กลางดึกในเขตวังหลวงนั้นเอง องครักษ์เฝ้ายามทำหน้าที่ได้ดีแล้ว ใครต้องการบุกรุกเข้ามาล้วนทำได้ยากยิ่ง แต่ท่ามกลางความมืดนั้นเองก็ยังมีร่างเพรียวบางสวมชุดสีดำทั้งตัวกระโดดข้ามหลังคาด้วยฝีเท้าเบามิต่างจากฝีเท้าแมว นางห้ามจากหลังคาหนึ่งไปอักหลังหนึ่งด้วยเครื่องมือที่พิสดารไม่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในยุคนี้ ค่อย ๆ อาศัยจุดบอดของการเฝ้ายาม เดินทางจนมาถึงตำหนักลู่ซานอันเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ขององค์หญิงสามลู่เอิน
ร่างเพรียวชุดดำผู้นี้คือ ซุนเฟยเมี่ยวเอง คืนนี้นางมีนัดกับสหายข้างนอกวังหลวง แต่ก่อนออกไปนั้นนางต้องจัดการเหล่าบุคคลที่กลั่นแกล้งนางเมื่อช่วงกลางวันเสียก่อน
เวลานี้กลางยามห้าย[1]แล้ว จากสายของเฟยเมี่ยวในตำหนักลู่ซานบอกไว้ว่ายามนี้ทั้งเจ้านายและบ่าวรับใช้ต่างเข้านอนหมดแล้ว เป็นช่วงเหมาะสมยิ่งที่เฟยเมี่ยวจะจัดการบางอย่างอย่างลับ ๆ ในตำหนักนี้ นางเข้าไปในตำหนักไม่นานจัดการนำผงสมุนไพรคันใส่ในหีบเสื้อผ้าของลู่เอินเสร็จก็จากไปทันที
เวรยามของวังหลวงเฟยเมี่ยวเข้าใจหมด ด้วยการใช้ทักษะที่ร่ำเรียนมากว่าสิบปีของการเป็นสายลับในชาติก่อน ค่อย ๆ ชักจูงคนด้วยความปรารถนาใต้บึ้งลึกจิตใจ หรือไม่ก็กิเลสหลายด้านของคน ซึ่งย่อมต้องมีทุกคน ตลอดเกือบสองปีที่ฟื้นมาในร่างของคุณหนูซุนเฟยเมี่ยวที่ถูกมารดาและบิดาทิ้งไว้ในวังหลวงเพียงลำพังนั้น นางตั้งสติได้ก็ค่อย ๆ หาพรรคพวกตามตำหนักต่าง ๆ ใช้เวลาทำความเข้าใจจนปรับตัวได้ มีชีวิตรอดในวังหลวงอันเปรียบเสมือนสงครามขนาดย่อมจนถึงตอนนี้
ด้วยความที่เฟยเมี่ยวฟื้นมานางก็อยู่ในความดูแลของฮองเฮาแล้ว ความทรงจำของเจ้าของร่างก็พอมีบ้าง มีพอให้เข้าใจว่าตนเองเป็นใคร แต่เหตุการณ์ของเจ้าของร่างนี้ที่เคยผ่านมาล้วนเลือนลางไม่สามารถนำมาปะติดประต่อได้เลย ที่รู้แน่ชัดคือวิญญาณร่างนี้หมดอายุไขไปตั้งแต่ป่วยหนักก่อนที่
เฟยเมี่ยวจะมาเข้าร่างนี้ก็เท่านั้นแต่ยังดีที่ความทรงจำของนางในชาติก่อนที่ตนเองจะหายเข้ามาในยุคนี้นั้นยังชัดเจน ประสบการณ์การเป็นสายลับกว่าสิบปียังมีติดตัว แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดตนถึงทะลุมิติย้อนมาอยู่ในยุคสมัยจีนโบราณได้ แต่เมื่อเกิดในร่างใหม่นี้แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดย่อมคือการมีชีวิตรอดต่อไปในร่างนี้นั่นแหละ
เมื่อจัดการในสิ่งที่ตนต้องการเสร็จแล้ว ร่างเพรียวบางดำทมึนก็กระโดดหายไป มุ่งหน้าสู่เป้าหมายที่แท้จริงของค่ำคืนนี้ทันที
...นอกวังหลวงนั่นเอง
เช้าวันต่อมา...
วันนี้นอกจากอากาศจะแจ่มใสชวนใจจิตใจปลอดโปร่งแล้ว ในอนาคตอันใกล้นี้ก็จะมีข่าวดีให้เฟยเมี่ยวชื่นใจอีกอย่างแน่นอน สตรีในชุดสีขาวฟ้าเดินสงบเสงี่ยมนำนางกำนัลสองคนและบ่าวที่ติดตามมาอย่างมู่กวาไปเข้าเฝ้าฮองเฮา เพื่อร่วมทานมื้อเช้าด้วยอย่างทุกวัน
สิ่งที่เฟยเมี่ยวต้องทำในฐานะคนในการดูแลของฮองเฮาคือการต้องมาทานอาหารมื้อเช้าและมื้อเย็นร่วมทุกวัน วันไหนพิเศษหน่อยโอรสและพระธิดาของฮองเฮาก็อาจจะมาทานด้วย มิสามารถคาดเดาได้ แต่เฟยเมี่ยวไม่กลัวเพราะก่อนนางจะเข้าไปยังตำหนักคุนหนิงมักจะรู้เหตุการณ์เบื้องต้นข้างในก่อน จากสายที่นางตีสนิทไว้ประจำตำหนักนี้ สายคนนั้นคือขันทีหลาน ผู้มีหน้าที่ยืนเฝ้าหน้าประตูทางเข้าห้องที่ฮองเฮาประทับอยู่นั่นเอง
“วันนี้มีองค์รัชทายาทมาร่วมเสวยอาหารด้วย ทรงสนทนาอยู่ด้านใน ส่วนองค์หญิงสามไม่สบายเสวยอาหารที่ตำหนักส่วนตัว”
ขันทีหลานอาศัยจังหวะที่เฟยเมี่ยวหยุดหน้าประตูเอ่ยเสียงเบาพอให้ได้ยินสองคน ก่อนจะขานให้เจ้านายข้างในรับรู้การมาของผู้มาใหม่ตามหน้าที่ของตน
“คุณหนูเฟยเมี่ยวมาแล้วพะยะค่ะ !”
ไม่ผิดจากที่เฟยเมี่ยวคาดเดาเท่าไรนัก จากสิ่งที่นางทำเมื่อคืนย่อมทำให้องค์หญิงสามมีอาการคันคะเยอหลังเปลี่ยนชุดย่อมไม่มีหน้าเอาสภาพน่าเกลียดออกมาเดินนอกตำหนักเป็นแน่ หากองค์หญิงสามต้องการหาคนลงมือทำเฟยเมี่ยวก็ไม่กลัวว่าจะสาวมาถึงนาง เพราะนางจัดการซื้อสมุนไพรนั้นอีกทั้งลงมือทำโดยไร้คนพบเห็นอย่างรอบครอบ เมื่อหาคนทำไม่ได้ผู้ที่ตกเป็นที่รองรับอารมณ์ย่อมคือเหล่านางกำนัลคนสนิท เพียงเท่านี้
เฟยเมี่ยวก็รู้สึกชื่นใจจนมองไปทางไหนก็ดูสดชื่นสบายตาไปหมดแล้ว“ถวายพระพรฮองเฮา องค์รัชทายาทเพคะ ขอให้ทรงพระเจริญพันปีพันพันปี...”
เฟยเมี่ยวกล่าวจบก็รอให้คนรับการเคารพเอ่ยอนุญาตก่อนจะลุกขึ้นได้
“มานั่งเถิด วันนี้อาหวงมาทานด้วย เมี่ยวเมี่ยวก็ช่วยปรนนิบัติพี่เขาหน่อยก็แล้วกัน”
เฟยเมี่ยวยิ้มรับ นางมองสบตากับองค์รัชทายาทหวงลู่เล็กน้อยก่อนเดินไปประจำตำแหน่งของตน ยามที่องค์ชายใหญ่ หรือ องค์รัชทายาทหวงลู่มาร่วมทานอาหารกับฮองเฮาด้วย พระนางชอบเอ่ยให้เฟยเมี่ยวช่วยเทน้ำ หรือไม่ก็ คีบอาหารบางอย่างให้เรื่อย ๆ ระหว่างที่ทานด้วยกัน ซึ่งคราวนี้ก็เช่นกัน ยามเขามาทีไรนางต้องได้กินน้อยกว่าปรกติเสียทุกที
จะแสดงความไม่พอใจก็ไม่ได้ เพราะท่าทีที่เฟยเมี่ยวแสดงต่อหน้าฮองเฮาคือสตรีสงบเสงี่ยมแม้ไม่ถึงขนาดเรียบร้อยแต่ก็ไม่กระโตกกระตากเยี่ยงเมื่อคืนที่กระโดดผาดโผนหนีออกนอกวังนั่นล่ะ
“หงไท่ฝูเอ่ยเตือนให้เมี่ยวเมี่ยวตั้งใจมากขึ้นหน่อย เพราะเขาทดสอบเจ้าทีไรก็ตอบมิได้ทุกที เอาเป็นว่าหากเจ้ามีสิ่งใดไม่เข้าใจก็ไปถามอาหวงก็แล้วกัน สะดวกสอนน้องหน่อยหรือไม่?”
หงไท่ฝูคืออาจารย์ที่รับผิดชอบสอนวิชาเขียนอักษรและวาดภาพให้เหล่าองค์หญิงองค์ชาย และบุตรหลานขุนนางที่มาร่วมเรียนด้วยนั่นเอง ซึ่งเฟยเมี่ยวนั้นจำพวกตัวอักษรทั้งหมดได้นานแล้ว ส่วนวิชาวาดรูปนางก็ทำได้แม้ไม่ได้งดงามมากแต่ก็ดูสบายตานั่นล่ะ เพียงแต่เฟยเมี่ยวไม่อยากแสดงตนให้เก่งเกินไปจนเป็นที่หมั่นไส้ของเหล่าผู้สูงศักดิ์ ฉะนั้นเวลาหงไท่ฝูถามนางก็เลี่ยงทำเป็นตอบไม่ได้แทน รอตอนสอบวัดผลนางค่อยทำเต็มที่ก็พอ
คนถูกดึงเข้าสู่หน้าที่ใหม่อย่างหวงลู่ก็หยักยิ้มมีเลศนัยเล็กน้อย ก่อนเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มจริงใจส่งไปให้มารดา
“ลูกสะดวกเสมอพะยะค่ะท่านแม่ มีแต่เมี่ยวเมี่ยวนั่นล่ะจะอยากเรียนหรือไม่”
เฟยเมี่ยวย่อมไม่อยากเรียนเพิ่มอยู่แล้ว แต่เมื่อสักครู่นางวาบความคิดหนึ่งขึ้นมาจึงพยักหน้ายินดีทันที
“หม่อมฉันน้อมรับความหวังดีของพระองค์เพคะ”
ความคิดที่ว่าก็คือ นางจะใช้โอกาสนี้ให้หวงลู่พาออกนอกวังหลวงนี้ในช่วงกลางวันอย่างภาคภูมิน่ะสิ
ต้องขอบพระทัยฮองเฮาที่เปิดโอกาสนี้ยิ่งนัก ด้วยความคิดนี้เฟยเมี่ยวจึงส่งยิ้มดีใจเต็มหน้าตลอดเวลา จวบจนฮองเฮาเอ่ยบอกให้หวงลู่พาเฟยเมี่ยวออกไปเดินย่อยข้างนอกนั่นล่ะ รอยยิ้มอ่อนหวานจริงใจบนใบหน้าทรงรีจิ้มลิ้มจึงหุบลงทันที
ขันทีและนางกำนัลรับใช้ของทั้งสองคนที่ตามมาข้างหลังก็ถอยห่างออกไปไกลพอควร ปล่อยให้หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเดินเคียงคู่เยี่ยงมังกรคู่หงส์
“เมี่ยวเมี่ยวชักจะเหิมเกริมเกินไปเสียแล้วนะ อันใดคือเจ้าหุบยิ้มทันทีที่มิได้อยู่ต่อหน้าเสด็จแม่กัน”
[1] ยามห้าย 21.00 – 22.59 น.
“เมี่ยวเมี่ยวชักจะเหิมเกริมเกินไปเสียแล้วนะ อันใดคือเจ้าหุบยิ้มทันทีที่มิได้อยู่ต่อหน้าเสด็จแม่กัน”เฟยเมี่ยวมิได้กลัวอันใดกับคำพูดเชิงตำหนิแต่เต็มไปด้วยการล้อเลียนของบุรุษข้างเคียง นางยังคงเดินจ้ำอ้าวต่อไปไม่ได้ให้หวงลู่ที่มีศักดิ์เป็นถึงองค์รัชทายาทเดินนำอย่างที่ควรเลย“หม่อมฉันก็เรียนมาจากพระองค์ยามเข้าหน้าเหล่าขุนนางและลับหลังเหล่าขุนนางนั่นแหละเพคะ พระองค์ยิ้มบ่อยน่าจะรู้ว่าการหยักยกริมฝีปากมันเมื่อยเพียงใด”เขาล้อมา เฟยเมี่ยวก็ล้อกลับบ้างไม่ยอมแพ้หรอก ในวังหลวงแห่งนี้มีเพียงหวงลู่ผู้นี้นั่นล่ะที่รู้ว่าเนื้อแท้นิสัยของเฟยเมี่ยวซุกซนและเจ้าเล่ห์เพียงใด นางจึงสบายใจยามอยู่กับเขาและเอ่ยขอให้เขาช่วยพาออกนอกวังหลวงอยู่หลายครา ด้วยอำนาจขององค์รัชทายาทที่เป็นรองเพียงฮ่องเต้และฮองเฮา เฟยเมี่ยวเลือกคบเขาเป็นสหายแล้วมีประโยชน์เป็นที่สุด“เสด็จแม่ก็เอ็นดูเจ้าเสียจริง แล้วนี่ยังถูกลู่หลินแกล้งอยู่หรือไม่?”การที่หวงลู่รู้นั้นมิใช่เพราะว่าเฟยเมี่ยวมาฟ้องนะ แต่เพราะองค์หญิงสามแสนเอาแต่พระทัยผู้นั้นแสดงออกถึงความไม่ชอบหน้านางจนใครต่างก็รู้ดี ไม่เว้นแม้แต่ฮองเฮาเองนั่นแหละ“องค์หญิงสามแกล้งข้า
ฮือ เฟยเมี่ยวขอถอนคำพูดที่เคยบอกไว้ว่าขี่ม้าง่ายกว่าขี่รถมอเตอร์ไซค์เสียตอนนี้ ชาติก่อนเฟยเมี่ยวขี่รถในสนามแข่งทีไรชนะที่หนึ่งตลอด ไยพอขี่ม้าแข่งบ้าง นางกลับไม่ชนะเสียทีเล่า !แดดแรงแล้ว เฟยเมี่ยวจึงขอทดไว้แข่งกับองค์รัชทายาทหวงลู่คราวหน้าแทน ทั้งสองคนลงจากหลังม้าได้ก็เดินเคียงคู่กันออกมาจากสนามวิ่งม้า จากที่เฟยเมี่ยวคิดไว้ว่าจะเดินกลับตำหนักของทันทีก็ต้องชะลอแผนนั้นไว้ก่อน เพราะที่ทางออกจากสนาม พบผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่งยืนอยู่เจอหน้ากันเพียงนี้แล้ว จะเลี่ยงตามกฎที่ตนตั้งไว้ก็ไม่ได้ จำต้องเผชิญหน้าเท่านั้น“ถวายบังคมชินอ๋องเพคะ”“คำนับเสด็จอาพะยะค่ะ”ตรงหน้าของนางนั้นคือบุรุษร่างสูงใหญ่สวมชุดสีดำทมึนพาดลายงูใหญ่นูนแต่ดูกลมกลืน บนชุดมีเพียงสีแดงเลือดกับสีทองบ้างช่วยแต่งเติมให้ดูยิ่งทรงอำนาจขึ้นไปอีก ชินอ๋องผู้นี้เป็นพระอนุชาของฮ่องเต้ที่อายุห่างกว่าสิบปี ปีนี้เขาน่าจะอายุยี่สิบห้า เป็นโอรสองค์เล็กสุดในอดีตฮ่องเต้ ไม่รู้ด้วยความรักสายสัมพันธ์พี่น้อง หรือเป็นเพราะพระมารดาของชินอ๋องเป็นอดีตนางกำนัลคนสนิทของไทเฮา หรือเหตุอันใดทำให้ชินอ๋องผู้นี้สามารถดำรงอยู่ในเมืองหลวงข้างกายฮ่องเต้ได้ ทั้ง
ศาลยุคโบราณนี้ไม่ต่างจากยุคปีค.ศ.สองพันมากนัก มีตำแหน่งนั่งของคนเข้าดูบรรจุได้หลายสิบคน ตรงกลางเว้นไว้เป็นลานโล่งมีที่นั่งของจำเลย และทุกตำแหน่งนั่งหันไปทางตำแหน่งผู้พิพากษาและเหล่าเจ้าหน้าที่ตัดสินต่าง ๆ ซึ่งจัดไว้ในที่ปิดอย่างเหมาะสมเมื่อกลุ่มของชินอ๋อง องค์รัชทายาทและเฟยเมี่ยวมาถึงก็มีคนอยู่เต็มศาลว่าคดีแล้ว พวกนางมาถึงก็ไปอยู่ตรงตำแหน่งหลังที่นั่งของชินอ๋องอันนั่งแทนตำแหน่งของเสนาบดีหลิงทันที“เริ่มเลย”สิ้นคำของเต๋อรุ่ย บุรุษเคราย้อยผู้หนึ่ง ก็เดินออกมาข้างหน้าพร้อมหนังสือในมือเตรียมเปิดอ่านรายละเอียดคดีให้ทุกคนในศาลว่าคดีรู้กันถ้วนทั่วเขาคือบิดาของเหลียงซู สหายใหม่ที่โดนไล่ออกจากการเป็นพระสหายของเหล่าองค์หญิงองค์ชายไปแล้วนั่นเอง เขามีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเสนาบดีกรมตุลาการ หรือที่คนเรียกกันว่า ผู้ช่วยเลี่ยง“คดีนี้มีผู้ตายคือ นายตู้ อายุสี่สิบห้าปี อาชีพเก็บของป่าไปขาย ไม่มีภรรยา บิดามารดาตายหมดแล้ว เขาอาศัยอยู่ในบ้านเช่าคนเดียว ในวันเกิดเหตุนั้นมีนายซางที่เป็นสหายมาร่วมดื่มสุราด้วยที่บ้าน เช้าวันต่อมามีชาวบ้านแถบนั้นพบศพนายตู้นอนสิ้นใจอยู่ที่ท้ายหมู่บ้านในที่ลับตาคน ไม่ไกลมีมีดที
รับสั่งของชินอ๋องผ่านไปไม่นาน นอกจากเก้าอี้ของจำเลยที่ถูกมัดมือและมีทหารยืนคุมแล้ว ตรงกลางลานก็ปรากฏเป็นพ่อลูกร้านเกี๊ยวเพิ่มมาเฟยเมี่ยวมองพ่อค้าร้านเกี๊ยวแล้วเขาดูนิ่งเฉยติดจะมีอารมณ์กรุ่นโกรธเล็ก ๆ ไม่ได้ดูร้อนรนอย่างคนทำความผิดเท่าไหร่ ผิดก็แต่ลูกสาวที่ถูกนายตู้ไปชื่นชอบนั่นล่ะ ที่มีสีหน้าลุกลี้ลุกลนแปลก ๆ อีกทั้งการแต่งตัวของสตรีนางนี้ก็ดูฟุ้งเฟ้อเกินจะเป็นเพียงลูกสาวร้านขายเกี๊ยวเสียด้วย ทั้งปิ่นทอง กำไล และชุดตัวใหม่ ทุกอย่างถูกประโคมเข้ามาอย่างคนไม่เคยมี พอได้มีก็กำลังเห่อของใหม่อย่างไรอย่างนั้นสมัยที่เฟยเมี่ยวเป็นสายลับในชาติก่อนนั้น ตอนที่ยังไม่มีภารกิจให้ออกไปปฏิบัติการเป็นสายลับที่ประเทศอื่น นางเคยไปช่วยทำงานในศาลช่วยสืบคดีกับนักสืบเก่ง ๆ มาบ้าง นางเคยได้รับบทเรียนมาว่า การจะหาคนร้ายในคดีที่ยากไขนั้น สิ่งหนึ่งที่ต้องมีคือทักษะการสังเกตและจินตนาการ คนสืบคดีต้องเอะใจในสิ่งที่แปลกและใส่จินตนาการเข้าไปเพื่อตั้งสมมติฐานขึ้นมา ลองพิสูจน์ดูว่าจริงหรือไม่ หากใช่ก็จบ หากสมมติฐานนี้ไม่ใช่ก็แค่เปลี่ยนใหม่ไปจินตนาการอีกอย่างก็เท่านั้นจากที่นางสังเกตและฟังเรื่องราวการสืบคดีของเหล่ามื
“ตอนดื่มสุรานายตู้เอ่ยอันใดกับเจ้าบ้าง พูดมาให้หมด”คนเมาสองคนเรื่องที่คุยย่อมไม่พ้นเรื่องปรับทุกข์ในช่วงนั้นหรอก แม้นางจะไม่รู้ว่านายตู้เมาหรือไม่ แต่การทำให้สหายเมาถึงกับค้างที่บ้านได้ เขาก็ต้องดื่มไปพอสมควรนั่นล่ะ“ตามจริงที่พี่ตู้ชวนมาคราวนี้ข้าก็แปลกใจอยู่ เพราะเราทั้งสองไม่ค่อยสนิทกันมาก หากเขาไม่บอกว่าจะเลี้ยงสุราข้าทั้งหมดก็คงไม่ไปหรอก...อา เขาเหมือนกำลังบ่น ๆ เรื่องการหาเงินแต่งเมียนั่นล่ะ บอกว่าชอบพอนางมากแต่บิดานางยื่นคำขาดว่าให้มีสินสอดมากประมาณนึงถึงจะยกให้ เขายังเอ่ยว่าอยากยืมเงินข้าอยู่เลย เพียงแต่ข้าเดิมทีก็จนยิ่งกว่าเขาอยู่แล้ว ไม่มีให้หรอก...เอ่อ เหมือนมีอยู่คราหนึ่งเขาบอกว่าตามจริงเขายืมเงินคนผู้หนึ่งมามากแล้วเพื่อนำไปซื้อของ ตอนนี้ยังไม่มีเงินคืนเลย ยังต้องหาเงินไปสู้ขอเพิ่มอีก อันใดทำนองนั้นขอรับ เอ่อ ข้าจำได้เพียงเท่านั้น”พอนายซางเห็นว่าเฟยเมี่ยวอยู่ข้างตน กำลังช่วยตนเองจึงพยายามนึกทุกอย่างที่พอนึกได้ออกมาจนหมด...แหม ก็ใครจะไม่อยากรอดเล่าเมื่อฟังจนจบเจ้าของคำถามก็นิ่งไปชั่วครู่ก่อนหลุดหัวเราะออกมา นางฟังแล้วดันนึกเรื่องราวหลังจากนี้ออกซึ่งเป็นสิ่งที่น่าตกตะล
วันธรรมดาของเฟยเมี่ยวที่ไม่มีอันใดน่าตื่นเต้นตื่นตาใจก็เป็นเยี่ยงวันนี้ หลังจากไปเข้าเฝ้าคุยเล่นกันฮองเฮาแล้ว นางก็ต้องมาร่วมเรียนวิชาต่าง ๆ กับเหล่าองค์ชาย องค์หญิง และลูกหลานขุนนางคนอื่น ๆ ที่ได้รับสิทธิ์มาเรียนร่วมด้วย ที่ตำหนักศึกษานี้มีหลายห้องเลย วันนี้ถึงคราววิชาเขียนอักษรที่ เฟยเมี่ยวไม่อยากเรียนที่สุดนั่นเองนางนั่งเรียนหลังห้องสุดริมสุด โดยทั้งข้างหน้าและข้าง ๆ โต๊ะเขียนหนังสือว่างอย่างที่เห็นได้ประจำ องค์รัชทายาทหวงลู่นั้นนั่งแถวหน้าสุดนู่นน่ะ ส่วนเหล่าเชื้อพระวงศ์ก็นั่งกระจายกันออกไปตามความต้องการของตนมีลูกหลานขุนนางที่ขอเข้าพวกเรียบร้อยไปนั่งตามกลุ่มของเจ้านายตน ส่วนเฟยเมี่ยวจะมาช้าก่อนเริ่มเรียนเสมอ เพื่อหาที่นั่งไกลจากผู้คนหน่อยและสำหรับวิชานี้นางมักจะแอบหลับนั่นเองเชื้อพระวงศ์ที่มาร่วมเรียนในชั้นนี้ครอบคลุมอายุตั้งแต่อายุสิบปีถึงจนกว่าจะสอบจบได้เลยล่ะ ในห้องเรียนนี้นอกจากหวงลู่ที่เฟยเมี่ยวพอสนิทด้วยแล้ว ก็มีคุณหนูไป๋ ไป๋หนิงอันที่หลังจากถูกองค์หญิงสามแกล้งไปแล้ว เฟยเมี่ยวจึงบอกให้นางไปหาเชื่อพระวงศ์ติดตามเถิด ซึ่งหนิงอันก็เลือกอยู่รวมกับท่านหญิงเจียวจิง แม้ไม่ใช่องค์
“เจ้าอย่าได้เล่นลิ้น ตกลงเดิมพันกับข้าบัดเดี๋ยวนี้!!”นางไม่ตกลงวันนี้อย่างไรองค์หญิงสาวลู่เอินก็ต้องหาเหตุผลอื่นมาจัดการนางอีกอยู่ดี“หม่อมฉันไม่ใช่ไม่ตกลงเพคะ เพียงแต่หม่อมฉันคิดเพียงว่า แล้วหากพระองค์เป็นฝ่ายแพ้ล่ะ หม่อมฉันจะได้อันใดตอบแทนเพคะ” จะให้องค์หญิงมารับใช้เฟยเมี่ยวก็ไม่ได้อยู่แล้ว...“เรื่องนั้นไว้ค่อยคิดภายหลังก็ยังมิสาย อย่างไรข้าก็ไม่แพ้เจ้าอยู่แล้ว”เฟยเมี่ยวคิดไว้แล้วมิผิดเลย องค์หญิงผู้นี้มิรู้ถูกไทเฮาเลี้ยงมาอย่างไร นิสัยช่างต่างจากฮองเฮาและองค์รัชทายาทหวงลู่มากเพียงนี้“เอาอย่างนี้ไหมเพคะ หากหม่อมฉันบังเอิญชนะ ก็ให้ขออันใดก็ได้กับองค์หญิงอย่างไม่มีข้อแม้ ส่วนหากองค์หญิงชนะก็เอาตามที่พระองค์ตรัสมาก่อนหน้าเลย แม้นโอกาสชนะของหม่อมฉันจะน้อยนิดแต่รับรองว่าหากชนะได้จะไม่ขออันใดมากเกินความสามารถองค์หญิงสามแน่เพคะ”ข้อเสนอของเฟยเมี่ยวล้วนอ้างอิงมาจากสิ่งที่คนเสนอต้องการทั้งสิ้น นางมิได้สรุปเกินเลยสักหน่อย ด้วยความมั่นใจในตนเองของลู่เอินย่อมไม่คิดว่าตนเองจะแพ้ได้ แม้จะตงิดในเงื่อนไขขออันใดก็ได้แต่ในเมื่อโอกาสเกิดยาก ย่อมปล่อยผ่านแน่นอน“ตกลง ข้าจะเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรส่
5กลับไปเยี่ยมตระกูลซุนสายหลักเฟยเมี่ยวมาถึงโรงสุราท้ายตรอกแล้ว โรงสุราแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่คนทั่วไปรู้จักกัน คนที่มาใช้บริการที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวยุทธภพที่เดินทางเข้าเมืองหลวง และอยากได้ที่พักราคาเป็นกันเองพร้อมกันนั้นแบบไม่ต้องการคนรับใช้มาก เพราะที่นี่ไม่มีเสี่ยวเอ้อให้เรียกรับใช้ มีเพียงห้องและเครื่องนอนให้เท่านั้น ทำความสะอาดวันละครั้ง มีร้านอาหารที่เน้นสุราขนาดเล็ก ให้บริการ ทว่าโรงสุราแห่งนี้มีอีกบริการหนึ่งที่คนในเครือข่ายจะรู้กัน นั่นคือ บริการหางานรับจ้างนั่นเอง เจ้าของที่นี่มีสายสัมพันธ์กว้างขวางรับงานจากใครก็ตามที่ต้องการคนทำงานแบบเงียบ ๆ และหาคนมาทำงานให้ ซึ่งเฟยเมี่ยวก็รู้บริการนี้จากสายข่าวหนึ่งในขอทาน นางจึงมารับงานไปทำบ่อยครา หาเงินเพิ่มจากที่ตระกูลซุนส่งมาให้ใช้ประจำนั่นล่ะ“ขอข้าวสารหน่อย”รหัสในการขอรายนามภารกิจในตอนนี้นั่นเอง เฟยเมี่ยวส่งเงินค่าขอดูข่าวให้และรับกระดาษแผ่นใหญ่มา นางเลือกโต๊ะที่ว่างอยู่มุมร้านเพื่อไล่ดูงาน เกณฑ์การเลือกงานของเฟยเมี่ยวคือ ลงแรงแล้วต้องได้เงินคุ้มค่าเหนื่อย จะเป็นงานอันใดนางทำได้หมดแต่ไม่ต้องกังวลนะ งานของที่นี่เลือกรับแต่งานสุจริ
บทส่งท้าย“ถวายพระพรชินอ๋องพะยะค่ะ”คนตระกูลซุนที่ออกมาต้อนรับยังไม่ทันลงไปทำความเคารพที่พื้นก็ต้องชะงักลงก่อนเพราะคำพูดแปลกประหลาดผู้สูงศักดิ์ที่มาใหม่นั่นเอง“ไม่ต้องเคารพถึงเพียงนั้นหรอกท่านว่าที่พ่อตา...”เฟยเมี่ยวอึ้งเช่นเดียวกันกับคนอื่น เพราะเขาไม่เห็นบอกนางล่วงหน้าให้ทำใจก่อนเล่า ใครจะคิดว่าอยู่ที่ดีก็ยกขบวนหมั้นหมายมาโดยไม่แจ้งล่วงหน้า“ท่านอ๋องหมายความอันใดหรือ ? กระหม่อมไม่เข้าใจ”ขนาดไม่เข้าใจของบิดานางนะเนี่ย น้ำเสียงยังแข็งกร้าวขึ้นเปลี่ยนไปจากตอนแรกมากเลยดูท่าการเป็นอริอย่างเช่นข่าวลือบิดาของนางจะอินเกินจนเข้ากระแสเลือดไปแล้วกระมัง“ก็วันนี้ข้ามาสู่ขอเมี่ยวเมี่ยวไปเป็นพระชายาเอกอย่างไรเล่า เดี๋ยวก็คงจะได้เรียกพ่อตาแล้วในอนาคต”เฟยเมี่ยวเห็นประกายไฟระหว่างสองสายตาที่จ้องกันอยู่ตอนนี้ของแม่ทัพใหญ่ซุนเหวินเชาและชินอ๋องขึ้นมาลาง ๆ แล้ว ดีที่มารดาของนางรีบเข้ามายืนขวางหน้าซุนเหวินเชาเสียก่อน“ท่านอ๋องมาแล้วก็เชิญข้างในจวนก่อนเถอะเพคะ เรื่องนี้คงต้องคุยกันอีกยาว...”“ไม่ให้แต่ง อย่างไรก็ไม่ให้แต่ง !!!”“ใช่ขอรับ ลูกไม่ให้แต่งเช่นกัน!!”สองพ่อลูกตระกูลซุนตะโกนแทบจะพร้อมกันต่อ
24ตัดขาดภายในห้องรับรองตระกูลซุนสายรอง มีเจ้าของจวนนั่งเรียงหน้าเครียด โดยเฉพาะซุนเหวินเชา แม่ทัพไร้พ่ายที่หน้านิ่งแผ่รังสีความไม่พอใจ จนทำให้เหล่าแขกของจวนที่นั่งรวมกันอยู่ฝั่งที่นั่งแขกพากันนั่งเกร็งจนเฟยเมี่ยวที่มองอยู่แทบกลั้นขำไม่ไหวเหล่าแขกที่ว่าคือ พวกตระกูลซุนสายหลักนั่นเอง มีท่านลุงซุนโหว ท่านป้าสะใภ้ซูเม่ย และท่านย่า พวกเขามาคราวนี้เพื่อมาขอขมา ให้สายรองให้อภัยกับเรื่องที่เกิดขึ้น“อาเหวิน เจ้าก็ให้อภัยพี่ชายเจ้าหน่อยเถอะ อย่างไรก็คนตระกูลซุนเช่นเดียวกัน”ท่านย่าเอ่ยเสียงอ่อน รอยยิ้มเหี่ยวย่นของหญิงชราผู้นี้จืดเจื่อนยิ่งนัก แต่ก็ทำใจดีสู้เสือเอ่ยทั้งที่น้ำเสียงติดสั่นระริกจากรังสีกดดันของแม่ทัพไร้พ่าย“ท่านแม่มิคิดหรือเจ้าคะ หากอาเมี่ยวรักษาไม่ทันจะเป็นเช่นไร ท่านพี่สะใภ้นั้นอาจถูกหลอกใช้ก็จริง แต่ว่าอย่างไรเสียเมื่อไม่รู้แหล่งที่มาดีดีไยต้องเสี่ยงให้บุตรสาวของข้ากินด้วย หรือว่าเพราะไม่ใช่บุตรสาวของตนจึงจะให้กินอันใดก็ได้”“ไม่เลย ๆ น้องสะใภ้อย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้ตั้งใจทำร้ายใครทั้งสิ้น เจ้าอย่าได้คิดเช่นนั้น ทว่าอย่างไรบุตรสาวเจ้าก็ไม่เป็นอันใดนี่ เจ้าสบายดีใช่ไหมอาเ
23ไปหาหลักฐานเมื่อเป็นเรื่องความเป็นไประดับแคว้น พอเฟยเมี่ยวไปปรึกษากับชินอ๋องนางก็เพิ่งได้รู้ว่าเขากำลังติดตามเรื่องมีคนลักลอบจำหน่ายฝิ่นอยู่เช่นเดียวกัน พอเฟยเมี่ยวเอาสิ่งที่นางสืบมาโดยตลอดผนวกเข้ากับความจริงจากปากมารดามันทำให้เฟยเมี่ยวสงสัยไปที่ตระกูลซุนสายหลักโดยเฉพาะท่านป้าซูเม่ยทันที พอเอ่ยขอให้ชินอ๋องไปติดตามและสืบเชิงลึกที่ตระกูลหลิงก็พบเบาะแสบางอย่างที่พุ่งไปว่าเขาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบค้าฝิ่นจริง โดยประมุขตระกูลหลิงที่เป็นถึงหัวหน้ากรมตุลาการหากลักลอบขายฝิ่นย่อมสะเทือนต่อแคว้นมากแน่ตอนนี้ขอเพียงหาหลักฐานมาก็สามารถจับกุมตัวการหลักแล้ว สิ่งที่ชินอ๋องกำลังทำอยู่ตอนนี้คือติดตามคนของตระกูลหลิงที่มีการเดินทางไปมาที่ชายแดนกับเมืองต่าง ๆ โดยแน่นอนว่าเฟยเมี่ยวขอติดตามมาด้วยซึ่งตอนแรกบิดานางจะไม่ให้ไปแต่เพราะชินอ๋องเอ่ยปากและบอกว่าให้พี่ใหญ่ตามมาด้วยได้ เฟยเมี่ยวจึงมีโอกาสได้ติดตามไปชายแดนเยี่ยงตอนนี้“อาเมี่ยวไหวหรือไม่อีกไม่ไกลก็ได้เข้าเมืองแล้ว”พี่ใหญ่เอ่ยถามนางมาตลอดทางทุก ๆ ครึ่งชั่วยาม เขาเป็นห่วงนางเกินไปจนเฟยเมี่ยวเหนื่อยจะตอบแล้ว คงเพราะการเดินทางครานี้รีบเร่งจนมิอ
22ไหน้ำส้มใครแตกกันนะวันนี้เฟยเมี่ยวออกจากจวนไปร่วมงานชมดอกไม่ที่ตระกูลไป๋จัดขึ้น นางมาถึงก็มีเหล่าคุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนมาบ้างแล้ว พอเลี่ยงเหลียงซูเห็นเฟยเมี่ยวเข้างานมาก็รีบมาเดินด้วยกันทันที ทำให้เฟยเมี่ยวไม่เดินเหงาคนเดียวอีกต่อไปรอเวลาผ่านไปจนเริ่มงานชมดอกไม้แล้ว บ่าวตระกูลไป๋จึงมาเชิญเหล่าคุณหนูไปยังลานนั่งล้อมโต๊ะที่มีชาดอกไม้กลิ่นหอมกรุ่นวางตรงหน้า เป็นการให้ลิ้มรสชาก่อนที่จะไปยังสวนเพื่อชมดอกไม้นั่นล่ะ“ชาดีทีเดียว หนิงอันยังมีรสนิยมดีเยี่ยงเดิมนะ”ท่านหญิงเจียวจินเอ่ยชมเป็นคนแรก แล้วคุณหนูคนอื่น ๆ ก็เอ่ยชมตามมาอีกไม่ขาดส่วนเฟยเมี่ยวนั้นมิได้มางานชมดอกไม้เพียงหาสหาย แต่นางต้องการมารับข่าวสารจากวงสตรีด้วย โดยเฉพาะเรื่องที่พี่ใหญ่สงสัยว่าตระกูลซุนสายหลักกำลังสู่ขอท่านหญิงตรงหน้านี้อยู่“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านหญิงถูกใจข้าน้อยก็เบาใจลงมากเลยเจ้าค่ะ”หนิงอันยิ้มหวานน้อมรับคำชม บทสนทนาของเหล่าสตรีลื่นไหลอย่างหยุดไม่อยู่ ส่วนเฟยเมี่ยวนั้นก็มีคุยบ้างเป็นครั้งคราวไม่ให้เงียบและแปลกพวกเกินไป แต่ไม่มีใครเอ่ยเข้าประเด็นที่เฟยเมี่ยวอยากรู้เลย“ว่าแต่ท่านหญิงเจียวจินผ่านวัยปักปิ่นมาแล้ว ค
21ลอบเข้าตำหนักเฮยลู่จากการที่มีข่าวลือในวันต่อมาว่ามีกลุ่มโจรซุ่มทำร้ายซุนฮูหยินที่ขอบเมืองหลวง สิ่งที่ชาวเมืองเดาไปต่าง ๆ นานา ก็คือกลุ่มโจรนั้นอาจเป็นคนของชินอ๋องก็ได้ เหตุเพราะการที่สองฝ่ายไม่ลงรอยกันนั่นเองเฟยเมี่ยวที่คุ้นชินกลยุทธ์การสร้างข่าวเท็จนี้มองออกทันที นางอยากไขข้อสงสัยมากจนตัดสินใจว่าจะไปสอบถามความจริงจากตัวการใหญ่ ทำให้ดึกคืนนั้นเองเฟยเมี่ยวในชุดดำล้วนอาศัยทางลับที่ตนสร้างไว้สมัยอยู่ในวังเข้ามาได้ในที่สุด นางพุ่งตรงไปยังตำหนักเฮยลู่ อันเป็นตำหนักที่มีเวรยามรัดกุมที่สุดจนนางไม่สามารถมีคนของตนในตำหนักแห่งนี้ได้เลยที่น่าแปลกคือ ตอนนี้เฟยเมี่ยวแอบเข้ามาจนจะถึงตำหนักหลักส่วนในแล้ว นางยังไม่เจอทหารเฝ้ายามเลยสักคน เฟยเมี่ยวคิดว่าตนเองอาจกำลังหลงกลไกการเฝ้ายามซับซ้อนอยู่นางจึงรีบหมุนตัวรีบกลับกลังทางเดิมเสียก่อนที่จะถูกจับได้ทันที“เมี่ยวเมี่ยวจะหนีอีกแล้ว เข้ามาไม่ใช่เพราะคิดถึงข้าหรือ ยังไม่ทันเจอก็จะกลับเสียแล้ว...”นั่นอย่างไร ที่แท้ชินอ๋องผู้นี้ก็คิดว่านางต้องมาหาเขาอยู่แล้ว ทหารเฝ้ายามจึงหายไปหมดเช่นนี้เมื่อเจอตัวการที่นางต้องการเจอแล้ว อันใดคือต้องหนีกันเล่า !“ทห
20อยากแสร้งเป็นลมล้มสลบให้ไม่ต้องพบหน้าใครอีกงืม ๆ“เช้าแล้วหรือ?...”“ใช่ เช้าแล้ว เมี่ยวเมี่ยวตื่นแล้ว ขี้เซายิ่งนัก”หืม นางไม่ได้นอนอยู่ในห้องคนเดียวหรือไร ไยรู้สึกเหมือนเสียงพูดเมื่อครู่เกิดขึ้นที่ข้างหูนางนี้เองกันนะ ลมที่พัดผ่านใบหูมันชวนให้จั๊กกะจี้จนต้องย่นคอหนีทั้งที่ยังหลับตา ไหนจะสัมผัสบางอย่างที่คลอเคลียแก้มจนทนไม่ไหวต้องลืมตาขึ้นดูแล้วค่อยหลับอีกคราก็แล้วกัน“ท่านอ๋องมาอยู่นี่ได้อย่างไร ! โอ๊ะ”ไม่สิ ตอนนี้นางนอนอยู่ในป่านี่นา นางลืมไปเสียได้ คงเพราะเมื่อวานเหนื่อยมากจนหลับไม่รู้เรื่องแน่เลย“แล้วไยถึงถูกท่านกอดได้ !! ปล่อยนะ”ได้สติแล้วเฟยเมี่ยวก็สังเกตว่าตนเองถูกเต๋อรุ่ยกอดอยู่ แก้มของนางแนบคางของเขาจนรู้สึกประหลาดไปหมด แต่แรงกอดรัดของคนที่บาดเจ็บนั้นเฟยเมี่ยวสู้ไม่ไหวจริง นี่ขนาดเขาบาดเจ็บนะแรงยังมากเพียงนี้เลย ไม่อยากจะคิดยามปรกติจะแรงเยอะเพียงใด แต่ที่แน่นอนคือแรงสตรีตัวเล็กอย่างนางสู้เขาไม่ได้แน่นอน“เมี่ยว ๆ กอดข้าเองนะ อีกทั้งยังกอดไม่ปล่อยอีกด้วย ข้าเลยต้องนอนรออยู่เยี่ยงนี้อย่างไรล่ะ”“แต่เมื่อคืนหม่อมฉันไม่ได้นอนท่านี้ หม่อมฉันเพียงให้ความอบอุ่นแก่พระองค์ผ่า
19ทำตัวเหมือนอาฉีคนที่สองเดินต่อมาเรื่อย ๆ ก็เจอเข้ากับถ้ำกลางป่าเข้า ตอนแรกที่มองเห็นตัวผนังถ้ำนั้นไม่คิดว่าจะมีทางเข้าหรอก เฟยเมี่ยวให้ ชินอ๋องยืนรอสักครู่ก่อน นางค่อยเดินไปสำรวจดู จึงพบทางเข้าขนาดไม่ใหญ่มากอยู่ ดีที่มีเถาวัลย์และใบไม้เขียวขจีปกทับจนเกือบมองไม่ออกเลย นางกลับมาพาชินอ๋องเข้าไปนั่งพักด้านใน และไม่ลืมใช้เหล่าเถาวัลย์เกลี่ยปิดทางเข้าเช่นเดิมหน้าหนาวแล้วยามกลางคืนอากาศยิ่งหนาวไปใหญ่ หากนั่งโดยมีเพียงเสื้อผ้าที่สวมตลอดคืนมีหวังทั้งนางและคนป่วยต้องเป็นไข้หนาวสั่นตายอยู่ที่นี่เป็นแน่“พระองค์ไหวไหมเพคะ”เฟยเมี่ยวมองใบหน้าภายใต้หน้ากากที่มีเหงื่อเกาะเต็มหน้า หน้าของเขา ปากของเขาล้วนซีดขาวไปหมด ดูท่าจะรอให้ออกไปแล้วค่อยให้หมอหลวงนำลูกธนูออกก็คงไม่ทันแล้ว นางคงต้องจัดการเรื่องนั้นเอง ด้วยอุปกรณ์ที่นางพกมาติดกายไว้ตลอดตั้งแต่รู้ว่าจะต้องเข้าป่าก็เพียงพอให้ช่วยชินอ๋องได้อยู่“ข้าไหว เมี่ยวเมี่ยวนั่งพักก่อนเถอะ เจ้าวิ่งวุ่นมาตลอดแล้ว”เต๋อรุ่ยพูดไม่เกินจริง ตลอดทางมานี้นางทั้งใช้หัวคิดและแรงกายพาเขามาที่นี่อย่างไม่หยุดพัก ท่าทีคล่องแคล่วว่องไวนี้เขาที่มีวรยุทธ์ยังรู้สึกยกย่องเ
18เรื่องไม่คาดฝันเช้าวันต่อมา...งานล้อมป่าล่าสัตว์เริ่มแล้ว เสียดายที่งานนี้ให้เฉพาะบุรุษเข้าร่วมเท่านั้น ส่วนสตรีนั้นจะไปรวมกันอีกที่เพื่อชมดอกไม้บานท่ามกลางอากาศเย็นเยี่ยงนี้แทนดีที่ตอนนางมาได้เจอกันอดีตสหายอย่างคุณหนูเลี่ยง เหลียงซู และเดินคุยไปอีกหน่อยก็เจอหนิงอันยืนกับท่านหญิงเจียวจิน ซึ่งมีคุณหนูที่นางเจอที่บอน้ำพุร้อนเมื่อคืนยืนอยู่ด้วย การชมดอกไม้ยามนี้จึงไม่เหงาอีกต่อแล้ว“เจ้าสองคนอาจยังไม่รู้จักกัน นี่ท่านหญิงเฟยเมี่ยว บุตรสาวท่านแม่ทัพใหญ่ซุน และนี่คุณหนูซีอิ๋ง ตระกูลหวัง”“คารวะท่านหญิงเจ้าค่ะ”เฟยเมี่ยวพยักหน้าตอบรับ พอนางรู้เรื่องที่คุณหนูซีอิ๋งทำเมื่อวานก็ทำให้ไม่สามารถมองใบหน้านางแล้วไม่คิดเรื่องเมื่อวานได้เลย อีกทั้งดูเหมือนจะคุณหนูนางนี้จะยังไม่หายเสียใจ เพราะนางดูหมดแรงและดวงตาแดงช้ำเหมือนคนร้องไห้หนัก“พวกเราไปดูดอกไม้ทางนู้นเถอะ เห็นเขาว่ากันว่างามยิ่งนัก”เฟยเมี่ยวเดินตามเหล่าคุณหนูไปเพราะอย่างไรเสียนางก็ไม่ได้มีเป้าหมายชมดอกไม้ใดเป็นพิเศษอยู่แล้ว ทว่านางคิดผิดเสียแล้ว เพราะตรงที่ดอกไม้บานย่อมตามด้วยมีคนมาดูมากซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือองค์หญิงสามลู่เอิน คู่อริขอ
17จวนตากอาการที่มีบ่อน้ำพุร้อนเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวช่วงกลางอากาศเย็นสบายตลอดทั้งวัน จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมยิ่งสำหรับการออกล่าสัตว์ กรมพระราชพิธีจัดงานล้อมป่าล่าสัตว์ประจำปีขึ้นมาเพื่อให้เหล่าบุรุษลูกขุนนางเข้าร่วมเพื่อความสนุกสนาน แข่งกันล่าสัตว์ชิงรางวัลจากฮ่องเต้ และประโยชน์โดยอ้อม นั่นก็คือนำสัตว์ที่ได้จากการล่าไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านในช่วงที่ปลูกพืชพันธุ์เป็นอาหารได้น้อยพอดีแน่นอนตระกูลฝ่ายบู๊อย่างตระกูลซุนสายรอง อันมีประมุขเป็นซุนเหวินเชา แม่ทัพไร้พ่าย ย่อมต้องเข้าร่วมด้วย มีพี่ใหญ่ และเฟยเมี่ยว ส่วนสายหลักก็มาเช่นกัน นำโดยซุนเหวินเจี๋ย หรือท่านซุนโหว ป้าสะใภ้ และบุตรชายที่เพิ่งกลับมาจากไปศึกษาที่สำนักศึกษาบนภูเขามาพอดี เฟยเมี่ยวเรียกเขาว่า ญาติผู้พี่ซุน จือหลิน ...พี่จือด้วยความที่ป่าที่จัดเป็นป่าขนาดใหญ่ฝั่งตะวันออกของแคว้น เป็นป่าที่ตั้งอยู่ไกลออกจากเมืองหลวงไม่มากใช้เวลาเดินทางด้วยรถม้าเพียงหนึ่งชั่วยามครึ่งเท่านั้น จึงมีทั้งขุนนางพร้อมครอบครัวเข้าร่วมงานประจำปีนี้มาก ทยอยกันไป ขอเพียงให้ทันวันเริ่มงานเท่านั้น ส่วนใหญ่ขุนนางขั้นสูงมักซื้อจวนทิ้งไว้แล้ว หากใครไม่มีก็จะมีบร