เถาเป่าแม้จะมีความสงสัยอยู่ในทีแต่เพราะนางเป็นเพียงบ่าวจึงไม่อาจไปซักไซ่ไล่เรียงเอาความใดกับผู้เป็นนายได้
หลังจากเตรียมขนมเรียบร้อยแล้ว เย่หลีก็เดินตรงมาที่เรือนของอนุซ่ง เรือนแห่งนี้เป็นเรือนที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเรือนใหญ่เท่าใดนัก บรรยากาศสงบร่มรื่น ในชาติที่แล้วเพราะมัวแต่หาเรื่องคน ทำให้นางคิดว่าสถานที่แห่งนี้โกโรโกโส มีแต่พวกชนชั้นต่ำน่ารังเกียจอาศัยอยู่ แต่เมื่อนางเปลี่ยนความคิด ไม่ได้มองที่นี่อย่างอคติ มันกลับทำให้นางพบว่าที่นี่เงียบสงบร่มรื่นและน่าอยู่เป็นอย่างมาก
นางพยายามทำความเคยชินกับที่นี่เอาไว้ เพราะว่าอีกไม่นานนางอาจจะได้มาอยู่ที่นี่กับมารดาแท้ ๆ ของตนเอง
เย่หลีต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ก่อนหน้านี้นางยังได้ชื่อว่าเป็นบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอกมาโดยตลอด การจะให้นางยอมรับอย่างสนิทใจย่อมต้องใช้เวลาไม่ใช่เพียงวันสองวันก็จะยอมรับอย่างสนิทใจได้
แม้จะยังมึนงงอยู่บ้างที่ตนเองอยู่ ๆ ก็ย้อนเวลากลับมาเช่นนี้ แต่อย่างไรในเมื่อสวรรค์เมตตาแล้ว นางจะรั้งรอเวลาไม่ได้เด็ดขาด
คนเราจะตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่อาจรู้ได้ อย่ารั้งรอเวลาที่จะทำความดี ทำในสิ่งที่ตนเองอยากจะทำให้มากที่สุด เพราะหากมัวแต่รั้งรอเวลา อาจจะไม่มีวันต่อไปให้ได้ทำในสิ่งที่ตนปรารถนาอีกแล้ว
นางไม่รู้ว่าการกลับมาของนางครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้มากน้อยเพียงใด แต่นางก็ยินดีจะทำอย่างสุดความสามารถ
หญิงสาวก้าวเดินมาเรื่อย ๆ จนมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าประตูเรือนของอนุซ่ง สาวใช้ที่เห็นว่านางเดินเข้ามาก็รีบก้มหน้างุดพร้อมกับมีท่าทางหวาดกลัว แต่ไหนแต่ไรนางมักเอาโทสะไปลงกับสาวใช้และบ่าวไพร่ในเรือน ไม่มีใครกล้าทัดทานนางเพราะท่านพ่อและท่านแม่ให้ท้ายนางจนเคยตัว
แต่นับจากวันนี้นางจะไม่ทำเช่นนั้นอีก คนเราเมื่อถอดอาภรณ์สูงศักดิ์ออกก็คือคนเหมือนกัน ไม่มีอันใดแตกต่าง!
"มัวชักช้าอยู่ทำไม คุณหนูจะเข้าไปด้านใน ไปแจ้งเจ้านายของพวกเจ้าสิ!"
เถาเป่ารีบเอ่ยอย่างวางท่า เย่หลีปรายตามองสาวใช้ของตนคราหนึ่ง เถาเป่าเมื่อถูกมองก็รีบก้มหน้างุดไม่กล้าเอ่ยวาจาใดอีก เย่หลีละสายตาจากเถาเป่า ก่อนจะหันมาเอ่ยกับสาวใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู
"ไปบอกอนุซ่งกับคุณหนูรองทีว่าข้าจะแวะมาดื่มชาที่นี่และมีเรื่องจะสนทนากับพวกเขา ข้าจะรออยู่ตรงศาลาใต้ต้นมู่ตาน"
"เจ้าค่ะคุณหนูใหญ่"
เอ่ยจบเย่หลีก็เดินมานั่งรอที่ศาลารับลมใต้ต้นมู่ตาล ที่นี่อยู่ใกล้กับเรือนของอนุซ่ง บรรยากาศดีมีลมพัดเย็นสบายตลอดเวลา รออยู่ไม่นานอนุซ่งและเย่หลิงก็มาถึง อนุซ่งมองเย่หลีด้วยแววตาที่วูบไหวคราหนึ่ง ส่วนเย่หลิงนั้นมองนางด้วยแววตาที่หวาดหวั่นไม่น้อยเลย เย่หลีเองเข้าใจดี นางร้ายกาจถือดีถึงเพียงนั้น ใครก็ไม่อยากจะเข้าใกล้นาง
"พวกท่านนั่งก่อนสิ เถาเป่ารินชาใส่ถ้วย"
เย่หลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย อนุซ่งมองเย่หลีเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าและให้เย่หลิงนั่งลงตามนาง
เย่หลีมองไปที่เย่หลิง ปีนี้น้องสาวของนางก็อายุสิบหกเท่านางแล้ว แต่เพราะคลอดออกมาช้ากว่านางเพียงครึ่งเค่อจึงนับเป็นน้องสาว เย่หลิงใบหน้างดงาม น่ารักน่าชัง อ่อนหวาน แต่ก่อนนางชังใบหน้านี้ยิ่งนัก คิดว่าเพราะใบหน้านี้ที่ทำให้ผู้คนชื่นชอบมากกว่านาง
แต่ยามนี้นางเข้าใจแล้ว เย่หลิงน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้ จิตใจก็ดีงาม คนชอบนางมากหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
เย่หลียื่นถ้วยชาส่งให้อนุซ่งและเย่หลิง อนุซ่งลอบมองเย่หลีหลายต่อหลายครา แต่เมื่อเย่หลีหันมาสบตากับนาง อนุซ่งก็แกล้งทำเป็นมองไปทางอื่น เย่หลีไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงครุ่นคิดในใจ
ชาตินี้ข้าจะหาทางเปลี่ยนจุดจบในชีวิตของท่าน อย่างไรข้าก็คงไม่อาจทนเห็นท่านตายเพราะข้าได้เช่นชาติที่แล้ว แม้ระหว่างเราอาจจะไม่ได้มีความผูกพันใดเลยก็ตาม แต่ท่านก็ได้ชื่อว่าเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของข้า
เย่หลียังคงนับถือใจของอนุซ่งอยู่อย่างหนึ่ง เพราะอนุซ่งไม่เคยทุบตีด่าทอเย่หลิง แม้จะดูเย็นชาไปบ้าง แต่เย่หลิงก็ไม่เคยได้รับความลำบากใจเท่าใดนัก
ก็นับว่ายังมีใจเมตตาอยู่บ้าง
ส่วนเย่หลิง นางสัญญาว่าจะคืนทุกสิ่งที่ให้เย่หลิงทั้งหมด เพียงแต่ว่านางขอเวลาอีกสักหน่อย
คนทั้งสามนั่งดื่มชากันไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เย่หลีจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน
"ได้ยินว่าอีกสามวันสำนักศึกษาเหยาหลีจะเปิดรับสมัครนักเรียนเข้าไปเล่าเรียน เย่หลิง ปีนี้เจ้าอายุสิบหกแล้วสามารถเข้าเรียนได้สักที ที่ผ่านมาเอาแต่เรียนอยู่ที่จวน อาจารย์พวกนั้นเทียบไม่ได้กับอาจารย์ในสำนักศึกษาด้วยซ้ำ เดิมทีเจ้าควรเข้าเรียนที่สำนักศึกษาเหยาหลีตั้งนานแล้วแต่เพราะข้าเองที่มัวแต่ห่วงเรื่องไร้สาระจึงทำให้ถ่วงเวลาเล่าเรียนของเจ้า เช่นนั้นอีกสามวันเจ้าก็ไปพร้อมกันกับข้าเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปสมัครเรียนเอง"
เย่หลิงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบเงยหน้าขึ้นมามองเย่หลี ก่อนจะเอ่ย
"พี่สาว ท่านพูดจริงหรือ ข้าจะได้เรียนที่สำนักศึกษาเหยาหลีจริง ๆ หรือเจ้าคะ"
เย่หลิงเอ่ยขึ้นมาด้วยความดีใจ แต่ไหนแต่ไรบุตรอนุมักจะไม่มีสิทธิ์ได้เรียนในที่ดี ๆ นอกเสียจากว่าบิดามารดาจะทุ่มเงินมากหน่อยเพื่อจ้างอาจารย์มาสอน และอาจารย์เหล่านั้นก็เทียบไม่ได้กับอาจารย์ในสำนักศึกษาเหยาหลี แต่หลายปีมานี้ท่านแม่บอกนางว่านางเป็นเพียงบุตรอนุ อย่าคิดทัดเทียมคุณหนูใหญ่และคุณหนูคนอื่น ๆ ที่เกิดจากภรรยาเอก เพียงมีอาจารย์มาสอนตำราที่บ้านพออ่านออกเขียนได้ก็ดีมากพอแล้ว นางจึงไม่กล้าคิดเพ้อฝัน แต่วันนี้เมื่อพี่สาวเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้นางก็ดีใจไม่น้อย แต่เมื่อหันไปเห็นสายตาตำหนิของผู้เป็นมารดา นางก็รีบก้มหน้างุด
การกระทำของอนุซ่งนั้นอยู่ในสายตาของเย่หลีทั้งหมด ในชาติที่แล้วเวลานี้สำนักศึกษาเหยาหลีใกล้จะเปิดรับนักเรียแล้วนางจำได้ดี ยามนั้นนางถึงกับอาละวาดไม่ยอมให้เย่หลิงเข้าเรียนกับนาง นางไม่อยากให้ใครเห็นว่าน้องสาวที่เกิดจากอนุงดงามกว่านาง
แต่ยามนี้มันถึงเวลาแล้ว เย่หลิงควรจะได้รับสิ่งที่ควรจะเป็นของนางกลับคืนไปทีละอย่าง
หญิงสาวยกถ้วยชาขึ้นดื่ม ก่อนจะเอ่ยกับอนุซ่ง
"บุตรสาวได้เรียนในที่ดี ๆ ท่านเป็นมารดาควรจะดีใจกระมัง ทำอย่างกับว่านางไม่ใช่บุตรท่านเสียอย่างนั้น จึงไม่คิดจะส่งเสริมนาง"
เมื่อได้ยินเย่หลีเอ่ยขึ้นมาเช่นนั้น มือของอนุซ่งที่ถือถ้วยชาก็พลันสั่นเล็กน้อย นางแสร้งยิ้ม ก่อนจะเอ่ยตอบ
"เย่หลิงได้คุณหนูใหญ่ส่งเสริมย่อมเป็นวาสนาของนาง แต่ว่านางเป็นเพียงบุตรอนุ ข้าเกรงว่าจะทำให้คุณหนูใหญ่ขายหน้าได้"
"อนุซ่งท่านคิดมากเกินไปแล้ว ขายหน้าอันใดกัน เย่หลิงนางก็ไม่ได้มีตรงไหนไม่ดี ล้วนเป็นคนเหมือนคนอื่น ๆ มีสมองมีสองมือ สามารถเล่าเรียนหาความรู้ได้ เรื่องนี้ข้าจะให้ท่านพ่อท่านแม่จัดการให้เอง ท่านไม่ต้องคัดค้านก็พอ"
"เช่นนั้นแล้วแต่คุณหนูใหญ่เถิดเจ้าค่ะ"
อนุซ่งไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดอีก ในใจของนางยามนี้เอาแต่ครุ่นคิดสงสัย
แต่ไหนแต่ไรเย่หลีตั้งแง่รังเกียจนางสองคนแม่ลูกอย่างกับอันใดดี แต่วันนี้กลับเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
เมื่อไม่มีสิ่งใดแล้ว เย่หลีจึงคิดจะกลับเรือน ก่อนกลับนางมอบขนมทั้งหมดให้เย่หลิง เย่หลิงมองขนมด้วยแววตาเป็นประกาย ก่อนจะเอ่ยขอบคุณเย่หลี แม้เย่ฮูหยินจะไม่เคยหวงของกินพวกนี้กับนาง แต่นางก็ไม่กล้ากินมากนัก เพราะท่านแม่ของนางมักจะบอกให้นางระวังตนทุกฝีก้าวอย่าได้ทำตัวน่าขายหน้าเป็นอันขาด
เย่หลีเดินลงมาจากศาลารับลม ก่อนจะคิดสิ่งใดได้ นางจึงหันกลับไปมองเย่หลิง
"หากเจ้าเบื่อก็สามารถไปคุยเล่นกับข้าที่เรือนใหญ่ได้ ที่นั่นมีของเล่นมากมายที่เจ้าชอบ"
"เจ้าค่ะพี่สาว"
เย่หลิงพยักหน้ารับด้วยความดีใจ แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดอยู่ ๆ พี่สาวก็มาทำดีกับนาง ทั้งที่แต่ก่อนตั้งท่ารังเกียจนางเสียเหลือเกิน แต่ก็ช่างเถิด หากพี่สาวดีกับนางเช่นนี้ไปได้ตลอด นางคงจะมีความสุขไม่น้อย
อนุซ่งมองตามเย่หลีไปจนลับสายตา นางไม่ได้เอ่ยสิ่งใดมากนัก เพียงบอกเย่หลีว่าให้นำขนมเข้าไปกินในเรือนและอย่าเที่ยวเดินไปทั่ว เย่หลิงพยักหน้า ก่อนจะเอ่ย
“ท่านแม่ หากข้าเหงาข้าขอไปพี่สาวได้หรือไม่เจ้าคะ”
อนุซ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็มองเย่หลิงคราหนึ่ง เด็กสาวตรงหน้าแม้จะไม่ใช่บุตรสาวที่แท้จริงของนาง แต่นางก็มีความผูกพันที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะ อนุซ่งยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย
“อืม อยากไปก็ไปเถิด อย่าก่อเรื่องก็พอ”
“เจ้าค่ะท่านแม่”
ฟ่านเฉินพานางไปไหว้หลุมศพของหยางกุ้ยเฟยผู้เป็นมารดาหลังจากแต่งงานกันได้ไม่นาน อีกทั้งยังขอให้พระนางอวยพรให้เขาและนางใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างราบรื่น มีสายลมพัดเข้ามาแผ่วเบาราวกับว่าหยางกุ้ยเฟยรับรู้ถึงคำขอของนางและฟ่านเฉินแล้วเดิมทีฟ่านเฉินตั้งใจว่าจะเอาเลือดของสวีกุ้ยเฟยมาเซ่นสังเวยหลุมศพมารดา แต่เมื่อได้คิดอีกคราเขากลับพบว่าตนเองคิดถูกที่ไม่ทำเช่นนั้น เพราะเสด็จแม่เองก็คงไม่ต้องการให้เลือดชั่วของสวีกุ้ยเฟยมาแปดเปื้อนหลุมศพของนาง!หนึ่งปีแรกหลังจากแต่งงาน เย่หลียังคงไม่ตั้งครรภ์ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเขาและนางเลยแม้แต่น้อย นางไม่มีแม่สามีคอยกดดัน อีกทั้งพ่อสามีก็ไม่เร่งรัดนางจากนั้นไม่นาน เย่หลีก็ได้เอ่ยถามฟ่านเฉินว่าเขาคิดจะถอนพิษให้ไป๋ซู่ฮวาหรือไม่ ยามนี้แผนการก็สำเร็จลุล่วงแล้ว อย่างไรก็ควรจะเมตตานางเสียหน่อย แต่ฟ่านเฉินกลับไม่ตกลงทำตามที่นางบอก เขาเอ่ยว่าไป๋ซู่ฮวากลับมาแล้วยังไม่รู้จักประมาณตน ปล่อยไว้ย่อมเป็นภัย ให้นางเป็นใบ้ไปชั่วชีวิตเช่นนั้นก็ดีแล้ว จะได้ไม่ก่อคลื่นลมให้เขาและนางต้องปวดหัวได้อีก เย่หลีเองก็ไม่ได้คัดค้านอันใดส่วนเย่หลิงนั้นนางได้แต่งงานกับหวังฉงคน
เมื่อทุกอย่างจบลง แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องทำคือการปลอบขวัญกำลังใจเหล่าทหารกล้า พวกเขาทุกคนช่วยกันนำศพไปฝังเพราะอย่างไรเสียคงไม่อาจนำศพของพวกเขากลับบ้านเกิดได้อีกแล้ว เหล่าชาวบ้านก็ล้มตายไปไม่น้อยที่เหลือรอดก็มีอยู่ไม่มากและยังคงหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฟ่านหลิ่นและฟ่านเฉินจึงสั่งให้ทหารช่วยดูแลชาวบ้านและปลอบขวัญพวกเขาจนมีอาการดีขึ้นเวลาผ่านมาร่วมหลายวัน คนทั้งหมดก็เดินทางกลับเมืองหลวง อย่างไรเสียย่อมต้องกลับไปรายงานความดีความชอบนี้ให้ฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นได้ทราบเสียก่อน ส่วนเรื่องอื่นนั้นค่อยจัดการหารือกันภายหลังระหว่างที่เดินทางกลับนั้นเย่หลีนั่งรถม้ามาพร้อมกับสาวใช้น้อยนางนั้น เดิมทีเย่หลีไม่ได้คิดจะพานางติดตามกลับเมืองหลวงมาด้วย แต่เพราะสตรีนางนั้นบอกว่าไม่มีที่ไปแล้ว เย่หลีสงสารจึงรับนางเอาไว้และตั้งชื่อให้ว่าอาหลวนเดินทางมาจนถึงจุดพักม้าอย่างไรย่อมต้องหยุดพักเสียหน่อยเพราะอีกหลายวันกว่าจะเดินทางถึงเมืองหลวงและยามนี้ม้าก็อ่อนแรงลงไปไม่น้อยแล้ว ทางการรีบจัดที่พักให้พวกเขาและดูแลเรื่องอาหารอย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เย่หลีได้พักที่เรือนรับรองที่สะดวกสบายที่สุด เดิมทีเรือนนี้คนของท
เช้าวันต่อมาหลังจากที่เย่หลีตื่นขึ้นมา ก็พบว่าฟ่านเฉินรวมถึงบิดาและพี่ชายของนางได้ออกรบกับแคว้นฉีอีกครั้งแล้วเมื่อคืนนี้หลังจากปรับความเข้าใจกันได้แล้ว นางก็กลับมาพักยังที่พักของตน ยามนอนหลับนางฝันดีตลอดทั้งคืนในขณะที่เย่หลีเพิ่งจะกินมื้อเช้าเสร็จและเดินออกมาภายนอกกระโจมก็พบว่ายามนี้ภายในค่ายทหารกำลังวุ่นวายเป็นอย่างมาก เหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บถูกหามเข้ามาคนแล้วคนเล่า บางคนถูกธนูยิงจนทะลุหน้าอก บางคนแขนขาด บางคนเลือดไหลโทรมกาย ช่างเป็นภาพที่น่าหวาดกลัวไม่น้อยเลย สาวใช้น้อยข้างกายของนางถึงกับเบือนหน้าหนีไม่กล้ามองเพราะหวาดกลัวเย่หลีย่นหัวคิ้ว ไม่คิดว่าทหารของแคว้นซ่งจะได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ นางมองไปโดยรอบก่อนจะพบกับฟ่านหลิ่นที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นางจึงรีบเอ่ยกับเขาทันที"คังอ๋อง เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเพคะ"ฟ่านหลิ่นมองเย่หลีก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีเท่าใดนัก"เสด็จอาเล่นลูกไม้สกปรก ลอบส่งทหารไปซุ่มโจมตีทหารของพวกเราจากที่ลับ ก่อนหน้านี้ก็ส่งคนมาเผาเสบียงอาหาร อีกทั้งยังใช้ดินประสิวระเบิดภูเขาทำให้ก้อนหินร่วงลงมาทับทหารของแคว้นซ่งตายไปหลายพันนาย สถานกา
ฟ่านเฉินรีบหันกลับมามองก่อนจะต้องตกตะลึงอยู่เช่นนั้น เขาคิดว่าตนเองคงจะฝันไป แต่เมื่อได้เห็นว่ายามนี้สตรีตรงหน้ากำลังแย้มยิ้มให้เขา เขาจึงตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่ความฝันแต่เป็นนางจริง ๆเย่หลีมองพิจารณาบุรุษตรงหน้า ยามนี้เขายังคงดูหล่อเหลาเช่นเดิม แต่ทว่าผิวกลับคล้ำลงไปไม่น้อย ดูคมเข้มชวนมองขึ้นกว่าแต่ก่อนมากนัก"เจ้ามาได้เช่นไร"ฟ่านเฉินเอ่ยถามเย่หลีด้วยความสงสัย เขาเองก็มองนางอย่างพิจารณาเช่นเดียวกัน แม้ยามนี้ผิวของนางจะดูคล้ำลงแต่ความงามนั้นไม่ด้อยลงไปเลยแม้แต่น้อยเย่หลียิ้มก่อนจะตอบ"ข้าก็เดินทางมากับขบวนเสบียงน่ะสิ มาพร้อมพี่ชายของท่าน"เมื่อได้ยินว่าเย่หลีมาพร้อมกับฟ่านหลิ่น ในใจของฟ่านเฉินก็พลันขมขื่นขึ้นมา นางมาพร้อมพี่ชายของเขา ไม่คิดว่าเวลาเพียงไม่นานความสัมพันธ์ของคนทั้งสองจะก้าวหน้ามาถึงขั้นนี้แล้วที่นางเคยบอกว่าไม่ชอบพี่ชายเขา คงเป็นเพราะนางจะยังไม่รู้หัวใจตนเองใช่หรือไม่ เมื่อรู้แล้วนางจึงเลือกพี่ชายของเขาอย่างไม่ลังเลเมื่อเห็นว่าฟ่านเฉินเอาแต่เงียบ เย่หลีก็รู้สึกสงสัยไม่น้อย อันใดกัน ไม่เจอกันนานก็ไม่มีเรื่องจะสนทนากันแล้วหรือเมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงเอ่ยถามเขาอีกครั
เย่หลีนั่งอยู่ในเรือนนั้นอีกสักพัก ก่อนที่นางจะตัดสินใจเรื่องราวบางอย่างได้ ก่อนกลับนางได้บอกกับอาหลันว่าให้นำชุดแต่งงานสองชุดนั้นส่งกลับไปให้นางที่จวนตระกูลเย่ด้วย อาหลันรับคำ เย่หลีพยักหน้ารับก่อนจะกลับจวนของตนไปเมื่อเย่หลีกลับมาที่จวนนางก็จัดการล้างหน้าของตนให้สะอาด ทำเหมือนกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เช้าวันต่อมานางก็ได้ยินข่าวหนึ่ง นับว่าเป็นข่าวดีของแคว้นซ่ง เมื่อมีจดหมายจากชายแดนว่าครั้งนี้ได้รับชัยชนะต่อเนื่องกัน พวกกบฏแคว้นฉีระส่ำระสาย เรื่องนี้สร้างความดีใจต่อฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นไม่น้อย เดิมทีเขาคิดว่าหากฟ่านเฉินกลับมาอาจจะมอบตำแหน่งดี ๆ ใหบุตรชาย เพราะยามนี้เหล่าขุนนางต่างถกเถียงกันว่าคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งองค์รัชทายาทก็คือหลิงอ๋อง เพราะการศึกที่ชนะได้ในครั้งนี้เก้าในสิบส่วนเพราะเป็นความปรีชาสามารถของหลิงอ๋องแต่ทว่านอกจากจดหมายของทางการทหารแล้ว กลับมีจดหมายของฟ่านเฉินแนบมาด้วย เมื่อเขาเปิดออกก็ถึงกับทอดถอนใจออกมาฟ่านเฉินบอกว่าไม่ต้องการตำแหน่งใดทั้งสิ้นเพราะหลังจบสงครามก็จะไม่ขอกลับเมืองหลวงอีก จะใช้ชีวิตอยู่ที่ชายแดนเยี่ยงคนธรรมดาสามัญ นับแต่นี้ท่องเที่ยวไปทั่วใต้หล้า ไม่
"พี่สาวท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ"เย่หลีที่กำลังคิดสิ่งใดไปเรื่อยเปื่อยพลันได้สติกลับคืนมาเมื่อเย่หลิงเอ่ยถามตน นางหันไปยิ้มให้น้องสาวก่อนจะส่ายหน้าไปมา แล้วจึงเอ่ยกับเย่หลิง"ข้าจะไปหาที่เดินเล่นสงบใจเสียหน่อย อีกไม่นานจะกลับมา""เจ้าค่ะ"เย่หลีเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นเดินไปพร้อมกับเถาเป่า เดิมทีนางอยากนั่งอยู่เงียบ ๆ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดอยู่ ๆ นางจึงอยากจะเดินเล่นรอบ ๆ จวนองค์ชายรองที่ยามนี้กลายเป็นจวนหลิงอ๋องเสียหน่อย"เจ้าไม่ต้องตามข้ามา รออยู่ตรงนี้ก็พอ""เจ้าค่ะคุณหนู"เถาเป่าพยักหน้ารับเพราะไม่กล้าขัดคำสั่งเจ้านาย เย่หลีเดินตามทางมาเรื่อย ๆ ยามนี้โดยรอบจวนอ๋องมีดอกไม้และใบไม้เขียวชอุ่มให้ความรู้สึกที่สบายตาไม่น้อยเลย สายลมพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของนางเล็กน้อย เย่หลีมองไปโดยรอบด้วยแววตาที่วูบไหว อยู่ ๆ นางก็หยุดฝีเท้าอยู่ที่ด้านหน้าเรือนแห่งหนึ่งมันคือเรือนที่นางเคยอยู่ในชาติก่อนที่จวนแห่งนี้เดิมทีมีแต่ความทรงจำที่ขมขื่นและเจ็บปวดมากมาย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงอยากจะมองมันให้ชัดเจนอีกสักคราราวกับว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางจะได้เยียบย่างเข้ามาในที่ที่เป็นความหลังแห่งนี้ราวกับภา
เวลาผ่านมาร่วมหลายวัน ในที่สุดอาการบาดเจ็บของฟ่านเฉินก็หายดีจนเป็นปกติ เพราะได้รับบาดเจ็บระยะนี้จึงได้รับอนุญาตให้ไม่ต้องเข้าร่วมประชุมยามเช้าที่วังหลวงหลังจากกินมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็มุ่งหน้ามาที่วังหลวงเพื่อเยี่ยมเยือนบิดา ฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นเมื่อเห็นว่าบุตรชายไม่เป็นอันใดแล้วก็ดีใจไม่น้อย ฟ่านเฉินอยู่สนทนากับบิดาต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนจะขอตัวกลับเมื่อเดินออกมาแล้ว เขากลับยังไม่ได้ออกจากวังหลวง ชายหนุ่มเดินตรงมาที่คุกหลวงซึ่งเป็นสถานที่กักขังสวีกุ้ยเฟยเอาไว้ นางยังไม่ถูกลงโทษ เพราะเสด็จพ่อเดิมทีก็เหมือนจะมีเยื่อใยต่อนางอยู่ไม่น้อยเขาเดินเข้ามาในคุกหลวงที่มืดมิด ได้กลิ่นสาบจาง ๆ โชยมาต้องนาสิกเป็นระยะ แต่ทว่าชายหนุ่มกลับหาได้สนใจแม้แต่น้อย เขาเดินตรงมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าห้องขังห้องหนึ่ง เมื่อมองเข้าไปก็พบกับสตรีวัยกลางคนที่กำลังนั่งพิงกำแพงอยู่ ใบหน้าของนางที่เคยงดงามยามนี้แก่ชราลงไปหลายปี ผมเผ้ารุงรัง เสื้อผ้าสกปรกมอมแมม เมื่อได้ยินเสียงห้องขังเปิดออกนางจึงหันมามอง เมื่อพบว่าเป็นฟ่านเฉิน นางก็รีบลนลานเข้ามากอดเขาเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย"เฉินเอ๋อร์ ช่วยแม่ด้วย ได้โปรดช่วยแม่ด้วย
ยามนี้ฟ่านเฉินกำลังควบม้ามุ่งหน้าตรงมาที่จวนของฟ่านหรง เมื่อมาถึงเขาก็สั่งให้คนค้นทั่วทั้งจวน หลังจากสำรวจโดยรอบอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ถึงกับส่งเสียงเหอะออกมาคาดเดาว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตระกูลสวีก่อนหน้านี้จะต้องเป็นฝีมือของฟ่านหรงถึงสิบส่วน คนของเขาบอกว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนสวีกุ้ยเฟยคลุ้มคลั่งแทบเสียสติเพราะตราคำสั่งทางทหารของบิดานางหายไป เขาเคยเห็นตราสั่งการทางทหารนั้นมาก่อน ย่อมจำได้เป็นอย่างดี การที่ฟ่านหรงหนีไปครั้งนี้ย่อมไม่ได้หนีไปตัวเปล่า แต่เขานำกองกำลังนั้นไปด้วย หากเป็นเช่นนี้ก็ย่อมอันตรายมากยิ่งนักเมื่อเขาออกมาจากจวนฟ่านหรงก็พบกับเย่จิ้นอันที่ควบม้าตามมา ชายหนุ่มมองฟ่านเฉินครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"องค์ชายรอง คนเล่า เขาหนีไปได้เช่นไร เห็นอยู่ว่าพิการเช่นนั้นไปแล้ว"ฟ่านเฉินมองเย่จิ้นอันก่อนจะเอ่ยตอบ"ถึงเขาจะพิการ แต่คนของเขาฝีมือไม่ได้ด้อย ข้าเชื่อว่าเขาต้องหนีไปพร้อมกับตราคำสั่งทางทหารของสวีกุ้ยเฟย อีกทั้งการที่ทหารในค่ายถูกโยกย้ายไปก่อนหน้านี้ล้วนเป็นฝีมือของเขารวมไปถึงการที่จวนตระกูลสวีเกิดเหตุในคืนนั้นก็เป็นฝีมือเขาด้วยเช่นกัน""เกิดการหักหลังกันเช่นนั้นหรือ""ถูกต้อง"เ
ฟ่านเฉินเกรงว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์นอกเหนือความคาดหมายทำให้เขารับมือไม่ได้ จึงบอกให้เย่จิ้นอันจับตาดูฟ่านหรงเอาไว้เย่จิ้นอันพยักหน้ารับคำ เอ่ยปากอำลากลับมาที่จวนของตนเรื่องนี้เขาได้ปรึกษากับบิดาก่อนหน้านี้แล้ว ท่านพ่อเองก็คอยช่วยเหลือพวกเขาอย่างลับ ๆ อีกอย่างค่ายทหารที่ฟ่านเฉินบอกก็เป็นความจริง ชายหนุ่มนั่งสนทนากับบิดา ก่อนจะเอ่ย"ท่านพ่อ ก่อนหน้านี้ความฝันของหลีเอ๋อร์เหมือนจะเป็นจริงหลายส่วน แต่ว่าไม่ตรงกับฟ่านเฉิน เขาไม่ได้เลวร้ายหรือคิดแย่งบัลลังก์ เรื่องนี้ท่านคิดเห็นเช่นไร"แม่ทัพใหญ่เย่มีท่าทางครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้า"บางทีความฝันก็อาจจะไม่เป็นจริงเสมอไป เอาเถิด เจ้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำก็ทำอย่างรอบคอบ หากต้องการความช่วยเหลือพ่อจะคอยช่วยเจ้าอีกแรง ไว้จับคนร้ายได้เมื่อไหร่และเปิดโปงคนชั่วได้สำเร็จ คาดว่าเรื่องนี้คงจะทำให้ฝ่าบาทปวดหัวไม่น้อยเลย เรื่องนี้พ่อไม่ได้ทูลฝ่าบาทเพราะเกรงว่าอาจกระทบกับแผนการที่พวกเจ้าลงมืออยู่ แต่อย่างไรพ่อจะคอยช่วยเหลืออยู่ห่าง ๆ”"ขอรับท่านพ่อ"เย่จิ้นอันพยักหน้าแล้วขอตัวเดินออกมา ระหว่างทางได้พบกับเย่หลีที่เพิ่งเดินกลับมาจากเรือนใหญ่พอดี สองพี่น้องยิ้ม