Home / รักโบราณ / สามีอยากก้าวหน้าต้องช่วยข้าทำสวน / บทที่ 9.1 เมื่อมีอำนาจก็ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดอีก

Share

บทที่ 9.1 เมื่อมีอำนาจก็ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดอีก

last update Last Updated: 2025-05-21 21:24:20

บทที่ 9.1

เมื่อมีอำนาจก็ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดอีก

ซ่งไป๋ลู่มองตามไปยังต้นเสียง คิ้วเล็กพลันขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นว่าเด็กชายตรงหน้าคือคนเดียวกับที่ช่วยนางและเจ้าสี่ขาเสี่ยวโกวจากคนขายเนื้อ

“โอว้! นี่ไม่ใช่เด็กน้อยที่ข้าช่วยไปวันก่อนหรือ”

มุมปากของเด็กหนุ่มยกขึ้น มีคำกล่าวว่าพบพานครั้งแรกนับเป็นเรื่องบังเอิญ พบพานครั้งที่สองนับเป็นวาสนา ดูแล้วเด็กน้อยตรงหน้าคงสั่งสมบุญมาไม่น้อย จึงได้มีวาสนาพบเขาถึงสองครั้งเช่นนี้

“องค์... เอ่อ...”

เสียงของจางหย่งดึงสายตาและความสนใจของทุกคนไปที่เขา เพื่อไม่ให้สถานะถูกเปิดเผย เด็กหนุ่มจึงรีบเดินเข้ามาจับมือคนเป็นลุง ด้วยท่าทางสนิทสนม พร้อมกับยกยิ้มพูดด้วยสายตาเยือกเย็น

“ท่านแม่เป็นห่วงท่านมาก จึงให้หลานชายเช่นข้าติดตามท่านมาอีกคน”

“ทำให้พระ... เอ่อ... เจ้ากับแม่เป็นห่วงแล้ว”

ซ่งไป๋ลู่ไม่ใช่คนโง่จนมองสถานการณ์ไม่ออก แม้อีกฝ่ายจะเรียกขานจางหย่งว่าลุง แต่ท่าทางกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจและบารมี ขณะที่จางหย่งที่ควรมีท่าทีของผู้อาวุโสกลับนอบน้อม ยำเกรงผิดวิสัยของคนเป็นลุงจะแสดงต่อหลาน เรื่องนี้นางกล้าเอาชื่อเสียงเจ้าแม่

นักรีวิวนิยายล้านผู้ติดตามรับรองได้เลยว่า
Continue to read this book for free
Scan code to download App
Locked Chapter

Latest chapter

  • สามีอยากก้าวหน้าต้องช่วยข้าทำสวน   บทที่ 10.3 ได้พบเจอนับเป็นวาสนา

    บทที่ 10.3ได้พบเจอนับเป็นวาสนาสามวันต่อมาหลังจากที่ซ่งไป๋ลู่พยายามอย่างหนักในการดูแลคนเจ็บแปลกหน้าบนเตียง คิ้วเข้มของคนที่หมดสติก็ขยับเข้าหากันเล็ก ก่อนจะปรือตื่นช้าๆ และทันทีที่สายตาปรับรับแสงได้ ดวงตาคมก็กวาดมองรอบตัว พลันในแววตาก็มีอาการตื่นตระหนกระวังภัยขึ้นมาโฮ่ง! โฮ่ง! เสี่ยวโกวที่นั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่างเห่าเสียงดังก้อง หางฟูตั้งขึ้นส่ายไปมาด้วยความยินดีที่เห็นคนสลบได้สติตื่นตัว ก่อนจะทะยานขึ้นไปหาคนบนเตียงเลียหน้าเลียตาเขาอย่างดีใจ“เสี่ยวโกวเจ้าทำอะไรลงมาเดี๋ยวนี้!”เจ้าสี่ขาที่กำลังยินดีได้ยินเสียงดุของคนที่เปิดประตูเข้ามา ก็รีบกระโจนลงจากเตียงมายืนที่ตำแหน่งเดิมด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม“หากเจ้าทำแบบเมื่อครู่อีก ต่อไปข้าจะให้เจ้าเฝ้าที่หน้าห้องเท่านั้น”เสี่ยวโกวช้อนด้วยตากลมขึ้นสบแววตาจริงจังของซ่งไป๋ลู่ ก่อนจะก็หมอบตัวลงกับพื้น ส่งสายตาเศร้าหมองอย่างสำนึกผิดออกมา ได้เห็นท่าทางเช่นนี้ของเสี่ยวโกวแล้วซ่งไป๋ลู่ที่โมโหต่อการกระทำของมันเมื่อครู่ก็ทำได้แค่ถอนหายใจยาวแล้ววางถาดไม้ในมือลง“เขาบาดเจ็บอยู่เจ้ากระโจนทับเขาเช่นนั้นอาจทำให้อาการเขาแย่ลง"ความสนิทสนมห่วงใยที่เสี่ยวโกวมีให้คนเ

  • สามีอยากก้าวหน้าต้องช่วยข้าทำสวน   บทที่ 10.2 ได้พบเจอนับเป็นวาสนา

    บทที่ 10.2ได้พบเจอนับเป็นวาสนาหลังจากส่งพี่ชายและน้องชายออกจากเมืองเทียนฉีซ่งไป๋ลู่ก็กลับมาที่หมู่บ้านอันฉีพร้อมกับคนในหมู่บ้าน“อาไป๋ตอนนี้พี่ชายน้องชายของเจ้าล้วนไม่อยู่บ้าน เจ้าอยู่ที่นี่เพียงลำพังไม่ปลอดภัยนัก เอาเช่นนี้ดีหรือไม่เจ้าไปอยู่กับข้าที่บ้านตระกูลชุนของพวกเรา”อี้เหยาเอ่ยบอกด้วยความห่วงใย แม้ว่าบ้านสามีของนางจะเป็นตระกูลชุนสายรองแต่ก็ไม่ได้คับแคบจนรับเด็กสาวไปอยู่ด้วยไม่ได้ ทว่าซ่งไป๋ลู่กลับไม่คิดเป็นภาระของผู้อื่น แม้ว่าภายนอกร่างกายนี้อาจจะเป็นเพียงเด็กหญิงวัยย่าง12 ปี แต่จิตวิญญาณภายในของนางตอนนี้อายุ 30 กว่าปีแล้ว อีกทั้งโลกก่อนยังเติบโตมาอย่างโดดเดียว ดังนั้นย่อมไม่กลัวการอยู่เพียงลำพัง“น้ำใจของท่านป้าชุนข้ารับไว้แล้ว แต่ที่นี่เป็นบ้านของข้า ข้าย่อมไม่อาจย้ายไปที่อื่น”เมื่อเห็นว่าเด็กสาวยืนกรานหนักแน่นจะไม่ย้ายไปอยู่ที่อื่นทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน"เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้า แต่ภายหน้าหากเปลี่ยนใจพวกเราบ้านชุนยินดีต้อนรับเจ้า"ชุนเกาถงเอ่ยบอกเด็กหญิงตรงหน้า ด้วยท่าทางมั่นคงก่อนจากไป ซ่งไป๋ลู่ยืนส่งทุกคนจนลับตาก่อนจะปิดประตูรั้วพาเสี่ยวโกวไปอาบน้ำแล้วเข้านอนทว่าผ่

  • สามีอยากก้าวหน้าต้องช่วยข้าทำสวน   บทที่ 10.1 ได้พบเจอนับเป็นวาสนา

    บทที่ 10.1ได้พบเจอนับเป็นวาสนาวันต่อมาซ่งต้าลู่และซ่งไป๋ลู่ก็มาส่งน้องชายที่หน้าสำนักศึกษาชงหมิง หลังจากที่ล่ำลากันด้วยความอาลัยแล้วขบวนเดินทางของคณะอาจารย์จากเมืองหลวงก็พาคนจากไป“กลับบ้านกันเถอะ”“เจ้าค่ะ ข้าเองก็จะเร่งไปปลูกพี่หัวไชเท้าด้วย”เพราะไม่ต้องการให้พี่ชายคิดกังวลเรื่องการสอบที่ผ่านมาของเขา ซ่งไป๋ลู่จึงเบี่ยงเบนความคิดของเขาไปที่เรื่องการปลูกผักทำสวน“เช่นนั้นกลับถึงบ้านแล้วข้าจะเร่งทำแปลงผักเพิ่มให้เจ้า”ซ่งไป๋ลู่ยิ้มกว้างพยักหน้ารับคำของพี่ชาย หัวใจที่หวาดหวั่นกับการตัดสินใจครั้งนี้ของซ่งต้าลู่ก็พลันเบาบางลง“อาต้า หยุดเท้าก่อน”หลิวชงซิวร้องเรียกคนด้วยท่าทางและน้ำเสียงไม่สู้ดีนักซ่งไป๋ลู่เห็นอาจารย์หลิวก็คิดว่าเขาคงต้องการเจรจากับพี่ชายเพียงลำพังจึงขยับเท้าเพื่อถอยหนี หากแต่กลับถูกอีกฝ่ายทัดทานเอาไว้“เจ้าเองก็หยุดอยู่ด้วยกันก่อนเถิด”เมื่อถูกเอ่ยขออย่างสุภาพ ซ่งไป๋ลู่ก็ทำได้เพียงหยุดยืนอยู่ที่เบื้องหลังพี่ชาย ก้มหน้าประสานมือด้วยกิริยาสุภาพชวนมอง“อาจารย์มีเรื่องจะสั่งสอนข้า น้องรองเจ้าเป็นสตรีไม่สมควรอยู่รับฟังไปรอข้าที่ตรงโน้นก่อน”ซ่งต้าลู่ย่อมรู้เจตนาของผู้เป็นอ

  • สามีอยากก้าวหน้าต้องช่วยข้าทำสวน   บทที่ 9.4 เมื่อมีอำนาจก็ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดอีก

    บทที่ 9.4เมื่อมีอำนาจก็ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดอีกซ่งต้าลู่เดินหายไปในกลุ่มบัณฑิตราวหนึ่งเค่อก็เดินกลับออกมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ซ่งหานลู่ที่ยังเด็กเกินกว่าจะสังเกตุสีหน้าคนได้ชัดเจนก็รีบวิ่งไปหาพี่ชายแล้วเอ่ยสอบถามด้วยท่าทางตื่นเต้น“พี่ใหญ่ผลเป็นอย่างไรบ้าง ท่านสอบผ่านใช่หรือไม่ อยู่ในลำดับที่เท่าไหร่หรือขอรับ ใช่ที่...”“พรุ่งนี้เจ้าต้องรีบเดินทาง วันนี้เราเร่งกลับบ้านกันเถอะ”ซ่งต้าลู่ไม่ตอบคำถามน้องชาย แต่เอ่ยบอกเสียงราบเรียบชวนกลับบ้าน ทว่าคนที่ไม่ได้คำตอบก็ไม่ยอมแพ้ตั้งท่าจะซักไซ้อีกหน เพียงแต่อ้าปากไม่ทันเปล่งเสียงต้นแขนก็ถูกดึงรั้งเอาไว้เสียก่อน เมื่อหันมาตามแรงดึงก็พบกับสายตาเป็นนัยน์ของพี่สาวให้เขาหยุดเจรจา“จริงด้วย! อีกอย่างข้ายังไม่ได้ห่อเนื้อแห้งให้น้องเล็กเลย หากยังไม่เร่งกลับเกรงว่าจะซุกซ่อนไม่ทันแล้ว”“เช่นนั้นพวกเราก็เร่งกลับกันเถอะขอรับ”พี่ชายสอบผ่านหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ เพราะไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนเป็นบัณฑิตซิ่วฉายหรือยังคงพี่ใหญ่ต้าลู่ ก็ยังเป็นพี่ชายของเขา ที่ต้องกังวลคือจวนถังไม่มีเนื้อ หากไม่เตรียมตัวให้ดีท้องนี้ขาดคงเนื้อ ภายหน้าเขาอาจขาดใจได้ซ่งต้าลู่มองรอยยิ้มอ่อน

  • สามีอยากก้าวหน้าต้องช่วยข้าทำสวน   บทที่ 9.3 เมื่อมีอำนาจก็ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดอีก

    บทที่ 9.3เมื่อมีอำนาจก็ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดอีกยามม่านรัตติกาลครอบคลุมผืนฟ้า ซ่งไป๋ลู่ที่นอนไม่หลับเพราะกังวลเกี่ยวกับเรื่องราวในอนาคตจึงลุกจากเตียงเดินมานั่งรับลมที่เก้าอี้หินอ่อนใต้ต้นสาลี่หน้าเรือนใบหน้าเนียนขาวเงยขึ้นมองผืนฟ้าที่มีดวงดาราเปล่งประกายในค่ำคืนที่ไร้จันทรา ดวงดารามักโดดเด่นยามนี้เมิ่งเฟยอวี่ก็ไม่ต่างจากจันทราที่ไร้แสง หากนางสามารถผลักดันซ่งต้าลู่ให้เปล่งประกายได้ดั่งดวงดาราเวลานี้ ภายหน้าคนแซ่เมิ่งคิดลงมือกับนางก็คงไม่ง่ายนัก“ดึกมากแล้ว เหตุใดยังไม่นอน ออกมาตากลมทำไมกัน”เสียงทุ้มต่ำเอ่ยดุเบาๆ พลางปลดเสื้อคลุมของตนลงวางบนบ่าเล็ก ซ่งไป๋ลู่เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มอ่อนหวานให้พี่ชาย เห็นท่าทางเช่นนี้ของนางถ้อยคำตำหนิมากมายที่มีในใจของซ่งต้าลู่ก็พลันถูกกลืนลงท้อง ถอนหายใจทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หินอ่อนตรงข้าม ก่อนจะยื่นมือออกมาผูกปมผ้าคลุมไหล่ให้อย่างใส่ใจ“กังวลเรื่องของอาหานหรือ”“เจ้าค่ะ"แม้ว่าแท้จริงซ่งไป๋ลู่จะกังวลเรื่องในอนาคตของตนเองมากที่สุด แต่เรื่องของซ่งหานลู่ก็เป็นอีกส่วนที่นางห่วงใยไม่แพ้กัน"ข้าไม่รู้ว่าหมอหลวงถังผู้นั้นเป็นคนเช่นไร ต้องส่งอาหานให้เขาดูแลในใจจึ

  • สามีอยากก้าวหน้าต้องช่วยข้าทำสวน   บทที่ 9.2 เมื่อมีอำนาจก็ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดอีก

    บทที่ 9.2เมื่อมีอำนาจก็ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดอีกหลังจากกินมื้อเย็นแล้วซ่งหานลู่ก็เข้าไปทบทวนตำราในห้องหนังสือ ซ่งไป๋ลู่เดินมาหยุดลอบมองน้องชายตัวน้อยอมยิ้มบางๆไม่คิดว่ายามที่เขาตั้งใจอ่านตำราใบหน้าที่มักทะเล้นขี้เล่นก็เปลี่ยนเป็นนิ่งสงบ สุขุม แตกต่างจากเมื่อตอนเย็นที่นอนเล่นกลิ้งไปมาบนพื้นกับเจ้าเสี่ยวโกวราวกับคนละคนหงิงๆ! เสียงเล็กๆ ของเจ้าสี่ขาขนปุยดังขึ้น พร้อมเท้าหน้าที่ยกขึ้นเขี่ยต้นขาซ่งไป๋ลู่ด้วยท่าทางเว้าวอน คล้ายกำลังเอ่ยขออนุญาตเข้าไปหาคนอ่านตำราด้านใน “อาหานต้องทบทวนตำรา อย่าได้เข้าไปก่อกวนเขา”ซ่งไป๋ลู่เอ่ยเสียงดุเบาๆ เจ้าสี่ขาก็หมอบลงตีหน้าเศร้าจนคนดุอดที่จนเอ็นดูระคนขบขันไม่ได้สุนัขพันธุ์เชาเชา นอกจากขี้เล่นแล้วยังฉลาดเฉลียว ดังนั้นเมื่อถูกสั่งห้ามเสี่ยวโกวก็หมอบลงกับพื้นนอนเฝ้าที่หน้าห้องหนังสืออย่างรู้ความ ทว่าเมื่อซ่งไป๋ลู่เดินเข้าห้องนอนของตนเองไปแล้ว เจ้าตัวรู้ความก็ค่อยๆ ลุกขึ้น สายตาเศร้าหมองเปลี่ยนเป็นเด็ดขาดมุ่งมั่น ก่อนจะลอบเข้าไปในครัว คาบหมั่นโถวสามลูกที่ห่อด้วยกระดาษไขวิ่งออกจากบ้านไป โดยไม่รู้ตัวว่าตลอดทุกการกระทำนี้ถูกสายตาคู่หนึ่งแอบมองพฤติกรรมผ่านหน้า

  • สามีอยากก้าวหน้าต้องช่วยข้าทำสวน   บทที่ 9.1 เมื่อมีอำนาจก็ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดอีก

    บทที่ 9.1เมื่อมีอำนาจก็ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดอีกซ่งไป๋ลู่มองตามไปยังต้นเสียง คิ้วเล็กพลันขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นว่าเด็กชายตรงหน้าคือคนเดียวกับที่ช่วยนางและเจ้าสี่ขาเสี่ยวโกวจากคนขายเนื้อ“โอว้! นี่ไม่ใช่เด็กน้อยที่ข้าช่วยไปวันก่อนหรือ”มุมปากของเด็กหนุ่มยกขึ้น มีคำกล่าวว่าพบพานครั้งแรกนับเป็นเรื่องบังเอิญ พบพานครั้งที่สองนับเป็นวาสนา ดูแล้วเด็กน้อยตรงหน้าคงสั่งสมบุญมาไม่น้อย จึงได้มีวาสนาพบเขาถึงสองครั้งเช่นนี้“องค์... เอ่อ...”เสียงของจางหย่งดึงสายตาและความสนใจของทุกคนไปที่เขา เพื่อไม่ให้สถานะถูกเปิดเผย เด็กหนุ่มจึงรีบเดินเข้ามาจับมือคนเป็นลุง ด้วยท่าทางสนิทสนม พร้อมกับยกยิ้มพูดด้วยสายตาเยือกเย็น“ท่านแม่เป็นห่วงท่านมาก จึงให้หลานชายเช่นข้าติดตามท่านมาอีกคน”“ทำให้พระ... เอ่อ... เจ้ากับแม่เป็นห่วงแล้ว”ซ่งไป๋ลู่ไม่ใช่คนโง่จนมองสถานการณ์ไม่ออก แม้อีกฝ่ายจะเรียกขานจางหย่งว่าลุง แต่ท่าทางกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจและบารมี ขณะที่จางหย่งที่ควรมีท่าทีของผู้อาวุโสกลับนอบน้อม ยำเกรงผิดวิสัยของคนเป็นลุงจะแสดงต่อหลาน เรื่องนี้นางกล้าเอาชื่อเสียงเจ้าแม่นักรีวิวนิยายล้านผู้ติดตามรับรองได้เลยว่า

  • สามีอยากก้าวหน้าต้องช่วยข้าทำสวน   บทที่ 8.4 ล้วนเป็นโชคชะตานำพา

    บทที่ 8.4ล้วนเป็นโชคชะตานำพา“รอนานหรือไม่”น้ำเสียงอบอุ่นของท่านอาจารย์หลิวทำให้ซ่งไป๋ลู่หลุดจากภวังค์ความคิด ใบหน้าสดใสยิ้มกว้างเอ่ยปฏิเสธด้วยท่าทีสุภาพมีมารยาทราวกับคุณหนูตระกูลใหญ่ ท่าทีทั้งหมดทำให้หลิวไท่จงอาจารย์ใหญ่ประจำสำนักศึกษาชงหมิง อดที่จะชื่นชมเด็กน้อยผู้นี้ไม่ได้“สมกับเป็นน้องสาวของอาต้าจริง"ซ่งไป๋ลู่โน้มศีรษะยิ้มรับด้วยท่าทางสุภาพ หลิวไท่จงยื่นตำราในมือให้อีกฝ่าย"นี่เป็นตำราในส่วนที่อาต้ายังไม่ได้ศึกษา เจ้าเอากลับไปให้เขาอ่านเพิ่ทชมเติมด้วย”“ขอบคุณท่านอาจารย์หลิวเจ้าค่ะ”“อืม... บอกเขามุ่งมั่นตั้งใจให้มาก อย่างน้อยเขาก็มีโอกาสมากกว่าอาอวี่”อาอวี่ นี่อาจารย์หลิวคงไม่ได้หมายถึง เมิ่งเฟยอวี่ ใช่หรือไม่ อาจเพราะรู้ว่าคนผู้นี้มีอันตรายต่อชีวิตในอนาคตของตนเอง ยามที่ได้ยินชื่อของเขาคราใดซ่งไป๋ลู่ก็รู้สึกใจสั่นหวาดกลัวทุกที“บ่ายมากแล้ว ข้าน้อยขอตัวเจ้าค่ะ”เอ่ยล่ำลาแล้วซ่งไป๋ลู่ก็รีบออกจากสำนักศึกษาชงหมิงในทันที หากแต่ เมิ่งเฟยอวี่ คำนี้กลับเป็นดังยางเหนียวติดตัวนาง เดินออกมาได้เพียงไม่นานก็ได้ยินบ่าวที่กำลังกวาดลานกว้างเอ่ยถึงเขาอีกครั้ง“น่าสงสารคุณชายเมิ่งยิ่งนัก ข้าไ

  • สามีอยากก้าวหน้าต้องช่วยข้าทำสวน   บทที่ 8.3 ล้วนเป็นโชคชะตานำพา

    บทที่ 8.3ล้วนเป็นโชคชะตานำพาเมื่อมาถึงสำนักศึกษาชงหมิง อันเป็นสถานศึกษาประจำเมืองเทียนฉี บ่าวชายก็นำทางซ่งไป๋ลู่ไปที่ศาลารับรองปีกขวา ในศาลายังมีบิดามารดา พี่สาวพี่ชายของเหล่าบัณฑิตอีกหลายคนนั่งอยู่ ซ่งไป๋ลู่เลือกที่นั่งแถวหลังด้านซ้ายติดกับสระบัว ส่วนหนึ่งคือที่นั่งตรงนี้สามารถรับลมเย็นได้อย่างปลอดโปร่ง แต่ที่สำคัญคือมุมนี้เป็นจุดอับสายตาผู้คน ทว่ากลับเป็นจุดสังเกตการณ์ได้ดียิ่งผู้อยู่ในที่ลับย่อมมองได้กว้างกว่าผู้อยู่ในที่แจ้งดวงตากลมมองดูผู้คนร่วมห้าสิบชีวิตในศาลารับรอง ที่มีทั้งชายหญิง ตั้งแต่หนุ่มสาวไปจนถึงวัยกลางคน หากแต่กวาดมองจนทั่ว ทั้งศาลาแห่งนี้กลับมีนางเพียงคนเดียวที่ยังเป็นเพียงเด็กสาววัยไม่ปักปิ่น“เอ๊ะ! คุณหนูม่านเจ้าดูสิ วันนี้มีเด็กน้อยมาร่วมดื่มชาขับกลอนกับพวกเราด้วย”“โอว้! จริงด้วย ดูแล้วอายุยังน้อยกว่าเสี่ยวหรานของพวกเราเสียอีก เหตุใดจึงมานั่งอยู่ที่นี่ได้กัน”สวีหลันฮวาบุตรีคหบดีสวีเอ่ยร้อง ม่านชิงหวันบุตรสาวเถ้าแก่ม่านก็เอ่ยรับได้อย่างทันท่วงที ซ่งไป๋ลู่ลอบถอนหายใจเบาๆ พลางนึกถึงคำพูดของพี่ชายขึ้นมา“อาไป๋ จงจำไว้การศึกษาไม่อาจนรับรองนิสัยของผู้คน ทว่าปัญญาช

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status