กลางดึกในเขตวังหลวงนั้นเอง องครักษ์เฝ้ายามทำหน้าที่ได้ดีแล้ว ใครต้องการบุกรุกเข้ามาล้วนทำได้ยากยิ่ง แต่ท่ามกลางความมืดนั้นเองก็ยังมีร่างเพรียวบางสวมชุดสีดำทั้งตัวกระโดดข้ามหลังคาด้วยฝีเท้าเบามิต่างจากฝีเท้าแมว นางห้ามจากหลังคาหนึ่งไปอักหลังหนึ่งด้วยเครื่องมือที่พิสดารไม่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในยุคนี้ ค่อย ๆ อาศัยจุดบอดของการเฝ้ายาม เดินทางจนมาถึงตำหนักลู่ซานอันเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ขององค์หญิงสามลู่เอิน
ร่างเพรียวชุดดำผู้นี้คือ ซุนเฟยเมี่ยวเอง คืนนี้นางมีนัดกับสหายข้างนอกวังหลวง แต่ก่อนออกไปนั้นนางต้องจัดการเหล่าบุคคลที่กลั่นแกล้งนางเมื่อช่วงกลางวันเสียก่อน
เวลานี้กลางยามห้าย[1]แล้ว จากสายของเฟยเมี่ยวในตำหนักลู่ซานบอกไว้ว่ายามนี้ทั้งเจ้านายและบ่าวรับใช้ต่างเข้านอนหมดแล้ว เป็นช่วงเหมาะสมยิ่งที่เฟยเมี่ยวจะจัดการบางอย่างอย่างลับ ๆ ในตำหนักนี้ นางเข้าไปในตำหนักไม่นานจัดการนำผงสมุนไพรคันใส่ในหีบเสื้อผ้าของลู่เอินเสร็จก็จากไปทันที
เวรยามของวังหลวงเฟยเมี่ยวเข้าใจหมด ด้วยการใช้ทักษะที่ร่ำเรียนมากว่าสิบปีของการเป็นสายลับในชาติก่อน ค่อย ๆ ชักจูงคนด้วยความปรารถนาใต้บึ้งลึกจิตใจ หรือไม่ก็กิเลสหลายด้านของคน ซึ่งย่อมต้องมีทุกคน ตลอดเกือบสองปีที่ฟื้นมาในร่างของคุณหนูซุนเฟยเมี่ยวที่ถูกมารดาและบิดาทิ้งไว้ในวังหลวงเพียงลำพังนั้น นางตั้งสติได้ก็ค่อย ๆ หาพรรคพวกตามตำหนักต่าง ๆ ใช้เวลาทำความเข้าใจจนปรับตัวได้ มีชีวิตรอดในวังหลวงอันเปรียบเสมือนสงครามขนาดย่อมจนถึงตอนนี้
ด้วยความที่เฟยเมี่ยวฟื้นมานางก็อยู่ในความดูแลของฮองเฮาแล้ว ความทรงจำของเจ้าของร่างก็พอมีบ้าง มีพอให้เข้าใจว่าตนเองเป็นใคร แต่เหตุการณ์ของเจ้าของร่างนี้ที่เคยผ่านมาล้วนเลือนลางไม่สามารถนำมาปะติดประต่อได้เลย ที่รู้แน่ชัดคือวิญญาณร่างนี้หมดอายุไขไปตั้งแต่ป่วยหนักก่อนที่
เฟยเมี่ยวจะมาเข้าร่างนี้ก็เท่านั้นแต่ยังดีที่ความทรงจำของนางในชาติก่อนที่ตนเองจะหายเข้ามาในยุคนี้นั้นยังชัดเจน ประสบการณ์การเป็นสายลับกว่าสิบปียังมีติดตัว แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดตนถึงทะลุมิติย้อนมาอยู่ในยุคสมัยจีนโบราณได้ แต่เมื่อเกิดในร่างใหม่นี้แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดย่อมคือการมีชีวิตรอดต่อไปในร่างนี้นั่นแหละ
เมื่อจัดการในสิ่งที่ตนต้องการเสร็จแล้ว ร่างเพรียวบางดำทมึนก็กระโดดหายไป มุ่งหน้าสู่เป้าหมายที่แท้จริงของค่ำคืนนี้ทันที
...นอกวังหลวงนั่นเอง
เช้าวันต่อมา...
วันนี้นอกจากอากาศจะแจ่มใสชวนใจจิตใจปลอดโปร่งแล้ว ในอนาคตอันใกล้นี้ก็จะมีข่าวดีให้เฟยเมี่ยวชื่นใจอีกอย่างแน่นอน สตรีในชุดสีขาวฟ้าเดินสงบเสงี่ยมนำนางกำนัลสองคนและบ่าวที่ติดตามมาอย่างมู่กวาไปเข้าเฝ้าฮองเฮา เพื่อร่วมทานมื้อเช้าด้วยอย่างทุกวัน
สิ่งที่เฟยเมี่ยวต้องทำในฐานะคนในการดูแลของฮองเฮาคือการต้องมาทานอาหารมื้อเช้าและมื้อเย็นร่วมทุกวัน วันไหนพิเศษหน่อยโอรสและพระธิดาของฮองเฮาก็อาจจะมาทานด้วย มิสามารถคาดเดาได้ แต่เฟยเมี่ยวไม่กลัวเพราะก่อนนางจะเข้าไปยังตำหนักคุนหนิงมักจะรู้เหตุการณ์เบื้องต้นข้างในก่อน จากสายที่นางตีสนิทไว้ประจำตำหนักนี้ สายคนนั้นคือขันทีหลาน ผู้มีหน้าที่ยืนเฝ้าหน้าประตูทางเข้าห้องที่ฮองเฮาประทับอยู่นั่นเอง
“วันนี้มีองค์รัชทายาทมาร่วมเสวยอาหารด้วย ทรงสนทนาอยู่ด้านใน ส่วนองค์หญิงสามไม่สบายเสวยอาหารที่ตำหนักส่วนตัว”
ขันทีหลานอาศัยจังหวะที่เฟยเมี่ยวหยุดหน้าประตูเอ่ยเสียงเบาพอให้ได้ยินสองคน ก่อนจะขานให้เจ้านายข้างในรับรู้การมาของผู้มาใหม่ตามหน้าที่ของตน
“คุณหนูเฟยเมี่ยวมาแล้วพะยะค่ะ !”
ไม่ผิดจากที่เฟยเมี่ยวคาดเดาเท่าไรนัก จากสิ่งที่นางทำเมื่อคืนย่อมทำให้องค์หญิงสามมีอาการคันคะเยอหลังเปลี่ยนชุดย่อมไม่มีหน้าเอาสภาพน่าเกลียดออกมาเดินนอกตำหนักเป็นแน่ หากองค์หญิงสามต้องการหาคนลงมือทำเฟยเมี่ยวก็ไม่กลัวว่าจะสาวมาถึงนาง เพราะนางจัดการซื้อสมุนไพรนั้นอีกทั้งลงมือทำโดยไร้คนพบเห็นอย่างรอบครอบ เมื่อหาคนทำไม่ได้ผู้ที่ตกเป็นที่รองรับอารมณ์ย่อมคือเหล่านางกำนัลคนสนิท เพียงเท่านี้
เฟยเมี่ยวก็รู้สึกชื่นใจจนมองไปทางไหนก็ดูสดชื่นสบายตาไปหมดแล้ว“ถวายพระพรฮองเฮา องค์รัชทายาทเพคะ ขอให้ทรงพระเจริญพันปีพันพันปี...”
เฟยเมี่ยวกล่าวจบก็รอให้คนรับการเคารพเอ่ยอนุญาตก่อนจะลุกขึ้นได้
“มานั่งเถิด วันนี้อาหวงมาทานด้วย เมี่ยวเมี่ยวก็ช่วยปรนนิบัติพี่เขาหน่อยก็แล้วกัน”
เฟยเมี่ยวยิ้มรับ นางมองสบตากับองค์รัชทายาทหวงลู่เล็กน้อยก่อนเดินไปประจำตำแหน่งของตน ยามที่องค์ชายใหญ่ หรือ องค์รัชทายาทหวงลู่มาร่วมทานอาหารกับฮองเฮาด้วย พระนางชอบเอ่ยให้เฟยเมี่ยวช่วยเทน้ำ หรือไม่ก็ คีบอาหารบางอย่างให้เรื่อย ๆ ระหว่างที่ทานด้วยกัน ซึ่งคราวนี้ก็เช่นกัน ยามเขามาทีไรนางต้องได้กินน้อยกว่าปรกติเสียทุกที
จะแสดงความไม่พอใจก็ไม่ได้ เพราะท่าทีที่เฟยเมี่ยวแสดงต่อหน้าฮองเฮาคือสตรีสงบเสงี่ยมแม้ไม่ถึงขนาดเรียบร้อยแต่ก็ไม่กระโตกกระตากเยี่ยงเมื่อคืนที่กระโดดผาดโผนหนีออกนอกวังนั่นล่ะ
“หงไท่ฝูเอ่ยเตือนให้เมี่ยวเมี่ยวตั้งใจมากขึ้นหน่อย เพราะเขาทดสอบเจ้าทีไรก็ตอบมิได้ทุกที เอาเป็นว่าหากเจ้ามีสิ่งใดไม่เข้าใจก็ไปถามอาหวงก็แล้วกัน สะดวกสอนน้องหน่อยหรือไม่?”
หงไท่ฝูคืออาจารย์ที่รับผิดชอบสอนวิชาเขียนอักษรและวาดภาพให้เหล่าองค์หญิงองค์ชาย และบุตรหลานขุนนางที่มาร่วมเรียนด้วยนั่นเอง ซึ่งเฟยเมี่ยวนั้นจำพวกตัวอักษรทั้งหมดได้นานแล้ว ส่วนวิชาวาดรูปนางก็ทำได้แม้ไม่ได้งดงามมากแต่ก็ดูสบายตานั่นล่ะ เพียงแต่เฟยเมี่ยวไม่อยากแสดงตนให้เก่งเกินไปจนเป็นที่หมั่นไส้ของเหล่าผู้สูงศักดิ์ ฉะนั้นเวลาหงไท่ฝูถามนางก็เลี่ยงทำเป็นตอบไม่ได้แทน รอตอนสอบวัดผลนางค่อยทำเต็มที่ก็พอ
คนถูกดึงเข้าสู่หน้าที่ใหม่อย่างหวงลู่ก็หยักยิ้มมีเลศนัยเล็กน้อย ก่อนเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มจริงใจส่งไปให้มารดา
“ลูกสะดวกเสมอพะยะค่ะท่านแม่ มีแต่เมี่ยวเมี่ยวนั่นล่ะจะอยากเรียนหรือไม่”
เฟยเมี่ยวย่อมไม่อยากเรียนเพิ่มอยู่แล้ว แต่เมื่อสักครู่นางวาบความคิดหนึ่งขึ้นมาจึงพยักหน้ายินดีทันที
“หม่อมฉันน้อมรับความหวังดีของพระองค์เพคะ”
ความคิดที่ว่าก็คือ นางจะใช้โอกาสนี้ให้หวงลู่พาออกนอกวังหลวงนี้ในช่วงกลางวันอย่างภาคภูมิน่ะสิ
ต้องขอบพระทัยฮองเฮาที่เปิดโอกาสนี้ยิ่งนัก ด้วยความคิดนี้เฟยเมี่ยวจึงส่งยิ้มดีใจเต็มหน้าตลอดเวลา จวบจนฮองเฮาเอ่ยบอกให้หวงลู่พาเฟยเมี่ยวออกไปเดินย่อยข้างนอกนั่นล่ะ รอยยิ้มอ่อนหวานจริงใจบนใบหน้าทรงรีจิ้มลิ้มจึงหุบลงทันที
ขันทีและนางกำนัลรับใช้ของทั้งสองคนที่ตามมาข้างหลังก็ถอยห่างออกไปไกลพอควร ปล่อยให้หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเดินเคียงคู่เยี่ยงมังกรคู่หงส์
“เมี่ยวเมี่ยวชักจะเหิมเกริมเกินไปเสียแล้วนะ อันใดคือเจ้าหุบยิ้มทันทีที่มิได้อยู่ต่อหน้าเสด็จแม่กัน”
[1] ยามห้าย 21.00 – 22.59 น.
บทส่งท้าย“ถวายพระพรชินอ๋องพะยะค่ะ”คนตระกูลซุนที่ออกมาต้อนรับยังไม่ทันลงไปทำความเคารพที่พื้นก็ต้องชะงักลงก่อนเพราะคำพูดแปลกประหลาดผู้สูงศักดิ์ที่มาใหม่นั่นเอง“ไม่ต้องเคารพถึงเพียงนั้นหรอกท่านว่าที่พ่อตา...”เฟยเมี่ยวอึ้งเช่นเดียวกันกับคนอื่น เพราะเขาไม่เห็นบอกนางล่วงหน้าให้ทำใจก่อนเล่า ใครจะคิดว่าอยู่ที่ดีก็ยกขบวนหมั้นหมายมาโดยไม่แจ้งล่วงหน้า“ท่านอ๋องหมายความอันใดหรือ ? กระหม่อมไม่เข้าใจ”ขนาดไม่เข้าใจของบิดานางนะเนี่ย น้ำเสียงยังแข็งกร้าวขึ้นเปลี่ยนไปจากตอนแรกมากเลยดูท่าการเป็นอริอย่างเช่นข่าวลือบิดาของนางจะอินเกินจนเข้ากระแสเลือดไปแล้วกระมัง“ก็วันนี้ข้ามาสู่ขอเมี่ยวเมี่ยวไปเป็นพระชายาเอกอย่างไรเล่า เดี๋ยวก็คงจะได้เรียกพ่อตาแล้วในอนาคต”เฟยเมี่ยวเห็นประกายไฟระหว่างสองสายตาที่จ้องกันอยู่ตอนนี้ของแม่ทัพใหญ่ซุนเหวินเชาและชินอ๋องขึ้นมาลาง ๆ แล้ว ดีที่มารดาของนางรีบเข้ามายืนขวางหน้าซุนเหวินเชาเสียก่อน“ท่านอ๋องมาแล้วก็เชิญข้างในจวนก่อนเถอะเพคะ เรื่องนี้คงต้องคุยกันอีกยาว...”“ไม่ให้แต่ง อย่างไรก็ไม่ให้แต่ง !!!”“ใช่ขอรับ ลูกไม่ให้แต่งเช่นกัน!!”สองพ่อลูกตระกูลซุนตะโกนแทบจะพร้อมกันต่อ
24ตัดขาดภายในห้องรับรองตระกูลซุนสายรอง มีเจ้าของจวนนั่งเรียงหน้าเครียด โดยเฉพาะซุนเหวินเชา แม่ทัพไร้พ่ายที่หน้านิ่งแผ่รังสีความไม่พอใจ จนทำให้เหล่าแขกของจวนที่นั่งรวมกันอยู่ฝั่งที่นั่งแขกพากันนั่งเกร็งจนเฟยเมี่ยวที่มองอยู่แทบกลั้นขำไม่ไหวเหล่าแขกที่ว่าคือ พวกตระกูลซุนสายหลักนั่นเอง มีท่านลุงซุนโหว ท่านป้าสะใภ้ซูเม่ย และท่านย่า พวกเขามาคราวนี้เพื่อมาขอขมา ให้สายรองให้อภัยกับเรื่องที่เกิดขึ้น“อาเหวิน เจ้าก็ให้อภัยพี่ชายเจ้าหน่อยเถอะ อย่างไรก็คนตระกูลซุนเช่นเดียวกัน”ท่านย่าเอ่ยเสียงอ่อน รอยยิ้มเหี่ยวย่นของหญิงชราผู้นี้จืดเจื่อนยิ่งนัก แต่ก็ทำใจดีสู้เสือเอ่ยทั้งที่น้ำเสียงติดสั่นระริกจากรังสีกดดันของแม่ทัพไร้พ่าย“ท่านแม่มิคิดหรือเจ้าคะ หากอาเมี่ยวรักษาไม่ทันจะเป็นเช่นไร ท่านพี่สะใภ้นั้นอาจถูกหลอกใช้ก็จริง แต่ว่าอย่างไรเสียเมื่อไม่รู้แหล่งที่มาดีดีไยต้องเสี่ยงให้บุตรสาวของข้ากินด้วย หรือว่าเพราะไม่ใช่บุตรสาวของตนจึงจะให้กินอันใดก็ได้”“ไม่เลย ๆ น้องสะใภ้อย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้ตั้งใจทำร้ายใครทั้งสิ้น เจ้าอย่าได้คิดเช่นนั้น ทว่าอย่างไรบุตรสาวเจ้าก็ไม่เป็นอันใดนี่ เจ้าสบายดีใช่ไหมอาเ
23ไปหาหลักฐานเมื่อเป็นเรื่องความเป็นไประดับแคว้น พอเฟยเมี่ยวไปปรึกษากับชินอ๋องนางก็เพิ่งได้รู้ว่าเขากำลังติดตามเรื่องมีคนลักลอบจำหน่ายฝิ่นอยู่เช่นเดียวกัน พอเฟยเมี่ยวเอาสิ่งที่นางสืบมาโดยตลอดผนวกเข้ากับความจริงจากปากมารดามันทำให้เฟยเมี่ยวสงสัยไปที่ตระกูลซุนสายหลักโดยเฉพาะท่านป้าซูเม่ยทันที พอเอ่ยขอให้ชินอ๋องไปติดตามและสืบเชิงลึกที่ตระกูลหลิงก็พบเบาะแสบางอย่างที่พุ่งไปว่าเขาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบค้าฝิ่นจริง โดยประมุขตระกูลหลิงที่เป็นถึงหัวหน้ากรมตุลาการหากลักลอบขายฝิ่นย่อมสะเทือนต่อแคว้นมากแน่ตอนนี้ขอเพียงหาหลักฐานมาก็สามารถจับกุมตัวการหลักแล้ว สิ่งที่ชินอ๋องกำลังทำอยู่ตอนนี้คือติดตามคนของตระกูลหลิงที่มีการเดินทางไปมาที่ชายแดนกับเมืองต่าง ๆ โดยแน่นอนว่าเฟยเมี่ยวขอติดตามมาด้วยซึ่งตอนแรกบิดานางจะไม่ให้ไปแต่เพราะชินอ๋องเอ่ยปากและบอกว่าให้พี่ใหญ่ตามมาด้วยได้ เฟยเมี่ยวจึงมีโอกาสได้ติดตามไปชายแดนเยี่ยงตอนนี้“อาเมี่ยวไหวหรือไม่อีกไม่ไกลก็ได้เข้าเมืองแล้ว”พี่ใหญ่เอ่ยถามนางมาตลอดทางทุก ๆ ครึ่งชั่วยาม เขาเป็นห่วงนางเกินไปจนเฟยเมี่ยวเหนื่อยจะตอบแล้ว คงเพราะการเดินทางครานี้รีบเร่งจนมิอ
22ไหน้ำส้มใครแตกกันนะวันนี้เฟยเมี่ยวออกจากจวนไปร่วมงานชมดอกไม่ที่ตระกูลไป๋จัดขึ้น นางมาถึงก็มีเหล่าคุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนมาบ้างแล้ว พอเลี่ยงเหลียงซูเห็นเฟยเมี่ยวเข้างานมาก็รีบมาเดินด้วยกันทันที ทำให้เฟยเมี่ยวไม่เดินเหงาคนเดียวอีกต่อไปรอเวลาผ่านไปจนเริ่มงานชมดอกไม้แล้ว บ่าวตระกูลไป๋จึงมาเชิญเหล่าคุณหนูไปยังลานนั่งล้อมโต๊ะที่มีชาดอกไม้กลิ่นหอมกรุ่นวางตรงหน้า เป็นการให้ลิ้มรสชาก่อนที่จะไปยังสวนเพื่อชมดอกไม้นั่นล่ะ“ชาดีทีเดียว หนิงอันยังมีรสนิยมดีเยี่ยงเดิมนะ”ท่านหญิงเจียวจินเอ่ยชมเป็นคนแรก แล้วคุณหนูคนอื่น ๆ ก็เอ่ยชมตามมาอีกไม่ขาดส่วนเฟยเมี่ยวนั้นมิได้มางานชมดอกไม้เพียงหาสหาย แต่นางต้องการมารับข่าวสารจากวงสตรีด้วย โดยเฉพาะเรื่องที่พี่ใหญ่สงสัยว่าตระกูลซุนสายหลักกำลังสู่ขอท่านหญิงตรงหน้านี้อยู่“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านหญิงถูกใจข้าน้อยก็เบาใจลงมากเลยเจ้าค่ะ”หนิงอันยิ้มหวานน้อมรับคำชม บทสนทนาของเหล่าสตรีลื่นไหลอย่างหยุดไม่อยู่ ส่วนเฟยเมี่ยวนั้นก็มีคุยบ้างเป็นครั้งคราวไม่ให้เงียบและแปลกพวกเกินไป แต่ไม่มีใครเอ่ยเข้าประเด็นที่เฟยเมี่ยวอยากรู้เลย“ว่าแต่ท่านหญิงเจียวจินผ่านวัยปักปิ่นมาแล้ว ค
21ลอบเข้าตำหนักเฮยลู่จากการที่มีข่าวลือในวันต่อมาว่ามีกลุ่มโจรซุ่มทำร้ายซุนฮูหยินที่ขอบเมืองหลวง สิ่งที่ชาวเมืองเดาไปต่าง ๆ นานา ก็คือกลุ่มโจรนั้นอาจเป็นคนของชินอ๋องก็ได้ เหตุเพราะการที่สองฝ่ายไม่ลงรอยกันนั่นเองเฟยเมี่ยวที่คุ้นชินกลยุทธ์การสร้างข่าวเท็จนี้มองออกทันที นางอยากไขข้อสงสัยมากจนตัดสินใจว่าจะไปสอบถามความจริงจากตัวการใหญ่ ทำให้ดึกคืนนั้นเองเฟยเมี่ยวในชุดดำล้วนอาศัยทางลับที่ตนสร้างไว้สมัยอยู่ในวังเข้ามาได้ในที่สุด นางพุ่งตรงไปยังตำหนักเฮยลู่ อันเป็นตำหนักที่มีเวรยามรัดกุมที่สุดจนนางไม่สามารถมีคนของตนในตำหนักแห่งนี้ได้เลยที่น่าแปลกคือ ตอนนี้เฟยเมี่ยวแอบเข้ามาจนจะถึงตำหนักหลักส่วนในแล้ว นางยังไม่เจอทหารเฝ้ายามเลยสักคน เฟยเมี่ยวคิดว่าตนเองอาจกำลังหลงกลไกการเฝ้ายามซับซ้อนอยู่นางจึงรีบหมุนตัวรีบกลับกลังทางเดิมเสียก่อนที่จะถูกจับได้ทันที“เมี่ยวเมี่ยวจะหนีอีกแล้ว เข้ามาไม่ใช่เพราะคิดถึงข้าหรือ ยังไม่ทันเจอก็จะกลับเสียแล้ว...”นั่นอย่างไร ที่แท้ชินอ๋องผู้นี้ก็คิดว่านางต้องมาหาเขาอยู่แล้ว ทหารเฝ้ายามจึงหายไปหมดเช่นนี้เมื่อเจอตัวการที่นางต้องการเจอแล้ว อันใดคือต้องหนีกันเล่า !“ทห
20อยากแสร้งเป็นลมล้มสลบให้ไม่ต้องพบหน้าใครอีกงืม ๆ“เช้าแล้วหรือ?...”“ใช่ เช้าแล้ว เมี่ยวเมี่ยวตื่นแล้ว ขี้เซายิ่งนัก”หืม นางไม่ได้นอนอยู่ในห้องคนเดียวหรือไร ไยรู้สึกเหมือนเสียงพูดเมื่อครู่เกิดขึ้นที่ข้างหูนางนี้เองกันนะ ลมที่พัดผ่านใบหูมันชวนให้จั๊กกะจี้จนต้องย่นคอหนีทั้งที่ยังหลับตา ไหนจะสัมผัสบางอย่างที่คลอเคลียแก้มจนทนไม่ไหวต้องลืมตาขึ้นดูแล้วค่อยหลับอีกคราก็แล้วกัน“ท่านอ๋องมาอยู่นี่ได้อย่างไร ! โอ๊ะ”ไม่สิ ตอนนี้นางนอนอยู่ในป่านี่นา นางลืมไปเสียได้ คงเพราะเมื่อวานเหนื่อยมากจนหลับไม่รู้เรื่องแน่เลย“แล้วไยถึงถูกท่านกอดได้ !! ปล่อยนะ”ได้สติแล้วเฟยเมี่ยวก็สังเกตว่าตนเองถูกเต๋อรุ่ยกอดอยู่ แก้มของนางแนบคางของเขาจนรู้สึกประหลาดไปหมด แต่แรงกอดรัดของคนที่บาดเจ็บนั้นเฟยเมี่ยวสู้ไม่ไหวจริง นี่ขนาดเขาบาดเจ็บนะแรงยังมากเพียงนี้เลย ไม่อยากจะคิดยามปรกติจะแรงเยอะเพียงใด แต่ที่แน่นอนคือแรงสตรีตัวเล็กอย่างนางสู้เขาไม่ได้แน่นอน“เมี่ยว ๆ กอดข้าเองนะ อีกทั้งยังกอดไม่ปล่อยอีกด้วย ข้าเลยต้องนอนรออยู่เยี่ยงนี้อย่างไรล่ะ”“แต่เมื่อคืนหม่อมฉันไม่ได้นอนท่านี้ หม่อมฉันเพียงให้ความอบอุ่นแก่พระองค์ผ่า