ซ่งไป๋ลู่ นักรีวิวนิยายเพจดังนั่งเขียนบทรีวิวไม่ทันจบ ก็ทะลุมิติเข้ามาเป็นนางร้ายในนิยายที่ถูกกำหนดให้แต่งกับพระเอกก่อนถูกมอบใบหย่าด้วยขาดคุณธรรมหึงหวง บัดซบ!สามีมักมากเช่นนั้นผู้ใดอยากแต่งให้เขากัน
View More บทนำ
“ซ่งต้าลู่! เจ้าเด็กขี้เกียจ เหตุใดวันนี้ไม่ไปทำนา!”
“ท่านป้าใหญ่ อาไป๋ไม่สบายขอรับ วันนี้ข้าจึงต้องดูแลนาง”
“ก็แค่เป็นไข้จะต้องดูแลอะไรกันมากมาย อาหานก็อยู่ไม่ใช่หรือไง”
“น้องเล็กยังเด็กไม่รู้จักวิธีดูแลคน ท่านป้าใหญ่วันนี้ข้าไปช่วยงานท่านไม่ได้จริงๆ ขอรับ”
“หน๊อย! เจ้าเด็กสารเลวกล้าต่อปากต่อคำกับข้าหรือ ดี! ในเมื่อวันนี้เจ้าไม่ทำงาน เช่นนั้นก็ไม่ต้องกินข้าว”
เสียงที่ไม่คุ้นหูดังขึ้น ซ่งไป๋ลู่ค่อยๆ ปรือตาตื่นภาพตรงหน้าแม้ไม่ชัดเจน หากแต่ก็ทำให้คิ้วเล็กขมวดเข้าหากันแน่น
ที่นี่... ที่ไหนกัน ในขณะที่กำลังตั้งคำถามกับตนเอง ภาพเรื่องราวต่างๆ ที่ไม่เคยพบเจอ ก็ไหลเข้ามาในความคิด ซ่งไป๋ลู่ เจ้าของชื่อที่เหมือนกับนางผู้นี้เป็นบุตรคนที่สองของ ซ่งไห่เฟิง ปีนี้นับอายุได้สิบขวบ ส่วนเด็กชายที่กำลังเช็ดตัวให้นางอยู่ตอนนี้คือ ซ่งต้าลู่ พี่ชายคนโตวัยสิบสี่ปีของนาง
“น้องเล็กเจ้ามาเช็ดตัวให้พี่รองของเจ้า พี่ใหญ่จะไปต้มข้าว”
สิ้นคำสั่งของซ่งต้าลู่ ซ่งหานลู่เด็กชายวัยห้าขวบที่ร่างกายผอมแห้งแคะแกรนราวกับมีอายุเพียงสามขวบก็ปีนขึ้นเตียงมานั่งข้างๆ นาง มือเล็กๆ ของเขาหยิบผ้าสีหม่นบิดน้ำเช็ดตัวให้นางอย่างใส่ใจ
“พี่รอง ท่านหนาวหรือไม่”
น้ำเสียงที่เอ่ยถามด้วยความห่วงใยแฝงความหวาดกลัวอยู่ในที หากแต่ซ่งไป๋ลู่ที่กำลังสับสนกับเรื่องราวตรงหน้าไม่มีเวลามาวิเคาะห์ผู้อื่นทำได้เพียงเอ่ยขอบคุณเสียงแหบแห้ง
“ขอบใจเจ้ามาก”
ขอบใจ ยามที่นางเอ่ยประโยคนี้ดวงตากลมใสของเด็กชายก็เบิกกว้างขึ้น มือเล็กสั่นน้อยๆ ก่อนจะขยับตัวลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว
“เช่นนั้นข้าไม่รบกวนท่านแล้ว ท่านลุงอี้บอกว่าคนป่วยต้องนอนพัก พี่รองท่านนอนมากๆ จะได้หายไวๆ”
ซ่งไป๋ลู่ลอบมองเด็กชายตัวน้อย ที่แม้มีท่าทางหวาดกลัวนางอยู่ในที แต่มือเล็กก็ยังคงหยิบผ้าห่มผืนบางที่ปะชุนจนจำสภาพเดิมไม่ได้ห่มลงบนร่างของคนบนเตียงแล้วถืออ่างน้ำเดินออกไป
ที่แท้แล้วนางอยู่ที่ใดกันแน่
เมื่อได้อยู่ตามลำพังซ่งไป๋ลู่จึงได้ทบทวนเรื่องราวของตนเองอย่างละเอียดอีกครั้ง ตัวนางคือซ่งไป๋ลู่ นักรีวิวนิยายประจำเพจชื่อดังที่มีผู้ติดตามถึงห้าล้านคน ภาพสุดท้ายในความทรงจำของนางก็คือ นางและเพื่อนๆ นักรีวิวนิยายอีกสามคนนัดเจอกันที่ร้านกาแฟชื่อดังประจำเมือง
“พวกเธอรู้ไหมนิยายเรื่องล่าสุดที่ฉันรับมารีวิวนางร้ายมีชื่อเหมือนฉันทุกตัวอักษรเลย น่าเสียดายที่คนเขียนให้เป็นแค่นางร้ายตัวประกอบ ทั้งเรื่องโผล่ออกมารวมกันยังไม่ถึงสามหน้าก็ถูกพระเอกฆ่าแล้ว”
ซ่งไป๋ลู่บ่นกับเพื่อนๆ ถึงนางร้ายตัวประกอบในนิยายเรื่องล่าสุดที่ตนรับมาทำการรีวิว เพียงแต่สนทนากันได้เพียงชั่วโมงเศษพนักงานร้านกาแฟก็ทำกาแฟหกใส่ปลั๊กไฟข้างโต๊ะที่พวกนางนั่ง กระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างของซ่งไป๋ลู่และเพื่อนๆ ก่อนที่สติของพวกนางทั้งสี่จะดับวูบไปพร้อมกัน
ทว่าเวลานี้นางควรอยู่ในโรงพยาบาลไม่ใช่หรือ เหตุใดยามที่มีสติลืมตาขึ้นอีกครั้งนางก็มาอยู่ในร่างของเด็กน้อยวัยสิบขวบผู้ที่คาดว่าน่าจะเป็นนางร้ายตัวประกอบในนิยายเรื่องที่นางรับมารีวิวผู้นี้เล่า
เพียงแต่ไม่ว่านี่จะเป็นความฝัน หรือเรื่องจริงซ่งไป๋ลู่ผู้นี้จะช่วยพลิกชะตาชีวิตอันน่าสงสารของนางร้ายตัวน้อยผู้นี้ให้เอง
...................................
“ทั้งหมดสามตำลึง”แม้จะเสียดายเงิน แต่เสื้อผ้าเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่สมควรจ่าย ดังนั้นซ่งไป๋ลู่จึงควักเงินยื่นให้อีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล ก่อนจะเดินเล่นบนตรอกอวิ๋นสำรวจสินค้าต่างๆ ที่ผู้คนนิยม ตลอดจนสินค้าที่ขาดตลาด“เจ้าสุนัขขี้ขโมย กล้าขโมยเนื้อของข้า วันนี้ข้าจะตีให้ตาย”เสียงคนขายหมูร้องด่าลูกสุนัขตัวสีน้ำตาลมอมแมมดังลั่นถนน ซ่งไป๋ลู่เดิมทีไม่คิดสนใจเรื่องวุ่นวายของผู้อื่น ทว่าเจ้าลูกสุนัขตัวดีกลับคล้ายต้องการให้นางใส่ใจ ขาสั้นๆ ทั้ง 4 จึงวิ่งตรงมาหยุดที่ด้านหน้าซ่งไป๋ลู่ วางชิ้นเนื้อลงบนเท้าเล็กก่อนจะวิ่งไปหลบด้านหลัง ทำราวกับนางคือเจ้าของของมัน“อ๋อ... ที่แท้ก็เป็นหนึ่งคนหนึ่งสุนัขร่วมมือกันขโมยของ ช่างดีจริงๆ อย่างนั้นวันนี้ข้าจะตีทั้งสุนัขทั้งคนสั่งสอนไปพร้อมๆ กัน”คิ้วเล็กของซ่งไป๋ลู่ขมวดเข้าหากันแน่น คนตรงหน้าไม่ถามไม่ไถ่คิดเองเออเองก็จะตีนาง หึ! อยากสั่งสอนนางก็ต้องดูก่อนว่า อีกฝ่ายมีความสามารถหรือไม่ ซ่งไป๋ลู่ขบกรามในหัวคิดถึงศิลปะการป้องกันตัวที่ตนเองเคยร่ำเรียนเพื่อใช้รีวิวนิยายในภพก่อน ทว่ายังไม่ทันแสดงฝีมือเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น“หยุดเดี๋ยวนี้!”มือของชายขายหมูชะงักค้างอยู่ที่
ใช้เวลาร่วมชั่วยามในที่สุดสามพี่น้องตระกูลซ่งก็เดินมาถึงเหลาอาหารกู้ไป๋ ทว่าเท้าไม่ทันก้าวข้ามประตูก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังออกมาจากด้านใน ซ่งต้าลู่รีบดึงแขนน้องทั้งสองไว้เบื้องหลัง พลางกวาดสายตามองสถานการณ์ตรงหน้าในทันที“ใครไม่เกี่ยวก็ถอยไป!”สิ้นเสียงแข็งกร้าวดุดันดังลั่นเหลาอาหาร ลูกค้าต่างก็พากันลุกขึ้นแตกตื่นออกมาจากร้าน ซ่งไป๋ลู่ขมวดคิ้วเล็กมองอันธพาลแปลกหน้าในเหลาอาหารของตนด้วยความไม่พอใจ“ถ้าไม่อยากเดือดร้อนก็ส่งคนมา”ชายแปลกหน้าชี้นิ้วไปทางกู้เหยียน ซึ่งยืนบังจางหย่งที่ตัวโตกว่าเอาไว้“ท่านเป็นใคร แล้วทำไมต้องจับตัวพี่จางหย่งไปด้วย”กู้เหยียนตะโกนถามเสียงก้อง มือยังคงจับแขนของจางหย่งเอาไว้มั่น ราวกับจะสื่อสารให้เขารับรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะปกป้องเขาเอง“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ ส่งคนมาก็พอ”“ข้าไม่ส่ง! หากพี่จางหย่งเคยไปทำให้ท่านเดือดร้อนก็เรียกค่าชดเชยมา ข้าจะรับผิดชอบเอง”จางหย่งมองเด็กชายที่ออกโรงปกป้องตนเองแล้วเกิดความสงสัยอยู่ในที บนแผ่นดินนี้ยังมีคนที่ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่กลัวความเดือดร้อนอยู่อีกหรือ“อายุของเจ้าดูแล้วคงไม่เกินสิบห้าแต่ใจกล้าไม่เบา ได้! ข้าจะบอกให้ ไอ้ขอทา
หลังจากเจรจาตกลงซื้อขายกันเสร็จแล้ว เกาจ้านเผิงก็รีบหมุนตัววิ่งจากไปในทันที ต่อจากนี้ในบ้านจะมีหนทางหาเงินเพิ่มแล้ว ภายหน้าหนี่เอ๋อร์ของเขาก็มีโอกาสซื้อยาดีๆ มากิน หรืออาจโชคดีถึงขั้นสามารถจ้างหมอมีฝีมือมารักษา เช่นนี้นางก็ไม่ต้องทรมานกับอาการเจ็บป่วยเรื้อรังนั่นอีกซ่งไป๋ลู่ยืนส่งคนจนลับตาก็เปิดประตูรั้วเข้าบ้าน เดิมทีคิดจะเข้าไปทักทายซ่งต้าลู่และซ่งหานลู่สักประโยค แต่เมื่อเห็นทั้งสองตั้งใจอ่านตำราก็ไม่คิดเข้าไปรบกวน เดินไปที่สวนหลังบ้านจัดการวัชพืชและเก็บแตงกวากับพริกสดติดมือกลับมาอู๊ดๆ... เสียงของหมูในเล้าร้องดังขึ้น ซ่งไป๋ลู่จึงสังเกตเห็นว่าหมูเหล่านี้ถึงเวลาเปลี่ยนเป็นเงินลงกระเป๋านางได้แล้ว ดังนั้นวันต่อมานางจึงกลับไปที่บ้านตระกูลเกาอีกครั้งเพื่อให้พวกเขาช่วยเป็นธุระติดต่อคนมาซื้อหมู ผ่านไปเพียงสองวันหมูในเล้าก็เปลี่ยนเป็นเงินตำลึงในกระเป๋านาง“พี่รอง ท่านขายหมูไปแล้วเช่นนั้นจะเลี้ยงอะไรแทน”การเลี้ยงหมูขายนั้นแม้จะทำกำไรได้ดี แต่ต้นทุนก็สูงไม่น้อย อีกทั้งความเสี่ยงก็มากเพราะหากพวกมันตายก่อนจะได้ขายทุกอย่างที่ลงทุนไปก็ล้วนสูญเปล่า ในทุกวันนางยังต้องหาอาหารปริมาณมากมาบำรุงให้พวก
เช้าวันต่อมาหลังจากที่กินมื้อเช้าแล้ว ซ่งไป๋ลู่ก็นำเห็ดที่ผึ่งลมจนแห้งใส่ตะกร้าออกเดินทางเข้าเมือง เดิมทีซ่งต้าลู่ตั้งใจติดตามไปส่งน้องสาว แต่ซ่งไป๋ลู่กลับไม่ยินยอม ด้วยเหตุผลที่ว่าตอนนี้การสอบถงเซิงใกล้เข้ามาทุกที เวลาของพี่ชายจึงมีค่ามากกว่าทองคำ นางจะให้การสอบของเขาพังลงเพราะเรื่องของนางไม่ได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นแล้วภายหน้าคงยากจะรับมือกับเมิ่งเฟยอวี่แล้ว“อาไป๋มีเรื่องอะไรหรือ เห็นท่านลุงกู้ของเจ้าบอกว่าเจ้าต้องการพบข้า”ว่านชุนเดินออกมาจากห้องครัวด้วยท่าทางร้อนใจ หากแต่เด็กหญิงตรงหน้ากลับยิ้มกว้างวางตะกร้าบนบ่าลง“นี่คืออะไรหรือ”“นี่เป็นเห็ดผิงกูอ่อนเจ้าค่ะ”“เห็ดผิงกูอ่อน เจ้าเอามาเสียมากมายเช่นนี้ทำไมกัน หรือว่าจะนำมาทำอาหาร”ถึงแม้เห็ดผิงกูจะหาง่าย ทว่ากลับนำมาปรุงอาหารได้เพียงไม่กี่ชนิด เมื่อว่านชุนเห็นเด็กสาวพยักหน้าแสดงการยืนยันว่าจะใช้เห็ดผิงกูอ่อนทำอาหารจริงๆ ใบหน้าของว่านชุนก็อาบไปด้วยความกังวลในทันที“อาไป๋ ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากรับน้ำใจเจ้า แต่เห็ดผิงกูนั้นทำอาหารได้ไม่ดีนัก ยิ่งเป็นเห็ดผิงกูอ่อนพวกนี้ยิ่งไม่เป็นที่นิยม”“เช่นนั้นท่านป้ากู้ให้ข้ายืมครัวสักครู่ได้ไหมเจ้าคะ
ซ่งไป๋ลู่เดินออกจากบ้านมาได้ไม่นานก็เห็นประตูรั้วบ้านตระกูลเกา ริมฝีปากเล็กจึงเอ่ยร้องเรียกคน เจิ้งซุนหนี่ลูกสะใภ้ของบ้านตระกูลเกาได้ยินเสียงคนเรียกก็เดินออกมาต้อนรับเด็กสาวด้วยท่าทางเป็นมิตร“อาไป๋ เจ้ามาหาท่านพ่อหรือ”“ข้าเพียงอยากมาสอบถามว่าต้นกุหลาบที่บ้านของท่านยังมีดอกอยู่หรือไม่”“ยังมีอยู่อีกมากทีเดียว ถ้าเจ้าอยากได้ก็เข้ามาเก็บได้เลย แค่กๆ”เจิ้งซุนหนี่เอ่ยอย่างมีน้ำใจก่อนจะไอเบาๆ ซ่งไป๋ลู่ยิ้มกว้างเดินตามหญิงสาวเข้าไปด้านในบ้าน หากแต่นางไม่ได้เข้ามาเก็บดอกกุหลาบอย่างที่เจิ้งซุนหนี่คิด เด็กหญิงนั่งลงที่เก้าอี้ไม้หน้าบ้านแล้วดึงหญิงสาวนั่งลงตรงข้ามกัน“พี่สะใภ้เกา ท่านสนใจร่วมทำการค้ากับข้าหรือไม่”เมื่อได้ยินเด็กหญิงวัยเพียงสิบเอ็ดปีเอ่ยเจรจาการค้ากับตน เจิ้งซุนหนี่ก็เบิกตากว้างความไม่เชื่อถือเกิดขึ้นในใจ แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่สามีเล่าให้ฟังว่าเมื่อหลายเดือนก่อนที่พี่น้องบ้านซ่งให้ชุนเหยียนนายช่างประจำหมู่บ้านไปต่อเติมห้องเก็บของ แต่ยังไม่ทันลงมือสร้างเด็กสาวซ่งไป๋ลู่ก็มาเจรจาว่าจ้างให้สร้างบ้านหลังใหม่จนนายช่างชุนต้องมาขอให้เกาเทียนเย่ผู้เป็นบิดาสามีไปช่วยก่อสร้าง ในใจของเจ
“คารวะคุณชายเฟย”“อืม นั่งลงสิ”ซ่งไป๋ลู่ทิ้งตัวลงนั่ง ตั้งท่าจะเจรจาขอเพิ่มราคาดอกไม้แห้ง เพียงแต่ไม่ทันเอ่ยปาก เฟยอวิ๋นก็วางหมากล้อมลงบนกระดานตรงหน้า“เวลาข้าเล่นหมากล้อมไม่ชอบให้ใครส่งเสียงรบกวน”หากไม่อยากให้ใครรบกวน เช่นนั้นเรียกนางเข้ามาทำไมกัน คุณชายเฟยอวิ๋นผู้นี้ช่างน่าโมโหนัก ยิ่งเห็นเขาเล่นหมากสองฝั่งขบคิดร่วมหนึ่งชาเย็นจึงวางหมากหนึ่งตัวซ่งไป๋ลู่ก็อดไม่ได้ หยิบหมากดำมาถือร่วมลงกระดานประลองกับเขา ไม่คิดว่าท่ามกลางความเงียบไร้สุ้มเสียงสนทนา สองชายหญิงต่างวัยกลับโต้ตอบกันอย่างดุเดือด ร่วมหนึ่งชั่วยามก็ยังไม่สามารถตัดสินแพ้ชนะเฟยอวิ๋นมองหมากบนกระดาน ไม่น่าเชื่อว่าตนเองจะเดินหมากได้เสมอกับเด็กหญิงวัยเพียงสิบปีตรงหน้า“หมากบนกระดานจบลงแล้ว เช่นนั้นคุณชายคงสามารถเจรจากับข้าเรื่องราคาดอกไม้แห้งได้แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”“หากกระดานนี้เจ้าชนะข้าได้ ราคาดอกไม้แห้งของเจ้า ข้าจะเพิ่มราคาขึ้นให้อีกหนึ่งเท่าตัว”เมื่อได้ยินว่าคนตรงหน้าจะเพิ่มราคาดอกไม้แห้งให้อีกหนึ่งเท่าตัวเพียงแค่ชนะหมากล้อมกระดานนี้ซ่งไป๋ลู่ก็ยิ้มกว้าง ก่อนที่จะทะลุมิติมาตัวนางเป็นถึงแชมป์หมากล้อมประจำภาค ไหนเลยจะกลัวการ
ในขณะที่สามพี่น้องตระกูลซ่งกำลังนั่งสนทนากับกู้เหยียน เสียงเอะอะโวยวายก็ดังมาจากทางหน้าร้าน ทุกคนจึงเร่งรุดไปดู ภาพที่เห็นคือชายขอทานวัยกลางคนเนื้อตัวมอมแมม เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งกำลังถูกขอทานอีกกลุ่มใหญ่ไล่ทุบตี จนต้องหนีเข้ามาภายในร้านกู้ไป๋ ทำให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายภายในร้านจนลูกค้าหนีหายไปจนหมดกู้ฉินยืนกอดภรรยาที่ร่ำไห้ด้วยความตื่นตระหนก ซ่งต้าลู่จับแขนเล็กของน้องๆ ดึงมาหลบที่ด้านหลัง เหยียดตัวตรงเป็นเกราะกำบังแล้วตะโกนเสียงดังก้องดุดัน“ตามกฎหมายแคว้นต้าหยาง ผู้ใดก่อความเสียหายให้บุคคลอื่นต้องเสียค่าปรับตามราคาทรัพย์สินที่เสียหาย หากมิอาจชำระก็ให้จำคุกชดเชย”ได้ยินคำขู่ของเด็กชายท่าทางภูมิฐานมีความรู้ เหล่ากลุ่มคนขอทานก็ชะงักมือไม้ที่กำลังง้างตีคนที่หมอบอยู่ใต้โต๊ะอาหาร แต่แล้วชายขอทานคนหนึ่งก็พูดขึ้น“พวกเราเป็นแค่ขอทาน ไม่มีชื่อในทะเบียนราษฎร์คิดจะจับเรารึ ถุย!”ซ่งต้าลู่ขมวดคิ้วเข้มเข้าหากัน ตวัดสายตาดุจ้องมองอีกฝ่าย ท่าทางเช่นนี้ของเขาทำให้ขอทานใจกล้าเมื่อครู่ใจฝ่อในทันที“ถึงแม้พวกเจ้าจะเป็นขอทานไม่มีชื่อในทะเบียนราษฎร์ แต่ทั่วทั้งแคว้นต้าหยางมีสถานที่หลบซ่อนไม่มากนัก ข้ารับร
ซ่งไป๋ลู่นั่งลงมองผ่านประตูเรือนไปด้านนอก ตอนนี้นางทะลุมิติมาครึ่งปีแล้วสิ่งต่างๆ รอบตัวเปลี่ยนแปลงไปชนิดที่กล่าวได้ว่า จากหน้ามือเป็นหลังมือ ทว่าสิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงก็คือ... ซ่งต้าลู่ พี่ชายที่แสนดีคนนี้ เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็ถนอมน้องสาวคนนี้ไม่เปลี่ยนแปลง“พี่ใหญ่เดือนหน้าท่านต้องไปสอบแล้ว ช่วงนี้งานนอกบ้านท่านก็พักเอาไว้ก่อนเถิดเจ้าค่ะ เงินที่ท่านพ่อส่งมากับส่วนแบ่งที่ท่านป้ากู้มอบให้ พวกเราใช้ทั้งปีก็ยังไม่หมด”ตอนนี้พวกเขาสามพี่น้องตระกูลซ่งแม้ไม่อาจกล่าวว่าร่ำรวย แต่ก็ไม่ขัดสนเรื่องเงินเช่นในอดีต เนื่องจากซ่งไห่เฟิ่งผู้เป็นบิดานั้นส่งเงินมาให้ทุกหกเดือน แต่ละครั้งก็มากถึง 10 ตำลึง คำนวณดูแล้วที่ผ่านมาในหนึ่งปีบิดาผู้นี้ส่งเงินมาให้สามพี่น้องตระกูลซ่งถึง 20 ตำลึง กลับเป็นซ่งหลี่เถียนป้าใหญ่ผู้นั้นที่ละโมบเอาเงินไปจนหมด อีกทั้งยังรังแกพวกตน ใช้แรงงานซ่งต้าลู่จนเขาต้องหยุดพักการเรียน สูญเสียโอกาสในการสอบมาถึงสองปี คิดถึงตรงนี้ ในใจของซ่งไป๋ลู่ก็ยิ่งคับแค้นคนจนใบหน้าเคร่งขรึม“ขมวดคิ้วจนแน่นเช่นนี้ ในใจกำลังขุ่นเคืองผู้ใดกัน”น้ำเสียงหยอกเย้าของพี่ชายทำให้ซ่งไป๋ลู่ออกจา
ตรอกหนิงอันเป็นถนนฝั่งตะวันตกตรงข้ามกับตรอกอวิ๋น ระยะทางนับว่าไม่ไกลกันมาก อีกอย่างที่นั่นไม่มีเหลาอาหารเรียกได้ว่าไร้คู่แข่ง ดังนั้นจึงนับเป็นทำเลดีในการเริ่มต้นกิจการเหลาอาหารด้วยเหตุนี้ในเดือนต่อมาบนถนนตะวันตก ตรอกหนิงอันจึงมีเหลาอาหารกู้ไป๋เกิดขึ้น และเพราะชื่อเสียงเดิมของว่านชุนทำให้เหลาอาหารกู้ไป๋นี้กลายเป็นที่นิยมในระยะเวลาอันรวดเร็ว ว่านชุนมองเงินตำลึงที่เก็บลงหีบด้วยรอยยิ้มกว้างเปล่งประกาย “อ่า... เงินของข้า ช่างดีจริงๆ”กู้ฉินที่บีบนวดไหล่ให้ภรรยาเห็นนางมีความสุขเช่นนี้บนใบหน้าของเขาก็พลอยมีรอยยิ้มกว้างตามไปด้วย“นางหนูซ่ง ช่างเป็นคนมองการณ์ไกลจริงๆ เวลาเพียงไม่นานก็ช่วยพวกเราให้เติบโตก้าวหน้าได้เช่นนี้แล้ว”“อาไป๋คือขาทองคำของพวกเรา ดังนั้นให้ต้องทุ่มหมดตัวข้าก็ต้องได้นางเป็นสะใภ้”ว่านชุนเอ่ยอย่างมุ่งมั่น สตรีที่มีควมคิดเฉลียวฉลาดเช่นนี้นางจะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไร“ได้เวลาไปรับอาเหยียนกับอาหานแล้ว ฮูหยินเจ้าเองก็เร่งปิดร้านพักผ่อนเถอะนะ”เพราะกิจการเหลาอาหารรุ่งเรืองเติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้นบ้านตระกูลกู้จึงย้ายเข้ามาพักในเมือง และเพื่อความสะดวกในการเดินทางไปสำนักศึ
Comments