บทที่ 3.5 หลุดพ้นจากคนชั่ว
หลังจากกินมื้อเช้าร่วมกัน สามพี่น้องตระกูลซ่งก็แยกย้ายกันออกจากบ้าน วันนี้ซ่งไป๋ลู่ยังคงให้ซ่งหานลู่เก็บผลท้อและนางเก็บผลบ๊วยเช่นเดิม ทว่ายามที่ซ่งต้าลู่มาขนของไปไว้ที่ตระกูลกู้ ซ่งไป๋ลู่ก็แยกผลท้อและบ๊วยออกมาอีกอย่างละหนึ่งตะกร้ากลับมาที่บ้านด้วย
“พี่รองท่านเอาผลท้อกับบ๊วยกลับมาทำไมตั้งมากมาย”
ซ่งหานลู่เอ่ยอย่างเสียดาย ผลไม้สองตะกร้านี้หากเอาไปขายย่อมซื้อเนื้อหมูกลับมาเพิ่มได้อีกสองจินแน่ๆ ซ่งไป๋ลู่มองสายตาของน้องชายแล้วยิ้มกว้างเอ่ยเสียงสดใส
“ผลท้อกับบ๊วยบนเขาเหลือไม่มากแล้ว หากไม่แบ่งมาตอนนี้ยามฤดูหนาวมาถึงคงไม่มีบ๊วยดอง ท้อแห้งให้เจ้ากิน”
ซ่งต้าลู่ที่เดิมทีก็สงสัยไม่ต่างจากน้องชายเมื่อได้ยินน้องสาวอธิบายมุมปากก็ยกยิ้มขึ้นมองแผ่นหลังเล็กที่เดินอยู่เบื้องหน้าด้วยความภาคภูมิใจ
เมื่อกลับถึงบ้านซ่งต้าลู่จึงเป็นคนเข้าครัว และให้ซ่งไป๋ลู่จัดการกับผลท้อและผลบ๊วยที่เก็บมาเหล่านั้น
“พี่รองท่านทำบ๊วยดองเป็นด้วยหรือ”
ซ่งไป๋ลู่ถึงกับยิ้มแห้งเมื่อได้ยินคำของเด็กชายตัวน้อย แน่นอนว่าหากเป็นซ่งไป๋ลู่คนเดิมคงทำเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ แต่นางคือซ่งไป๋ลู่นักรีวิวนิยายที่ติดท็อปชาร์ตมีผู้ติดตามหลายล้านคน และเหตุผลหลักที่นางสามารถครองค่าความนิยมเหล่านี้ไว้ได้นั่นก็เพราะนอกจากอ่านและวิเคราะห์นิยายแล้ว ทุกเรื่องที่นักเขียนกล่าวถึงนางยังสืบค้นข้อมูลอย่างละเอียดอีกด้วย ดังนั้นไม่เพียงแค่การแปรรูปถนอมอาหาร ลงครัวทำของกินทั้งคาวหวาน ทำการเกษตร แม้แต่ศิลปะการต่อสู้ง่ายๆ นางก็สมัครคอร์สลงเรียนมาหมดแล้ว
“ตอนที่ข้าล้มป่วยท่านเทพบนสวรรค์สอนข้ามา พี่รองของเจ้าคนนี้ถึงได้เก่งเช่นนี้อย่างไรเล่า”
“พี่รองท่านกำลังเล่านิทานหลอกเด็กหรือไง ข้าไม่ใช่เสี่ยวเหม่ยนะ”
เสี่ยวเหม่ยที่ซ่งหานลู่เอ่ยถึงคือกู้เหม่ย น้องสาวของกู้เหยียนนั่นเอง เพียงแต่อีกฝ่ายอายุสามขวบส่วนซ่งหานลู่อายุห้าขวบ ห่างกันเพียงสองปีเท่านั้น เจ้าก้อนแป้งของนางก็คิดว่าตนเองโตมากแล้วอย่างนั้นหรือ
“หากเจ้าไม่เชื่อพี่รองก็จนใจ”
ซ่งไป๋ลู่เอ่ยเสียงน้อยใจ ยกผลท้อแกะเมล็ดแล้วฝานเป็นแผ่นกลมๆ เดินเข้าไปในครัว ซ่งหานลู่คิดว่าตนเองทำให้พี่สาวน้อยใจก็รีบลงจากแคร่หน้าบ้านวิ่งตามอีกฝ่ายไปในทันที
“เชื่อขอรับ! พี่รองเอ่ยสิ่งใดข้าล้วนเชื่อทั้งสิ้น”
ซ่งไป๋ลู่แสร้งทำสีหน้าพอใจ เมื่อเห็นว่าทำให้พี่สาวคลายโทสะแล้วเด็กชายก็ถอนหายใจยาว เขาลืมไปได้อย่างไรว่าเนื้ออยู่ในมือพี่รอง หากนางไม่พอใจแล้วหยุดซื้อเนื้อมาทำอาหาร ท้องของเขาคงต้องทรมานแน่นอน
“พี่ใหญ่เตาว่างหรือไม่”
“อืม... ข้าต้มน้ำไว้ให้เจ้าแล้ว”
ซ่งไป๋ลู่ยิ้มกว้างเอาท้อแผ่นลงไปต้มพร้อมน้ำตาลกรวด ระหว่างรอก็เอาผลบ๊วยที่คัดมาอย่างดีและล้างจนสะอาดแล้วใส่ลงในไห เติมน้ำต้มสุกที่ผสมน้ำตาลและเกลือลงไป ปิดฝาเอาไว้แล้วยกไปวางที่มุมด้านหลัง
“ข้ายกเอง”
เป็นซ่งต้าลู่ที่เข้ามาช่วยยกไหหนักทั้งสามใบ ซ่งไป๋ลู่ยิ้มกว้างเด็กหนุ่มคนนี้ช่างดีเสียจริง หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเป็นพี่ชายร่วมสายโลหิตของเจ้าของร่างนางย่อมเลือกเขามาเป็นคู่ชีวิต ซ่งไป๋ลู่สลัดความคิดนี้ออกจากหัวก่อนจะหยิบท้อที่ต้มได้ที่แล้วออกมาใส่กระจาดไม้ไผ่สาน วางเรียงเอาไว้ตากแดดในวันพรุ่งนี้
“อาไป๋ อยู่หรือไม่”
เสียงของกู้เหยียนดังขึ้นที่หน้าประตูรั้ว ซ่งไป๋ลู่ไม่ทันออกมาเปิดประตู ซ่งหานลู่ก็วิ่งมาเปิดเสียก่อน
“พี่กู้เหยียนได้เนื้อหมูมาหรือไม่”
กู้เหยียนได้ยินคำถามของเจ้าซ่งน้อยก็ยิ้มกว้างขบขัน ส่งเนื้อหมูหนึ่งจินให้เขา ซ่งหานลู่รับแล้วรีบวิ่งเข้าไปในครัวทันที ขณะที่ซ่งต้าลู่และซ่งไป๋ลู่เดินสวนออกมาขนของเข้าไปเก็บในโรงครัว
“นมแพะของเจ้า”
กู้เหยียนเอ่ยพร้อมส่งถุงหนังสัตว์ที่ใส่นมแพะมาจนเต็มถุงให้ซ่งไป๋ลู่ ทว่ากลับเป็นมือหนาของสหายที่มารับแทน
“ขอบใจเจ้ามาก ผลท้อกับบ๊วยข้าขนไปไว้ที่บ้านเจ้าแล้ว”
“อ่อ...”
เมื่อถูกสหายดักทางเช่นนี้กู้เหยียนก็ทำได้เพียงขานรับ
ก่อนจะนึกได้ว่าตนเองลืมสิ่งสำคัญไป“นี่เงินของเจ้า”
ครั้งนี้ซ่งต้าลู่ไม่กล้ารับแทนซ่งไป๋ลู่จึงเป็นฝ่ายยื่นมือมารับ คาดคะเนจากน้ำหนักแล้วเก็บถุงเงินใส่เสื้อในทันที
“อาไป๋ เจ้าสมควรนับเงินก่อน”
“ข้าเชื่อใจท่าน”
นางทำการค้ากับกู้เหยียน หากไม่แสดงให้อีกฝ่ายเห็นถึงความเชื่อใจย่อมร่วมงานกันได้ไม่นาน ทว่าคนที่ได้ยินประโยคนี้กลับร้อนผ่าวจนแก้มคล้ำสีแดงก่ำ ซ่งต้าลู่เห็นท่าทางเช่นนี้ของสหายก็หงุดหงิดใจนัก น้องรองของเขาเพิ่งสิบขวบ สิบขวบเท่านั้น!
“ฟ้ามืดแล้ว อาเหยียนกลับบ้านเถิด”
กู้ฉินเอ่ยเรียกลูกชาย เมื่อเป็นเช่นนี้ซ่งต้าลู่ก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งใจที่ไม่ต้องคิดหาวิธีไล่คนอีก
ยามที่สองพ่อลูกตระกูลกู้จากไปแล้ว สามพี่น้องตระกูลซ่งก็ลงมือกินมื้อเย็น และแน่นอนว่าก่อนนอนซ่งไป๋ลู่ก็จะยกแก้วไม้ไผ่ที่ใส่นมแพะอุ่นมาให้พวกเขาอีกคนละหนึ่งแก้ว และซ่งหานลู่ยังต้องดื่มในตอนเช้าอีกหนึ่งแก้ว
บทพิเศษสายลมเหมันต์พัดผ่าน หิมะขาวโปรยปรายร่วงหล่นองค์ชายรองฟู่ฉ่าคังอันยืนอยู่บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมเสี่ยวอัน สายตาทอดมองไปยังถนนเบื้องล่าง“ถวายพระพรองค์ชายรอง”เสียงเอ่ยด้วยความนอบน้อมจากด้านหลังดึงสายตาของเขาให้หมุนตัวกลับมามองอีกฝ่าย“ลุกขึ้นเถิด ท่านอาจารย์หลิว หมอหลวงถัง”หลิวชงซิว และ ถังซานอี้ ขยับตัวลุกขึ้น หากแต่ยังคงอยู่ในท่าทางที่สงบ“หลายปีมานี้ลำบากพวกท่านแล้ว”“ได้ทำงานให้ฝ่าบาทนับเป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่ของพวกกระหม่อม”ฟู่ฉ่าคังอันยกมุมปากขึ้นยิ้ม สายตามองคนทั้งสองด้วยความภาคภูมิใจและขอบคุณอยู่ในที การซ่อนตัวแฝงกายเพื่อสืบข่าวในต่างแคว้นนั้นเป็นเรื่องยาก แต่ที่ยากกว่าคือการแทรกซึมขึ้นเป็นคนสำคัญที่ต่างแคว้นไว้วางใจ“ตอนนี้เจียงเป่ยและต้าหยางลงนามผูกพันธมิตรร้อยปี ต่อไปคงไม่มีสงครามอีก ดังนั้นเสด็จพ่อจึงเรียกตัวพวกท่านกลับเจียงเป่ยเพื่อตกรางวัล”เมื่อได้ยินว่าถูกเรียกตัวกลับบ้านเกิด สองสายลับก็ทรุดตัวลงก้มหน้าคุกเข่า“องค์ชายได้โปรดเมตตา พวกกระหม่อมไม่ปรารถนาของรางวัลหรือลาภยศใดๆ เพียงแต่ต่อจากนี้ขอให้ลบชื่อพวกเราออกจากบัญชีสายลับ”ลบชื่อออก นี่ไม่เท่ากับลบผลงานในหลายสิบ
“เสี่ยวไป๋!”น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาในคราวแรกนั้นค่อนข้างตื่นตระหนกดีใจ หากแต่เพียงพริบตาก็กลับเป็นเศร้าหมอง ยืนนิ่งเอ่ยออกมาเสียงบางเบา“สบายดีหรือไม่”ซ่งไป๋ลู่ในชุดสีแดงอ่อนแถบขาว เม้มริมฝีปากบางพยักหน้าตอบกลับ เมิ่งเฟยอวี่ยิ้มด้วยสายตาเจือความทุกข์ เอ่ยถามเสียงสั่น“มีเรื่องทุกข์ใจ หรือใครทำให้รู้สึกยากลำบากไหม”ดวงตาคมมองใบหน้าที่ส่ายไปมา ด้วยใจคะนึงหาก่อนจะเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกเมื่อเห็นเท้าเล็กก้าวเข้ามาหาตน“อย่า อย่าเข้ามา...”“อาเล่อ ทำไม...”“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเพียงภาพลวงตา แต่ช่วยอยู่ให้นานหน่อยได้หรือไม่”คิ้วเรียวที่ขมวดเข้าหากันของซ่งไป๋ลู่พลันคลายออก ในดวงตาปรากฏความรู้สึกผิดที่ชัดเจน ไม่สนใจคำห้ามปรามของเขาวิ่งเร็วพร้อมโถมตัวเข้าโอบกอดร่างหนา“เสี่ยวไป๋ ทำไมเจ้าจึงกอดข้าได้”เมิ่งเฟยอวี่ยังคงตื่นตกใจ สองมือแข็งค้างอยู่กลางอากาศไม่กล้าแม้แต่จะขยับปลายนิ้ว ด้วยกลัวว่าความอบอุ่นนี้จะจางหายไป“ข้าไม่เพียงแค่กอดเจ้าได้แต่ยัง... จูบเจ้าได้ด้วย”ซ่งไป๋ลู่กล่าวจบสองมือที่กอดกายหนาก็ขยับขึ้นโอบลำคอแกร่ง เขย่งปลายเท้ากดแนบริมฝีปากของตนลงบนปากหยักของเมิ่งเฟยอวี่ร่างกายของเมิ่งเฟยอวี
ห้าวันต่อมาทั่วทั้งต้าหยางก็เกิดเรื่องที่ทำให้ทุกคนตื่นตระหนก เมื่อราชโองการถูกประกาศออกมาว่าองค์ชายห้าหลงเจิ้นซีก่อกบฏ ตระกูลจางเก้ารุ่นถูกสังหารภายในคืนเดียว บรรดาขุนนางที่ร่วมมือถูกประหารไปนับสิบคน พระสนมจางเฟยถูกส่งเข้าตำหนักเย็น ราชสำนักปั่นป่วนวุ่นวาย หากแต่เพียงครึ่งเดือนต่อมาทุกอย่างก็สงบลง“ได้ยินว่าองค์ชายห้าใช้โอกาสตอนไปจัดการปัญหาทางเหนือ ซ่องสุมกำลังพลเอาไว้ โชคดีที่องค์ชายรองแคว้นเจียงเป่ยยื่นมือเข้ามาช่วยเปิดโปง ไม่เช่นนั้นหากเกิดกบฏกลางเมืองขึ้นมาจริงๆ ชาวบ้านอย่างพวกเราไม่รู้จะมีชะตากรรมอย่างไร”“ยังต้องขอบคุณที่ปรึกษาเมิ่งด้วย ได้ยินว่าเขาให้บัณฑิตใหม่ปีนี้แฝงตัวเข้าสืบความ จึงได้รายชื่อขุนนางโฉดทั้งหมดออกมา”“ใช่ๆ เขายังเป็นพันธมิตรที่ดีกับหัวหน้าหวงแห่งกองอาชาเหล็กร่วมมือกันเข้าจับกุมองค์ชายกบฏ ดังนั้นจึงจัดการทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วและไม่เดือดร้อนชาวบ้านอย่างพวกเราเลย”เรื่องราวการปราบกบฏครั้งนี้ถูกเล่าลือไปทั่วเมืองด้วยความตื่นเต้นของชาวบ้าน ขณะที่ซ่งไป๋ลู่ได้แต่รับฟังอย่างสงบ“พี่รอง เหตุใดท่านจึงดูสงบนัก ราวกับว่ารู้ทุกอย่างอยู่แล้ว”“หากข้าบอกว่าข้ารู้ทุกอย่าง
“อาไป๋นอนหรือยัง”เสียงซ่งต้าลู่ดังขึ้นที่หน้าห้อง ซ่งไป๋ลู่ก็หมุนตัวออกมาเปิดประตูในทันที“พี่ใหญ่ มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”เพราะช่วงนี้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ดังนั้นซ่งไป๋ลู่จึงตื่นตัวและกังวลอยู่ตลอดเวลา“ไม่ได้มีเรื่องร้ายอะไร ข้าเพียงต้องการบอกบางอย่างกับเจ้า”ซ่งไป๋ลู่เห็นใบหน้าของพี่ชายมีความกังวลแฝงอยู่ก็คาดเดาได้ว่าบางอย่างที่เขากำลังจะบอกกับนางนั้นน่าจะเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นจึงให้เขาเข้ามานั่งด้านในห้อง รินชาร้อนแล้วส่งให้เขาซ่งต้าลู่รับถ้วยชามาจากน้องสาว ทว่ากลับไม่ได้ยกมันขึ้นดื่ม มือข้างหนึ่งกำถ้วยชาแน่น ส่วนอีกข้างกำกล่องไม้บนตักเอาไว้แน่นหากซ่งไป๋ลู่รู้ว่าระหว่างเขากับนางไม่มีสายสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด สายตาที่ห่วงใยนี้จะเปลี่ยนไปหรือไม่ซ่งต้าลู่ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย แต่ที่เขากลัวก็คือ สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความไว้วางใจ และห่วงใยคู่นี้จะเปลี่ยนไป เพียงแต่ให้หวาดกลัวเพียงใดเรื่องนี้ก็ไม่อาจปิดบังได้อีก ดังนั้นมือหนาจึงวางกล่องไม้ที่เขาเก็บเอาไว้เกือบสิบหกปีลงตรงหน้าซ่งไป๋ลู่“พี่ใหญ่นี่คือ...”“ของที่มารดาเจ้ามอบไว้ให้”มารดาของนาง ไม่ใช่มารดาของเขาหรือ
“เช่นนั้นคงต้องรบกวนองค์ชายห้า แสดงของในมือแล้ว”“เมิ่งเฟยอวี่!”“กระหม่อมอยู่นี่ รอดูของในมือพระองค์ด้วยความตั้งใจ”“บังอาจ! เหวินเสียนไปชิงสตรีของข้าคืนมา”สิ้นคำสั่งของหลงเจิ้นซี องครักษ์ลับร่วมห้าสิบชีวิตก็ปรากฏเบื้องหน้า ทว่าแม้จะตกเป็นรองแต่เมิ่งเฟยอวี่ก็ยังคงอยู่ในอารมณ์ที่สงบนิ่ง ดวงตาคมดุจดจ้องมองไปยังอีกฝ่ายอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะโต้กลับด้วยเสียงเยือกเย็น“มีใครกล้าก็เข้ามา”มือหนาดึงซ่งไป๋ลู่ไปไว้เบื้องหลัง ขยับเท้าอยู่ในท่าพร้อมปะทะอย่างไม่หวั่นเกรง ข้างกายมีคนติดตามอีกร่วมสิบชีวิตกระชับกระบี่ในมือด้วยท่าพร้อมสู้เช่นเดียวกัน“ปกป้องแม่นางซ่ง!”เสียงปริศนาดังขึ้น พริบตาชายในชุดสีน้ำตาลก็ทะยานตัวมาเป็นเกราะคุ้มกันที่ด้านหน้าเมิ่งเฟยอวี่อีกชั้น หลงเจิ้นซีตวัดสายตามองไปยังต้นเสียงก็เห็นร่างสูงโปร่งในชุดผ้าไหมเนื้อดีตามแบบวัฒนธรรมชาวเจียงเป่ย“องค์ชายรองฟู่ฉ่าคังอัน!”คำเรียกขานที่แจ้งสถานะของผู้สอดมือทำให้องค์ชายห้าหลงเจิ้นซีขบกรามแน่น“นี่เป็นเรื่องภายในของต้าหยาง องค์ชายรองฟู่ฉ่าคังอันทำเช่นนี้ดูไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง”“แม่นางซ่งเป็นน้อง... เป็นผู้มีพระคุณของข้า ดังนั้นไม่ว่าใคร
เสวียนรั่วซีกำกระบี่ในมือแน่น นางอยู่บ้านซ่งมาหลายปีเสี่ยวโกวแม้เป็นเพียงสุนัขแต่ก็ผูกพันราวญาติคนหนึ่ง หากแต่แม้แค้นเคืองจนตัวสั่นทว่าเสวียนรั่วซีก็ไม่คิดทำให้ซ่งไป๋ลู่เดือดร้อนเพราะความวู่วามของตน“สักวันข้าจะต้องทวงคืนความยุติธรรมให้เสี่ยวโกว”“รั่วซีระวังหน่อย”ซ่งไป๋ลู่เอ่ยเตือนออกมาเสียงเบา แม้คำพูดของเสวียนรั่วซีจะดังเพียงแค่ให้ได้ยินเข้ามาในเกี้ยว แต่คนของหลงเจิ้นซีล้วนมากฝีมือ ดังนั้นจึงควรระวังให้มาก เพียงแต่แม้จะเอ่ยเตือนเสวียนรั่วซีไปเช่นนั้น ทว่าในความเป็นจริงตัวนางเองก็ยากจะควบคุมโทสะในใจ มือกำเข้าหากันแน่น จนปลายเล็บกดลงไปในอุ้งมือเป็นรอยแผล สองตาแดงก่ำใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตาตำหนักเจิ้นซีอยู่ทางตะวันออกของเมืองหลวง ในขณะที่จวนซ่งอยู่ทางตะวันตกดังนั้นขบวนเจ้าสาวนี้จึงเดินทางผ่านผู้คนมากมายกว่าครึ่งเมือง เพียงไม่นานเรื่องที่ซ่งไป๋ลู่ทิ้งกู้เหยียน ขึ้นเกี้ยวใหม่แต่งเข้าเป็นพระชายาองค์ชายห้าก็ดังไปทั่ว“หยุดเกี้ยว!”เสียงแม่สื่อด้านหน้าขบวนร้องบอก ก่อนที่เกี้ยวเจ้าสาวจะหยุดลง ซ่งไป๋ลู่ใจสั่นระรัว แม้จะบอกว่านางเตรียมตัวรับมือกับเรื่องนี้แล้ว แต่ส่วนลึกก็ยังคงคาดหวังว่าสวรรค์จ