“เมี่ยวเมี่ยวชักจะเหิมเกริมเกินไปเสียแล้วนะ อันใดคือเจ้าหุบยิ้มทันทีที่มิได้อยู่ต่อหน้าเสด็จแม่กัน”
เฟยเมี่ยวมิได้กลัวอันใดกับคำพูดเชิงตำหนิแต่เต็มไปด้วยการล้อเลียนของบุรุษข้างเคียง นางยังคงเดินจ้ำอ้าวต่อไปไม่ได้ให้หวงลู่ที่มีศักดิ์เป็นถึงองค์รัชทายาทเดินนำอย่างที่ควรเลย
“หม่อมฉันก็เรียนมาจากพระองค์ยามเข้าหน้าเหล่าขุนนางและลับหลังเหล่าขุนนางนั่นแหละเพคะ พระองค์ยิ้มบ่อยน่าจะรู้ว่าการหยักยกริมฝีปากมันเมื่อยเพียงใด”
เขาล้อมา เฟยเมี่ยวก็ล้อกลับบ้างไม่ยอมแพ้หรอก ในวังหลวงแห่งนี้มีเพียงหวงลู่ผู้นี้นั่นล่ะที่รู้ว่าเนื้อแท้นิสัยของ
เฟยเมี่ยวซุกซนและเจ้าเล่ห์เพียงใด นางจึงสบายใจยามอยู่กับเขาและเอ่ยขอให้เขาช่วยพาออกนอกวังหลวงอยู่หลายครา ด้วยอำนาจขององค์รัชทายาทที่เป็นรองเพียงฮ่องเต้และฮองเฮา เฟยเมี่ยวเลือกคบเขาเป็นสหายแล้วมีประโยชน์เป็นที่สุด“เสด็จแม่ก็เอ็นดูเจ้าเสียจริง แล้วนี่ยังถูกลู่หลินแกล้งอยู่หรือไม่?”
การที่หวงลู่รู้นั้นมิใช่เพราะว่าเฟยเมี่ยวมาฟ้องนะ แต่เพราะองค์หญิงสามแสนเอาแต่พระทัยผู้นั้นแสดงออกถึงความไม่ชอบหน้านางจนใครต่างก็รู้ดี ไม่เว้นแม้แต่ฮองเฮาเองนั่นแหละ
“องค์หญิงสามแกล้งข้า ข้าก็แกล้งกลับเท่านั้นเอง พระองค์ไม่ต้องทรงห่วงหม่อมฉันหรอกเพคะ ไปห่วงน้องสาวพระองค์เถอะ ป่านนี้ร้องไห้จนตำหนักแตกไปแล้วกระมัง”
ได้ยินดังนั้นหวงลู่ก็เข้าใจเหตุที่น้องสาวเขาไม่มาร่วมทานอาหารวันนี้ทันที เขาเร่งฝีเท้าเดินขวางคนต้นเรื่องไว้
“ที่แท้ฝีมือเจ้า เมื่อเช้านางลงโทษนางกำนัลรับใช้ส่วนตัวยกชุดจนกูกูต้องหานางกำนัลใหม่แทบไม่ทันเชียวนะ เจ้าไปทำอันใดน้องข้ากัน บอกมาเสียดีดี”
แม้หวงลู่จะชอบพอนิสัยของเฟยเมี่ยวแต่ก็ไม่ได้มากกว่าน้องสาวสายเลือดเดียวกันเลย ซึ่งเฟยเมี่ยวก็เข้าใจดีในจุดนี้
“หม่อมฉันก็ได้ยินมาเช่นกันเพคะ อันใดคือพระองค์ถึงได้มองหม่อมฉันในแง่ร้ายเช่นนั้น”
เฟยเมี่ยวเดินหนีด้วยฝีเท้าเร็วขึ้น เพราะนางมิอยากถูกคาดคั้นไปมากกว่านี้ คนไม่ชอบโกหกแต่ก็ไม่สามารถบอกความจริงได้ เพราะอาจดึงภัยเข้าสู่ตนเอง ก็ต้องหาทางเลี่ยงไม่พูดแทนนั่นล่ะ
อ๊ะ ตรงหน้ามีขบวนข้ารับใช้กลุ่มใหญ่ กำลังมุ่งตรงหน้ามาทางนี้ ด้วยหลักยึดการเอาตัวรอดในวังหลวงของเฟยเมี่ยวแล้ว นางต้องเลี่ยงการเผชิญหน้า
“องค์รัชทายาทเพคะ เช้านี้พระองค์สนใจไปทรงม้ากับหม่อมฉันไหมเพคะ”
หวงลู่ฉงนใจที่อยู่ดีดีเฟยเมี่ยวที่เร่งฝีเท้าเดินหนีตนก็หมุนตัวกลับมาออกปากชวนไปโรงม้าเสียอย่างนั้น เขานิ่งไปชั่วครู่ก็พยักหน้าตกลง พากันเดินกลับไปอีกทางอันเป็นเส้นทางทอดยาวไปยังโรงม้าหลวงแทน
“พระองค์ต้องการให้กระหม่อมเตรียมรถม้าตอนนี้เลยหรือไม่พะยะค่ะ”
ขันทีอาวุโส หรือ ขันทีฉี ผู้ทำหน้าที่ดูแลเชื้อพระวงศ์ผู้เอาใจยากยิ่งอย่างชินอ๋อง หรือ จ้าวเต๋อรุ่ย พระอนุชาพระองค์เดียวของฮ่องเต้ที่สามารถอาศัยในเขตเมืองหลวงได้ อีกทั้งมีอำนาจ
พอ ๆ กับองค์รัชทายาท เขาเอ่ยถามเจ้านายของตนที่ออกมาเดินย่อยหลังมื้ออาหารไกลถึงสวนใกล้ตำหนักคุนหนิง หลังจากเดินย่อยแล้วก็เป็นเวลาออกวังนั่นเองขันทีมากประสบการณ์เอ่ยถามทั้ง ๆ ที่รู้คำตอบอยู่แล้วนั่นล่ะ ว่าเจ้านายเขาย่อมต้องมีรับสั่งให้เตรียมรถม้าเป็นแน่
“ไม่ล่ะ ข้าอยากไปออกกำลัง ซ้อมขี่ม้าเสียหน่อย ไปโรงม้าหลวงเถอะ”
เพล้ง ! เสียงความมั่นใจของขันทีมากประสบการณ์แตกดังก้องสะท้องหู อ้าปากค้างไม่ทันไรก็ต้องรีบตั้งสติเดินตามเจ้านายและหันไปสั่งคนให้กลับไปนำชุดสำหรับทรงม้าให้ชินอ๋องอย่างรู้หน้าที่ทันที
...เจ้านายเขายังต้องซ้อมม้าอีกหรือ ? มิใช่ว่าทรงเก่งกาจจนฮ่องเต้เอ่ยปากขอให้เป็นอาจารย์สอนองค์รัชทายาททรงม้าหรอกหรือ ?
ณ โรงม้าหลวง
เฟยเมี่ยวเปลี่ยนชุดเสร็จก็มาเจอกันกับองค์รัชทายาทหวงลู่ที่คอกม้าเพื่อมานำม้าคู่ใจของแต่คนไปขี่ ม้าประจำของ
หวงลู่คือม้าสีน้ำตาลเข้มขนดำเงางามดูก็รู้ว่าผ่านการดูแลอย่างดี ส่วนของเฟยเมี่ยวเป็นม้าสีขาวบริสุทธิ์ ตัวเตี้ยกว่าของหวงลู่หน่อยเดียวเท่านั้น นางตั้งชื่อม้าของตนว่าไป่ไป๋ ตั้งตามสีขนของมันนั่นล่ะตามจริงตอนทะลุมิติมาอยู่ในร่างนี้แรก ๆ นางหาได้ขี่ม้าเป็นไม่ ส่วนเจ้าของร่างเดิมก็ขี่ไม่เป็นเช่นเดียวกัน เฟยเมี่ยวได้องค์รัชทายาทหวงลู่ผู้นี้นั่นแหละเป็นคนช่วยสอน ด้วยความที่นางเป็นคนเรียนรู้เร็วอยู่แล้วเขาสอนสองสามครั้งก็ขี่เป็นแล้ว หลังจากนั้นเฟยเมี่ยวก็อาศัยความคุ้นชินกับความเร็วอยู่แล้ว แค่เปลี่ยนจากรถมอเตอร์ไซค์เป็นเจ้าม้าที่มีสี่ขาแทนเท่านั้น เฟยเมี่ยวว่าขี่ม้ายังง่ายกว่าขี้รถในยุคที่นางจากมาด้วยซ้ำ
“ไป่ไป๋ของข้าหล่อเหลาขึ้นนะเนี่ย อีกหน่อยย่อมต้องสูงใหญ่กว่าเจ้าเฉียวขององค์รัชทายาทหวงลู่เป็นแน่”
ใครว่าเฟยเมี่ยวหมั่นไส้หวงลู่เพียงนิสัย นางลามยันไปถึงอิจฉาความสูงของม้าเขาด้วยแล้ว เพราะพอทหารฝึกม้าเห็นนางเป็นสตรีหน่อยก็เลือกแต่ม้าตัวเล็ก ๆให้ตลอด ดีที่นางรู้มาว่าเจ้าไป่ไป๋ตัวนี้อยู่ในวัยเด็กยังเติบโตได้อีก และนางก็รู้สึกถูกชะตากับมันจึงยอมรับเจ้าม้าสีขาวมาเป็นม้าประจำของตนในที่สุด
“วันนี้เจ้าพร้อมแข่งกับข้าหรือไม่ เมี่ยวเมี่ยวและเสี่ยวไป๋”
จากคำพูดของหวงลู่ดูเหมือนธรรมดา แต่คนฟังอย่างเฟยเมี่ยวที่มีความเจ็บปวดเรื่องม้าของตนตัวเล็กกว่านั้น พอถูกเขาเรียกว่า เสี่ยวไป๋ แล้วเลือดขึ้นหน้าอยากแก้แค้นแทนทันที เฟยเมี่ยวไม่เอ่ยสวนแต่นางเลือกที่จะบังคับไป่ไป๋ของตนให้ออกวิ่งเข้าสู่สนามม้าทันที เป็นการบอกว่าพร้อมแข่งแล้วนั่นล่ะ
เฟยเมี่ยวผู้นี้จะพาเจ้าไป๋ชนะเจ้าเฉียวจนเจ้านายของมันเสียหน้าให้ได้ !
บทส่งท้าย“ถวายพระพรชินอ๋องพะยะค่ะ”คนตระกูลซุนที่ออกมาต้อนรับยังไม่ทันลงไปทำความเคารพที่พื้นก็ต้องชะงักลงก่อนเพราะคำพูดแปลกประหลาดผู้สูงศักดิ์ที่มาใหม่นั่นเอง“ไม่ต้องเคารพถึงเพียงนั้นหรอกท่านว่าที่พ่อตา...”เฟยเมี่ยวอึ้งเช่นเดียวกันกับคนอื่น เพราะเขาไม่เห็นบอกนางล่วงหน้าให้ทำใจก่อนเล่า ใครจะคิดว่าอยู่ที่ดีก็ยกขบวนหมั้นหมายมาโดยไม่แจ้งล่วงหน้า“ท่านอ๋องหมายความอันใดหรือ ? กระหม่อมไม่เข้าใจ”ขนาดไม่เข้าใจของบิดานางนะเนี่ย น้ำเสียงยังแข็งกร้าวขึ้นเปลี่ยนไปจากตอนแรกมากเลยดูท่าการเป็นอริอย่างเช่นข่าวลือบิดาของนางจะอินเกินจนเข้ากระแสเลือดไปแล้วกระมัง“ก็วันนี้ข้ามาสู่ขอเมี่ยวเมี่ยวไปเป็นพระชายาเอกอย่างไรเล่า เดี๋ยวก็คงจะได้เรียกพ่อตาแล้วในอนาคต”เฟยเมี่ยวเห็นประกายไฟระหว่างสองสายตาที่จ้องกันอยู่ตอนนี้ของแม่ทัพใหญ่ซุนเหวินเชาและชินอ๋องขึ้นมาลาง ๆ แล้ว ดีที่มารดาของนางรีบเข้ามายืนขวางหน้าซุนเหวินเชาเสียก่อน“ท่านอ๋องมาแล้วก็เชิญข้างในจวนก่อนเถอะเพคะ เรื่องนี้คงต้องคุยกันอีกยาว...”“ไม่ให้แต่ง อย่างไรก็ไม่ให้แต่ง !!!”“ใช่ขอรับ ลูกไม่ให้แต่งเช่นกัน!!”สองพ่อลูกตระกูลซุนตะโกนแทบจะพร้อมกันต่อ
24ตัดขาดภายในห้องรับรองตระกูลซุนสายรอง มีเจ้าของจวนนั่งเรียงหน้าเครียด โดยเฉพาะซุนเหวินเชา แม่ทัพไร้พ่ายที่หน้านิ่งแผ่รังสีความไม่พอใจ จนทำให้เหล่าแขกของจวนที่นั่งรวมกันอยู่ฝั่งที่นั่งแขกพากันนั่งเกร็งจนเฟยเมี่ยวที่มองอยู่แทบกลั้นขำไม่ไหวเหล่าแขกที่ว่าคือ พวกตระกูลซุนสายหลักนั่นเอง มีท่านลุงซุนโหว ท่านป้าสะใภ้ซูเม่ย และท่านย่า พวกเขามาคราวนี้เพื่อมาขอขมา ให้สายรองให้อภัยกับเรื่องที่เกิดขึ้น“อาเหวิน เจ้าก็ให้อภัยพี่ชายเจ้าหน่อยเถอะ อย่างไรก็คนตระกูลซุนเช่นเดียวกัน”ท่านย่าเอ่ยเสียงอ่อน รอยยิ้มเหี่ยวย่นของหญิงชราผู้นี้จืดเจื่อนยิ่งนัก แต่ก็ทำใจดีสู้เสือเอ่ยทั้งที่น้ำเสียงติดสั่นระริกจากรังสีกดดันของแม่ทัพไร้พ่าย“ท่านแม่มิคิดหรือเจ้าคะ หากอาเมี่ยวรักษาไม่ทันจะเป็นเช่นไร ท่านพี่สะใภ้นั้นอาจถูกหลอกใช้ก็จริง แต่ว่าอย่างไรเสียเมื่อไม่รู้แหล่งที่มาดีดีไยต้องเสี่ยงให้บุตรสาวของข้ากินด้วย หรือว่าเพราะไม่ใช่บุตรสาวของตนจึงจะให้กินอันใดก็ได้”“ไม่เลย ๆ น้องสะใภ้อย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้ตั้งใจทำร้ายใครทั้งสิ้น เจ้าอย่าได้คิดเช่นนั้น ทว่าอย่างไรบุตรสาวเจ้าก็ไม่เป็นอันใดนี่ เจ้าสบายดีใช่ไหมอาเ
23ไปหาหลักฐานเมื่อเป็นเรื่องความเป็นไประดับแคว้น พอเฟยเมี่ยวไปปรึกษากับชินอ๋องนางก็เพิ่งได้รู้ว่าเขากำลังติดตามเรื่องมีคนลักลอบจำหน่ายฝิ่นอยู่เช่นเดียวกัน พอเฟยเมี่ยวเอาสิ่งที่นางสืบมาโดยตลอดผนวกเข้ากับความจริงจากปากมารดามันทำให้เฟยเมี่ยวสงสัยไปที่ตระกูลซุนสายหลักโดยเฉพาะท่านป้าซูเม่ยทันที พอเอ่ยขอให้ชินอ๋องไปติดตามและสืบเชิงลึกที่ตระกูลหลิงก็พบเบาะแสบางอย่างที่พุ่งไปว่าเขาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบค้าฝิ่นจริง โดยประมุขตระกูลหลิงที่เป็นถึงหัวหน้ากรมตุลาการหากลักลอบขายฝิ่นย่อมสะเทือนต่อแคว้นมากแน่ตอนนี้ขอเพียงหาหลักฐานมาก็สามารถจับกุมตัวการหลักแล้ว สิ่งที่ชินอ๋องกำลังทำอยู่ตอนนี้คือติดตามคนของตระกูลหลิงที่มีการเดินทางไปมาที่ชายแดนกับเมืองต่าง ๆ โดยแน่นอนว่าเฟยเมี่ยวขอติดตามมาด้วยซึ่งตอนแรกบิดานางจะไม่ให้ไปแต่เพราะชินอ๋องเอ่ยปากและบอกว่าให้พี่ใหญ่ตามมาด้วยได้ เฟยเมี่ยวจึงมีโอกาสได้ติดตามไปชายแดนเยี่ยงตอนนี้“อาเมี่ยวไหวหรือไม่อีกไม่ไกลก็ได้เข้าเมืองแล้ว”พี่ใหญ่เอ่ยถามนางมาตลอดทางทุก ๆ ครึ่งชั่วยาม เขาเป็นห่วงนางเกินไปจนเฟยเมี่ยวเหนื่อยจะตอบแล้ว คงเพราะการเดินทางครานี้รีบเร่งจนมิอ
22ไหน้ำส้มใครแตกกันนะวันนี้เฟยเมี่ยวออกจากจวนไปร่วมงานชมดอกไม่ที่ตระกูลไป๋จัดขึ้น นางมาถึงก็มีเหล่าคุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนมาบ้างแล้ว พอเลี่ยงเหลียงซูเห็นเฟยเมี่ยวเข้างานมาก็รีบมาเดินด้วยกันทันที ทำให้เฟยเมี่ยวไม่เดินเหงาคนเดียวอีกต่อไปรอเวลาผ่านไปจนเริ่มงานชมดอกไม้แล้ว บ่าวตระกูลไป๋จึงมาเชิญเหล่าคุณหนูไปยังลานนั่งล้อมโต๊ะที่มีชาดอกไม้กลิ่นหอมกรุ่นวางตรงหน้า เป็นการให้ลิ้มรสชาก่อนที่จะไปยังสวนเพื่อชมดอกไม้นั่นล่ะ“ชาดีทีเดียว หนิงอันยังมีรสนิยมดีเยี่ยงเดิมนะ”ท่านหญิงเจียวจินเอ่ยชมเป็นคนแรก แล้วคุณหนูคนอื่น ๆ ก็เอ่ยชมตามมาอีกไม่ขาดส่วนเฟยเมี่ยวนั้นมิได้มางานชมดอกไม้เพียงหาสหาย แต่นางต้องการมารับข่าวสารจากวงสตรีด้วย โดยเฉพาะเรื่องที่พี่ใหญ่สงสัยว่าตระกูลซุนสายหลักกำลังสู่ขอท่านหญิงตรงหน้านี้อยู่“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านหญิงถูกใจข้าน้อยก็เบาใจลงมากเลยเจ้าค่ะ”หนิงอันยิ้มหวานน้อมรับคำชม บทสนทนาของเหล่าสตรีลื่นไหลอย่างหยุดไม่อยู่ ส่วนเฟยเมี่ยวนั้นก็มีคุยบ้างเป็นครั้งคราวไม่ให้เงียบและแปลกพวกเกินไป แต่ไม่มีใครเอ่ยเข้าประเด็นที่เฟยเมี่ยวอยากรู้เลย“ว่าแต่ท่านหญิงเจียวจินผ่านวัยปักปิ่นมาแล้ว ค
21ลอบเข้าตำหนักเฮยลู่จากการที่มีข่าวลือในวันต่อมาว่ามีกลุ่มโจรซุ่มทำร้ายซุนฮูหยินที่ขอบเมืองหลวง สิ่งที่ชาวเมืองเดาไปต่าง ๆ นานา ก็คือกลุ่มโจรนั้นอาจเป็นคนของชินอ๋องก็ได้ เหตุเพราะการที่สองฝ่ายไม่ลงรอยกันนั่นเองเฟยเมี่ยวที่คุ้นชินกลยุทธ์การสร้างข่าวเท็จนี้มองออกทันที นางอยากไขข้อสงสัยมากจนตัดสินใจว่าจะไปสอบถามความจริงจากตัวการใหญ่ ทำให้ดึกคืนนั้นเองเฟยเมี่ยวในชุดดำล้วนอาศัยทางลับที่ตนสร้างไว้สมัยอยู่ในวังเข้ามาได้ในที่สุด นางพุ่งตรงไปยังตำหนักเฮยลู่ อันเป็นตำหนักที่มีเวรยามรัดกุมที่สุดจนนางไม่สามารถมีคนของตนในตำหนักแห่งนี้ได้เลยที่น่าแปลกคือ ตอนนี้เฟยเมี่ยวแอบเข้ามาจนจะถึงตำหนักหลักส่วนในแล้ว นางยังไม่เจอทหารเฝ้ายามเลยสักคน เฟยเมี่ยวคิดว่าตนเองอาจกำลังหลงกลไกการเฝ้ายามซับซ้อนอยู่นางจึงรีบหมุนตัวรีบกลับกลังทางเดิมเสียก่อนที่จะถูกจับได้ทันที“เมี่ยวเมี่ยวจะหนีอีกแล้ว เข้ามาไม่ใช่เพราะคิดถึงข้าหรือ ยังไม่ทันเจอก็จะกลับเสียแล้ว...”นั่นอย่างไร ที่แท้ชินอ๋องผู้นี้ก็คิดว่านางต้องมาหาเขาอยู่แล้ว ทหารเฝ้ายามจึงหายไปหมดเช่นนี้เมื่อเจอตัวการที่นางต้องการเจอแล้ว อันใดคือต้องหนีกันเล่า !“ทห
20อยากแสร้งเป็นลมล้มสลบให้ไม่ต้องพบหน้าใครอีกงืม ๆ“เช้าแล้วหรือ?...”“ใช่ เช้าแล้ว เมี่ยวเมี่ยวตื่นแล้ว ขี้เซายิ่งนัก”หืม นางไม่ได้นอนอยู่ในห้องคนเดียวหรือไร ไยรู้สึกเหมือนเสียงพูดเมื่อครู่เกิดขึ้นที่ข้างหูนางนี้เองกันนะ ลมที่พัดผ่านใบหูมันชวนให้จั๊กกะจี้จนต้องย่นคอหนีทั้งที่ยังหลับตา ไหนจะสัมผัสบางอย่างที่คลอเคลียแก้มจนทนไม่ไหวต้องลืมตาขึ้นดูแล้วค่อยหลับอีกคราก็แล้วกัน“ท่านอ๋องมาอยู่นี่ได้อย่างไร ! โอ๊ะ”ไม่สิ ตอนนี้นางนอนอยู่ในป่านี่นา นางลืมไปเสียได้ คงเพราะเมื่อวานเหนื่อยมากจนหลับไม่รู้เรื่องแน่เลย“แล้วไยถึงถูกท่านกอดได้ !! ปล่อยนะ”ได้สติแล้วเฟยเมี่ยวก็สังเกตว่าตนเองถูกเต๋อรุ่ยกอดอยู่ แก้มของนางแนบคางของเขาจนรู้สึกประหลาดไปหมด แต่แรงกอดรัดของคนที่บาดเจ็บนั้นเฟยเมี่ยวสู้ไม่ไหวจริง นี่ขนาดเขาบาดเจ็บนะแรงยังมากเพียงนี้เลย ไม่อยากจะคิดยามปรกติจะแรงเยอะเพียงใด แต่ที่แน่นอนคือแรงสตรีตัวเล็กอย่างนางสู้เขาไม่ได้แน่นอน“เมี่ยว ๆ กอดข้าเองนะ อีกทั้งยังกอดไม่ปล่อยอีกด้วย ข้าเลยต้องนอนรออยู่เยี่ยงนี้อย่างไรล่ะ”“แต่เมื่อคืนหม่อมฉันไม่ได้นอนท่านี้ หม่อมฉันเพียงให้ความอบอุ่นแก่พระองค์ผ่า