งานเลี้ยงยังดำเนินต่อไป มีเหล่าเชื้อพระวงศ์องค์ชายและผู้สูงศักดิ์มาร่วมงานกันมากมาย ในนี้มีองค์ชายรองฟ่านเฉิน และองค์ชายสามฟ่านจิ้งรวมอยู่ด้วย ทว่าเย่หลีกลับมิได้ให้ความสนใจเท่าใดนัก
ในอีกด้านหนึ่งไม่ไกลนัก ศาลารับลมซึ่งเป็นสถานที่ที่บุรุษใช้ดื่มสุราชมสาวงาม ฟ่านเฉินและฟ่านจิ้งกำลังมองมาที่เย่หลีด้วยแววตาที่ล้ำลึก
องค์ชายรองฟ่านเฉินปีนี้มีอายุครบสิบเก้าปีเต็มแล้ว ส่วนฟ่านจิ้งก็มีอายุสิบเจ็ดปี คนทั้งสองอายุไล่เลี่ยกัน มารดาของพวกเขาก็คือสวีกุ้ยเฟย
ฟ่านจิ้งยกจอกสุราขึ้นดื่ม ก่อนจะหันมาเอ่ยกับฟ่านเฉิน
"พี่รองท่านดูบุตรสาวของท่านแม่ทัพใหญ่เย่สิ ช่างงดงามยิ่งนัก หากได้แต่งกับนางก็เท่ากับได้กองทัพตระกูลเย่มาอยู่ในกำมือแล้วครึ่งหนึ่ง ง่ายต่อการต่อกรกับพี่ใหญ่ ท่านว่าใช่หรือไม่"
ฟ่านเฉินเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ช้อนสายตามองไปยังสตรีที่มีนามว่าเย่หลีผู้นั้น ใบหน้าของนางงดงาม ผิวพรรณขาวเนียนราวหิมะ ท่วงท่าก็งดงามน่ามอง แต่ทว่าดวงตากลับเย็นชาและไม่ไยดีต่อสิ่งใด
ไม่พบกันเสียนาน ผ่านมาร่วมหลายปีนางเติบโตเป็นสตรีที่งดงามเฉิดฉายกระจ่างตา
นางงดงามมากจริง ๆ
สตรีที่งดงามเช่นนี้ไม่เหมาะที่ใช้เป็นหมากบนกระดาน มันอันตรายเกินไป!
เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาก็ละสายตาจากนาง ก่อนจะยกจอกสุราขึ้นดื่ม ฟ่านจิ้งที่เห็นว่าพี่ชายดูเหมือนจะไม่สนใจก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดขึ้นมาอีก
จวบจนงานเลี้ยงเลิกรา คนทั้งหมดจึงแยกย้ายกันกลับจวน ก่อนกลับฟ่านเฉินอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเย่หลีอีกคราหนึ่ง ใบหน้างดงามของนางไม่มีบุรุษใดจะไม่เหลียวมอง เขาเองก็เป็นบุรุษย่อมพึงใจในสิ่งสวยงามตรงหน้า
เมื่อกลับมาถึงจวน เย่หลีก็ตรงไปหาเย่หลิงที่เรือนของอนุซ่งทันที เย่หลิงนั้นนางรู้ตัวดีว่าตนเป็นเพียงบุตรของอนุ ย่อมไม่อาจพาไปเชิดหน้าชูตาได้ และนางก็ไม่ได้รู้สึกน้อยใจ เพียงเพราะไม่ได้ไปร่วมงานและไม่ได้พบเจอกับเขาคนนั้น
เขาผู้นั้นคือฟ่านหลิ่นองค์ชายใหญ่ของแคว้นซ่ง ยามนี้มีตำแหน่งเป็นถึงคังอ๋องผู้สูงส่ง เขาและนางพบกันโดยบังเอิญ ตอนนั้นนางไปไหว้พระกับมารดา
วัดบนเขาบรรยากาศดีนางจึงออกไปเดินเล่นรับลม รู้ตัวอีกคราก็เดินเข้ามาถึงป่าลึกแล้วจึงคิดจะเดินกลับ แต่กลับพบฟ่านหลิ่นที่ได้รับบาดเจ็บเพราะถูกลอบทำร้าย นางช่วยเขา คนทั้งสองพากันหลบหนีจากคนที่ลอบฆ่า เขากล่าวขอบคุณนางและถามชื่อแซ่ของนาง ยามนั้นนางไม่รู้ว่าเขาคือใคร
ภายหลังนางก็กลับจวน แต่ทว่าทุกวันยามเช้ากลับพบว่ามีกระดาษแผ่นน้อยมาวางเอาไว้ตรงหน้าต่างห้องนอนทุกเช้า นางแปลกใจมาก ไม่นานก็พบว่าเป็นฟ่านหลิ่นนั่นเอง เขาตามหานางจนพบ หลังจากนั้นเขาและนางก็ได้พบกันอีกหลายครั้ง จนกระทั่งเกิดเป็นความรู้สึกดีที่มีต่อกัน
นางรู้ว่าตนเองไม่คู่ควรกับเขา แต่เขาสัญญาแล้วว่า จะต้องทำทุกทางให้นางแต่งเข้าจวนคังอ๋องอย่างสมเกียรติที่สุด ขอเพียงให้นางรอเขาก่อน เมื่อคิดถึงเขา นางรู้สึกอบอุ่นและหวานล้ำในใจอยู่เสมอ หญิงสาวหยิบหยกจันทร์เสี้ยวที่ฟ่านหลิ่นมอบให้ขึ้นมาดู ก่อนจะเก็บเอาไว้ที่ใต้หมอนเช่นเดิม นี่เป็นของแทนใจที่เขามอบให้นาง
เย่หลีเดินตรงเข้ามาในเรือน ก่อนจะพบกับอนุซ่งที่กำลังนั่งปักผ้าเช็ดหน้าอยู่ เมื่อเห็นว่านางมา อนุซ่งก็รีบเดินเข้ามาหานางทันที
"คุณหนูใหญ่ ท่านมาด้วยเหตุใด นั่งก่อนเถิด ข้าจะให้คนไปนำขนมและชาอย่างดีมาให้"
เย่หลีปรายตามองอนุซ่งอย่างดูแคลน พลางพูดขึ้นว่า
"อย่าเสนอหน้ามาประจบเอาใจข้า บุตรสาวตัวดีของเจ้าอยู่ที่ใด ไปเรียกมันออกมาพบข้า"
อนุซ่งขมวดคิ้วมุ่น
"หลิงเอ๋อร์ทำสิ่งใดให้ท่านไม่พอใจอย่างนั้นหรือ ข้าจะสั่งสอนนางเอง ท่านมานั่งก่อนเถิด"
อนุซ่งยื่นมือมาหมายจะจับมือของเย่หลี แต่นางกลับสะบัดมือออกอย่างรังเกียจ ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปด้านในเรือนอย่างถือวิสาสะ เย่หลิงที่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายก็รีบออกมาดู เมื่อเห็นว่าเย่หลีเดินเข้ามาด้วยท่าทางไม่พอใจก็รีบเอ่ยทันที
"พี่สาว โอ๊ย!"
เย่หลิงยังไม่ทันเอ่ยสิ่งใดก็ถูกเย่หลียกมือฟาดเข้าใส่ใบหน้าอย่างแรงจนนางล้มลง
"นังตัวดี เจ้าไปลอบให้ท่าคังอ๋องตั้งแต่เมื่อใด เขาจึงเอาแต่ถามหาเจ้าเช่นนี้ ทั้งที่อยู่ต่อหน้าข้าแต่เขากลับถามหาแต่เจ้า นังสารเลว!"
"โอ๊ย ข้าเจ็บ"
เย่หลีไม่พูดเปล่า นางเดินเข้ามาตบตีเย่หลิงอย่างไม่ปรานี เย่หลิงไม่กล้าสู้พี่สาวทำได้เพียงร้องไห้ อนุซ่งก็ไม่รู้จะทำเช่นไรดี จึงให้คนไปตามแม่ทัพใหญ่เย่และเย่ฮูหยินมาที่นี่
"หลีเอ๋อร์เจ้าหยุดนะ!"
แม่ทัพใหญ่เย่ที่มาถึงก็ตวาดบุตรสาวอย่างไม่ไว้หน้า ก่อนจะให้คนไปดึงตัวเย่หลีออกมาจากเย่หลิง เย่ฮูหยินเอ่ยตักเตือนบุตรสาวไปหลายประโยค นางเองไม่ได้รังเกียจหรือแค้นเคืองอะไรสองแม่ลูก บุรุษก็เป็นเช่นนี้เขามากภรรยาก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ตราบใดที่อนุเหล่านั้นไม่ล้ำเส้นนางเองก็ไม่ได้ว่ากล่าวอันใด
เย่หลีหันมามองบิดามารดา รีบอ้าปากฟ้องทันที
"ท่านพ่อท่านแม่ นางสารเลวผู้นี้ลอบให้ท่าคังอ๋อง พวกท่านต้องสั่งสอนนาง เป็นเพียงบุตรอนุคิดจะชูคอมาเสนอหน้า นางไม่คู่ควรกับคังอ๋อง ข้าเท่านั้นที่คู่ควร!"
แม่ทัพใหญ่เย่จ้องมองเย่หลีก่อนจะถอนหายใจยาว ๆ แล้วสั่งให้คนไปประคองเย่หลิงขึ้นมา ก่อนจะหันมาเอ่ยกับเย่หลี
"หลีเอ๋อร์ เจ้าฟังพ่อนะ อีกสามเดือนคังอ๋องจะส่งคนมารับตัวเย่หลิงเข้าจวนองค์ชายใหญ่ในฐานะพระชายารอง แม้จะเป็นบุตรอนุเขาก็ไม่สนใจ เขาผูกสมัครรักใคร่กันมานานแล้ว พ่อผิดเองที่ไม่ได้บอกเจ้า วันใดที่เขาได้เป็นองค์รัชทายาทและขึ้นครองราชย์ เมื่อนั้นอาจจะมีการเปลี่ยนกฎใหม่ ให้บุตรอนุมีสิทธิ์เท่าเทียมกับบุตรของภรรยาเอก พ่อเองก็ยินดีสนับสนุนเขา"
เย่หลีขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะกรีดร้องอย่างไม่พอใจ
"ไม่จริง! ท่านพ่อนี่ท่านก็รวมหัวกันหลอกข้าหรือ ข้าเป็นบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอก ท่านควรสนับสนุนข้า เหอะ ก็ได้ ข้าจะยอมให้นางแต่งไปเป็นชายารอง ส่วนข้าต้องเป็นชายาเอก"
"เหลวไหล แต่ไหนแต่ไรแคว้นซ่งมีกฎว่าหากจวนใดมีบุตรสาวสองคน ห้ามแต่งเข้าจวนองค์ชายพร้อมกัน จะต้องแต่งเพียงคนเดียวเท่านั้น เย่หลิงแต่งให้คังอ๋องไปแล้ว เจ้าก็ไม่สามารถแต่งให้เขาและองค์ชายคนอื่น ๆ ได้อีกไม่อย่างนั้นขั้วอำนาจทางการเมืองจะสั่นคลอนตระกูลเย่ของเราจะไม่ปลอดภัย ที่สำคัญคังอ๋องไม่ได้พึงใจในตัวเจ้า เอาเถิด พ่อจะหาสามีที่ดีให้เจ้า ได้ยินว่าบุตรชายของราชครูก็ดีไม่น้อย"
"ไม่! ไม่! ข้าจะแต่งกับคังอ๋องคนเดียวเท่านั้น!"
พูดไม่ทันจบนางก็พุ่งเข้าไปตบตีเย่หลิงอีกครั้ง แม่ทัพใหญ่เย่ปวดหัวแล้วจึงสั่งให้คนมาลากตัวเย่หลีไปขังเอาไว้ในห้อง รอให้นางใจเย็นลงแล้วค่อยปล่อยตัวออกมา เย่หลีโมโหเป็นอย่างมาก นางเอาโทสะทั้งหมดไปลงกับสาวใช้คนแล้วคนเล่า แต่ทุกคนในบ้านกลับไม่มีใครสนใจนางเลยแม้แต่น้อย นางไม่เข้าใจว่าเพียงเพราะบุตรที่เกิดจากอนุเพียงคนเดียว เหตุใดท่านพ่อต้องให้ความสำคัญกับนางถึงเพียงนั้นด้วย
วันแล้ววันเล่า เมื่อเห็นว่าแผนลงมือตบตีไม่ได้ผล เย่หลีก็เปลี่ยนแผนใหม่ ยังเหลือเวลาอีกสามเดือนที่เย่หลิงจะได้แต่งเข้าจวนคังอ๋อง เพราะจะต้องเตรียมงานแต่งและหลายอย่างให้พร้อมสรรพเสียก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้นางต้องหาทางทำให้นังน้องสาวชั่วผู้นี้หายตัวไปเสีย!
ระยะหลังมานี้เย่หลีมักทำตัวดีขึ้น ไม่อาละวาด และบอกว่ายอมรับเรื่องนี้ได้แล้ว แม่ทัพใหญ่เย่เองก็สงสารบุตรสาวจึงปล่อยนางออกมา ทว่าเย่หลีกลับกลั่นแกล้งเย่หลิงสารพัด จนนางล้มป่วยแทบลุกไม่ขึ้นแต่กลับไม่ตาย
ฟ่านหลิ่นเมื่อรู้ว่านางกลั่นแกล้งน้องสาวก็ส่งคนมาหาเย่หลีบอกว่าต้องการพบนาง เย่หลีคิดว่าเขาคงยอมรับนางแล้ว แต่เขากลับเรียกนางไปต่อว่าและบอกว่าหากเย่หลิงเป็นอันใดไป เขาจะไม่ไว้หน้านางอีก เย่หลีเสียใจเป็นอย่างมาก ทั้งเกลียดชังคนทั้งคู่แต่ไม่อาจทำสิ่งใดได้ นางพ่ายแพ้อย่างยับเยิน!
เมื่อไม่อาจทำสิ่งใดได้ นางจึงไร้เรี่ยวแรงจะคิดวางแผนทำร้ายเย่หลิงอีก ไม่มีสมองจะไปคิดแผนการใดแล้ว ทุกคราแม้นางจะคิดแผนการสารพัด แต่กลับไม่สำเร็จสักอย่าง ซ้ำยังทำให้เย่หลิงดูน่าสงสารในสายตาของฟ่านหลิ่นมากขึ้นไปอีก นางเศร้าเสียใจยิ่งนัก
วันนี้เย่หลีรู้สึกเบื่อไปหมดอยากผ่อนคลาย นางจึงมาที่หอเซียนสุราเมามายและสั่งสุรามาดื่มหลายต่อหลายจอก หอเซียนสุราเมามายแห่งนี้เป็นหอสุราที่ชนชั้นสูงมักจะเข้ามาดื่มกิน ที่นี่นอกจากจะมีสุราชั้นดีแล้วยังมีนางระบำชั้นยอด อาหารชั้นเลิศ คุ้มกับตั๋วเงินหลายร้อยตำลึงที่จ่ายเข้ามา
ในขณะที่นางกำลังยกจอกสุราขึ้นดื่มพลางมองดูเหล่านางระบำตรงหน้าที่ร่ายรำด้วยแววตาที่ว่างเปล่า ก็ได้ยินเสียงของบุรุษผู้หนึ่งส่งเสียงขึ้นมา
"ดื่มคนเดียวไม่สนุกหรอก มิสู้ให้ข้านั่งดื่มด้วยดีหรือไม่"
ฟ่านเฉินพานางไปไหว้หลุมศพของหยางกุ้ยเฟยผู้เป็นมารดาหลังจากแต่งงานกันได้ไม่นาน อีกทั้งยังขอให้พระนางอวยพรให้เขาและนางใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างราบรื่น มีสายลมพัดเข้ามาแผ่วเบาราวกับว่าหยางกุ้ยเฟยรับรู้ถึงคำขอของนางและฟ่านเฉินแล้วเดิมทีฟ่านเฉินตั้งใจว่าจะเอาเลือดของสวีกุ้ยเฟยมาเซ่นสังเวยหลุมศพมารดา แต่เมื่อได้คิดอีกคราเขากลับพบว่าตนเองคิดถูกที่ไม่ทำเช่นนั้น เพราะเสด็จแม่เองก็คงไม่ต้องการให้เลือดชั่วของสวีกุ้ยเฟยมาแปดเปื้อนหลุมศพของนาง!หนึ่งปีแรกหลังจากแต่งงาน เย่หลียังคงไม่ตั้งครรภ์ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเขาและนางเลยแม้แต่น้อย นางไม่มีแม่สามีคอยกดดัน อีกทั้งพ่อสามีก็ไม่เร่งรัดนางจากนั้นไม่นาน เย่หลีก็ได้เอ่ยถามฟ่านเฉินว่าเขาคิดจะถอนพิษให้ไป๋ซู่ฮวาหรือไม่ ยามนี้แผนการก็สำเร็จลุล่วงแล้ว อย่างไรก็ควรจะเมตตานางเสียหน่อย แต่ฟ่านเฉินกลับไม่ตกลงทำตามที่นางบอก เขาเอ่ยว่าไป๋ซู่ฮวากลับมาแล้วยังไม่รู้จักประมาณตน ปล่อยไว้ย่อมเป็นภัย ให้นางเป็นใบ้ไปชั่วชีวิตเช่นนั้นก็ดีแล้ว จะได้ไม่ก่อคลื่นลมให้เขาและนางต้องปวดหัวได้อีก เย่หลีเองก็ไม่ได้คัดค้านอันใดส่วนเย่หลิงนั้นนางได้แต่งงานกับหวังฉงคน
เมื่อทุกอย่างจบลง แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องทำคือการปลอบขวัญกำลังใจเหล่าทหารกล้า พวกเขาทุกคนช่วยกันนำศพไปฝังเพราะอย่างไรเสียคงไม่อาจนำศพของพวกเขากลับบ้านเกิดได้อีกแล้ว เหล่าชาวบ้านก็ล้มตายไปไม่น้อยที่เหลือรอดก็มีอยู่ไม่มากและยังคงหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฟ่านหลิ่นและฟ่านเฉินจึงสั่งให้ทหารช่วยดูแลชาวบ้านและปลอบขวัญพวกเขาจนมีอาการดีขึ้นเวลาผ่านมาร่วมหลายวัน คนทั้งหมดก็เดินทางกลับเมืองหลวง อย่างไรเสียย่อมต้องกลับไปรายงานความดีความชอบนี้ให้ฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นได้ทราบเสียก่อน ส่วนเรื่องอื่นนั้นค่อยจัดการหารือกันภายหลังระหว่างที่เดินทางกลับนั้นเย่หลีนั่งรถม้ามาพร้อมกับสาวใช้น้อยนางนั้น เดิมทีเย่หลีไม่ได้คิดจะพานางติดตามกลับเมืองหลวงมาด้วย แต่เพราะสตรีนางนั้นบอกว่าไม่มีที่ไปแล้ว เย่หลีสงสารจึงรับนางเอาไว้และตั้งชื่อให้ว่าอาหลวนเดินทางมาจนถึงจุดพักม้าอย่างไรย่อมต้องหยุดพักเสียหน่อยเพราะอีกหลายวันกว่าจะเดินทางถึงเมืองหลวงและยามนี้ม้าก็อ่อนแรงลงไปไม่น้อยแล้ว ทางการรีบจัดที่พักให้พวกเขาและดูแลเรื่องอาหารอย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เย่หลีได้พักที่เรือนรับรองที่สะดวกสบายที่สุด เดิมทีเรือนนี้คนของท
เช้าวันต่อมาหลังจากที่เย่หลีตื่นขึ้นมา ก็พบว่าฟ่านเฉินรวมถึงบิดาและพี่ชายของนางได้ออกรบกับแคว้นฉีอีกครั้งแล้วเมื่อคืนนี้หลังจากปรับความเข้าใจกันได้แล้ว นางก็กลับมาพักยังที่พักของตน ยามนอนหลับนางฝันดีตลอดทั้งคืนในขณะที่เย่หลีเพิ่งจะกินมื้อเช้าเสร็จและเดินออกมาภายนอกกระโจมก็พบว่ายามนี้ภายในค่ายทหารกำลังวุ่นวายเป็นอย่างมาก เหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บถูกหามเข้ามาคนแล้วคนเล่า บางคนถูกธนูยิงจนทะลุหน้าอก บางคนแขนขาด บางคนเลือดไหลโทรมกาย ช่างเป็นภาพที่น่าหวาดกลัวไม่น้อยเลย สาวใช้น้อยข้างกายของนางถึงกับเบือนหน้าหนีไม่กล้ามองเพราะหวาดกลัวเย่หลีย่นหัวคิ้ว ไม่คิดว่าทหารของแคว้นซ่งจะได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ นางมองไปโดยรอบก่อนจะพบกับฟ่านหลิ่นที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นางจึงรีบเอ่ยกับเขาทันที"คังอ๋อง เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเพคะ"ฟ่านหลิ่นมองเย่หลีก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีเท่าใดนัก"เสด็จอาเล่นลูกไม้สกปรก ลอบส่งทหารไปซุ่มโจมตีทหารของพวกเราจากที่ลับ ก่อนหน้านี้ก็ส่งคนมาเผาเสบียงอาหาร อีกทั้งยังใช้ดินประสิวระเบิดภูเขาทำให้ก้อนหินร่วงลงมาทับทหารของแคว้นซ่งตายไปหลายพันนาย สถานกา
ฟ่านเฉินรีบหันกลับมามองก่อนจะต้องตกตะลึงอยู่เช่นนั้น เขาคิดว่าตนเองคงจะฝันไป แต่เมื่อได้เห็นว่ายามนี้สตรีตรงหน้ากำลังแย้มยิ้มให้เขา เขาจึงตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่ความฝันแต่เป็นนางจริง ๆเย่หลีมองพิจารณาบุรุษตรงหน้า ยามนี้เขายังคงดูหล่อเหลาเช่นเดิม แต่ทว่าผิวกลับคล้ำลงไปไม่น้อย ดูคมเข้มชวนมองขึ้นกว่าแต่ก่อนมากนัก"เจ้ามาได้เช่นไร"ฟ่านเฉินเอ่ยถามเย่หลีด้วยความสงสัย เขาเองก็มองนางอย่างพิจารณาเช่นเดียวกัน แม้ยามนี้ผิวของนางจะดูคล้ำลงแต่ความงามนั้นไม่ด้อยลงไปเลยแม้แต่น้อยเย่หลียิ้มก่อนจะตอบ"ข้าก็เดินทางมากับขบวนเสบียงน่ะสิ มาพร้อมพี่ชายของท่าน"เมื่อได้ยินว่าเย่หลีมาพร้อมกับฟ่านหลิ่น ในใจของฟ่านเฉินก็พลันขมขื่นขึ้นมา นางมาพร้อมพี่ชายของเขา ไม่คิดว่าเวลาเพียงไม่นานความสัมพันธ์ของคนทั้งสองจะก้าวหน้ามาถึงขั้นนี้แล้วที่นางเคยบอกว่าไม่ชอบพี่ชายเขา คงเป็นเพราะนางจะยังไม่รู้หัวใจตนเองใช่หรือไม่ เมื่อรู้แล้วนางจึงเลือกพี่ชายของเขาอย่างไม่ลังเลเมื่อเห็นว่าฟ่านเฉินเอาแต่เงียบ เย่หลีก็รู้สึกสงสัยไม่น้อย อันใดกัน ไม่เจอกันนานก็ไม่มีเรื่องจะสนทนากันแล้วหรือเมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงเอ่ยถามเขาอีกครั
เย่หลีนั่งอยู่ในเรือนนั้นอีกสักพัก ก่อนที่นางจะตัดสินใจเรื่องราวบางอย่างได้ ก่อนกลับนางได้บอกกับอาหลันว่าให้นำชุดแต่งงานสองชุดนั้นส่งกลับไปให้นางที่จวนตระกูลเย่ด้วย อาหลันรับคำ เย่หลีพยักหน้ารับก่อนจะกลับจวนของตนไปเมื่อเย่หลีกลับมาที่จวนนางก็จัดการล้างหน้าของตนให้สะอาด ทำเหมือนกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เช้าวันต่อมานางก็ได้ยินข่าวหนึ่ง นับว่าเป็นข่าวดีของแคว้นซ่ง เมื่อมีจดหมายจากชายแดนว่าครั้งนี้ได้รับชัยชนะต่อเนื่องกัน พวกกบฏแคว้นฉีระส่ำระสาย เรื่องนี้สร้างความดีใจต่อฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นไม่น้อย เดิมทีเขาคิดว่าหากฟ่านเฉินกลับมาอาจจะมอบตำแหน่งดี ๆ ใหบุตรชาย เพราะยามนี้เหล่าขุนนางต่างถกเถียงกันว่าคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งองค์รัชทายาทก็คือหลิงอ๋อง เพราะการศึกที่ชนะได้ในครั้งนี้เก้าในสิบส่วนเพราะเป็นความปรีชาสามารถของหลิงอ๋องแต่ทว่านอกจากจดหมายของทางการทหารแล้ว กลับมีจดหมายของฟ่านเฉินแนบมาด้วย เมื่อเขาเปิดออกก็ถึงกับทอดถอนใจออกมาฟ่านเฉินบอกว่าไม่ต้องการตำแหน่งใดทั้งสิ้นเพราะหลังจบสงครามก็จะไม่ขอกลับเมืองหลวงอีก จะใช้ชีวิตอยู่ที่ชายแดนเยี่ยงคนธรรมดาสามัญ นับแต่นี้ท่องเที่ยวไปทั่วใต้หล้า ไม่
"พี่สาวท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ"เย่หลีที่กำลังคิดสิ่งใดไปเรื่อยเปื่อยพลันได้สติกลับคืนมาเมื่อเย่หลิงเอ่ยถามตน นางหันไปยิ้มให้น้องสาวก่อนจะส่ายหน้าไปมา แล้วจึงเอ่ยกับเย่หลิง"ข้าจะไปหาที่เดินเล่นสงบใจเสียหน่อย อีกไม่นานจะกลับมา""เจ้าค่ะ"เย่หลีเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นเดินไปพร้อมกับเถาเป่า เดิมทีนางอยากนั่งอยู่เงียบ ๆ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดอยู่ ๆ นางจึงอยากจะเดินเล่นรอบ ๆ จวนองค์ชายรองที่ยามนี้กลายเป็นจวนหลิงอ๋องเสียหน่อย"เจ้าไม่ต้องตามข้ามา รออยู่ตรงนี้ก็พอ""เจ้าค่ะคุณหนู"เถาเป่าพยักหน้ารับเพราะไม่กล้าขัดคำสั่งเจ้านาย เย่หลีเดินตามทางมาเรื่อย ๆ ยามนี้โดยรอบจวนอ๋องมีดอกไม้และใบไม้เขียวชอุ่มให้ความรู้สึกที่สบายตาไม่น้อยเลย สายลมพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของนางเล็กน้อย เย่หลีมองไปโดยรอบด้วยแววตาที่วูบไหว อยู่ ๆ นางก็หยุดฝีเท้าอยู่ที่ด้านหน้าเรือนแห่งหนึ่งมันคือเรือนที่นางเคยอยู่ในชาติก่อนที่จวนแห่งนี้เดิมทีมีแต่ความทรงจำที่ขมขื่นและเจ็บปวดมากมาย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงอยากจะมองมันให้ชัดเจนอีกสักคราราวกับว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางจะได้เยียบย่างเข้ามาในที่ที่เป็นความหลังแห่งนี้ราวกับภา
เวลาผ่านมาร่วมหลายวัน ในที่สุดอาการบาดเจ็บของฟ่านเฉินก็หายดีจนเป็นปกติ เพราะได้รับบาดเจ็บระยะนี้จึงได้รับอนุญาตให้ไม่ต้องเข้าร่วมประชุมยามเช้าที่วังหลวงหลังจากกินมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็มุ่งหน้ามาที่วังหลวงเพื่อเยี่ยมเยือนบิดา ฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นเมื่อเห็นว่าบุตรชายไม่เป็นอันใดแล้วก็ดีใจไม่น้อย ฟ่านเฉินอยู่สนทนากับบิดาต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนจะขอตัวกลับเมื่อเดินออกมาแล้ว เขากลับยังไม่ได้ออกจากวังหลวง ชายหนุ่มเดินตรงมาที่คุกหลวงซึ่งเป็นสถานที่กักขังสวีกุ้ยเฟยเอาไว้ นางยังไม่ถูกลงโทษ เพราะเสด็จพ่อเดิมทีก็เหมือนจะมีเยื่อใยต่อนางอยู่ไม่น้อยเขาเดินเข้ามาในคุกหลวงที่มืดมิด ได้กลิ่นสาบจาง ๆ โชยมาต้องนาสิกเป็นระยะ แต่ทว่าชายหนุ่มกลับหาได้สนใจแม้แต่น้อย เขาเดินตรงมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าห้องขังห้องหนึ่ง เมื่อมองเข้าไปก็พบกับสตรีวัยกลางคนที่กำลังนั่งพิงกำแพงอยู่ ใบหน้าของนางที่เคยงดงามยามนี้แก่ชราลงไปหลายปี ผมเผ้ารุงรัง เสื้อผ้าสกปรกมอมแมม เมื่อได้ยินเสียงห้องขังเปิดออกนางจึงหันมามอง เมื่อพบว่าเป็นฟ่านเฉิน นางก็รีบลนลานเข้ามากอดเขาเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย"เฉินเอ๋อร์ ช่วยแม่ด้วย ได้โปรดช่วยแม่ด้วย
ยามนี้ฟ่านเฉินกำลังควบม้ามุ่งหน้าตรงมาที่จวนของฟ่านหรง เมื่อมาถึงเขาก็สั่งให้คนค้นทั่วทั้งจวน หลังจากสำรวจโดยรอบอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ถึงกับส่งเสียงเหอะออกมาคาดเดาว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตระกูลสวีก่อนหน้านี้จะต้องเป็นฝีมือของฟ่านหรงถึงสิบส่วน คนของเขาบอกว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนสวีกุ้ยเฟยคลุ้มคลั่งแทบเสียสติเพราะตราคำสั่งทางทหารของบิดานางหายไป เขาเคยเห็นตราสั่งการทางทหารนั้นมาก่อน ย่อมจำได้เป็นอย่างดี การที่ฟ่านหรงหนีไปครั้งนี้ย่อมไม่ได้หนีไปตัวเปล่า แต่เขานำกองกำลังนั้นไปด้วย หากเป็นเช่นนี้ก็ย่อมอันตรายมากยิ่งนักเมื่อเขาออกมาจากจวนฟ่านหรงก็พบกับเย่จิ้นอันที่ควบม้าตามมา ชายหนุ่มมองฟ่านเฉินครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"องค์ชายรอง คนเล่า เขาหนีไปได้เช่นไร เห็นอยู่ว่าพิการเช่นนั้นไปแล้ว"ฟ่านเฉินมองเย่จิ้นอันก่อนจะเอ่ยตอบ"ถึงเขาจะพิการ แต่คนของเขาฝีมือไม่ได้ด้อย ข้าเชื่อว่าเขาต้องหนีไปพร้อมกับตราคำสั่งทางทหารของสวีกุ้ยเฟย อีกทั้งการที่ทหารในค่ายถูกโยกย้ายไปก่อนหน้านี้ล้วนเป็นฝีมือของเขารวมไปถึงการที่จวนตระกูลสวีเกิดเหตุในคืนนั้นก็เป็นฝีมือเขาด้วยเช่นกัน""เกิดการหักหลังกันเช่นนั้นหรือ""ถูกต้อง"เ
ฟ่านเฉินเกรงว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์นอกเหนือความคาดหมายทำให้เขารับมือไม่ได้ จึงบอกให้เย่จิ้นอันจับตาดูฟ่านหรงเอาไว้เย่จิ้นอันพยักหน้ารับคำ เอ่ยปากอำลากลับมาที่จวนของตนเรื่องนี้เขาได้ปรึกษากับบิดาก่อนหน้านี้แล้ว ท่านพ่อเองก็คอยช่วยเหลือพวกเขาอย่างลับ ๆ อีกอย่างค่ายทหารที่ฟ่านเฉินบอกก็เป็นความจริง ชายหนุ่มนั่งสนทนากับบิดา ก่อนจะเอ่ย"ท่านพ่อ ก่อนหน้านี้ความฝันของหลีเอ๋อร์เหมือนจะเป็นจริงหลายส่วน แต่ว่าไม่ตรงกับฟ่านเฉิน เขาไม่ได้เลวร้ายหรือคิดแย่งบัลลังก์ เรื่องนี้ท่านคิดเห็นเช่นไร"แม่ทัพใหญ่เย่มีท่าทางครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้า"บางทีความฝันก็อาจจะไม่เป็นจริงเสมอไป เอาเถิด เจ้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำก็ทำอย่างรอบคอบ หากต้องการความช่วยเหลือพ่อจะคอยช่วยเจ้าอีกแรง ไว้จับคนร้ายได้เมื่อไหร่และเปิดโปงคนชั่วได้สำเร็จ คาดว่าเรื่องนี้คงจะทำให้ฝ่าบาทปวดหัวไม่น้อยเลย เรื่องนี้พ่อไม่ได้ทูลฝ่าบาทเพราะเกรงว่าอาจกระทบกับแผนการที่พวกเจ้าลงมืออยู่ แต่อย่างไรพ่อจะคอยช่วยเหลืออยู่ห่าง ๆ”"ขอรับท่านพ่อ"เย่จิ้นอันพยักหน้าแล้วขอตัวเดินออกมา ระหว่างทางได้พบกับเย่หลีที่เพิ่งเดินกลับมาจากเรือนใหญ่พอดี สองพี่น้องยิ้ม