Masukละอองเดินไปยังลำธารที่มีน้ำใสไหลลงมาจากภูเขา ชาวบ้านเรียกภูเขาลูกนี้ว่าภูโน ซึ่งเป็นภูเขาที่สามีของเธอเข้าไปหาของป่าตอนนี้
เธอใช้ถังตักน้ำเพื่อไปนั่งซักผ้าในร่ม ซักเสร็จล้างให้สะอาดแล้วจึงถือตะกร้าผ้ากลับไปตากที่บ้าน หลังจากตากผ้าเสร็จจึงไปตักน้ำในลำธารมาใส่โอ่งไว้สำหรับอาบและล้างสิ่งของ ไม่ลืมที่จะนำมีดมาด้วย ละอองเห็นบอนขึ้นอยู่ข้างริมธารเธอรู้ว่ามันเป็นบอนหวานจึงตัดกลับไปด้วย เสร็จจากตักน้ำใช้ก็ไปตักน้ำดื่มข้าง ๆ บ้านยายเมี้ยน ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ถัดกันไป และบ่อน้ำดื่มแห่งนี้คนในหมู่บ้านก็ใช้ร่วมกัน ทั้งหมู่บ้านจะมีบ่อน้ำดื่มอยู่สามบ่อ และบ่อนี้ก็อยู่ใกล้บ้านเธอ
ตักน้ำดื่มเสร็จละอองจึงแหงนหน้ามองท้องฟ้า ดวงตะวันคล้อยต่ำลงมากแล้ว น่าจะใกล้ห้าโมงเย็นแล้วกระมัง ตอนทำความสะอาดครัวเธอเห็นฟืนอยู่บนบ้านไม่กี่ดุ้นเท่านั้น พอมองเข้าไปใต้ถุนบ้านก็ไม่มีฟืนเหลืออยู่แล้ว ละอองจึงตัดสินใจผ่าฟืนก่อนจะไปนึ่งข้าว
มือเรียวยาวลากฟืนท่อนยาวท่อนหนึ่งที่สามีแบกลงมาจากภูเขา จากนั้นจึงใช้มีดอีโต้หั่นครึ่งให้สั้นลงอีก ก่อนจะนั่งลงบั่นฟืนท่อนใหญ่ให้ได้อีกท่อนละสามดุ้น ขณะที่บั่นฟืนอยู่นั้นละอองก็รู้สึกว่ามีสิ่งของบางอย่างเลื่อนขึ้นลงอยู่บนข้อมือด้านซ้าย เธอจึงเหลือบตามองพบว่าเป็นกำไลหัวบัวเรียวเล็กวงหนึ่ง
ละอองวางมีดอีโต้ลงด้านข้าง มองกำไลที่ข้อมือด้วยความสนใจ “นี่มันกำไลที่นางฟ้าให้เรามานี่นา แล้วมันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” เธอพูดออกเสียงเบา
เธอถอดกำไลวงนั้นออกมาพินิจดูอีกครั้ง มือขวาบีบกำไลเข้าหากันกระทั่งส่วนปลายดอกบัวแตะกัน ทันใดนั้นจึงเกิดห้วงมิติขึ้นมาเป็นวงกลม ละอองตกใจจนหน้าถอดสี นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเธออีกแล้ว สายตามองไปยังลูกกับแม่สามี แม่สามียังเล่นอยู่กับหลานไม่ได้สนใจเธอแม้แต่น้อย เธอจึงก้าวเท้าเดินขึ้นไปบนบ้านแล้วรีบเดินเข้าห้องนอน
ละอองบีบกำไลให้ดอกบัวแตะกันอีกครั้ง ห้วงมิติปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ ในห้วงมิตินั้นมีบ้านปูนชั้นเดียวหลังใหญ่ แต่ทำไมมันถึงคล้ายบ้านของเธอที่อยู่ในโลกเดิมเช่นนี้ เธอผลักประตูเข้าไปในบ้าน ทุกอย่างดูคุ้นตาไปหมด ภายในนั้นมีข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างที่เธอเคยใช้ ละอองเดินตรงไปยังห้องนอน มือเรียวบางเปิดตู้นิรภัยที่วางอยู่ข้างเตียงนอนออก เธอถึงกับผงะหงายหลังนั่งลงบนพื้น นี่มันเงินห้าล้านบาทที่เธอเก็บไว้ทั้งหมดนี่นา แสดงว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของเธอจริง ๆ เป็นไปได้อย่างไร
ละอองรีบวิ่งไปดูที่ห้องครัว ดวงตาเธอเบิกกว้างขึ้นอีกหลายเท่า เมื่อเห็นอุปกรณ์การทำขนมจีบกับซาลาเปาที่ยังมีอยู่ครบ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นเกี๊ยว ไข่ไก่ แป้งมัน แป้งสาลี น้ำตาลทราย กระเทียม เนย และอีกมากมายหลายรายการที่ไม่สามารถกล่าวออกมาได้หมด จะขาดก็แต่หมูสับ กับไข่เค็มเท่านั้น ตรวจสอบจนแน่ใจว่าเป็นบ้านของตัวเองจริง ๆ ละอองจึงลองหยิบน้ำตาลทราย น้ำมันพืชและไข่ไก่ออกมาห้าฟอง เธอยืนนิ่งงันอยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นสิ่งของที่เธอหยิบออกมาแล้วมีของใหม่เข้ามาแทนที่
สุดท้ายจึงหยิบเงินออกมาด้วยสองพันบาท ไม่น่าเชื่อเงินห้าล้านบาทกลับเหลืออยู่เท่าเดิม ละอองหัวใจเต้นแรงตึกตักเดินยิ้มออกมาจากห้องนอนด้วยความดีใจ เธอมีเงินใช้แล้ว อีกอย่างเธอรู้แล้วว่าจะทำมาหากินด้วยอาชีพอะไร ขอบคุณนางฟ้าที่ยังใจดีกับละอองคนนี้
ละอองเก็บน้ำมันพืช น้ำตาล และไข่ไก่ไว้ในครัว จากนั้นจึงกลับไปบั่นฟืนต่อ บั่นไปนั่งยิ้มไปจนแม่สามีนึกแปลกใจ
“เหมือนแม่พวกเอ็งจะบ้าไปแล้ว”
“ทำไมเหรอคะย่า”
“ก็ดูมันสิ นั่งยิ้มอยู่คนเดียวมานานละ” น้อยว่าพลางส่ายหน้าพูดกับหลานอีกว่า “ไปอาบน้ำกันเถอะ”
“ค่ะ/ครับ”
ในขณะที่ละอองกำลังนั่งยิ้มอยู่นั้น พอเห็นแม่สามีกับลูกเดินไปที่โอ่งน้ำ ใจเธอกลับสลดวูบลง หากเธอจากไปตอนนี้ เด็กทั้งสองจะมีชีวิตอย่างไร ย่าก็ร่างกายไม่แข็งแรง พ่อต้องทำงานหนักคนเดียว อนาคตลูกของเธอจะได้เรียนหนังสือหรือไม่ ถ้าจะเอาเงินมาให้พวกเขาแล้วจากไปก็คงไม่ได้ ทุกคนคงสงสัยว่าเธอหาเงินมาได้อย่างไร
“เฮ้อ!” ละอองถอนหายใจยาว บางครั้งเธอก็เบื่อตนเองเหมือนกันที่เป็นคนจิตใจอ่อนไหวกับเรื่องพวกนี้ เห็นอะไรก็สงสารไปหมด แต่ถึงอย่างไรก็ต้องช่วย เธอจะจากไปเสวยสุขคนเดียวได้อย่างไร
เอาเป็นว่าช่วยทำให้ชีวิตพวกเขามีกินมีใช้มากกว่านี้แล้วค่อยจากไปก็แล้วกัน ถึงความจริงเธอจะไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของเด็ก แต่เมื่ออยู่ในร่างนี้ความเป็นแม่ก็ตกเป็นของเธอโดยชอบธรรมแล้ว
น้อยอาบน้ำให้หลานเสร็จจึงเดินขึ้นเรือนเตรียมจะไปทำอาหาร ละอองที่ผ่าฟืนเสร็จแล้วจึงหอบฟืนขึ้นมาบนบ้าน ถามแม่สามีว่า “แม่จะทำอะไรคะ”
“นึ่งข้าวสิ ไม่กินหรือไงข้าวน่ะ”
“กินค่ะ เดี๋ยววันนี้ฉันทำเอง แม่ไปนั่งเล่นกับหลาน ๆ เถอะ ปวดขาไม่ใช่เหรอ เดินมากไม่ดีนะ รู้เปล่า” ละอองตอบกลับไปอย่างอารมณ์ดี ไม่สนใจน้ำเสียงประชดประชันของแม่สามีแม้แต่น้อย
น้อยไม่พูดอะไรต่อ เดินกะโผลกกะเผลกออกไปด้วยความหมั่นไส้ เชอะ! ทำมาเป็นพูดดีด้วย คิดว่าแม่ผัวคนนี้หลอกง่ายนักหรือไง อยากทำก็ทำไปเถอะ ทำให้กินได้ก็พอ
ละอองนึ่งข้าวสุกก็รีบทำอาหารต่อ เธอต้มไก่ป่าที่สามีหามาได้เมื่อวานเขาขังมันไว้ในสุ่มใต้ถุนบ้าน ทอดปลาขาวแห้ง ตำน้ำพริกปลาดุก และลวกผักกาดนกเขาที่เหลือจากเมื่อเช้า ทำไข่เจียวกรอบนุ่มฟูไว้สำหรับลูกทั้งสอง เสร็จแล้วจึงไปอาบน้ำรอสามีกลับมากินข้าวพร้อมกัน
วันนี้กว่าแก่นคูณจะกลับมาถึงบ้านก็มืดค่ำแล้ว ลูก ภรรยา และแม่กำลังนั่งรอเขาอยู่
ได้ยินเสียงลูกชายทิ้งท่อนฟืนไว้ลานหน้าบ้าน น้อยจึงเดินออกมาตรงชานบ้าน ละอองกับลูกยังนั่งอยู่ตรงลานบ้านด้านใน
ผู้เป็นแม่เอ่ยถาม “ทำไมวันนี้กลับมืดจังลูก”
“เมื่อคืนฝนตกหนักทำให้เดินทางลำบากครับแม่” วันนี้เขาหาครั่งกับขี้ไต้ได้น้อย จึงหาให้นานมากขึ้น อีกทั้งตอนขากลับยังเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย
“อาบน้ำก่อนดีไหม” เนื้อตัวลูกชายค่อนข้างมอมแมมกว่าทุกวัน เสื้อและกางเกงยังเปื้อนดินโคลนดูท่าถนนหนทางน่าจะลื่นจริง ๆ น้อยจึงรู้สึกเป็นห่วง เกรงว่าเขาจะเหนียวเหนอะหนะตามตัวแล้วกินข้าวไม่อร่อย“ไม่เป็นไรครับแม่” เขาเองก็ไม่อยากให้ลูกกับแม่รอกินข้าวนาน จึงพูดออกไปเช่นนั้น“งั้นล้างมือล้างเท้าก่อน”“ครับ”ละอองลุกไปยกถาดอาหารมาอย่างรู้หน้าที่ ภาคภูมิกับพอใจเดินไปช่วยแม่หิ้วกระติบข้าวเหนียว ทุกคนนั่งล้อมวงกันบนเสื่อกก และเริ่มลงมือกินอาหาร“แม่ตำน้ำพริกปลาอะไรเหรอครับ อร่อยดี” แก่นคูณถามแม่ วันนี้ฝีมือการทำอาหารของแม่อร่อยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“แม่ไม่ได้ทำ”“เหรอครับ” แก่นคูณอึ้งไปครู่หนึ่ง งั้นก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากละออง ปกติเธอไม่กินปลาเขาจึงไม่รู้ว่าเธอจะทำน้ำพริกอร่อย“วันนี้แม่ไม่ได้เข้าครัว” เป็นครั้งแรกที่ลูกสะใภ้ทำเองหมดทุกอย่างเหมือนกันคราแรกน้อยคิดว่าลูกชายแสร้งพูดเธอจึงลองกินดู แต่มันกลับอร่อยอย่างที่เขาว่าจริง ๆ เธอจึงนั่งกินข้าวอย่างเดียวโดยไม่พูดอะไร จากไปเป็นปี เพิ่งรู้ว่าลูกสะใภ้ไปฝึกทำอาหารมาด้วย ก็ดียังรู้จักปรับตัวละอองก็กินทุกอย่างที่ตนเองทำเช่นกัน รวมถึงป้อนข้าวลูกกั
ละอองเดินไปยังลำธารที่มีน้ำใสไหลลงมาจากภูเขา ชาวบ้านเรียกภูเขาลูกนี้ว่าภูโน ซึ่งเป็นภูเขาที่สามีของเธอเข้าไปหาของป่าตอนนี้เธอใช้ถังตักน้ำเพื่อไปนั่งซักผ้าในร่ม ซักเสร็จล้างให้สะอาดแล้วจึงถือตะกร้าผ้ากลับไปตากที่บ้าน หลังจากตากผ้าเสร็จจึงไปตักน้ำในลำธารมาใส่โอ่งไว้สำหรับอาบและล้างสิ่งของ ไม่ลืมที่จะนำมีดมาด้วย ละอองเห็นบอนขึ้นอยู่ข้างริมธารเธอรู้ว่ามันเป็นบอนหวานจึงตัดกลับไปด้วย เสร็จจากตักน้ำใช้ก็ไปตักน้ำดื่มข้าง ๆ บ้านยายเมี้ยน ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ถัดกันไป และบ่อน้ำดื่มแห่งนี้คนในหมู่บ้านก็ใช้ร่วมกัน ทั้งหมู่บ้านจะมีบ่อน้ำดื่มอยู่สามบ่อ และบ่อนี้ก็อยู่ใกล้บ้านเธอตักน้ำดื่มเสร็จละอองจึงแหงนหน้ามองท้องฟ้า ดวงตะวันคล้อยต่ำลงมากแล้ว น่าจะใกล้ห้าโมงเย็นแล้วกระมัง ตอนทำความสะอาดครัวเธอเห็นฟืนอยู่บนบ้านไม่กี่ดุ้นเท่านั้น พอมองเข้าไปใต้ถุนบ้านก็ไม่มีฟืนเหลืออยู่แล้ว ละอองจึงตัดสินใจผ่าฟืนก่อนจะไปนึ่งข้าวมือเรียวยาวลากฟืนท่อนยาวท่อนหนึ่งที่สามีแบกลงมาจากภูเขา จากนั้นจึงใช้มีดอีโต้หั่นครึ่งให้สั้นลงอีก ก่อนจะนั่งลงบั่นฟืนท่อนใหญ่ให้ได้อีกท่อนละสามดุ้น ขณะที่บั่นฟืนอยู่นั้นล
แก่นคูณเดินออกจากห้องนอนด้วยความรู้สึกสับสนเล็กน้อย วันนี้เขาได้พูดทุกอย่างที่เขาอยากพูดออกไปทั้งหมดแล้ว แต่เหตุใดเขาถึงไม่รู้สึกโล่งใจเลยสักนิด ละอองเองก็ดูแปลกไปอย่างน่าประหลาด ปกติถ้าทั้งสองมีปากเสียงกัน เขาผู้เป็นสามีไม่เคยได้อ้าปาก เพราะละอองจะถลึงตาเถียงฉอด ๆ จนคอเป็นเอ็น ไม่มีทางที่เขาจะได้พูดเกินสามคำ และทุกครั้งเธอต้องทำลายข้าวของในบ้านจนพังย่อยยับไปข้างหนึ่ง แต่ครั้งนี้ละอองกลับรับฟังอย่างสงบ ไม่มีตอนไหนที่เธอขึ้นเสียงกับเขาเลยคนนี้ใช่ละอองจริง ๆ หรือแก่นคูณเดินไปไกลแล้ว แต่ก็ยังหยุดคิดเรื่องพฤติกรรมอันสงบเสงี่ยมของภรรยาไม่ได้ หลังจากสามีขึ้นเขาไปแล้ว ละอองมองสำรวจไปทั่วห้อง ข้าวของวางระเกะระกะตามประสาคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ต้องทำงานทุกอย่างเพื่อครอบครัว คงไม่มีเวลาเก็บกวาดห้องเท่าไรนัก ละอองส่ายศีรษะน้อย ๆ เอาเถอะ! ขอนอนพักเอาแรงสักงีบก่อน แล้วค่อยตื่นขึ้นมาทำงาน เพราะตอนนี้รู้สึกปวดหัวเหลือเกิน ใครจะคาดคิดว่าจะได้เกิดใหม่เร็วปานนี้ มิหนำซ้ำยังต้องมารับกรรมที่ตนไม่ได้ก่อ แต่คิดในแง่ดีเข้าไว้ อย่างไรร่างนี้ก็ไม่เจ็บป่วยเหมือนในชาติก่อน เธอยังกินข้าวอร
แก่นคูณรับเงินมาแล้วจึงตัดสินใจพูดคำที่คิดว่าไตร่ตรองมาดีแล้วออกไป “วันจันทร์เราจะไปหย่ากัน” วันนี้วันศุกร์ อีกทั้งละอองยังบาดเจ็บ ให้เธอได้พักผ่อนสองวันจากนั้นค่อยไปจัดการเรื่องหย่าให้เรียบร้อยละอองทำปากเอ่ออ่าจะพูดอยู่หลายคราเพราะไม่รู้จะพูดคำใดออกไป ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้จากปากสามี สามีแค่วันเดียวอีกต่างหาก ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยพูดคำนี้เลยนี่นา แล้วทำไมความซวยถึงได้มาตกอยู่ที่เธอเล่า“ฉัน…” คิดจะพูดต่อแต่เขาก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน“ฉันทนเธอไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เธอเห็นฉันเป็นตัวอะไร อยากมาก็มา อยากไปตอนไหนก็ไป เธอไม่สงสารลูกบ้างเหรอ” แก่นคูณยังพูดเสียงราบเรียบและควบคุมโทนเสียงให้สงบเพราะเกรงว่าลูกกับแม่จะได้ยิน “อีกอย่างเธอเคยเห็นหัวแม่ฉันบ้างไหม เธอเห็นแม่เป็นอะไร ไปไม่เคยลามาไม่เคยไหว้ ฉันเป็นลูกแท้ ๆ ฉันยังไม่กล้าทำเหมือนเธอเลย” ไม่เห็นหัวเขาเขาไม่ว่า แต่นี่ทุกครั้งที่ลูกสะใภ้หนีไปและกลับมาบ้าน แม่ของเขาไม่เคยบ่นเคยว่าลูกสะใภ้สักคำ มีครั้งนี้ซึ่งเป็นครั้งที่สี่แล้วที่เธอทำเช่นนี้ และเป็นครั้งที่เธอจากไปนานที่สุด แม่ของเขาก็เลยทนไม่ได้จึงได้ว่ากล่าวลูกสะใภ้ออกไปทุกครั้งที่ละอองหนีไป เข
ละอองใช้มือเปิบข้าวเหนียว แล้วจิ้มลาบกระต่ายเข้าปาก หยิบผักกาดนกเขาลวกม้วนแล้วส่งเข้าปากตาม คำที่สองก็กินอีก ครั้งนี้เด็ดยอดผักแว่นอวบสดม้วนให้เรียบร้อยแล้วส่งเข้าปากเช่นกัน โอย! ไม่เคยกินลาบกระต่ายป่าที่อร่อยเท่านี้มาก่อนเลย จากนั้นสายตามองไปยังกบทอดเกลือตัวใหญ่ กบภูเขาเธอก็ไม่เคยกินเหมือนกัน เคยกินแต่กบตามทุ่งนาและตามร้านขายอาหารป่าเท่านั้น วันนี้กบภูเขาทอดสีเหลืองน่ากินจริง ๆ ละอองหยิบต้นขาของกบขึ้นมาฉีกเนื้อแปะลงบนคำข้าวเหนียวของตน แล้วจิ้มน้ำจิ้มแจ่วในถ้วยเล็ก สองมือประคองคำข้าวเข้าปากอย่างทะนุถนอมแล้วเคี้ยวตุ้ย ๆ ความนัวของปลาร้าในน้ำจิ้มบวกกับความเผ็ดนิดเปรี้ยวหน่อยของน้ำมะขามเปียก ทำให้ละอองกินกบทอดอย่างเอร็ดอร่อย สีหน้าของเธอดูมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง อาหารแบบนี้คิดถึงโลกเดิมที่จากมาสุด ๆแก่นคูณกับน้อยนั่งมองละอองตาค้าง ก่อนหน้าละอองไม่เคยกินอาหารพวกนี้มาก่อน ถ้าทำอาหารอย่างหนึ่งเธอจะกินอีกอย่าง มีปลาจะกินไข่ ไม่กินผักตามท้องไร่ท้องนา ไม่กินกบเขียด ไม่กินปลาสดนอกจากปลาตากแห้งและต้องเป็นปลาขาวอย่างเดียว และไม่กินของป่าทุกชนิดนอกจากเห็ดป่าเท่านั้น อีกอย่างเธอไม่กินปล
คืนนั้นหลังจากแก่นคูณป้อนยาภรรยาเสร็จจึงอุ้มเธอขึ้นไปนอนในห้องด้วยกัน เพราะบ้านหลังนี้มีเพียงสองห้องนอน คือห้องของเขากับห้องของแม่เท่านั้น ซึ่งลูกทั้งสองจะนอนกับแม่อยู่แล้ว เขาให้ภรรยานอนด้านใน ส่วนเขานอนด้านนอก แก่นคูณนั่งมองภรรยาพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนดับตะเกียงเจ้าพายุ แล้วล้มศีรษะลงนอน กายขยับออกห่างจากภรรยามากกว่าที่เคยเป็น วันต่อมาแก่นคูณตื่นแต่เช้าเพื่อมานึ่งข้าวแทนผู้เป็นแม่ เกือบปีมาแล้วที่แม่มีอาการปวดเข่าปวดขา ต้องคอยซื้อยามากินอยู่เสมอ เหตุผลที่แม่ยังไม่หายขาดก็เพราะเขาไม่มีเงินซื้อยามาให้แม่กินอย่างต่อเนื่อง ทำให้แม่เดินเหินไม่ค่อยสะดวก และเดินไปไหนไกล ๆ ไม่ค่อยได้ แต่แค่เลี้ยงหลานอยู่บ้านสองคนแม่ก็เหนื่อยมากแล้ว ตะวันเริ่มสาดแสงออกมาจากปลายเขาลูกใหญ่ ภาคภูมิกับพอใจจึงเดินออกไปหาพ่อที่อยู่ในครัว ซึ่งเป็นพื้นที่ค่อนข้างโล่งติดกับลานอเนกประสงค์ที่ใช้สำหรับนั่งเล่น กินข้าว และรับแขกไปในตัว ด้านหน้าเป็นชานบ้านและมีบันไดสำหรับขึ้นลง “พ่อครับ แม่ฟื้นหรือยังครับ” ภาคภูมิถามพ่อ “ยัง” “ผมไปหาแม่นะครับ”







