Masukแก่นคูณเดินออกจากห้องนอนด้วยความรู้สึกสับสนเล็กน้อย วันนี้เขาได้พูดทุกอย่างที่เขาอยากพูดออกไปทั้งหมดแล้ว แต่เหตุใดเขาถึงไม่รู้สึกโล่งใจเลยสักนิด ละอองเองก็ดูแปลกไปอย่างน่าประหลาด ปกติถ้าทั้งสองมีปากเสียงกัน เขาผู้เป็นสามีไม่เคยได้อ้าปาก เพราะละอองจะถลึงตาเถียงฉอด ๆ จนคอเป็นเอ็น ไม่มีทางที่เขาจะได้พูดเกินสามคำ และทุกครั้งเธอต้องทำลายข้าวของในบ้านจนพังย่อยยับไปข้างหนึ่ง แต่ครั้งนี้ละอองกลับรับฟังอย่างสงบ ไม่มีตอนไหนที่เธอขึ้นเสียงกับเขาเลย
คนนี้ใช่ละอองจริง ๆ หรือ
แก่นคูณเดินไปไกลแล้ว แต่ก็ยังหยุดคิดเรื่องพฤติกรรมอันสงบเสงี่ยมของภรรยาไม่ได้
หลังจากสามีขึ้นเขาไปแล้ว ละอองมองสำรวจไปทั่วห้อง ข้าวของวางระเกะระกะตามประสาคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ต้องทำงานทุกอย่างเพื่อครอบครัว คงไม่มีเวลาเก็บกวาดห้องเท่าไรนัก
ละอองส่ายศีรษะน้อย ๆ เอาเถอะ! ขอนอนพักเอาแรงสักงีบก่อน แล้วค่อยตื่นขึ้นมาทำงาน เพราะตอนนี้รู้สึกปวดหัวเหลือเกิน ใครจะคาดคิดว่าจะได้เกิดใหม่เร็วปานนี้ มิหนำซ้ำยังต้องมารับกรรมที่ตนไม่ได้ก่อ แต่คิดในแง่ดีเข้าไว้ อย่างไรร่างนี้ก็ไม่เจ็บป่วยเหมือนในชาติก่อน เธอยังกินข้าวอร่อย นอนหลับสบาย ที่เขาว่าไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐเห็นจะเป็นเรื่องจริง
ละอองตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เกือบบ่ายโมงแล้ว เธอรีบเดินออกไปด้านนอกมองหาแม่สามีกับลูก พวกเขากำลังนั่งเล่นขายของอยู่ใต้ต้นฝรั่ง โดยมีแม่สามีนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง
ละอองจึงตะโกนถาม “แม่กินข้าวเที่ยงหรือยังคะ”
“กินแล้ว” น้อยตอบเสียงห้วน และไม่พูดต่ออีก
ละอองจึงหมุนกายเดินเข้าครัว ลาบกระต่ายป่ากับผักยังเหลืออยู่ เธอจึงกินสิ่งนั้นเป็นมื้อกลางวัน กินเสร็จแล้วจึงเดินสำรวจในลานครัว ข้าวสารเหลือไม่มากแล้ว ไม่มีไข่ ไม่มีเนื้อหมู ไม่มีบะหมี่อย่างที่แม่สามีบอก ตั้งแต่เธอหนีไปพวกเขาคงประหยัดกับของพวกนี้ไปมาก บนผนังห้องครัวฝั่งหนึ่งยังมีปลาแห้งแขวนอยู่พวกเขาร้อยมันด้วยตอกไม้ไผ่ มีปลาขาว ปลาตะเพียน ปลาดุก และปลาช่อน
ในส่วนของหม้อ และเครื่องใช้อย่างอื่นยังวางไม่เป็นระเบียบ วันนี้เธอคงต้องเริ่มทำความสะอาดจากห้องนอนก่อน
ละอองเดินออกมานอกชานบ้าน สายตาทอดมองออกไปจนสุดสายตา ป่าไม้ในฤดูฝนสีเขียวขจีเต็มไปหมด เมื่อคืนฝนคงตกลงมาหนักอยู่เหมือนกันแต่เธอคงไม่รู้สึกตัว เพราะมองดูพื้นดินชุ่มฉ่ำไปทั่ว ถ้าตื่นเช้าหน่อยคงได้เห็นทะเลหมอกบนภูเขาเป็นแน่
หมู่บ้านที่เธออยู่นี้คือหมู่บ้านผักหนาม ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ผู้คนอาศัยปลูกบ้านอยู่บนเนินเขา สูงต่ำต่างกัน บนเนินเขายังมีต้นไม้หลากหลายชนิดแต่ป่าไม่หนาทึบ เพราะชาวบ้านแผ้วถางทำการเกษตรกันหมด ผู้คนส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกร ปลูกพืชแบบขั้นบันได ถ้าใครไม่มีพื้นที่ทำกินก็ขึ้นเขาหาของป่าไปขายในตัวเมือง หมู่บ้านนี้ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง ยังใช้เกวียนเทียมวัวเป็นยานพาหนะ
ในความทรงจำเดิมบอกว่าปีนี้คือปีพุทธศักราชสองพันห้าร้อยสามสิบสาม แต่กลับบอกไม่ได้ว่าที่นี่คือส่วนไหนของประเทศไทย แต่วิถีชีวิตความเป็นอยู่กลับคล้ายคลึงกับทางภาคอีสานของไทย หรือเธอจะทะลุมิติเข้ามาในพื้นที่ที่ไม่มีในประวัติศาสตร์
แต่ก็ช่างเถอะ! ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีในประวัติศาสตร์ก็ไม่ต่างกัน คิดได้เช่นนั้นละอองจึงเดินเข้าห้องนอนเพื่อทำความสะอาด
น้อยได้ยินเสียงดังกุกกักบนบ้านแต่ไม่ได้สนใจ เธอทำราวกับว่าลูกสะใภ้ไม่มีตัวตน ลูกสะใภ้อยากทำอะไรก็ปล่อยให้ทำไป
ละอองทำความสะอาดห้องนอนอยู่เกือบชั่วโมง จึงเดินออกมาทำความสะอาดห้องครัวและลานด้านหน้า ระหว่างนั้นจึงมีคนมาถามหา
“อองอยู่บ้านไหมป้าน้อย” เสียงนั้นคือเสียงของเพ็งศรี ขาไพ่ของละออง
“อยู่ มันทำอะไรอยู่บนบ้านก็ไม่รู้” น้อยตอบแบบส่ง ๆ ไม่คิดจะตามให้
“ออง” เพ็งศรีจึงตะโกนเรียกเอง
ละอองโผล่หน้าออกมาตรงชานบ้าน “มีอะไร”
“ไปเล่นไพ่ด้วยกันไหม ยายยงกับยายดารออยู่” เมื่อวานเพ็งศรีได้ยินคนพูดว่าเห็นละอองนั่งเกวียนเข้ามาในหมู่บ้าน เธอจึงเดินมาดูที่บ้าน
“ไม่ละ วันนี้ฉันปวดหัว เมื่อวานตกบันไดจนหัวแตก คงไปเล่นไม่ไหว” ความจริงเธอไม่อยากไปสักนิด อีกทั้งละอองคนนี้ยังเล่นไพ่ไม่เป็น ถึงความทรงจำเดิมจะมีอยู่ แต่ถ้าให้เธอไปลงสนามเองก็คงสู้พวกเขาไม่ได้
“อะไรกัน แค่ปวดหัวเท่านั้น ปกตินอนเล่นไพ่เอ็งก็เคยมาแล้ว” บางครั้งเป็นไข้ละอองยังหอบสังขารไปนอนเล่นไพ่ที่บ้านเพื่อนรุ่นพี่อย่างเพ็งศรีเลย
“ต่อไปฉันคงไม่เล่นอีกแล้วล่ะ”
“ทำไม”
“ไม่มีเงิน”
“ก็ขอผัวสิ ปกติมันให้เอ็งตลอดไม่ใช่เหรอ”
“ตอนนี้ไม่ให้แล้ว พี่เพ็งกลับไปเถอะ ฉันจะนอนพัก” ละอองรีบตัดบท
“เออ ๆ ไม่ไปก็ไม่ไป ฉันกลับละ”
“จ้ะ”
ให้หลังเพ็งศรีละอองจึงทำงานบ้านต่อ เกือบบ่ายสามจึงหอบเสื้อผ้าทุกคนลงไปซักในลำธาร ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านเพียงสามร้อยเมตร
น้อยมองตามหลังลูกสะใภ้ด้วยความใคร่รู้ เหตุใดวันนี้ละอองจึงขยันเป็นพิเศษ ทั้งที่ตนเองไม่สบาย ปกติต้องนอนขลุกอยู่แต่ในห้องอย่างเดียวเท่านั้น อีกทั้งยังกล้าปฏิเสธเพ็งศรีที่มาชวนไปเล่นไพ่ แต่พอคิดอีกทีน้อยจึงเบะปากแค่นยิ้มออกมา สงสัยแกล้งทำดีตบตาผัวกับแม่ผัวกระมัง บอกเลยว่า… ยาก เธอไม่หลงกลลูกสะใภ้อีกต่อไปแล้ว
“อาบน้ำก่อนดีไหม” เนื้อตัวลูกชายค่อนข้างมอมแมมกว่าทุกวัน เสื้อและกางเกงยังเปื้อนดินโคลนดูท่าถนนหนทางน่าจะลื่นจริง ๆ น้อยจึงรู้สึกเป็นห่วง เกรงว่าเขาจะเหนียวเหนอะหนะตามตัวแล้วกินข้าวไม่อร่อย“ไม่เป็นไรครับแม่” เขาเองก็ไม่อยากให้ลูกกับแม่รอกินข้าวนาน จึงพูดออกไปเช่นนั้น“งั้นล้างมือล้างเท้าก่อน”“ครับ”ละอองลุกไปยกถาดอาหารมาอย่างรู้หน้าที่ ภาคภูมิกับพอใจเดินไปช่วยแม่หิ้วกระติบข้าวเหนียว ทุกคนนั่งล้อมวงกันบนเสื่อกก และเริ่มลงมือกินอาหาร“แม่ตำน้ำพริกปลาอะไรเหรอครับ อร่อยดี” แก่นคูณถามแม่ วันนี้ฝีมือการทำอาหารของแม่อร่อยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“แม่ไม่ได้ทำ”“เหรอครับ” แก่นคูณอึ้งไปครู่หนึ่ง งั้นก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากละออง ปกติเธอไม่กินปลาเขาจึงไม่รู้ว่าเธอจะทำน้ำพริกอร่อย“วันนี้แม่ไม่ได้เข้าครัว” เป็นครั้งแรกที่ลูกสะใภ้ทำเองหมดทุกอย่างเหมือนกันคราแรกน้อยคิดว่าลูกชายแสร้งพูดเธอจึงลองกินดู แต่มันกลับอร่อยอย่างที่เขาว่าจริง ๆ เธอจึงนั่งกินข้าวอย่างเดียวโดยไม่พูดอะไร จากไปเป็นปี เพิ่งรู้ว่าลูกสะใภ้ไปฝึกทำอาหารมาด้วย ก็ดียังรู้จักปรับตัวละอองก็กินทุกอย่างที่ตนเองทำเช่นกัน รวมถึงป้อนข้าวลูกกั
ละอองเดินไปยังลำธารที่มีน้ำใสไหลลงมาจากภูเขา ชาวบ้านเรียกภูเขาลูกนี้ว่าภูโน ซึ่งเป็นภูเขาที่สามีของเธอเข้าไปหาของป่าตอนนี้เธอใช้ถังตักน้ำเพื่อไปนั่งซักผ้าในร่ม ซักเสร็จล้างให้สะอาดแล้วจึงถือตะกร้าผ้ากลับไปตากที่บ้าน หลังจากตากผ้าเสร็จจึงไปตักน้ำในลำธารมาใส่โอ่งไว้สำหรับอาบและล้างสิ่งของ ไม่ลืมที่จะนำมีดมาด้วย ละอองเห็นบอนขึ้นอยู่ข้างริมธารเธอรู้ว่ามันเป็นบอนหวานจึงตัดกลับไปด้วย เสร็จจากตักน้ำใช้ก็ไปตักน้ำดื่มข้าง ๆ บ้านยายเมี้ยน ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ถัดกันไป และบ่อน้ำดื่มแห่งนี้คนในหมู่บ้านก็ใช้ร่วมกัน ทั้งหมู่บ้านจะมีบ่อน้ำดื่มอยู่สามบ่อ และบ่อนี้ก็อยู่ใกล้บ้านเธอตักน้ำดื่มเสร็จละอองจึงแหงนหน้ามองท้องฟ้า ดวงตะวันคล้อยต่ำลงมากแล้ว น่าจะใกล้ห้าโมงเย็นแล้วกระมัง ตอนทำความสะอาดครัวเธอเห็นฟืนอยู่บนบ้านไม่กี่ดุ้นเท่านั้น พอมองเข้าไปใต้ถุนบ้านก็ไม่มีฟืนเหลืออยู่แล้ว ละอองจึงตัดสินใจผ่าฟืนก่อนจะไปนึ่งข้าวมือเรียวยาวลากฟืนท่อนยาวท่อนหนึ่งที่สามีแบกลงมาจากภูเขา จากนั้นจึงใช้มีดอีโต้หั่นครึ่งให้สั้นลงอีก ก่อนจะนั่งลงบั่นฟืนท่อนใหญ่ให้ได้อีกท่อนละสามดุ้น ขณะที่บั่นฟืนอยู่นั้นล
แก่นคูณเดินออกจากห้องนอนด้วยความรู้สึกสับสนเล็กน้อย วันนี้เขาได้พูดทุกอย่างที่เขาอยากพูดออกไปทั้งหมดแล้ว แต่เหตุใดเขาถึงไม่รู้สึกโล่งใจเลยสักนิด ละอองเองก็ดูแปลกไปอย่างน่าประหลาด ปกติถ้าทั้งสองมีปากเสียงกัน เขาผู้เป็นสามีไม่เคยได้อ้าปาก เพราะละอองจะถลึงตาเถียงฉอด ๆ จนคอเป็นเอ็น ไม่มีทางที่เขาจะได้พูดเกินสามคำ และทุกครั้งเธอต้องทำลายข้าวของในบ้านจนพังย่อยยับไปข้างหนึ่ง แต่ครั้งนี้ละอองกลับรับฟังอย่างสงบ ไม่มีตอนไหนที่เธอขึ้นเสียงกับเขาเลยคนนี้ใช่ละอองจริง ๆ หรือแก่นคูณเดินไปไกลแล้ว แต่ก็ยังหยุดคิดเรื่องพฤติกรรมอันสงบเสงี่ยมของภรรยาไม่ได้ หลังจากสามีขึ้นเขาไปแล้ว ละอองมองสำรวจไปทั่วห้อง ข้าวของวางระเกะระกะตามประสาคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ต้องทำงานทุกอย่างเพื่อครอบครัว คงไม่มีเวลาเก็บกวาดห้องเท่าไรนัก ละอองส่ายศีรษะน้อย ๆ เอาเถอะ! ขอนอนพักเอาแรงสักงีบก่อน แล้วค่อยตื่นขึ้นมาทำงาน เพราะตอนนี้รู้สึกปวดหัวเหลือเกิน ใครจะคาดคิดว่าจะได้เกิดใหม่เร็วปานนี้ มิหนำซ้ำยังต้องมารับกรรมที่ตนไม่ได้ก่อ แต่คิดในแง่ดีเข้าไว้ อย่างไรร่างนี้ก็ไม่เจ็บป่วยเหมือนในชาติก่อน เธอยังกินข้าวอร
แก่นคูณรับเงินมาแล้วจึงตัดสินใจพูดคำที่คิดว่าไตร่ตรองมาดีแล้วออกไป “วันจันทร์เราจะไปหย่ากัน” วันนี้วันศุกร์ อีกทั้งละอองยังบาดเจ็บ ให้เธอได้พักผ่อนสองวันจากนั้นค่อยไปจัดการเรื่องหย่าให้เรียบร้อยละอองทำปากเอ่ออ่าจะพูดอยู่หลายคราเพราะไม่รู้จะพูดคำใดออกไป ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้จากปากสามี สามีแค่วันเดียวอีกต่างหาก ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยพูดคำนี้เลยนี่นา แล้วทำไมความซวยถึงได้มาตกอยู่ที่เธอเล่า“ฉัน…” คิดจะพูดต่อแต่เขาก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน“ฉันทนเธอไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เธอเห็นฉันเป็นตัวอะไร อยากมาก็มา อยากไปตอนไหนก็ไป เธอไม่สงสารลูกบ้างเหรอ” แก่นคูณยังพูดเสียงราบเรียบและควบคุมโทนเสียงให้สงบเพราะเกรงว่าลูกกับแม่จะได้ยิน “อีกอย่างเธอเคยเห็นหัวแม่ฉันบ้างไหม เธอเห็นแม่เป็นอะไร ไปไม่เคยลามาไม่เคยไหว้ ฉันเป็นลูกแท้ ๆ ฉันยังไม่กล้าทำเหมือนเธอเลย” ไม่เห็นหัวเขาเขาไม่ว่า แต่นี่ทุกครั้งที่ลูกสะใภ้หนีไปและกลับมาบ้าน แม่ของเขาไม่เคยบ่นเคยว่าลูกสะใภ้สักคำ มีครั้งนี้ซึ่งเป็นครั้งที่สี่แล้วที่เธอทำเช่นนี้ และเป็นครั้งที่เธอจากไปนานที่สุด แม่ของเขาก็เลยทนไม่ได้จึงได้ว่ากล่าวลูกสะใภ้ออกไปทุกครั้งที่ละอองหนีไป เข
ละอองใช้มือเปิบข้าวเหนียว แล้วจิ้มลาบกระต่ายเข้าปาก หยิบผักกาดนกเขาลวกม้วนแล้วส่งเข้าปากตาม คำที่สองก็กินอีก ครั้งนี้เด็ดยอดผักแว่นอวบสดม้วนให้เรียบร้อยแล้วส่งเข้าปากเช่นกัน โอย! ไม่เคยกินลาบกระต่ายป่าที่อร่อยเท่านี้มาก่อนเลย จากนั้นสายตามองไปยังกบทอดเกลือตัวใหญ่ กบภูเขาเธอก็ไม่เคยกินเหมือนกัน เคยกินแต่กบตามทุ่งนาและตามร้านขายอาหารป่าเท่านั้น วันนี้กบภูเขาทอดสีเหลืองน่ากินจริง ๆ ละอองหยิบต้นขาของกบขึ้นมาฉีกเนื้อแปะลงบนคำข้าวเหนียวของตน แล้วจิ้มน้ำจิ้มแจ่วในถ้วยเล็ก สองมือประคองคำข้าวเข้าปากอย่างทะนุถนอมแล้วเคี้ยวตุ้ย ๆ ความนัวของปลาร้าในน้ำจิ้มบวกกับความเผ็ดนิดเปรี้ยวหน่อยของน้ำมะขามเปียก ทำให้ละอองกินกบทอดอย่างเอร็ดอร่อย สีหน้าของเธอดูมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง อาหารแบบนี้คิดถึงโลกเดิมที่จากมาสุด ๆแก่นคูณกับน้อยนั่งมองละอองตาค้าง ก่อนหน้าละอองไม่เคยกินอาหารพวกนี้มาก่อน ถ้าทำอาหารอย่างหนึ่งเธอจะกินอีกอย่าง มีปลาจะกินไข่ ไม่กินผักตามท้องไร่ท้องนา ไม่กินกบเขียด ไม่กินปลาสดนอกจากปลาตากแห้งและต้องเป็นปลาขาวอย่างเดียว และไม่กินของป่าทุกชนิดนอกจากเห็ดป่าเท่านั้น อีกอย่างเธอไม่กินปล
คืนนั้นหลังจากแก่นคูณป้อนยาภรรยาเสร็จจึงอุ้มเธอขึ้นไปนอนในห้องด้วยกัน เพราะบ้านหลังนี้มีเพียงสองห้องนอน คือห้องของเขากับห้องของแม่เท่านั้น ซึ่งลูกทั้งสองจะนอนกับแม่อยู่แล้ว เขาให้ภรรยานอนด้านใน ส่วนเขานอนด้านนอก แก่นคูณนั่งมองภรรยาพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนดับตะเกียงเจ้าพายุ แล้วล้มศีรษะลงนอน กายขยับออกห่างจากภรรยามากกว่าที่เคยเป็น วันต่อมาแก่นคูณตื่นแต่เช้าเพื่อมานึ่งข้าวแทนผู้เป็นแม่ เกือบปีมาแล้วที่แม่มีอาการปวดเข่าปวดขา ต้องคอยซื้อยามากินอยู่เสมอ เหตุผลที่แม่ยังไม่หายขาดก็เพราะเขาไม่มีเงินซื้อยามาให้แม่กินอย่างต่อเนื่อง ทำให้แม่เดินเหินไม่ค่อยสะดวก และเดินไปไหนไกล ๆ ไม่ค่อยได้ แต่แค่เลี้ยงหลานอยู่บ้านสองคนแม่ก็เหนื่อยมากแล้ว ตะวันเริ่มสาดแสงออกมาจากปลายเขาลูกใหญ่ ภาคภูมิกับพอใจจึงเดินออกไปหาพ่อที่อยู่ในครัว ซึ่งเป็นพื้นที่ค่อนข้างโล่งติดกับลานอเนกประสงค์ที่ใช้สำหรับนั่งเล่น กินข้าว และรับแขกไปในตัว ด้านหน้าเป็นชานบ้านและมีบันไดสำหรับขึ้นลง “พ่อครับ แม่ฟื้นหรือยังครับ” ภาคภูมิถามพ่อ “ยัง” “ผมไปหาแม่นะครับ”







