บทที่ 3.4 หลุดพ้นจากคนชั่ว
หลังจากที่ซ่งหลี่เถียนถูกตัดออกจากการเป็นผู้ดูแลสามพี่น้องตระกูลซ่ง ซ่งต้าลู่ก็ไม่ต้องออกไปทำงานหนักเช่นทุกวันอีก และเพราะอีกฝ่ายเอาที่ดินสิบหมู่ แม่หมูหกตัว แม่ไก่สิบตัวมาชดเชยเงินที่ยึดไปถึงสองปี ตอนนี้ซ่งต้าลู่จึงต้องเร่งทำเล้าหมู และเล้าไก่ อีกทั้งยังต้องวางแผนเร่งปลูกพืชผลให้ทันทั้งสิบหมู่ภายในเดือนนี้ แน่นอนว่าที่ดินมากมายถึงเพียงนั้นเขาที่เป็นเพียงเด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีจะทำคนเดียวไหวได้อย่างไร
“ข้าได้ยินว่าท่านลุงกู้ฉิน กับพี่กู้เหยียนไม่มีที่ดิน ทุกวันเลยต้องขับเกวียนรับฝากของเข้าเมือง หากเราแบ่งที่ดินให้เขาสามหมู่แลกกับข้อตกลงให้เขาช่วยเราปลูกข้าวเจ็ดหมู่ พี่ใหญ่ท่านเห็นเป็นอย่างไรเจ้าคะ”
ในเมื่อเขาทำคนเดียวก็ไม่หมด แบ่งให้กู้เหยียนช่วยทำย่อมดีกว่าปล่อยทิ้งร้าง อีกทั้งยังได้แรงงานของพวกเขาทั้งครอบครัวมาช่วยนี่นับว่าเป็นความคิดที่ดี
“เช่นนั้นข้าจะลองไปคุยกับท่านลุงกู้ดู”
“สมแล้วที่เป็นพี่รองของข้า”
ซ่งไป๋ลู่ส่ายหน้าไปมากับคำเยินยอของน้องชายตัวน้อย
มือเล็กปอกเปลือกลูกพลับแล้วร้อยเป็นพวง เอาไปแขวนตากแดด ส่วนที่ยังไม่สุกดีก็เอาดองใส่ไหเอาไว้“พี่ใหญ่ไม้ไผ่พวกนั้นท่านไม่ใช้แล้วหรือเจ้าคะ”
“อืม... เล้าไก่กับเล้าหมูทำเสร็จแล้วไม่จำเป็นต้องใช้อีก”
“เช่นนั้นยกให้ข้านะเจ้าคะ”
ซ่งต้าลู่พยักหน้าอนุญาต แล้วเดินออกจากบ้านไปเพื่อเจรจาเรื่องการแบ่งที่ดินให้ตระกูลกู้ช่วยทำ
“พี่รองท่านจะทำอะไรหรือขอรับ”
ซ่งไป๋ลู่ยิ้มกว้างยกไหท้อดองไปไว้ที่ข้างบ้าน แล้วเดินมาหอบไม้ไผ่ไปที่หลังเรือน ใช้เวลาร่วมครึ่งวันก็ทำค้างปลูกผักเสร็จ
“น้องเล็ก เจ้าไปเอากล้าฟักทองมาลงดินกัน”
ซ่งหานลู่พยักหน้ารับคำพี่สาว ไม่นานนักสองพี่น้องก็ปลูกต้นฟักทองเสร็จ ซ่งไป๋ลู่จับต้นกล้าพันขึ้นบนค้างไม้ไผ่ ใช้ต้นหญ้าฟางแห้งมัดยึดเอาไว้หลวมๆ ขณะที่ซ่งหานลู่พรมน้ำตามหลังให้อย่างเบามือ
“พี่รองเราจะมีฟักทองกินกันแล้วใช่หรือไม่”
ซ่งไป๋ลู่ยิ้มกว้างพยักหน้ารับคำของน้องชาย นับจากนี้ชีวิตของพี่น้องตระกูลซ่งทั้งสามจะต้องก้าวหน้าขึ้นอย่างแน่นอน
ยามที่สองพี่น้องตระกูลซ่งนอนหลับแล้ว ซ่งไป๋ลู่ก็ลงจากเตียงมาอย่างแผ่วเบา อาศัยแสงสว่างจากดวงจันทร์เดินไปหยิบดินเหนียวที่ขุดมาจากบนเขาออกมาเติมน้ำผสมแกลบ ใช้เท้าเล็กนวดให้ทั้งหมดเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
“น้องรอง”
เสียงดุที่คุ้นหูดังมาจากหน้าประตูบ้าน ซ่งไป๋ลู่รู้สึกเสียวสันหลังวาบ โดยไม่ต้องหันไปมองก็รับรู้ได้ว่าคือผู้ใด
“พี่ใหญ่ ท่านยังไม่หลับหรือ”
“ควรเป็นข้าที่ถามเจ้า เหตุใดไม่นอนมาเล่นดินอะไรกลางดึก”
“ข้าไม่ได้เล่นนะเจ้าคะ”
ซ่งไป๋ลู่เอ่ยโต้ ก่อนจะยกยิ้มกว้างส่งสายตาออดอ้อนไปให้อีกฝ่าย ไม่รู้ว่านางร้ายตัวประกอบเช่นซ่งไป๋ลู่ผู้นี้มีดีอะไรถึงได้มีพี่ชายที่รักใคร่เอ็นดู และห่วงใยนางถึงเพียงนี้
“ข้าเพียงลุกขึ้นมานวดดินทิ้งไว้ พรุ่งนี้จะได้เอาขึ้นไปอุดรูรั่วบนหลังคาเจ้าค่ะ”
“นี่เจ้าคิดจะปีนขึ้นไปอุดรูรั่วบนหลังคาอย่างนั้นหรือ”
“ช่วงนี้ฝนใกล้มาหากไม่เร่งจัดการหลังคารั่วพวกนั้นข้าเกรงว่า...”
“ไปล้างตัว พรุ่งนี้ข้าจะจัดการให้เอง”
เรื่องที่หลังคาบ้านรั่วนั้นซ่งต้าลู่ไม่ได้คิดจะปล่อยผ่าน ทว่าที่ผ่านมาเขาถูกซ่งหลี่เถียนใช้งานจนไม่มีแม้แต่เวลาพัก ดังนั้นจึงได้ละเลยเรื่องนี้ไป เพียงแต่เมื่อรู้ว่าน้องสาวตัวน้อยคิดแก้ปัญหานี้ด้วยตนเอง ในใจของพี่ชายเช่นเขาก็รู้สึกไม่ยินยอม ดังนั้นทันทีที่ฟ้าสางซ่งต้าลู่ก็จัดการซ่อมแซมอุดรอยรั่วบนหลังคาจนแล้วเสร็จ เพียงแต่สิ่งหนึ่งที่เขาสังเกตเห็นก็คือ
“น้องรองเหตุใดจึงใส่แกลบลงไปในดินเหนียวเช่นนี้”
“ทำเช่นนี้จะทนทานมากกว่าเจ้าค่ะ พี่ใหญ่วันนี้ท่านต้องไปช่วยท่านป้าชุนทำนาอีกหรือไม่”
เป็นเรื่องยากที่จะอธิบายเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นซ่งไป๋ลู่จึงเบี่ยงประเด็นสนทนา ซ่งต้าลู่แม้รู้ว่าน้องกำลังหลีกเลี่ยงการตอบคำถามของเขาแต่ก็ไม่คิดจะคาดคั้นอะไรจากนางเพิ่ม เพียงพยักหน้ารับคำของนางเท่านั้น
“เช่นนั้นเร่งไปล้างตัวแล้วมากินข้าวเถิดเจ้าค่ะ”
ซ่งไป๋ลู่เอ่ยบอกแล้วตักข้าวต้มไข่ใส่ชามก่อนจะยกเข้าไปในบ้าน กลิ่นของอาหารเช้าทำให้ดวงตากลมของคนบนเตียงเปิดกว้าง ก่อนที่จะดีดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“พี่รอง เช้านี้มีเนื้อกินอีกหรือไม่”
ซ่งไป๋ลู่ถอนหายใจยาว น้องชายผู้นี้หายใจเข้าออกเป็นเนื้อหรืออย่างไรกัน
“ไม่มี”
ใบหน้ากลมสลดลงเล็กน้อย ก่อนหน้าไม่เคยลิ้มรสของอร่อยไม่ได้กินไปทั้งชีวิตเขาก็ไม่เสียใจ ทว่ายามนี้ได้ลองกินแล้ว ท้องเล็กๆ ของเขาก็เอาแต่ร่ำร้องอยากกินเนื้อไม่หยุด
“เช้านี้เป็นข้าวต้มไข่ แต่ข้าบอกพี่กู้เหยียนแล้วหากวันนี้ขายผลไม้ได้ให้ซื้อเนื้อมาหนึ่งจิน”
“พี่รองท่านดีที่สุด เช่นนั้นวันนี้ข้าจะตั้งใจเก็บผลท้อให้มากขึ้น”
ซ่งไป๋ลู่ยิ้มกว้างมองเด็กชายที่วิ่งไปล้างหน้าล้างตาอย่างกระตือรือร้น ความจริงแล้วนอกจากเนื้อหมูหนึ่งจิน นางยังฝากให้
กู้เหยียนซื้อไข่ไก่ ข้าวสาร และของแห้งมาอีกอย่างละเล็กน้อย ดวงตากลมมองเสื้อผ้าสีซีดของสามพี่น้องตระกูลซ่งที่มีเพียงคนละสองชุดแล้วถอนหายใจยาวอย่างไรเสียสิ่งสำคัญก็คือปากท้อง และการใช้ชีวิต เสื้อผ้าเหล่านี้ย่อมรอได้
บทพิเศษสายลมเหมันต์พัดผ่าน หิมะขาวโปรยปรายร่วงหล่นองค์ชายรองฟู่ฉ่าคังอันยืนอยู่บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมเสี่ยวอัน สายตาทอดมองไปยังถนนเบื้องล่าง“ถวายพระพรองค์ชายรอง”เสียงเอ่ยด้วยความนอบน้อมจากด้านหลังดึงสายตาของเขาให้หมุนตัวกลับมามองอีกฝ่าย“ลุกขึ้นเถิด ท่านอาจารย์หลิว หมอหลวงถัง”หลิวชงซิว และ ถังซานอี้ ขยับตัวลุกขึ้น หากแต่ยังคงอยู่ในท่าทางที่สงบ“หลายปีมานี้ลำบากพวกท่านแล้ว”“ได้ทำงานให้ฝ่าบาทนับเป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่ของพวกกระหม่อม”ฟู่ฉ่าคังอันยกมุมปากขึ้นยิ้ม สายตามองคนทั้งสองด้วยความภาคภูมิใจและขอบคุณอยู่ในที การซ่อนตัวแฝงกายเพื่อสืบข่าวในต่างแคว้นนั้นเป็นเรื่องยาก แต่ที่ยากกว่าคือการแทรกซึมขึ้นเป็นคนสำคัญที่ต่างแคว้นไว้วางใจ“ตอนนี้เจียงเป่ยและต้าหยางลงนามผูกพันธมิตรร้อยปี ต่อไปคงไม่มีสงครามอีก ดังนั้นเสด็จพ่อจึงเรียกตัวพวกท่านกลับเจียงเป่ยเพื่อตกรางวัล”เมื่อได้ยินว่าถูกเรียกตัวกลับบ้านเกิด สองสายลับก็ทรุดตัวลงก้มหน้าคุกเข่า“องค์ชายได้โปรดเมตตา พวกกระหม่อมไม่ปรารถนาของรางวัลหรือลาภยศใดๆ เพียงแต่ต่อจากนี้ขอให้ลบชื่อพวกเราออกจากบัญชีสายลับ”ลบชื่อออก นี่ไม่เท่ากับลบผลงานในหลายสิบ
“เสี่ยวไป๋!”น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาในคราวแรกนั้นค่อนข้างตื่นตระหนกดีใจ หากแต่เพียงพริบตาก็กลับเป็นเศร้าหมอง ยืนนิ่งเอ่ยออกมาเสียงบางเบา“สบายดีหรือไม่”ซ่งไป๋ลู่ในชุดสีแดงอ่อนแถบขาว เม้มริมฝีปากบางพยักหน้าตอบกลับ เมิ่งเฟยอวี่ยิ้มด้วยสายตาเจือความทุกข์ เอ่ยถามเสียงสั่น“มีเรื่องทุกข์ใจ หรือใครทำให้รู้สึกยากลำบากไหม”ดวงตาคมมองใบหน้าที่ส่ายไปมา ด้วยใจคะนึงหาก่อนจะเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกเมื่อเห็นเท้าเล็กก้าวเข้ามาหาตน“อย่า อย่าเข้ามา...”“อาเล่อ ทำไม...”“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเพียงภาพลวงตา แต่ช่วยอยู่ให้นานหน่อยได้หรือไม่”คิ้วเรียวที่ขมวดเข้าหากันของซ่งไป๋ลู่พลันคลายออก ในดวงตาปรากฏความรู้สึกผิดที่ชัดเจน ไม่สนใจคำห้ามปรามของเขาวิ่งเร็วพร้อมโถมตัวเข้าโอบกอดร่างหนา“เสี่ยวไป๋ ทำไมเจ้าจึงกอดข้าได้”เมิ่งเฟยอวี่ยังคงตื่นตกใจ สองมือแข็งค้างอยู่กลางอากาศไม่กล้าแม้แต่จะขยับปลายนิ้ว ด้วยกลัวว่าความอบอุ่นนี้จะจางหายไป“ข้าไม่เพียงแค่กอดเจ้าได้แต่ยัง... จูบเจ้าได้ด้วย”ซ่งไป๋ลู่กล่าวจบสองมือที่กอดกายหนาก็ขยับขึ้นโอบลำคอแกร่ง เขย่งปลายเท้ากดแนบริมฝีปากของตนลงบนปากหยักของเมิ่งเฟยอวี่ร่างกายของเมิ่งเฟยอวี
ห้าวันต่อมาทั่วทั้งต้าหยางก็เกิดเรื่องที่ทำให้ทุกคนตื่นตระหนก เมื่อราชโองการถูกประกาศออกมาว่าองค์ชายห้าหลงเจิ้นซีก่อกบฏ ตระกูลจางเก้ารุ่นถูกสังหารภายในคืนเดียว บรรดาขุนนางที่ร่วมมือถูกประหารไปนับสิบคน พระสนมจางเฟยถูกส่งเข้าตำหนักเย็น ราชสำนักปั่นป่วนวุ่นวาย หากแต่เพียงครึ่งเดือนต่อมาทุกอย่างก็สงบลง“ได้ยินว่าองค์ชายห้าใช้โอกาสตอนไปจัดการปัญหาทางเหนือ ซ่องสุมกำลังพลเอาไว้ โชคดีที่องค์ชายรองแคว้นเจียงเป่ยยื่นมือเข้ามาช่วยเปิดโปง ไม่เช่นนั้นหากเกิดกบฏกลางเมืองขึ้นมาจริงๆ ชาวบ้านอย่างพวกเราไม่รู้จะมีชะตากรรมอย่างไร”“ยังต้องขอบคุณที่ปรึกษาเมิ่งด้วย ได้ยินว่าเขาให้บัณฑิตใหม่ปีนี้แฝงตัวเข้าสืบความ จึงได้รายชื่อขุนนางโฉดทั้งหมดออกมา”“ใช่ๆ เขายังเป็นพันธมิตรที่ดีกับหัวหน้าหวงแห่งกองอาชาเหล็กร่วมมือกันเข้าจับกุมองค์ชายกบฏ ดังนั้นจึงจัดการทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วและไม่เดือดร้อนชาวบ้านอย่างพวกเราเลย”เรื่องราวการปราบกบฏครั้งนี้ถูกเล่าลือไปทั่วเมืองด้วยความตื่นเต้นของชาวบ้าน ขณะที่ซ่งไป๋ลู่ได้แต่รับฟังอย่างสงบ“พี่รอง เหตุใดท่านจึงดูสงบนัก ราวกับว่ารู้ทุกอย่างอยู่แล้ว”“หากข้าบอกว่าข้ารู้ทุกอย่าง
“อาไป๋นอนหรือยัง”เสียงซ่งต้าลู่ดังขึ้นที่หน้าห้อง ซ่งไป๋ลู่ก็หมุนตัวออกมาเปิดประตูในทันที“พี่ใหญ่ มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”เพราะช่วงนี้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ดังนั้นซ่งไป๋ลู่จึงตื่นตัวและกังวลอยู่ตลอดเวลา“ไม่ได้มีเรื่องร้ายอะไร ข้าเพียงต้องการบอกบางอย่างกับเจ้า”ซ่งไป๋ลู่เห็นใบหน้าของพี่ชายมีความกังวลแฝงอยู่ก็คาดเดาได้ว่าบางอย่างที่เขากำลังจะบอกกับนางนั้นน่าจะเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นจึงให้เขาเข้ามานั่งด้านในห้อง รินชาร้อนแล้วส่งให้เขาซ่งต้าลู่รับถ้วยชามาจากน้องสาว ทว่ากลับไม่ได้ยกมันขึ้นดื่ม มือข้างหนึ่งกำถ้วยชาแน่น ส่วนอีกข้างกำกล่องไม้บนตักเอาไว้แน่นหากซ่งไป๋ลู่รู้ว่าระหว่างเขากับนางไม่มีสายสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด สายตาที่ห่วงใยนี้จะเปลี่ยนไปหรือไม่ซ่งต้าลู่ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย แต่ที่เขากลัวก็คือ สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความไว้วางใจ และห่วงใยคู่นี้จะเปลี่ยนไป เพียงแต่ให้หวาดกลัวเพียงใดเรื่องนี้ก็ไม่อาจปิดบังได้อีก ดังนั้นมือหนาจึงวางกล่องไม้ที่เขาเก็บเอาไว้เกือบสิบหกปีลงตรงหน้าซ่งไป๋ลู่“พี่ใหญ่นี่คือ...”“ของที่มารดาเจ้ามอบไว้ให้”มารดาของนาง ไม่ใช่มารดาของเขาหรือ
“เช่นนั้นคงต้องรบกวนองค์ชายห้า แสดงของในมือแล้ว”“เมิ่งเฟยอวี่!”“กระหม่อมอยู่นี่ รอดูของในมือพระองค์ด้วยความตั้งใจ”“บังอาจ! เหวินเสียนไปชิงสตรีของข้าคืนมา”สิ้นคำสั่งของหลงเจิ้นซี องครักษ์ลับร่วมห้าสิบชีวิตก็ปรากฏเบื้องหน้า ทว่าแม้จะตกเป็นรองแต่เมิ่งเฟยอวี่ก็ยังคงอยู่ในอารมณ์ที่สงบนิ่ง ดวงตาคมดุจดจ้องมองไปยังอีกฝ่ายอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะโต้กลับด้วยเสียงเยือกเย็น“มีใครกล้าก็เข้ามา”มือหนาดึงซ่งไป๋ลู่ไปไว้เบื้องหลัง ขยับเท้าอยู่ในท่าพร้อมปะทะอย่างไม่หวั่นเกรง ข้างกายมีคนติดตามอีกร่วมสิบชีวิตกระชับกระบี่ในมือด้วยท่าพร้อมสู้เช่นเดียวกัน“ปกป้องแม่นางซ่ง!”เสียงปริศนาดังขึ้น พริบตาชายในชุดสีน้ำตาลก็ทะยานตัวมาเป็นเกราะคุ้มกันที่ด้านหน้าเมิ่งเฟยอวี่อีกชั้น หลงเจิ้นซีตวัดสายตามองไปยังต้นเสียงก็เห็นร่างสูงโปร่งในชุดผ้าไหมเนื้อดีตามแบบวัฒนธรรมชาวเจียงเป่ย“องค์ชายรองฟู่ฉ่าคังอัน!”คำเรียกขานที่แจ้งสถานะของผู้สอดมือทำให้องค์ชายห้าหลงเจิ้นซีขบกรามแน่น“นี่เป็นเรื่องภายในของต้าหยาง องค์ชายรองฟู่ฉ่าคังอันทำเช่นนี้ดูไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง”“แม่นางซ่งเป็นน้อง... เป็นผู้มีพระคุณของข้า ดังนั้นไม่ว่าใคร
เสวียนรั่วซีกำกระบี่ในมือแน่น นางอยู่บ้านซ่งมาหลายปีเสี่ยวโกวแม้เป็นเพียงสุนัขแต่ก็ผูกพันราวญาติคนหนึ่ง หากแต่แม้แค้นเคืองจนตัวสั่นทว่าเสวียนรั่วซีก็ไม่คิดทำให้ซ่งไป๋ลู่เดือดร้อนเพราะความวู่วามของตน“สักวันข้าจะต้องทวงคืนความยุติธรรมให้เสี่ยวโกว”“รั่วซีระวังหน่อย”ซ่งไป๋ลู่เอ่ยเตือนออกมาเสียงเบา แม้คำพูดของเสวียนรั่วซีจะดังเพียงแค่ให้ได้ยินเข้ามาในเกี้ยว แต่คนของหลงเจิ้นซีล้วนมากฝีมือ ดังนั้นจึงควรระวังให้มาก เพียงแต่แม้จะเอ่ยเตือนเสวียนรั่วซีไปเช่นนั้น ทว่าในความเป็นจริงตัวนางเองก็ยากจะควบคุมโทสะในใจ มือกำเข้าหากันแน่น จนปลายเล็บกดลงไปในอุ้งมือเป็นรอยแผล สองตาแดงก่ำใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตาตำหนักเจิ้นซีอยู่ทางตะวันออกของเมืองหลวง ในขณะที่จวนซ่งอยู่ทางตะวันตกดังนั้นขบวนเจ้าสาวนี้จึงเดินทางผ่านผู้คนมากมายกว่าครึ่งเมือง เพียงไม่นานเรื่องที่ซ่งไป๋ลู่ทิ้งกู้เหยียน ขึ้นเกี้ยวใหม่แต่งเข้าเป็นพระชายาองค์ชายห้าก็ดังไปทั่ว“หยุดเกี้ยว!”เสียงแม่สื่อด้านหน้าขบวนร้องบอก ก่อนที่เกี้ยวเจ้าสาวจะหยุดลง ซ่งไป๋ลู่ใจสั่นระรัว แม้จะบอกว่านางเตรียมตัวรับมือกับเรื่องนี้แล้ว แต่ส่วนลึกก็ยังคงคาดหวังว่าสวรรค์จ