่าเราไม่มีเสี่ยวหลางมาด้วยไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะหลงทางอยู่ในกำแพงหมอกก็เป็นได้”
“คงเป็นเช่นนั้น”
เสี่ยวหลางบอกกับฉีหลินว่ามันจะไปล่าหมูเพื่อเอากลับไปให้เพื่อนตัวน้อยทั้งสองของมัน ฉีหลินเองอดค่อนแคะมันในใจไม่ได้ว่าตกลงท่านเทพส่งให้มาเป็นตัวช่วยของนางหรือมาเป็นพี่เลี้ยงลูกของนางกันแน่
ฉีหลินกับเฟยเทียนสองสามีภรรยาช่วยกันเก็บเห็ดป่าและสมุนไพรหายากได้มากพอสมควร เฟยเทียนล่าไก่ป่า กระต่ายป่าตัวอ้วนพีได้หลายตัว เสี่ยวหลางที่แยกตัวออกไปไม่นานมันก็กลับมาเพื่อบอกกับฉีหลินว่ามันล่าหมูป่าเอาไว้สองตัวให้นางและสามีไปช่วยกันยกออกมา มันกลัวว่าหากช้าไปกว่านี้กลิ่นเลือดจะดึงดูดให้สัตว์ป่าดุร้ายได้กลิ่นเลือด
“ท่านพี่เจ้าคะ เสี่ยวหลางล่าหมูป่าเอาไว้อยากให้เราสองคนไปช่วยกันขนกลับมาเจ้าค่ะ หากทิ้งเอาไว้นานเสี่ยวหลางเกรงว่ากลิ่นเลือดจะดึงดูดสัตว์ป่าดุร้ายตัวอื่นเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ จะได้รีบกลับ”
“เจ้าค่ะเช่นนั้นก็ไปกัน จะได้รีบกลับบ้านเอาสมุนไพรพวกนี้ไปจัดการทำความสะอาดด้วย ส่วนสัตว์ป่าที่ล่ามาได้วันนี้ข้าจะเก็บเอาไว้กินเองทั้งหมดนะเจ้าคะ วันนี้จะทำหมูย่างส่วนที่เหลือจะรมควันเก็บเอาไว้เป็นเสบียงเจ้าค่ะ”
“ตามใจเจ้า ทำตามที่เจ้าเห็นสมควรเถอะ”
ทั้งสองคนช่วยกันหามหมูป่าทั้งสองตัวออกจากป่าหมอก ด้วยพละกำลังของเฟยเทียนที่ท่านเทพให้มาทำให้เขาสามารถแบกหมูตัวใหญ่ได้สบาย ๆ
ส่วนมืออีกข้างช่วยภรรหามหมูป่าตัวเล็กอีกตัว เสี่ยวหลางนำทางทั้งสองคนออกจากป่าหมอกได้อย่างปลอดภัย
แต่ก่อนที่จะออกพ้นชายป่าหมอกฉีหลินเห็นกวางดาวเดินเล็มหญ้าอยู่ตัวเดียว นางคิดว่ามันน่าจะหลงฝูงออกมานางวางหมูลงและเล็งธนูไปที่กวางดาวทันที
กวางดาวตกตายลงยังไม่ทันที่มันจะได้ร้องออกมาเสียด้วยซ้ำ มันแค่เพียงเล็มหญ้าอย่างสบายอารมณ์เพียงเท่านั้นแต่กลับโชคร้ายไปเสียได้ ตัวเองตายได้อย่างไรมันยังไม่รู้เลย
"หลินเอ๋อร์น้องช่างเก่งยิ่งนัก แบบนี้เขาเรียกว่าเพียงแค่เดินตามหลังเมีย ย่อมมีเนื้อกิน"
"ท่านพี่พูดอะไรเจ้าคะ เพ้อเจ้อ รีบ ๆ เอาหมูออกไปวางไว้ชายป่าแล้วรีบกลับมาเอากวางออกไปด้วย"
"จ้ะ จ้ะ พี่จะไปเดี๋ยวนี้"
เมื่อเฟยเทียนขนซากหมูป่าและกวางดาวออกมาวางเอาไว้ที่ชายป่าด้านนอกจนหมดแล้ว เขาให้ภรรยากลับบ้านไปก่อนเพื่อบอกให้น้องชายมาช่วยขนอีกแรง
"หลินเอ๋อร์ น้องเอาไก่ป่ากับกระต่ายกลับบ้านไปก่อนแล้วตามน้องรองมาช่วยขนพี่จะรออยู่ที่นี่"
"เจ้าค่ะท่านพี่ ข้าจะรีบไปรีบกลับ"
ฉีหลินสาวเท้ารีบเดินกลับบ้านทันที เมื่อมาถึงบ้านนางเอาตะกร้าสมุนไพรและไก่ป่ากับกระต่ายวางเอาไว้ที่ห้องครัวจากนั้นนางรีบเดินไปตามน้องชายทันที
"ท่านแม่เจ้าคะ น้องรองล่ะเจ้าคะ"
"หลินเอ๋อร์ ทำไมเจ้ากลับมาคนเดียวอาเทียนเล่าไปไหนเสียแล้ว"
"ท่านพี่เฝ้าซากสัตว์อยู่ชายป่าให้ข้ามาตามน้องรองไปช่วยขนกลับมาเจ้าค่ะ"
"น้องรองของเจ้าไปช่วยช่างสร้างบ้านกับพ่อของเจ้า"
"เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะท่านแม่"
“รีบไปเถอะประเดี๋ยวจะมืดค่ำเอา”
ฉีหลินเดินไปเรียกน้องชายสามีที่กำลังช่วยช่างสร้างบ้านอยู่พอพ่อสามีรู้เข้าจึงได้ตามกันไปช่วยกันขนซากสัตว์กลับมาส่วนลูก ๆ ของนางนั้นตอนนี้กำลังหลับสบายหลังจากที่เล่นซนมาทั้งวัน
“น้องรองไปช่วยพี่ใหญ่ของเจ้าขนของกลับมาจากชายป่าหน่อยจ้ะ พอดีพี่กับพี่ใหญ่เจ้าขนกลับมาไม่หมด พี่ใหญ่ของเจ้าจึงให้พี่มาตามเจ้าไปช่วยด้วย”
“ได้ขอรับพี่สะใภ้ ข้าขอไปบอกท่านพ่อสักครู่”
“ได้เช่นนั้นพี่กลับไปรอที่บ้านนะ”
“ขอรับ”
หยางเฟยจินเดินไปบอกท่านพ่อที่กำลังคุยอยู่กับนายช่าง ตอนนี้บ้านของพวกเขาเกือบจะเสร็จแล้ววันนี้ท่านพ่อจ่ายเงินค่าสร้างบ้านทั้งค่ากระเบื้องรวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เป็นเงินถึง 1200 ตำลึงทองเลยทีเดียว ทำให้ตอนนี้เงิน 5000 ตำลึงทองที่พี่สะใภ้ให้ไว้เมื่อวันก่อนเหลืออยู่ 3800 ตำลึงทองเลยทีเดียว
เฟยจินพอใจมากกับความเป็นอยู่ของครอบครัวในตอนนี้ นอกจากพวกเขาจะมีเงินสร้างบ้านแล้วพวกเขายังมีเงินเหลือในมืออีกมากทำให้ไม่ต้องมาวิตกกังวลว่าจะไม่มีเงินซื้อเสบียงอาหารมากักตุนในยามเมื่อถึงฤดูหนาว ไม่ต้องมานั่งห่วงว่าจะไม่มีเสื้อผ้าหนา ๆ ใส่ ไม่ต้องกังวลว่าผ้าห่มจะเพียงพอหรือไม่ หรือจะผ่านพ้นความหนาวเย็นไปได้อย่างไร
“ท่านพ่อขอรับ ข้าจะไปช่วยพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ขนของที่ชายป่านะขอรับ”
“ขนของรึ ? ของอะไรเยอะหรือไม่ต้องให้พ่อไปช่วยอีกคนหรือเปล่า”
“ข้าเองก็ไม่ทราบขอรับแต่พี่ใหญ่ให้พี่สะใภ้มาตามข้าขอรับ”
“อืม เช่นนั้นพ่อจะไปด้วยไปกันเถอะ”
เมื่อทั้งสองคนเดินมาถึงบ้านไม้ไผ่ก็พบว่าฉีหลินได้รออยู่ก่อนแล้ว เมื่อนางเห็นว่าน้องสามีและพ่อสามีเดินมาแล้วนางจึงพาทั้งสองคนเดินกลับไปยังชายป่าที่เฟยเทียนรออยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว เมื่อทั้งสองคนเห็นซากหมูป่า 2 ตัว และกวางดาวอีกหนึ่งตัวก็ได้แต่อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
สองคนผัวเมียคู่นี้เข้าป่าลึกไปถึงไหนกันมาได้สัตว์มามากมายเช่นนี้ การที่ล่าหมูป่ามาได้นั่นก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่กวางดาวนี่สิ ไม่ใช่จะล่ามันได้ง่าย ๆ กวางดาวไม่ได้จะออกมาหากินตามชายป่าหากว่าไม่เข้าป่าลึกไปหาแล้วล่ะก็ไม่มีทางที่จะหาตัวมันเจอได้ง่าย ๆ
“นะ.. นี่พวกเจ้า เข้าป่าลึกมาเช่นนั้นรึ”
“ท่านพ่อขอรับรีบเอาพวกนี้กลับบ้านไปก่อนมีอะไรค่อยกลับไปคุยกันที่บ้านนะขอรับ”
“ได้ ๆ เช่นนั้นพ่อจะยกหมูนี่ไปเอง ส่วนเจ้ารองเจ้าเอากวางกลับไป”
“ขอรับท่านพ่อ”
“ท่านพ่อเอาหมูตัวเล็กกลับไปเถอะขอรับ ส่วนตัวใหญ่นี่ข้าจะเอากลับไปเอง” เฟยเทียนบอกผู้เป็นพ่อ
“ตกลง”
เมื่อทั้ง 4 คนกลับมาถึงบ้านนางฟางที่บังเอิญเดินออกมาเห็นสิ่งที่พวกเขาพ่อลูกนำกลับมาด้วยก็ได้แต่อ้าปากค้างไปเลยทีเดียว นางยืนอ้าปากพะงาบ ๆ เป็นนานสองนานกว่าจะหาเสียงตัวเองเจอ
“นะ…นี่ ท่านพี่นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำไมมากมายขนาดนี้”
“ข้าเองก็ไม่รู้ เจ้าใหญ่กับลูกสะใภ้ล่ามาได้ ก็อย่างที่เจ้าเห็นนี่แหละ เอาล่ะไม่ต้องตกใจแล้ว ข้าจะช่วยลูก ๆ ทำความสะอาดหมู ส่วนกวางพวกเจ้าจะทำยังไงกับมันหรือ เจ้าใหญ่”
“ท่านพ่อกวางหลินเอ๋อร์จะเอาไปขายขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้าสองคนก็เอากวางไปขายเสียตอนนี้ ยังมีเวลาอีกมากกว่าจะค่ำ ส่วนหมูพ่อกับเจ้ารองจะจัดการเอง”
“ขอรับ ท่านแม่ขอรับท่านช่วยจัดการกับไก่และกระต่ายที่อยู่ในห้องครัวด้วยนะขอรับ”
“อะไรนะ? นี่ยังมีไก่กับกระต่ายอีกหรือ”
“ขอรับไม่มากมายอะไร แค่อย่างละ 4-5 ตัวเท่านั้น วันนี้ข้าโชคดีที่เดินตามหลังเมียเลยทำให้มีเนื้อกินน่ะขอรับ”
“เจ้าพูดจาอะไร นี่เจ้าให้เมียของเจ้าออกหน้าเรอะ เจ้าให้เมียของเจ้าเป็นกำบังหรือไง นี่เจ้ามันจะเกินไปแล้วนะ”
นางฟางที่ตอนนี้ โมโหลูกชายมีอย่างที่ไหนบอกว่าเดินตามหลังเมียนี่ไม่เท่ากับว่าให้เมียออกหน้าหากมีอันตรายเกิดขึ้นก็ไม่เท่ากับผลักไสเมียให้รับเคราะห์แทนหรอกหรือ ทำไมลูกชายของนางถึงได้กลายเป็นคนเช่นนี้ไปได้
“ท่านแม่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงแต่พูดเปรียบเทียบเท่านั้นขอรับ ข้าหมายถึงว่าฟังคำพูดเมียต่างหากเล่า ข้ารักนางถึงเพียงนี้ข้าจะใช้นางเป็นโล่กำบังได้ยังไงกัน”
“ก็แล้วทำไมเจ้าไม่พูดจาให้มันดี ๆ จะพูดให้คนเข้าใจผิดทำไม รีบ ๆ เอากวางไปขายจะได้รีบกลับมากินมื้อเย็น”
“ขอรับ ขอร๊าบบบบท่านแม๊”
“เจ้านี่โตจนเป็นพ่อคนแล้วยังจะเล่นอยู่อีก เจ้าก็รู้ว่าแม่เจ้ามีความกลัวฝังใจนางอยู่ตั้งแต่เจ้าสองคนได้รับบาดเจ็บครั้งนั้น ต่อไปเจ้าจะพูดจะจาอะไรก็คิดให้มากกว่านี้นะเจ้าใหญ่”
“ขอรับท่านพ่อ ข้าขอโทษขอรับที่ไม่ทันได้คิดให้ดี”
“เอาเถอะ ๆ รีบ ๆ ไปได้แล้ว”
คล้อยหลังลูกชายและลูกสะใภ้ออกไปไม่นานหลาน ๆ ตัวแสบก็ตื่นขึ้นมาทันที ยังไม่ทันที่เฟยเทียนจะได้ขับเกวียนออกพ้นบ้านเจ้าแสบทั้งสองก็วิ่งหน้าตั้งมาพร้อมสามสหายและมาขวางหน้าเกวียนเอาไว้“ท่านพ่อ ๆๆ ท่านแม่ ๆๆ ให้พวกเราไปด้วยนะขอรับ ท่านพ่อกับท่านแม่จะไปไหนหรือขอรับ”
“ทำไมไม่อยู่บ้านกับท่านย่าล่ะ ตอนนี้ท่านปู่ของลูกกำลังทำความสะอาดหมูอยู่”
“พวกเราอยากไปด้วยขอรับท่านพ่อ” เจี้ยนเอ๋อร์
“ท่านพี่เจ้าคะให้ลูก ๆ ไปด้วยเถอะเจ้าค่ะ อีกอย่างหากไม่รีบไปตอนนี้จะกลับมามืดค่ำเอาได้”
“อืม เช่นนั้นก็ไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ”
“เย้ๆ ท่านพ่อใจดี ข้ารักท่านแม่ที่สุด” เฉิงเอ๋อร์
“ใช่ ๆ ข้าก็รักท่านแม่ที่สุด”
“อ้าวแล้วไม่รักพ่อหรอกหรือ ว๊า เสียใจจัง” เฟยเทียนแกล้งพูดตัดพ้อออกมา
“รักขอรับ พวกเรารักท่านพ่อน้อยกว่าท่านแม่นิดหน่อยขอรับ คิ คิ” เฉิงเอ๋อร์
จากนั้นพ่อแม่ลูกและสามเสี่ยวก็ขับเกวียนมุ่งหน้าเข้าไปในเมืองเพื่อขายซากกวางดาวทันที ตอนที่เข้าเมืองเสี่ยวเฮยย่อขนาดตัวให้เล็กลงและเข้าไปซ่อนอยู่ในอกเสื้อของเจี้ยนเอ๋อร์และโผล่ออกมาแค่หัวเล็ก ๆ ของมันเท่านั้น
เสี่ยวหู่ยังอยู่ในภาพลักษณ์ของแมวส่วนเสี่ยวหลางเป็นหมาป่าที่ทำตัวเป็นหมาบ้านทันที เกวียนวิ่งมาอย่างไม่เร่งรีบมากนักใช้เวลาเพียง 2 เค่อ ก็มาถึงประตูเมืองหลังจากแจ้งยามเฝ้าประตูว่าพวกเขานำซากสัตว์มาขายและขออนุญาตขับเกวียนเข้าเมืองพร้อมทั้งจ่ายค่าผ่านประตูเรียบร้อยแล้ว เฟยเทียนขับเกวียนมุ่งหน้าไปยังเหลาอาหารหมื่นลี้ทันที
ในตอนที่ประมุขมารได้ตายไปพร้อมกับดวงจิตที่แตกสลาย แต่ทว่ากลับไม่ได้แตกสลายไปทั้งหมด ยังมีดวงจิตอีกเสี้ยวได้หลุดลอยไปเกิดใหม่ในอีกภพชาติหนึ่ง เกิดใหม่เป็นมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถระลึกชาติได้ ไม่มีความสามารถพิเศษอะไร เพียงใช้ชีวิตเรียบง่ายเพียงเท่านั้น นี่คือสิ่งที่ประมุขมารร่ำร้องขอความเมตตาจากสวรรค์ก่อนที่เข้าจะแหลกสลายไปหวังฉีหลินและเฟยเทียนกลับถึงหมู่บ้านป่าหมอก ทุกอย่างนางไม่คิดว่าจะง่ายดายถึงเพียงนี้ ในที่สุดประมุขมารก็คิดได้เสียที และหวังว่าพรที่นางและสามีร้องขอกับท่านมหาเทพนั้นจะทำให้ประมุขมารไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดี มีความสุขและมีภรรยาที่รักเขามากแล้วก็ขอให้ทั้งสองคนเป็นคู่ด้ายแดงทุกภพทุกชาติไป นี่เป็นสิ่งเดียวที่นางและสามีทำได้หลังจากที่หมดปัญหา หมดสงคราม ทุกคนก็ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข แคว้นหลงอยู่ในยุคที่เจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดีกินดี และข่าวการกลับมาขององค์ชายแปดผู้หายสาบสูญ ตอนนี้ถูกแต่งตั้งเป็นชินอ๋อง ที่ดินศักดินาหมู่บ้านป่าหมอกและหมู่บ้านใกล้เคียงอีกสามหมู่บ้าน หวังฉีหลินทิ้งงานให้ลูกชายทั้งหลายแล้วหนีไปท่องเที่ยวกับสามี ทั้งสองคนออกไปท่องโลกกว้าง และมักจะนำผลไม้หรือพืช
หลังจากที่ประมุขมารได้รับสารท้ารบจากเฟยเทียน ทำให้เขาได้รู้ว่าต่อให้เวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหนบุรุษผู้กระหายสงครามและพร้อมจะทำลายศัตรูตรงหน้าให้ย่อยยับได้ทุกเมื่ออย่างแม่ทัพสวรรค์ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยถึงแม้ในชาติภพนี้เขาจะลงมาจุติในดินแดนของมนุษย์แต่ความสามารถของเขายังติดตัวมานั่นไม่ใช่เรื่องโกหก ถึงแม้มหาเทพจะไม่ค่อยชอบหน้าลูกเขยสักเท่าไหร่ แต่มหาเทพผู้รักลูกสาวยิ่งกว่าสิ่งใดย่อมไม่มีทางให้นางลำบากส่วนมารอย่างตัวเขาเล่าทำอันใดได้บ้าง เป็นเขาเองที่ไปตกหลุมรักนางข้างเดียว เป็นเขาเองที่ยึดมั่นถือมั่น เป็นเขาเองที่ไม่ยอมปล่อยวาง เขารู้ตัวเองดีด้วยพลังของตัวเขาเองยังไม่ฟื้นคืนกลับมาทั้งหมด ต่อให้สู้จนตัวตายก็ไม่สามารถเอาชนะทั้งสองได้ถึงแม้จะเอาชนะแม่ทัพสวรรค์ได้แล้วธิดามหาเทพจะชายตาแลเขาหรือก็ไม่ นางไม่เพียงไม่ชายตาแลหากแต่นางคงแก้แค้นเขาที่ทำให้สามีของนางต้องมีอันเป็นไป นอกจากจะไม่ได้ความรักแล้วสิ่งที่ได้กลับมาคือความเกลียดชังต่างหากที่นางจะหยิบยื่นให้เขาแล้วเหตุใดเขาถึงได้หน้ามืดตามัวเช่นนี้อยู่ถึงแสนปี ประชาชนเผ่ามารล้วนล้มตายไปตั้งเท่าไหร่ น้องชายคนเดียวของเขาที่เฝ้าเตือนสติเขาอยู่ตลอด
เวลาผ่านไปแล้วนับเดือน ตอนนี้กองกำลังที่ฉีหลินฝึกฝนขึ้นมาก็ออกจากด่านกักตนกันทุกคนแล้ว เวลานี้ฉีหลินกับสามีพร้อมด้วยเหล่าสัตว์เทพพร้อมไปเยือนเผ่ามารแล้วเฟยเทียนเองก็เห็นสมควรว่าไม่ควรปล่อยเวลาให้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ หลังจากจบปัญหานี้ได้เท่ากับภารกิจของภรรยาได้เสร็จสิ้นลงเช่นกัน ต่อจากนี้ไปพวกเขาสามีภรรยาจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเสียทีหลังจากกำหนดวันเคลื่อนพลได้แล้วฉีหลินก็ให้ทุกคนได้พักผ่อนให้เต็มที่ และเตรียมข้าวของที่จำเป็นใส่ลงในแหวนมิติให้เรียบร้อย ทั้งอาหารการกิน ยารักษาต่าง ๆ ทุกคนต่างเตรียมไปให้พร้อมสรรพ ด้วยศึกครั้งนี้อีกฝ่ายคือเผ่ามารไม่รู้ว่าจะมีฝีมือร้ายกาจขนาดไหน แต่พวกเขาเชื่อมั่นในตัวนายท่านและนายหญิงว่าจะนำพาพวกเขากลับบ้านมาอย่างปลอดภัยเฟยจิน เฮ่ออี และฮั่นเหวินไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการรบในครั้งนี้ ลูก ๆ ของเฟยเทียนทุกคนก็เช่นเดียวกัน ส่วนสัตว์เทพที่คอยดูแลความปลอดภัยที่หมู่บ้านป่าหมอกมีเพียงต้าเซี่ยกับเสี่ยวเสวียนอู่เพียงสองตัวเท่านั้นส่วนเสี่ยวหลาง เสี่ยวหู่ เสี่ยวเฮย เสี่ยวรุ่ยจื่อ และพี่ใหญ่อย่างจินหลงล้วนเข้าร่วมการรบในครั้งนี้ คนที่กระตือรือร้นมากที่สุดคื
ไป๋อี้ถังผู้โสดสนิท ครองตัวเป็นผู้บริสุทธิ์ประหนึ่งนักพรตผู้ทรงศีล อีกทั้งรังเกียจสตรีมากเล่ห์ หลังจากออกจากด่านกักตนมา เขาก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาสั่งสอนลูกศิษย์ในสำนัก ไม่มีภรรยาและบุตรให้ดูแล เวลาทั้งหมดที่มีนอกจากฝึกฝนพลังปราณแล้ว เวลาส่วนที่เหลือเขาจึงเคี่ยวเข็ญลูกศิษย์ในสำนักศึกษาด้วยความเข้มงวดในเวลาต่อมา อาจารย์ใหญ่ไป๋อี้ถังจึงมีฉายาว่า อาจารย์ใหญ่จอมโหด หากใครไม่ทำการบ้านมาส่งก็จะโดนลงโทษให้ไปวิ่งรอบสถานศึกษา อีกทั้งยังจะต้องทำการบ้านในครั้งหน้ามากกว่าคนอื่นสองเท่าเท่านั้นยังไม่พอ ยังต้องเขียนจดหมายสำนึกผิดอีก 100 จบ และไปเก็บมูลทำความสะอาดคอกของสือเอ้อร์กับสืออีแทนคนงานในไร่ แถมยังต้องถูกเจ้าสือเอ้อร์กับสืออีกลั่นแกล้งจนหน้าทิ่มกองอึอีก ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าไม่ทำการบ้านอีกเลยวันนี้เป็นวันที่ไป๋อี้ถังว่างมาก มากที่สุด วันนี้เป็นวันหยุดของสถานศึกษา ไป๋อี้ถังจึงคิดว่าจะไปเดินเล่นที่ตลาดในเมือง และหาซื้อพู่กันกับแท่นฝนหมึกเพิ่มเพราะเท่าที่เขามีอยู่ตอนนี้ใช้ไปจนเกือบจะหมดแล้วจากนั้นเขาตั้งใจว่าจะชวนสหายทั้งสามของเขาไปด้วยกัน แต่กลับไม่มีใครไปเพราะแต่ละคนต้องการอยู่กับภรรยาแ
หลังจากที่เฟยเทียนกับฉีหลินเดินทางกลับมาถึงหมู่บ้านป่าหมอกพร้อมลูกชายและเหล่าสหาย หนึ่งเดือนให้หลังเฟยจินก็กลับมาพร้อมกับฮั่นเหวินและเฮ่ออี หลังจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้และรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน รวมถึงส่งรายชื่อหนอนให้กับเบื้องบนแล้ว ตัวเขาเองก็หมดหน้าที่ ตอนนี้สงครามสงบลงแล้ว ทั้งสามจึงได้ยื่นหนังสือขอลาพักกลับบ้านเกิดเพื่อเยี่ยมบิดามารดาไป๋อี้ถังและสหายทั้งสามจะเข้าด่านกักตนเพื่อฝึกฝนในอีก 3 วันข้างหน้า โดยผู้ที่จะรับหน้าที่สั่งสอนศิษย์ในสถานศึกษาก็คือราชครูไป๋หย่งเต๋อที่เดินทางตามหลังเฟยจินได้เพียง 7 วันนอกจากไป๋หย่งเต๋อแล้วยังมีไป๋เจิ้นกั๋วเจ้ากรมอาญา เดินทางมาพร้อมกับไท่ปิงองครักษ์ประจำตัว นับเป็นการรวมตัวกันระหว่างองครักษ์เลยก็ว่าได้ เซียวหลางตัดสินใจแต่งงานและติดตามไป๋อี้ถัง ม่อถูเองก็เช่นเดียวกัน มีเพียงไท่ปิงเท่านั้นที่มีหน้าที่ดูแลไป๋เจิ้นกั๋วที่เมืองหลวงไท่ปิงเองก็อยากจะมีชีวิตเฉกเช่นสหายทั้งสองบ้าง เขาเองก็คงต้องเร่งฝึกองครักษ์ขึ้นมาใหม่เพื่อจะได้ทำหน้าที่แทนเขา ส่วนตัวเขาเองจะตามมาตั้งรกรากที่หมู่บ้านป่าหมอกแห่งนี้ตามสหายทั้งสองคนวันนี้ฉีหลินเรียกประชุมหน่วยลับที่เป
เฟยเทียนพาภรรยามุ่งหน้ากลับหมู่บ้านป่าหมอกทันที หลังจากจัดการทั้งสองแคว้นเรียบร้อยแล้ว และด่านสุดท้ายของภารกิจในครั้งนี้ก็คือจัดการกับเผ่ามารให้เด็ดขาด หากไม่กำจัดประมุขเผ่ามารเสียตอนนี้ ไม่แน่ว่าวันข้างหน้าก็จะเกิดปัญหาเช่นนี้อีก มีเพียงกำจัดประมุขมารให้ได้เท่านั้นทุกคนจะได้ไม่เดือดร้อน ตอนนี้มีข่าวส่งว่าอ๋องมารน้องชายเพียงคนเดียวของประมุขมารได้หนีออกจากเผ่ามารไปตั้งรกรากที่อื่นแต่เดิมอ๋องมารก็ไม่เห็นด้วยกับประมุขมารเรื่องยึดดินแดนมนุษย์ แต่ไหนเลยประมุขมารผู้เป็นพี่ชายจะยอมฟัง ในเมื่อมันเป็นความแค้นใจที่มีต่อธิดามหาเทพและสามี ต่อให้อีกนับล้านปีประมุขมารก็วางความแค้นในใจลงไม่ได้“ไม่รู้ว่าเจ้าสามแสบจะทำเรื่องปวดหัวให้ท่านพ่อกับท่านปู่มากมายเพียงใด โดยเฉพาะลูกสาวของท่านพี่ ป่านนี้ไม่ใช่พี่อี้ถังปวดหัวจนผมขาวหมดหัวแล้วหรือเจ้าคะ”“ฮ่า ฮ่า ไม่ขนาดนั้นกระมัง ลูกสาวของเราออกจะน่ารัก อีกอย่างพี่อี้ถังก็ไม่ใช่ว่าจะรับมือไม่ได้เลยนี่นะ”“ท่านพี่ก็เข้าข้างนางตลอดล่ะเจ้าค่ะ อีกหน่อยนางก็เสียคนพอดี”“ไม่ใช่ว่านางกลัวท่านแม่อย่างเจ้าอยู่หรอกหรือ เอาน่าลูกยังเด็กอยู่ยังไม่รู้ความ มีพวกต้าเซี่ยอย