เย่หลีเมื่อได้ยินจึงเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะพบกับบุรุษใบหน้าหล่อเหลาผู้หนึ่ง นางจำได้ว่าเขาคือฟ่านเฉิน องค์ชายรองแห่งแคว้นซ่ง
นางเป็นสตรีชั้นสูง แน่นอนว่าย่อมได้พบเจอหรือรับรู้เรื่องราวของเชื้อพระวงศ์มาไม่น้อย อีกทั้งวันที่ไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนของคังอ๋อง นางก็ได้พบกับฟ่านเฉินที่นำของขวัญมามอบให้ฟ่านหลิ่น แต่นางมิได้สนใจเขาเท่าใดนัก
นางไม่มีวันสนใจบุรุษคนใดนอกจากฟ่านหลิ่นเท่านั้น องค์ชายอื่น ๆ ที่เกิดจากสนมย่อมสู้องค์ชายที่เกิดจากฮองเฮาไม่ได้อยู่แล้ว!
หากจะบอกว่ารูปโฉมขององค์ชายองค์ใดรูปงามที่สุด เหล่าสตรีน้อยใหญ่ในเมืองหลวงต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า องค์ชายรองฟ่านเฉินมีใบหน้าหล่อเหลาเป็นที่สุด
แต่หากเอ่ยถึงความฉลาดอบอุ่นใจดี มีคุณธรรม ผู้คนต่างเห็นด้วยว่า องค์ชายใหญ่ฟ่านหลิ่นนั้นมีครบเพียบพร้อมในเรื่องนี้มาก เขาได้ฉายาว่าองค์ชายเทพเซียน เพราะสูงส่งสง่างามและมีคุณธรรมในจิตใจ ส่วนองค์ชายที่ขี้เล่นและเสเพลไม่สนใจสิ่งใดมากที่สุด ก็คือองค์ชายสามฟ่านจิ้ง
องค์ชายสามนั้นดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องทางการเมือง วัน ๆ เอาแต่เที่ยวเล่นจนฮ่องเต้ปวดหัว จึงมองดูคล้ายว่ามีเพียงองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองเท่านั้นที่กำลังแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทกันอย่างลับ ๆ
องค์ชายใหญ่ฟ่านหลิ่นนั้นไม่อยากมีปัญหากับพี่น้อง เขามักทำเป็นมองไม่เห็นท่าทีหรือคำพูดที่เหน็บแนมจากองค์ชายรองฟ่านเฉิน
แต่องค์ชายรองฟ่านเฉินผู้นี้กลับมีนิสัยชอบเอาชนะ เจ้าคิดเจ้าแค้น ได้ยินว่าเคยมีขันทีทำให้เขาโกรธเกรี้ยว เขาไม่ลังเลที่จะสั่งโบยขันทีผู้นั้นจนตาย นางกำนัลในตำหนักล้วนเป็นนางบำเรอของเขา มีดีเพียงรูปงาม แต่คุณธรรมดีงามในจิตใจกลับเทียบฟ่านหลิ่นไม่ได้เลยแม้แต่ปลายนิ้ว ยิ่งฟ่านหลิ่นเงียบและไม่ตอบโต้มากเท่าใด ฟ่านเฉินก็ยิ่งดูย่ำแย่ในสายตาของเหล่าขุนนางมากขึ้นเท่านั้น
เย่หลีเองก็ฟังเรื่องเหล่านี้มามาก นางไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับฟ่านเฉิน แต่เมื่อคนมายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว หากจะทำเมินเฉยก็ย่อมไม่ดีเท่าใดนัก
เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงยิ้มให้เขาเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นทำความเคารพเขาแต่เพราะว่านางดื่มจนเริ่มมึนเมาบ้างแล้ว จึงทำให้เซถลาเข้าไปในอ้อมกอดของเขา หญิงสาวรีบผละออก พลางกล่าวว่า
"ขายหน้าองค์ชายรองแล้ว"
ฟ่านเฉินไม่ได้เอ่ยตำหนิสิ่งใด เพียงยิ้มเล็กน้อย เขามองสตรีตรงหน้าที่ยามนี้ใบหน้าแดงเรื่อเพราะพิษสุรา ดวงตาที่หรี่ปรือของนาง มองแล้วให้ความรู้สึกอยากทะนุถนอมเสียเหลือเกิน
เขาได้ยินเรื่องราวของนางมามาก มีเสียงเล่าลือเล่าอ้างว่านางก่อเรื่องทำร้ายคนอยู่บ่อยครั้ง นางชั่วร้ายเกินไป ชั่วร้ายเกินกว่าที่เขาจะทะนุถนอมนางเอาไว้ในฝ่ามือ!
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สนใจนางเท่าใดนัก และไม่ได้คิดจะดึงนางเข้ามาเป็นหมาก นานมากแล้วที่เขาและนางไม่ได้พบเจอกัน เพราะเขาเอาแต่แข่งขันห้ำหั่นกับฟ่านหลิ่นจึงไม่มีใจไปสนใจนางเท่าใดนัก
แต่หลังจากจบงานเลี้ยงที่จวนองค์ชายใหญ่ในวันนี้ ฟ่านจิ้งน้องชายตัวดีกลับนำเรื่องของเย่หลีไปบอกเสด็จแม่ก็คือสวีกุ้ยเฟย เสด็จแม่จึงเรียกให้เขาเข้าไปพบในวัง
"เฉินเอ๋อร์ ได้ยินจิ้งเอ๋อร์บอกว่า เจ้าได้พบกับเย่หลี บุตรสาวของแม่ทัพใหญ่เย่แล้วอย่างนั้นหรือ"
"พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่"
ฟ่านเฉินยกถ้วยชาขึ้นดื่ม ก่อนจะตอบผู้เป็นมารดา สวีกุ้ยเฟยยิ้มออกมาเล็กน้อย พลางกล่าวขึ้นมา
"เป็นอย่างไร ชอบหรือไม่"
ฟ่านเฉินชะงักไปชั่วขณะ เขาเงยหน้าจ้องมองมารดา
"เสด็จแม่เอ่ยสิ่งใดกัน ลูกไม่ได้สนใจนางเลยแม้แต่น้อย"
"ยามนี้เจ้าต้องเริ่มสนใจแล้ว"
ฟ่านเฉินวางถ้วยชาในมือลง ส่งรอยยิ้มให้สวีกุ้ยเฟยเล็กน้อย
"ท่านแม่ ลูกมีแผนการในใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอท่านแม่โปรดสนับสนุน อีกอย่างสตรีอย่างเย่หลีนั่นเจ้าเล่ห์มากแผนการ หากแต่งนางเข้ามานอกจากจะทำให้แผนการของเราไม่ราบรื่นแล้ว อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี ควรใช้นางเป็นหมากบนกระดาน เมื่อหมดประโยชน์แล้ว จะเก็บไว้หรือสังหารทิ้งก็ค่อยว่ากันอีกที"
สวีกุ้ยเฟยเมื่อได้ยินบุตรชายเสนอความคิดเช่นนั้นก็มีท่าทีครุ่นคิด ค่อย ๆ พยักหน้าเห็นด้วย เย่หลีผู้นั้นนางเคยเห็นหน้าค่าตามาบ้าง จะว่างามก็งามอยู่หรอก แต่นางเจ้าแผนการดั่งที่ฟ่านเฉินว่าจริง ๆ ที่สำคัญนางมักใหญ่ใฝ่สูงคิดจะแต่งกับฟ่านหลิ่น คนของนางรายงานมาว่าเพราะเรื่องนี้ทำให้สองพี่น้องสตรีตระกูลเย่ถึงกับแทบจะฆ่ากันตาย
"เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า แต่จำไว้ว่า แม่จะคอยสนับสนุนเจ้าเสมอ แม่อยู่ตรงนี้ เจ้าต้องจำไว้ว่าแม่รักเจ้าที่สุด เจ้ามีแผนการใดต้องรีบบอกแม่ให้รู้ทุกอย่าง แม่จะได้เตรียมแผนสำรองรับมือเอาไว้ให้เจ้า"
"พ่ะย่ะค่ะ"
สวีกุ้ยเฟยเอ่ยพร้อมกับยกยิ้มมุมปากและมองบุตรชายด้วยแววตาที่อ่อนโยน
เสด็จแม่เห็นว่า เย่หลีเป็นบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่เย่ ย่อมเป็นหมากสำคัญที่เสด็จแม่วางเอาไว้ให้เขาใช้งาน เสด็จแม่บอกว่าเขาคู่ควรกับตำแหน่งองค์รัชทายาทที่สุด ตำแหน่งนี้ต้องเป็นของเขา เสด็จแม่ทุ่มเทแรงกายไปไม่น้อย อีกทั้งท่านตาก็คอยสนับสนุนอย่างลับ ๆ หลายปีมานี้กองกำลังลับที่เขาฝึกฝนเอาไว้ก็แข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ขอเพียงเสด็จพ่อสวรรคตเมื่อใด ฟ่านหลิ่นตำแหน่งยังไม่มั่นคง ย่อมถูกเขาโค่นล้มได้โดยง่าย
แต่เสี้ยนหนามชิ้นใหญ่ที่เขาจะต้องจัดการนั่นก็คือแม่ทัพใหญ่เย่!
ขอเพียงกำจัดแม่ทัพใหญ่เย่ได้ แน่นอนว่ากองทัพตระกูลเย่ย่อมต้องตกเป็นของเขา เสด็จแม่ก็ต้องการเช่นนั้น
เพราะอย่างนั้นเย่หลีจึงเป็นหมากตัวสำคัญในครั้งนี้ หากเขาแต่งกับนาง แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องดี
ก่อนหน้านี้ ได้ยินว่าฟ่านหลิ่นคิดจะแต่งบุตรอนุเข้าจวน เรื่องนี้เสด็จพ่อก็เห็นดีด้วย เพราะอีกไม่นานคาดว่าจะมีการปรับเปลี่ยนกฎหมายใหม่ ให้บุตรอนุมีสิทธิ์เท่าเทียมกับบุตรของภรรยาเอกได้ทุกประการ เสด็จพ่อของเขาไม่ได้เป็นฮ่องเต้ที่คร่ำครึ อีกทั้งยังเปิดกว้างมากอีกด้วย
แต่ว่าวิธีนี้ค่อนข้างเสี่ยงไม่น้อย แต่ไหนแต่ไร ตระกูลในเมืองหลวงมักไม่ส่งบุตรสาวของตนแต่งกับองค์ชายพร้อมกันสองพระองค์ และแน่นอนว่าแม่ทัพใหญ่เย่ย่อมรู้ถึงเรื่องนี้ดี เขาจึงคิดแผนการหนึ่งขึ้นมาได้ เขาจะให้เย่หลีได้แต่งเข้าไปแทนเย่หลิง ให้พี่น้องตบตีกันเอง และที่สำคัญเขาต้องการสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้ฟ่านหลิ่น ทำให้ฟ่านหลิ่นมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อสายตาผู้คน เมื่อฟ่านหลิ่นเป็นสาเหตุให้บุตรสาวสองคนตบตีกัน แม่ทัพใหญ่เย่มีหรือจะไม่มีอคติต่อฟ่านหลิ่น องค์ชายที่ผู้คนยกย่องว่าสูงส่งราวเทพเซียนแต่เบื้องหลังกลับมักมากในกาม เมื่อคนทะเลาะกันเอง ย่อมง่ายต่อการยุแยง
ด้วยนิสัยชั่วร้ายของเย่หลี นางไม่มีทางที่จะยอมรามือ เขาจะใช้ความชั่วร้ายของนางทำให้ฟ่านหลิ่นอยู่ไม่เป็นสุข!
นอกจากจะโยนเรื่องน่าปวดหัวพวกนี้ไปให้ฟ่านหลิ่นได้แล้ว เขายังจะไม่ต้องแต่งสตรีร้ายกาจเข้าจวนมาเป็นภรรยา เขายอมรับว่าเขาชื่นชอบนาง ชื่นชอบที่นางเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย นิสัยมุทะลุไม่ยอมคน แต่อย่างไรคนเช่นนางไม่เหมาะจะเป็นชายาเอกของเขา
และนี่ก็คือเหตุผลที่เขามาพบเย่หลีที่หอเซียนสุราเมามายในเวลานี้
ยามนี้หญิงสาวค่อนข้างเมาเล็กน้อย ทว่ายังประคองสติตนเองเอาไว้ได้ ฟ่านเฉินหย่อนกายนั่งลงข้างนาง ก่อนจะสั่งให้คนนำสุรามาเพิ่ม เย่หลีเหลือบตามองฟ่านเฉินคราหนึ่ง แม้จะไม่ชอบใจเพียงใด แต่อย่างไรคนเขาก็เป็นถึงองค์ชาย นางย่อมต้องไว้หน้าเสียหน่อย
ฟ่านเฉินรินสุราใส่จอกให้เย่หลี ก่อนจะเอ่ย
"ดื่มเก่งไม่น้อยเลยนี่คุณหนูเย่"
เย่หลีเพียงยิ้มไม่ได้ตอบรับสิ่งใด ฟ่านเฉินเองก็ไม่ละความพยายามที่จะชวนนางสนทนา เย่หลีเริ่มรำคาญบุรุษผู้นี้แล้ว นางจึงหันไปมองเขาทันที
"องค์ชายรอง พระองค์ทรงต้องการจะทำอะไรเพคะ เหตุใดจึงมาชวนหม่อมฉันดื่มเช่นนี้ แล้วยังพูดจาไม่หยุด ช่างหนวกหูเสียจริง"
ฟ่านเฉินเมื่อถูกเย่หลีต่อว่าก็ไม่ได้โกรธเคือง ฝีปากนางร้ายกาจเขาเองก็มิใช่ว่าไม่รู้จึงไม่ได้ถือสาหาความอะไร บริเวณที่เขาและนางนั่งดื่มสุราค่อนข้างลับตาคนเพราะเป็นที่นั่งที่มีราคาแพงและเป็นส่วนตัวมากที่สุด จึงไม่มีใครผ่านมาทางนี้ ฟ่านเฉินโบกมือไล่พวกเสี่ยวเอ้อร์และองครักษ์ออกไปให้หมด แล้วกล่าวกับเย่หลีว่า
"ได้ยินว่าคุณหนูเย่มีเรื่องทุกข์ใจเกี่ยวกับพี่ชายใหญ่ของข้า ข้าอยากบอกว่า ข้าช่วยเจ้าได้นะ"
เย่หลีเมื่อได้ยินก็หันมามองฟ่านเฉิน นางสร่างเมาบ้างแล้ว หญิงสาวจ้องมองบุรุษตรงหน้า ไม่นานก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา ฟ่านเฉินขมวดคิ้ว แต่มิได้ปริปากพูดอะไรออกไป
เย่หลีจ้องมองเขาเขม็ง ก่อนจะเอ่ย
"องค์ชายรองท่านกำลังพูดเรื่องขบขันอะไรกัน ในเมืองหลวงผู้ใดไม่รู้บ้างว่าท่านน่ะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับองค์ชายใหญ่ อย่ามาคิดหลอกใช้ข้าเสียให้ยากเลย"
ฟ่านเฉินส่งเสียงเหอะออกมา เดิมทีเขาคาดเดาเอาไว้แล้วว่าคนอย่างเย่หลี ย่อมหลอกได้ไม่ง่าย และเขาเองก็เตรียมแผนที่สองเอาไว้แล้วเช่นเดียวกัน
ชายหนุ่มขยับเข้าไปใกล้ ๆ ก่อนจะกระซิบที่ข้างหูของเย่หลี
"ไม่ขอปิดบังคุณหนูเย่ เดิมทีข้าพึงใจในตัวน้องสาวของท่านที่เกิดจากอนุผู้นั้น ข้าพบนางก่อนพี่ชายของข้า แต่พี่ชายใหญ่กลับมาแย่งสตรีของข้าไป"
"ท่านว่าอย่างไรนะ"
เย่หลีหันขวับไปมองฟ่านเฉิน แต่เพราะคนทั้งคู่อยู่ใกล้กันมากเกินไป เมื่อนางหันไปจมูกของนางจึงชนเข้ากับจมูกของเขา ฟ่านเฉินชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะขยับถอยห่างออกมา เย่หลีเองก็ทำหน้าไม่ถูก นางกระแอมไอแล้วจึงซักถามเขา
"ท่านบอกว่า ท่านชอบเย่หลิงน้องสาวของข้าอย่างนั้นหรือ"
นางไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่านังน้องสาวสารเลวผู้นั้นมีอะไรดีกัน องค์ชายทั้งสองคนถึงหลงนางหัวปักหัวปำเช่นนี้!
เมื่อเห็นว่าเย่หลีเริ่มจะมีโทสะ ฟ่านเฉินก็ยกยิ้มมุมปาก เขาต้องการเช่นนี้อยู่แล้ว พูดยั่วยุให้นางดูแย่ ให้ความเกลียดชังในใจของนางพุ่งปะทุมากขึ้นกว่าเดิม
"ใช่แล้ว เพราะอย่างนี้พวกเรายิ่งควรร่วมมือกันไม่ใช่หรือ ข้าไม่ต้องการสิ่งใด เพียงต้องการเย่หลิงของข้าเท่านั้น ข้าได้นางมา ส่วนเจ้าก็ได้พี่ชายใหญ่ของข้าไป เจ้าว่าดีหรือไม่"
เย่หลีหรี่ตามองฟ่านเฉินและแสร้งถามเขาด้วยน้ำเสียงที่ยั่วยุ
"ท่านไม่ต้องการตำแหน่งองค์รัชทายาทหรือ"
ฟ่านเฉินเหมือนถูกเย่หลีตอกตะปูทะลุโดนจุดตาย ดวงตาของเขาวาววับเป็นอย่างยิ่ง
ก็เพราะพี่ชายบัดซบได้ตำแหน่งคังอ๋องแล้วอย่างไรเล่า อีกทั้งยังมีความดีความชอบเขาจึงต้องเร่งลงมือ บัดนี้พระวรกายของเสด็จพ่อก็ไม่สู้ดีเท่าใดนัก แม้จะปิดข่าวไม่ให้ผู้คนภายนอกล่วงรู้ แต่คนในวังล้วนรู้ดีว่าเสด็จพ่อคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน และเวลานี้ล้มป่วยจึงไม่มีเวลาไปสนใจจับตาดูพฤติกรรมของเหล่าองค์ชายมากนัก เขาต้องรีบดำเนินการตามแผน สร้างความปั่นป่วนและสร้างความร้าวฉานให้ฟ่านหลิ่นและแม่ทัพใหญ่เย่ จะได้สำเร็จตามแผนเร็วยิ่งขึ้น
ฟ่านเฉินปรับสีหน้าให้เป็นปกติ และเอ่ยกับเย่หลีอย่างไม่ยี่หระ
"ข้าอยากได้เย่หลิงมากกว่า"
เย่หลีเค้นเสียงเย็นออกมา บุรุษหน้าโง่พวกนี้เป็นบ้ากันไปหมดแล้วหรือไร บุตรสาวภรรยาเอกเช่นนางอยู่ตรงหน้ากลับไม่คว้า แต่ต้องการบุตรที่เกิดจากอนุเสียอย่างนั้น
โง่งมทั้งพี่ทั้งน้อง!
"แล้วข้าจะรู้ได้เช่นไรว่าท่านไม่ได้โกหก"
"เย่หลี ภายนอกเล่าลือกันว่าข้าอยากได้ตำแหน่งองค์รัชทายาท แต่ทว่าแท้จริงแล้วมิใช่เลย ข้าเพียงอยากใช้ชีวิตอิสระ ที่ข้าทำทุกอย่างไปยอมเป็นศัตรูกับพี่ชายใหญ่ก็เพราะต้องแบกรับความหวังของเสด็จแม่ หากข้าได้สมปรารถนากับเย่หลิง ข้าจะไปใช้ชีวิตอิสรเสรีกับนาง ขอเพียงวันที่เจ้าได้ขึ้นเป็นฮองเฮา จะไม่ทำร้ายข้าและคนของข้า เป็นการตอบแทนที่ข้าช่วยให้เจ้าสมหวัง หวังว่าการค้านี้ของเราจะราบรื่น เจ้าคิดเช่นไร"
“แล้วมารดาท่านจะไม่ผิดหวังในตัวท่านหรือ”
“ถึงยามนั้นเมื่อใดข้าคงต้องยอมรับ เสด็จแม่ไม่ได้มีข้าเป็นบุตรชายคนเดียวเสียหน่อย เจ้าก็รู้ ข้าสัญญา ขอเพียงเจ้าทำให้ข้าได้สมหวังกับเย่หลิง เจ้าก็คือผู้มีพระคุณของข้า เย่หลี ความรักทำให้คนเราทำได้ทุกอย่าง แลกได้ทุกอย่าง เจ้าคงเข้าใจ”
เย่หลีมีท่าทีครุ่นคิดใคร่ครวญ ความรักทำให้คนยอมทำได้ทุกอย่างนั้นเป็นเรื่องจริง แต่สำหรับนางแล้วความรักไม่สำคัญ อำนาจที่รออยู่ต่างหากที่นางต้องการอย่างแท้จริง
นางเชื่อว่าฟ่านเฉินย่อมมีหนทางช่วยให้นางและฟ่านหลิ่นได้สมปรารถนา แต่หากว่าเขาคิดตลบหลังเล่า
นางไตร่ตรองก่อนจะมองฟ่านเฉินคราหนึ่ง
ช่างเถิด รอให้นางได้สมปรารถนาเมื่อใด ถึงยามนั้นค่อยหาทางลอบสังหารเขาทิ้งเสียก็สิ้นเรื่องมันจะยากตรงที่ใดกันเล่า ส่วนเย่หลิงแน่นอนว่านางย่อมไม่ปล่อยให้น้องสาวตัวดีมาเป็นตัวมารขวางความสุขของนางอยู่แล้ว คิด ๆ ดูแล้วการค้านี้นางได้กำไรเห็น ๆ
ยืมดาบฆ่าคนเพื่อให้ตนเองได้สมปรารถนานับว่าเป็นวิธีการที่ดี เขาเป็นคนยื่นข้อเสนอมาเองไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดนางจะไม่ตอบรับเล่า
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางก็หันมาเอ่ยกับฟ่านเฉิน
"ตกลง"
เมื่อเห็นว่านางตอบตกลงตามแผน เขาก็พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มยกจอกสุราของตนขึ้นมาดื่ม พลางกล่าวว่า
"อีกสิบวันพี่ชายใหญ่จะจัดงานเลี้ยงวันเกิดของเขาที่จวนคังอ๋อง งานเลี้ยงคืนนั้นเป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะลงมือ ไว้ข้าจะส่งคนไปแจ้งแผนการกับเจ้าอีกครา"
"ตกลง หม่อมฉันจะรอฟังข่าวดีจากพระองค์"
คนทั้งสองยิ้มและสบตากัน แต่เมื่อลับหลังต่างคนต่างมีแววตาเป็นประกายเย็นเยียบและความเจ้าเล่ห์มากกลอุบายอย่างไม่ปิดบัง
ฟ่านเฉินพานางไปไหว้หลุมศพของหยางกุ้ยเฟยผู้เป็นมารดาหลังจากแต่งงานกันได้ไม่นาน อีกทั้งยังขอให้พระนางอวยพรให้เขาและนางใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างราบรื่น มีสายลมพัดเข้ามาแผ่วเบาราวกับว่าหยางกุ้ยเฟยรับรู้ถึงคำขอของนางและฟ่านเฉินแล้วเดิมทีฟ่านเฉินตั้งใจว่าจะเอาเลือดของสวีกุ้ยเฟยมาเซ่นสังเวยหลุมศพมารดา แต่เมื่อได้คิดอีกคราเขากลับพบว่าตนเองคิดถูกที่ไม่ทำเช่นนั้น เพราะเสด็จแม่เองก็คงไม่ต้องการให้เลือดชั่วของสวีกุ้ยเฟยมาแปดเปื้อนหลุมศพของนาง!หนึ่งปีแรกหลังจากแต่งงาน เย่หลียังคงไม่ตั้งครรภ์ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเขาและนางเลยแม้แต่น้อย นางไม่มีแม่สามีคอยกดดัน อีกทั้งพ่อสามีก็ไม่เร่งรัดนางจากนั้นไม่นาน เย่หลีก็ได้เอ่ยถามฟ่านเฉินว่าเขาคิดจะถอนพิษให้ไป๋ซู่ฮวาหรือไม่ ยามนี้แผนการก็สำเร็จลุล่วงแล้ว อย่างไรก็ควรจะเมตตานางเสียหน่อย แต่ฟ่านเฉินกลับไม่ตกลงทำตามที่นางบอก เขาเอ่ยว่าไป๋ซู่ฮวากลับมาแล้วยังไม่รู้จักประมาณตน ปล่อยไว้ย่อมเป็นภัย ให้นางเป็นใบ้ไปชั่วชีวิตเช่นนั้นก็ดีแล้ว จะได้ไม่ก่อคลื่นลมให้เขาและนางต้องปวดหัวได้อีก เย่หลีเองก็ไม่ได้คัดค้านอันใดส่วนเย่หลิงนั้นนางได้แต่งงานกับหวังฉงคน
เมื่อทุกอย่างจบลง แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องทำคือการปลอบขวัญกำลังใจเหล่าทหารกล้า พวกเขาทุกคนช่วยกันนำศพไปฝังเพราะอย่างไรเสียคงไม่อาจนำศพของพวกเขากลับบ้านเกิดได้อีกแล้ว เหล่าชาวบ้านก็ล้มตายไปไม่น้อยที่เหลือรอดก็มีอยู่ไม่มากและยังคงหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฟ่านหลิ่นและฟ่านเฉินจึงสั่งให้ทหารช่วยดูแลชาวบ้านและปลอบขวัญพวกเขาจนมีอาการดีขึ้นเวลาผ่านมาร่วมหลายวัน คนทั้งหมดก็เดินทางกลับเมืองหลวง อย่างไรเสียย่อมต้องกลับไปรายงานความดีความชอบนี้ให้ฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นได้ทราบเสียก่อน ส่วนเรื่องอื่นนั้นค่อยจัดการหารือกันภายหลังระหว่างที่เดินทางกลับนั้นเย่หลีนั่งรถม้ามาพร้อมกับสาวใช้น้อยนางนั้น เดิมทีเย่หลีไม่ได้คิดจะพานางติดตามกลับเมืองหลวงมาด้วย แต่เพราะสตรีนางนั้นบอกว่าไม่มีที่ไปแล้ว เย่หลีสงสารจึงรับนางเอาไว้และตั้งชื่อให้ว่าอาหลวนเดินทางมาจนถึงจุดพักม้าอย่างไรย่อมต้องหยุดพักเสียหน่อยเพราะอีกหลายวันกว่าจะเดินทางถึงเมืองหลวงและยามนี้ม้าก็อ่อนแรงลงไปไม่น้อยแล้ว ทางการรีบจัดที่พักให้พวกเขาและดูแลเรื่องอาหารอย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เย่หลีได้พักที่เรือนรับรองที่สะดวกสบายที่สุด เดิมทีเรือนนี้คนของท
เช้าวันต่อมาหลังจากที่เย่หลีตื่นขึ้นมา ก็พบว่าฟ่านเฉินรวมถึงบิดาและพี่ชายของนางได้ออกรบกับแคว้นฉีอีกครั้งแล้วเมื่อคืนนี้หลังจากปรับความเข้าใจกันได้แล้ว นางก็กลับมาพักยังที่พักของตน ยามนอนหลับนางฝันดีตลอดทั้งคืนในขณะที่เย่หลีเพิ่งจะกินมื้อเช้าเสร็จและเดินออกมาภายนอกกระโจมก็พบว่ายามนี้ภายในค่ายทหารกำลังวุ่นวายเป็นอย่างมาก เหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บถูกหามเข้ามาคนแล้วคนเล่า บางคนถูกธนูยิงจนทะลุหน้าอก บางคนแขนขาด บางคนเลือดไหลโทรมกาย ช่างเป็นภาพที่น่าหวาดกลัวไม่น้อยเลย สาวใช้น้อยข้างกายของนางถึงกับเบือนหน้าหนีไม่กล้ามองเพราะหวาดกลัวเย่หลีย่นหัวคิ้ว ไม่คิดว่าทหารของแคว้นซ่งจะได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ นางมองไปโดยรอบก่อนจะพบกับฟ่านหลิ่นที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นางจึงรีบเอ่ยกับเขาทันที"คังอ๋อง เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเพคะ"ฟ่านหลิ่นมองเย่หลีก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีเท่าใดนัก"เสด็จอาเล่นลูกไม้สกปรก ลอบส่งทหารไปซุ่มโจมตีทหารของพวกเราจากที่ลับ ก่อนหน้านี้ก็ส่งคนมาเผาเสบียงอาหาร อีกทั้งยังใช้ดินประสิวระเบิดภูเขาทำให้ก้อนหินร่วงลงมาทับทหารของแคว้นซ่งตายไปหลายพันนาย สถานกา
ฟ่านเฉินรีบหันกลับมามองก่อนจะต้องตกตะลึงอยู่เช่นนั้น เขาคิดว่าตนเองคงจะฝันไป แต่เมื่อได้เห็นว่ายามนี้สตรีตรงหน้ากำลังแย้มยิ้มให้เขา เขาจึงตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่ความฝันแต่เป็นนางจริง ๆเย่หลีมองพิจารณาบุรุษตรงหน้า ยามนี้เขายังคงดูหล่อเหลาเช่นเดิม แต่ทว่าผิวกลับคล้ำลงไปไม่น้อย ดูคมเข้มชวนมองขึ้นกว่าแต่ก่อนมากนัก"เจ้ามาได้เช่นไร"ฟ่านเฉินเอ่ยถามเย่หลีด้วยความสงสัย เขาเองก็มองนางอย่างพิจารณาเช่นเดียวกัน แม้ยามนี้ผิวของนางจะดูคล้ำลงแต่ความงามนั้นไม่ด้อยลงไปเลยแม้แต่น้อยเย่หลียิ้มก่อนจะตอบ"ข้าก็เดินทางมากับขบวนเสบียงน่ะสิ มาพร้อมพี่ชายของท่าน"เมื่อได้ยินว่าเย่หลีมาพร้อมกับฟ่านหลิ่น ในใจของฟ่านเฉินก็พลันขมขื่นขึ้นมา นางมาพร้อมพี่ชายของเขา ไม่คิดว่าเวลาเพียงไม่นานความสัมพันธ์ของคนทั้งสองจะก้าวหน้ามาถึงขั้นนี้แล้วที่นางเคยบอกว่าไม่ชอบพี่ชายเขา คงเป็นเพราะนางจะยังไม่รู้หัวใจตนเองใช่หรือไม่ เมื่อรู้แล้วนางจึงเลือกพี่ชายของเขาอย่างไม่ลังเลเมื่อเห็นว่าฟ่านเฉินเอาแต่เงียบ เย่หลีก็รู้สึกสงสัยไม่น้อย อันใดกัน ไม่เจอกันนานก็ไม่มีเรื่องจะสนทนากันแล้วหรือเมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงเอ่ยถามเขาอีกครั
เย่หลีนั่งอยู่ในเรือนนั้นอีกสักพัก ก่อนที่นางจะตัดสินใจเรื่องราวบางอย่างได้ ก่อนกลับนางได้บอกกับอาหลันว่าให้นำชุดแต่งงานสองชุดนั้นส่งกลับไปให้นางที่จวนตระกูลเย่ด้วย อาหลันรับคำ เย่หลีพยักหน้ารับก่อนจะกลับจวนของตนไปเมื่อเย่หลีกลับมาที่จวนนางก็จัดการล้างหน้าของตนให้สะอาด ทำเหมือนกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เช้าวันต่อมานางก็ได้ยินข่าวหนึ่ง นับว่าเป็นข่าวดีของแคว้นซ่ง เมื่อมีจดหมายจากชายแดนว่าครั้งนี้ได้รับชัยชนะต่อเนื่องกัน พวกกบฏแคว้นฉีระส่ำระสาย เรื่องนี้สร้างความดีใจต่อฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นไม่น้อย เดิมทีเขาคิดว่าหากฟ่านเฉินกลับมาอาจจะมอบตำแหน่งดี ๆ ใหบุตรชาย เพราะยามนี้เหล่าขุนนางต่างถกเถียงกันว่าคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งองค์รัชทายาทก็คือหลิงอ๋อง เพราะการศึกที่ชนะได้ในครั้งนี้เก้าในสิบส่วนเพราะเป็นความปรีชาสามารถของหลิงอ๋องแต่ทว่านอกจากจดหมายของทางการทหารแล้ว กลับมีจดหมายของฟ่านเฉินแนบมาด้วย เมื่อเขาเปิดออกก็ถึงกับทอดถอนใจออกมาฟ่านเฉินบอกว่าไม่ต้องการตำแหน่งใดทั้งสิ้นเพราะหลังจบสงครามก็จะไม่ขอกลับเมืองหลวงอีก จะใช้ชีวิตอยู่ที่ชายแดนเยี่ยงคนธรรมดาสามัญ นับแต่นี้ท่องเที่ยวไปทั่วใต้หล้า ไม่
"พี่สาวท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ"เย่หลีที่กำลังคิดสิ่งใดไปเรื่อยเปื่อยพลันได้สติกลับคืนมาเมื่อเย่หลิงเอ่ยถามตน นางหันไปยิ้มให้น้องสาวก่อนจะส่ายหน้าไปมา แล้วจึงเอ่ยกับเย่หลิง"ข้าจะไปหาที่เดินเล่นสงบใจเสียหน่อย อีกไม่นานจะกลับมา""เจ้าค่ะ"เย่หลีเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นเดินไปพร้อมกับเถาเป่า เดิมทีนางอยากนั่งอยู่เงียบ ๆ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดอยู่ ๆ นางจึงอยากจะเดินเล่นรอบ ๆ จวนองค์ชายรองที่ยามนี้กลายเป็นจวนหลิงอ๋องเสียหน่อย"เจ้าไม่ต้องตามข้ามา รออยู่ตรงนี้ก็พอ""เจ้าค่ะคุณหนู"เถาเป่าพยักหน้ารับเพราะไม่กล้าขัดคำสั่งเจ้านาย เย่หลีเดินตามทางมาเรื่อย ๆ ยามนี้โดยรอบจวนอ๋องมีดอกไม้และใบไม้เขียวชอุ่มให้ความรู้สึกที่สบายตาไม่น้อยเลย สายลมพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของนางเล็กน้อย เย่หลีมองไปโดยรอบด้วยแววตาที่วูบไหว อยู่ ๆ นางก็หยุดฝีเท้าอยู่ที่ด้านหน้าเรือนแห่งหนึ่งมันคือเรือนที่นางเคยอยู่ในชาติก่อนที่จวนแห่งนี้เดิมทีมีแต่ความทรงจำที่ขมขื่นและเจ็บปวดมากมาย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงอยากจะมองมันให้ชัดเจนอีกสักคราราวกับว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางจะได้เยียบย่างเข้ามาในที่ที่เป็นความหลังแห่งนี้ราวกับภา
เวลาผ่านมาร่วมหลายวัน ในที่สุดอาการบาดเจ็บของฟ่านเฉินก็หายดีจนเป็นปกติ เพราะได้รับบาดเจ็บระยะนี้จึงได้รับอนุญาตให้ไม่ต้องเข้าร่วมประชุมยามเช้าที่วังหลวงหลังจากกินมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็มุ่งหน้ามาที่วังหลวงเพื่อเยี่ยมเยือนบิดา ฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นเมื่อเห็นว่าบุตรชายไม่เป็นอันใดแล้วก็ดีใจไม่น้อย ฟ่านเฉินอยู่สนทนากับบิดาต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนจะขอตัวกลับเมื่อเดินออกมาแล้ว เขากลับยังไม่ได้ออกจากวังหลวง ชายหนุ่มเดินตรงมาที่คุกหลวงซึ่งเป็นสถานที่กักขังสวีกุ้ยเฟยเอาไว้ นางยังไม่ถูกลงโทษ เพราะเสด็จพ่อเดิมทีก็เหมือนจะมีเยื่อใยต่อนางอยู่ไม่น้อยเขาเดินเข้ามาในคุกหลวงที่มืดมิด ได้กลิ่นสาบจาง ๆ โชยมาต้องนาสิกเป็นระยะ แต่ทว่าชายหนุ่มกลับหาได้สนใจแม้แต่น้อย เขาเดินตรงมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าห้องขังห้องหนึ่ง เมื่อมองเข้าไปก็พบกับสตรีวัยกลางคนที่กำลังนั่งพิงกำแพงอยู่ ใบหน้าของนางที่เคยงดงามยามนี้แก่ชราลงไปหลายปี ผมเผ้ารุงรัง เสื้อผ้าสกปรกมอมแมม เมื่อได้ยินเสียงห้องขังเปิดออกนางจึงหันมามอง เมื่อพบว่าเป็นฟ่านเฉิน นางก็รีบลนลานเข้ามากอดเขาเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย"เฉินเอ๋อร์ ช่วยแม่ด้วย ได้โปรดช่วยแม่ด้วย
ยามนี้ฟ่านเฉินกำลังควบม้ามุ่งหน้าตรงมาที่จวนของฟ่านหรง เมื่อมาถึงเขาก็สั่งให้คนค้นทั่วทั้งจวน หลังจากสำรวจโดยรอบอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ถึงกับส่งเสียงเหอะออกมาคาดเดาว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตระกูลสวีก่อนหน้านี้จะต้องเป็นฝีมือของฟ่านหรงถึงสิบส่วน คนของเขาบอกว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนสวีกุ้ยเฟยคลุ้มคลั่งแทบเสียสติเพราะตราคำสั่งทางทหารของบิดานางหายไป เขาเคยเห็นตราสั่งการทางทหารนั้นมาก่อน ย่อมจำได้เป็นอย่างดี การที่ฟ่านหรงหนีไปครั้งนี้ย่อมไม่ได้หนีไปตัวเปล่า แต่เขานำกองกำลังนั้นไปด้วย หากเป็นเช่นนี้ก็ย่อมอันตรายมากยิ่งนักเมื่อเขาออกมาจากจวนฟ่านหรงก็พบกับเย่จิ้นอันที่ควบม้าตามมา ชายหนุ่มมองฟ่านเฉินครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"องค์ชายรอง คนเล่า เขาหนีไปได้เช่นไร เห็นอยู่ว่าพิการเช่นนั้นไปแล้ว"ฟ่านเฉินมองเย่จิ้นอันก่อนจะเอ่ยตอบ"ถึงเขาจะพิการ แต่คนของเขาฝีมือไม่ได้ด้อย ข้าเชื่อว่าเขาต้องหนีไปพร้อมกับตราคำสั่งทางทหารของสวีกุ้ยเฟย อีกทั้งการที่ทหารในค่ายถูกโยกย้ายไปก่อนหน้านี้ล้วนเป็นฝีมือของเขารวมไปถึงการที่จวนตระกูลสวีเกิดเหตุในคืนนั้นก็เป็นฝีมือเขาด้วยเช่นกัน""เกิดการหักหลังกันเช่นนั้นหรือ""ถูกต้อง"เ
ฟ่านเฉินเกรงว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์นอกเหนือความคาดหมายทำให้เขารับมือไม่ได้ จึงบอกให้เย่จิ้นอันจับตาดูฟ่านหรงเอาไว้เย่จิ้นอันพยักหน้ารับคำ เอ่ยปากอำลากลับมาที่จวนของตนเรื่องนี้เขาได้ปรึกษากับบิดาก่อนหน้านี้แล้ว ท่านพ่อเองก็คอยช่วยเหลือพวกเขาอย่างลับ ๆ อีกอย่างค่ายทหารที่ฟ่านเฉินบอกก็เป็นความจริง ชายหนุ่มนั่งสนทนากับบิดา ก่อนจะเอ่ย"ท่านพ่อ ก่อนหน้านี้ความฝันของหลีเอ๋อร์เหมือนจะเป็นจริงหลายส่วน แต่ว่าไม่ตรงกับฟ่านเฉิน เขาไม่ได้เลวร้ายหรือคิดแย่งบัลลังก์ เรื่องนี้ท่านคิดเห็นเช่นไร"แม่ทัพใหญ่เย่มีท่าทางครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้า"บางทีความฝันก็อาจจะไม่เป็นจริงเสมอไป เอาเถิด เจ้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำก็ทำอย่างรอบคอบ หากต้องการความช่วยเหลือพ่อจะคอยช่วยเจ้าอีกแรง ไว้จับคนร้ายได้เมื่อไหร่และเปิดโปงคนชั่วได้สำเร็จ คาดว่าเรื่องนี้คงจะทำให้ฝ่าบาทปวดหัวไม่น้อยเลย เรื่องนี้พ่อไม่ได้ทูลฝ่าบาทเพราะเกรงว่าอาจกระทบกับแผนการที่พวกเจ้าลงมืออยู่ แต่อย่างไรพ่อจะคอยช่วยเหลืออยู่ห่าง ๆ”"ขอรับท่านพ่อ"เย่จิ้นอันพยักหน้าแล้วขอตัวเดินออกมา ระหว่างทางได้พบกับเย่หลีที่เพิ่งเดินกลับมาจากเรือนใหญ่พอดี สองพี่น้องยิ้ม