ซ่งไป๋ลู่ นักรีวิวนิยายเพจดังนั่งเขียนบทรีวิวไม่ทันจบ ก็ทะลุมิติเข้ามาเป็นนางร้ายในนิยายที่ถูกกำหนดให้แต่งกับพระเอกก่อนถูกมอบใบหย่าด้วยขาดคุณธรรมหึงหวง บัดซบ!สามีมักมากเช่นนั้นผู้ใดอยากแต่งให้เขากัน
View More บทนำ
“ซ่งต้าลู่! เจ้าเด็กขี้เกียจ เหตุใดวันนี้ไม่ไปทำนา!”
“ท่านป้าใหญ่ อาไป๋ไม่สบายขอรับ วันนี้ข้าจึงต้องดูแลนาง”
“ก็แค่เป็นไข้จะต้องดูแลอะไรกันมากมาย อาหานก็อยู่ไม่ใช่หรือไง”
“น้องเล็กยังเด็กไม่รู้จักวิธีดูแลคน ท่านป้าใหญ่วันนี้ข้าไปช่วยงานท่านไม่ได้จริงๆ ขอรับ”
“หน๊อย! เจ้าเด็กสารเลวกล้าต่อปากต่อคำกับข้าหรือ ดี! ในเมื่อวันนี้เจ้าไม่ทำงาน เช่นนั้นก็ไม่ต้องกินข้าว”
เสียงที่ไม่คุ้นหูดังขึ้น ซ่งไป๋ลู่ค่อยๆ ปรือตาตื่นภาพตรงหน้าแม้ไม่ชัดเจน หากแต่ก็ทำให้คิ้วเล็กขมวดเข้าหากันแน่น
ที่นี่... ที่ไหนกัน ในขณะที่กำลังตั้งคำถามกับตนเอง ภาพเรื่องราวต่างๆ ที่ไม่เคยพบเจอ ก็ไหลเข้ามาในความคิด ซ่งไป๋ลู่ เจ้าของชื่อที่เหมือนกับนางผู้นี้เป็นบุตรคนที่สองของ ซ่งไห่เฟิง ปีนี้นับอายุได้สิบขวบ ส่วนเด็กชายที่กำลังเช็ดตัวให้นางอยู่ตอนนี้คือ ซ่งต้าลู่ พี่ชายคนโตวัยสิบสี่ปีของนาง
“น้องเล็กเจ้ามาเช็ดตัวให้พี่รองของเจ้า พี่ใหญ่จะไปต้มข้าว”
สิ้นคำสั่งของซ่งต้าลู่ ซ่งหานลู่เด็กชายวัยห้าขวบที่ร่างกายผอมแห้งแคะแกรนราวกับมีอายุเพียงสามขวบก็ปีนขึ้นเตียงมานั่งข้างๆ นาง มือเล็กๆ ของเขาหยิบผ้าสีหม่นบิดน้ำเช็ดตัวให้นางอย่างใส่ใจ
“พี่รอง ท่านหนาวหรือไม่”
น้ำเสียงที่เอ่ยถามด้วยความห่วงใยแฝงความหวาดกลัวอยู่ในที หากแต่ซ่งไป๋ลู่ที่กำลังสับสนกับเรื่องราวตรงหน้าไม่มีเวลามาวิเคาะห์ผู้อื่นทำได้เพียงเอ่ยขอบคุณเสียงแหบแห้ง
“ขอบใจเจ้ามาก”
ขอบใจ ยามที่นางเอ่ยประโยคนี้ดวงตากลมใสของเด็กชายก็เบิกกว้างขึ้น มือเล็กสั่นน้อยๆ ก่อนจะขยับตัวลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว
“เช่นนั้นข้าไม่รบกวนท่านแล้ว ท่านลุงอี้บอกว่าคนป่วยต้องนอนพัก พี่รองท่านนอนมากๆ จะได้หายไวๆ”
ซ่งไป๋ลู่ลอบมองเด็กชายตัวน้อย ที่แม้มีท่าทางหวาดกลัวนางอยู่ในที แต่มือเล็กก็ยังคงหยิบผ้าห่มผืนบางที่ปะชุนจนจำสภาพเดิมไม่ได้ห่มลงบนร่างของคนบนเตียงแล้วถืออ่างน้ำเดินออกไป
ที่แท้แล้วนางอยู่ที่ใดกันแน่
เมื่อได้อยู่ตามลำพังซ่งไป๋ลู่จึงได้ทบทวนเรื่องราวของตนเองอย่างละเอียดอีกครั้ง ตัวนางคือซ่งไป๋ลู่ นักรีวิวนิยายประจำเพจชื่อดังที่มีผู้ติดตามถึงห้าล้านคน ภาพสุดท้ายในความทรงจำของนางก็คือ นางและเพื่อนๆ นักรีวิวนิยายอีกสามคนนัดเจอกันที่ร้านกาแฟชื่อดังประจำเมือง
“พวกเธอรู้ไหมนิยายเรื่องล่าสุดที่ฉันรับมารีวิวนางร้ายมีชื่อเหมือนฉันทุกตัวอักษรเลย น่าเสียดายที่คนเขียนให้เป็นแค่นางร้ายตัวประกอบ ทั้งเรื่องโผล่ออกมารวมกันยังไม่ถึงสามหน้าก็ถูกพระเอกฆ่าแล้ว”
ซ่งไป๋ลู่บ่นกับเพื่อนๆ ถึงนางร้ายตัวประกอบในนิยายเรื่องล่าสุดที่ตนรับมาทำการรีวิว เพียงแต่สนทนากันได้เพียงชั่วโมงเศษพนักงานร้านกาแฟก็ทำกาแฟหกใส่ปลั๊กไฟข้างโต๊ะที่พวกนางนั่ง กระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างของซ่งไป๋ลู่และเพื่อนๆ ก่อนที่สติของพวกนางทั้งสี่จะดับวูบไปพร้อมกัน
ทว่าเวลานี้นางควรอยู่ในโรงพยาบาลไม่ใช่หรือ เหตุใดยามที่มีสติลืมตาขึ้นอีกครั้งนางก็มาอยู่ในร่างของเด็กน้อยวัยสิบขวบผู้ที่คาดว่าน่าจะเป็นนางร้ายตัวประกอบในนิยายเรื่องที่นางรับมารีวิวผู้นี้เล่า
เพียงแต่ไม่ว่านี่จะเป็นความฝัน หรือเรื่องจริงซ่งไป๋ลู่ผู้นี้จะช่วยพลิกชะตาชีวิตอันน่าสงสารของนางร้ายตัวน้อยผู้นี้ให้เอง
...................................
บทที่ 10.3ได้พบเจอนับเป็นวาสนาสามวันต่อมาหลังจากที่ซ่งไป๋ลู่พยายามอย่างหนักในการดูแลคนเจ็บแปลกหน้าบนเตียง คิ้วเข้มของคนที่หมดสติก็ขยับเข้าหากันเล็ก ก่อนจะปรือตื่นช้าๆ และทันทีที่สายตาปรับรับแสงได้ ดวงตาคมก็กวาดมองรอบตัว พลันในแววตาก็มีอาการตื่นตระหนกระวังภัยขึ้นมาโฮ่ง! โฮ่ง! เสี่ยวโกวที่นั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่างเห่าเสียงดังก้อง หางฟูตั้งขึ้นส่ายไปมาด้วยความยินดีที่เห็นคนสลบได้สติตื่นตัว ก่อนจะทะยานขึ้นไปหาคนบนเตียงเลียหน้าเลียตาเขาอย่างดีใจ“เสี่ยวโกวเจ้าทำอะไรลงมาเดี๋ยวนี้!”เจ้าสี่ขาที่กำลังยินดีได้ยินเสียงดุของคนที่เปิดประตูเข้ามา ก็รีบกระโจนลงจากเตียงมายืนที่ตำแหน่งเดิมด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม“หากเจ้าทำแบบเมื่อครู่อีก ต่อไปข้าจะให้เจ้าเฝ้าที่หน้าห้องเท่านั้น”เสี่ยวโกวช้อนด้วยตากลมขึ้นสบแววตาจริงจังของซ่งไป๋ลู่ ก่อนจะก็หมอบตัวลงกับพื้น ส่งสายตาเศร้าหมองอย่างสำนึกผิดออกมา ได้เห็นท่าทางเช่นนี้ของเสี่ยวโกวแล้วซ่งไป๋ลู่ที่โมโหต่อการกระทำของมันเมื่อครู่ก็ทำได้แค่ถอนหายใจยาวแล้ววางถาดไม้ในมือลง“เขาบาดเจ็บอยู่เจ้ากระโจนทับเขาเช่นนั้นอาจทำให้อาการเขาแย่ลง"ความสนิทสนมห่วงใยที่เสี่ยวโกวมีให้คนเ
บทที่ 10.2ได้พบเจอนับเป็นวาสนาหลังจากส่งพี่ชายและน้องชายออกจากเมืองเทียนฉีซ่งไป๋ลู่ก็กลับมาที่หมู่บ้านอันฉีพร้อมกับคนในหมู่บ้าน“อาไป๋ตอนนี้พี่ชายน้องชายของเจ้าล้วนไม่อยู่บ้าน เจ้าอยู่ที่นี่เพียงลำพังไม่ปลอดภัยนัก เอาเช่นนี้ดีหรือไม่เจ้าไปอยู่กับข้าที่บ้านตระกูลชุนของพวกเรา”อี้เหยาเอ่ยบอกด้วยความห่วงใย แม้ว่าบ้านสามีของนางจะเป็นตระกูลชุนสายรองแต่ก็ไม่ได้คับแคบจนรับเด็กสาวไปอยู่ด้วยไม่ได้ ทว่าซ่งไป๋ลู่กลับไม่คิดเป็นภาระของผู้อื่น แม้ว่าภายนอกร่างกายนี้อาจจะเป็นเพียงเด็กหญิงวัยย่าง12 ปี แต่จิตวิญญาณภายในของนางตอนนี้อายุ 30 กว่าปีแล้ว อีกทั้งโลกก่อนยังเติบโตมาอย่างโดดเดียว ดังนั้นย่อมไม่กลัวการอยู่เพียงลำพัง“น้ำใจของท่านป้าชุนข้ารับไว้แล้ว แต่ที่นี่เป็นบ้านของข้า ข้าย่อมไม่อาจย้ายไปที่อื่น”เมื่อเห็นว่าเด็กสาวยืนกรานหนักแน่นจะไม่ย้ายไปอยู่ที่อื่นทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน"เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้า แต่ภายหน้าหากเปลี่ยนใจพวกเราบ้านชุนยินดีต้อนรับเจ้า"ชุนเกาถงเอ่ยบอกเด็กหญิงตรงหน้า ด้วยท่าทางมั่นคงก่อนจากไป ซ่งไป๋ลู่ยืนส่งทุกคนจนลับตาก่อนจะปิดประตูรั้วพาเสี่ยวโกวไปอาบน้ำแล้วเข้านอนทว่าผ่
บทที่ 10.1ได้พบเจอนับเป็นวาสนาวันต่อมาซ่งต้าลู่และซ่งไป๋ลู่ก็มาส่งน้องชายที่หน้าสำนักศึกษาชงหมิง หลังจากที่ล่ำลากันด้วยความอาลัยแล้วขบวนเดินทางของคณะอาจารย์จากเมืองหลวงก็พาคนจากไป“กลับบ้านกันเถอะ”“เจ้าค่ะ ข้าเองก็จะเร่งไปปลูกพี่หัวไชเท้าด้วย”เพราะไม่ต้องการให้พี่ชายคิดกังวลเรื่องการสอบที่ผ่านมาของเขา ซ่งไป๋ลู่จึงเบี่ยงเบนความคิดของเขาไปที่เรื่องการปลูกผักทำสวน“เช่นนั้นกลับถึงบ้านแล้วข้าจะเร่งทำแปลงผักเพิ่มให้เจ้า”ซ่งไป๋ลู่ยิ้มกว้างพยักหน้ารับคำของพี่ชาย หัวใจที่หวาดหวั่นกับการตัดสินใจครั้งนี้ของซ่งต้าลู่ก็พลันเบาบางลง“อาต้า หยุดเท้าก่อน”หลิวชงซิวร้องเรียกคนด้วยท่าทางและน้ำเสียงไม่สู้ดีนักซ่งไป๋ลู่เห็นอาจารย์หลิวก็คิดว่าเขาคงต้องการเจรจากับพี่ชายเพียงลำพังจึงขยับเท้าเพื่อถอยหนี หากแต่กลับถูกอีกฝ่ายทัดทานเอาไว้“เจ้าเองก็หยุดอยู่ด้วยกันก่อนเถิด”เมื่อถูกเอ่ยขออย่างสุภาพ ซ่งไป๋ลู่ก็ทำได้เพียงหยุดยืนอยู่ที่เบื้องหลังพี่ชาย ก้มหน้าประสานมือด้วยกิริยาสุภาพชวนมอง“อาจารย์มีเรื่องจะสั่งสอนข้า น้องรองเจ้าเป็นสตรีไม่สมควรอยู่รับฟังไปรอข้าที่ตรงโน้นก่อน”ซ่งต้าลู่ย่อมรู้เจตนาของผู้เป็นอ
บทที่ 9.4เมื่อมีอำนาจก็ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดอีกซ่งต้าลู่เดินหายไปในกลุ่มบัณฑิตราวหนึ่งเค่อก็เดินกลับออกมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ซ่งหานลู่ที่ยังเด็กเกินกว่าจะสังเกตุสีหน้าคนได้ชัดเจนก็รีบวิ่งไปหาพี่ชายแล้วเอ่ยสอบถามด้วยท่าทางตื่นเต้น“พี่ใหญ่ผลเป็นอย่างไรบ้าง ท่านสอบผ่านใช่หรือไม่ อยู่ในลำดับที่เท่าไหร่หรือขอรับ ใช่ที่...”“พรุ่งนี้เจ้าต้องรีบเดินทาง วันนี้เราเร่งกลับบ้านกันเถอะ”ซ่งต้าลู่ไม่ตอบคำถามน้องชาย แต่เอ่ยบอกเสียงราบเรียบชวนกลับบ้าน ทว่าคนที่ไม่ได้คำตอบก็ไม่ยอมแพ้ตั้งท่าจะซักไซ้อีกหน เพียงแต่อ้าปากไม่ทันเปล่งเสียงต้นแขนก็ถูกดึงรั้งเอาไว้เสียก่อน เมื่อหันมาตามแรงดึงก็พบกับสายตาเป็นนัยน์ของพี่สาวให้เขาหยุดเจรจา“จริงด้วย! อีกอย่างข้ายังไม่ได้ห่อเนื้อแห้งให้น้องเล็กเลย หากยังไม่เร่งกลับเกรงว่าจะซุกซ่อนไม่ทันแล้ว”“เช่นนั้นพวกเราก็เร่งกลับกันเถอะขอรับ”พี่ชายสอบผ่านหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ เพราะไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนเป็นบัณฑิตซิ่วฉายหรือยังคงพี่ใหญ่ต้าลู่ ก็ยังเป็นพี่ชายของเขา ที่ต้องกังวลคือจวนถังไม่มีเนื้อ หากไม่เตรียมตัวให้ดีท้องนี้ขาดคงเนื้อ ภายหน้าเขาอาจขาดใจได้ซ่งต้าลู่มองรอยยิ้มอ่อน
บทที่ 9.3เมื่อมีอำนาจก็ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดอีกยามม่านรัตติกาลครอบคลุมผืนฟ้า ซ่งไป๋ลู่ที่นอนไม่หลับเพราะกังวลเกี่ยวกับเรื่องราวในอนาคตจึงลุกจากเตียงเดินมานั่งรับลมที่เก้าอี้หินอ่อนใต้ต้นสาลี่หน้าเรือนใบหน้าเนียนขาวเงยขึ้นมองผืนฟ้าที่มีดวงดาราเปล่งประกายในค่ำคืนที่ไร้จันทรา ดวงดารามักโดดเด่นยามนี้เมิ่งเฟยอวี่ก็ไม่ต่างจากจันทราที่ไร้แสง หากนางสามารถผลักดันซ่งต้าลู่ให้เปล่งประกายได้ดั่งดวงดาราเวลานี้ ภายหน้าคนแซ่เมิ่งคิดลงมือกับนางก็คงไม่ง่ายนัก“ดึกมากแล้ว เหตุใดยังไม่นอน ออกมาตากลมทำไมกัน”เสียงทุ้มต่ำเอ่ยดุเบาๆ พลางปลดเสื้อคลุมของตนลงวางบนบ่าเล็ก ซ่งไป๋ลู่เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มอ่อนหวานให้พี่ชาย เห็นท่าทางเช่นนี้ของนางถ้อยคำตำหนิมากมายที่มีในใจของซ่งต้าลู่ก็พลันถูกกลืนลงท้อง ถอนหายใจทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หินอ่อนตรงข้าม ก่อนจะยื่นมือออกมาผูกปมผ้าคลุมไหล่ให้อย่างใส่ใจ“กังวลเรื่องของอาหานหรือ”“เจ้าค่ะ"แม้ว่าแท้จริงซ่งไป๋ลู่จะกังวลเรื่องในอนาคตของตนเองมากที่สุด แต่เรื่องของซ่งหานลู่ก็เป็นอีกส่วนที่นางห่วงใยไม่แพ้กัน"ข้าไม่รู้ว่าหมอหลวงถังผู้นั้นเป็นคนเช่นไร ต้องส่งอาหานให้เขาดูแลในใจจึ
บทที่ 9.2เมื่อมีอำนาจก็ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดอีกหลังจากกินมื้อเย็นแล้วซ่งหานลู่ก็เข้าไปทบทวนตำราในห้องหนังสือ ซ่งไป๋ลู่เดินมาหยุดลอบมองน้องชายตัวน้อยอมยิ้มบางๆไม่คิดว่ายามที่เขาตั้งใจอ่านตำราใบหน้าที่มักทะเล้นขี้เล่นก็เปลี่ยนเป็นนิ่งสงบ สุขุม แตกต่างจากเมื่อตอนเย็นที่นอนเล่นกลิ้งไปมาบนพื้นกับเจ้าเสี่ยวโกวราวกับคนละคนหงิงๆ! เสียงเล็กๆ ของเจ้าสี่ขาขนปุยดังขึ้น พร้อมเท้าหน้าที่ยกขึ้นเขี่ยต้นขาซ่งไป๋ลู่ด้วยท่าทางเว้าวอน คล้ายกำลังเอ่ยขออนุญาตเข้าไปหาคนอ่านตำราด้านใน “อาหานต้องทบทวนตำรา อย่าได้เข้าไปก่อกวนเขา”ซ่งไป๋ลู่เอ่ยเสียงดุเบาๆ เจ้าสี่ขาก็หมอบลงตีหน้าเศร้าจนคนดุอดที่จนเอ็นดูระคนขบขันไม่ได้สุนัขพันธุ์เชาเชา นอกจากขี้เล่นแล้วยังฉลาดเฉลียว ดังนั้นเมื่อถูกสั่งห้ามเสี่ยวโกวก็หมอบลงกับพื้นนอนเฝ้าที่หน้าห้องหนังสืออย่างรู้ความ ทว่าเมื่อซ่งไป๋ลู่เดินเข้าห้องนอนของตนเองไปแล้ว เจ้าตัวรู้ความก็ค่อยๆ ลุกขึ้น สายตาเศร้าหมองเปลี่ยนเป็นเด็ดขาดมุ่งมั่น ก่อนจะลอบเข้าไปในครัว คาบหมั่นโถวสามลูกที่ห่อด้วยกระดาษไขวิ่งออกจากบ้านไป โดยไม่รู้ตัวว่าตลอดทุกการกระทำนี้ถูกสายตาคู่หนึ่งแอบมองพฤติกรรมผ่านหน้า
Comments