เช้าวันใหม่ในวังน้ำแข็งเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด แสงเงินบาง ๆ จากดวงอาทิตย์ที่ไม่เคยส่องแรงเกินไปในดินแดนหิมะ ทอผ่านหน้าต่างน้ำแข็งหนาเป็นลำแสงอ่อน ๆ คลี่ตัวลงบนพื้นพรมขนสัตว์หนานุ่ม
ฉันขยับตัวใต้ผ้าห่มขนสัตว์ สูดกลิ่นอุ่น ๆ ของไฟเวทย์ที่ยังคงลุกโชนในเตาผิง
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นอย่างสุภาพ
“คุณผู้มาเยือน...”
เสียงอ่อนโยนของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นจากหลังบานประตู
“ข้ามีนามว่า เสี่ยวหนิง มาดูแลท่านตามบัญชาขององค์ชาย”
ฉันสะดุ้งเล็กน้อย รีบลุกขึ้นจากเตียง กอดผ้าห่มขนสัตว์แนบอกด้วยความเคยชินของคนแปลกที่
แล้วตอบเสียงเบา ๆ
“เข้ามาได้ค่ะ”
บานประตูเปิดออกเบา ๆ อย่างนุ่มนวล
หญิงสาวร่างเล็กในชุดสีขาวสะอาดก้าวเข้ามา
ใบหน้าของเธออ่อนหวาน ดวงตากลมโค้งรับรอยยิ้มสุภาพ ทำให้บรรยากาศแข็งกร้าวของวังน้ำแข็งดูนุ่มนวลลงทันทีที่เธอปรากฏตัว
“ข้ามีหน้าที่นำอาหาร เครื่องใช้ และช่วยดูแลท่านระหว่างที่พักอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ”
เสี่ยวหนิงก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงเคารพ
ฉันยิ้มแหย ๆ ตอบกลับไป พลางกอดผ้าห่มแน่นกว่าเดิมเล็กน้อยด้วยความเก้อเขิน
“ขอบคุณนะคะ...เอ่อ...ฝากตัวด้วยค่ะ”
เสี่ยวหนิงยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะก้าวเท้าเบา ๆ ไปจัดเตรียมอาหารเช้าบนโต๊ะข้างเตาผิง
แม้จะเป็นวังน้ำแข็งที่โอบล้อมด้วยความหนาวเหน็บ แต่โต๊ะอาหารเล็ก ๆ นี้...กลับอบอุ่นกว่าที่ฉันคาดไว้
เสี่ยวหนิงจัดวางจานขนมปังนุ่ม ๆ ที่เพิ่งอบจนหอมกรุ่น แก้วชาร้อน ๆ ที่มีไออ่อน ๆ ลอยขึ้นมาแตะปลายจมูก และชามซุปใสร้อน ๆ ที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลด้วยสมุนไพรอ่อน ๆ
กลิ่นนั้นอบอุ่น...ชวนให้หัวใจอ่อนแรงที่แข็งค้างจากความหนาวละลายลงอย่างช้า ๆ
ฉันหิวจนแทบจะกระโจนใส่โต๊ะ แต่ก็พยายามระงับสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดด้วยมารยาทอันบางเบา นั่งลงบนเก้าอี้ขนสัตว์นุ่ม ๆ ใช้ช้อนเงินตักซุปเข้าปากอย่างตั้งใจ
ซุปใสร้อน ๆ รสชาติอ่อนโยนไหลลงลำคออุ่นวาบ ราวกับละลายเศษเสี้ยวความเหน็บหนาวที่เกาะกุมอยู่ในใจมาตลอดสองวัน
'อย่างน้อย...ก็ไม่ต้องอดตายเพราะหนาวหรือหิว ในวังแห่งนี้'
ฉันคิดในใจ
พลางเหลือบมองเจ้าหยกหิมะที่ขดตัวในกรงน้ำแข็งอยู่ข้างเตาผิง ส่งเสียงหายใจเบา ๆ อย่างพอใจ
บรรยากาศเงียบสงบในห้องเล็ก ๆ นี้ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกโอบล้อมด้วยอ้อมแขนอ่อนโยนที่ไม่เคยคาดหวังจะได้รับจากวังเยือกแข็งแห่งนี้
เมื่อฉันทานอาหารไปได้ครึ่งหนึ่ง เสี่ยวหนิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ ด้วยท่าทางสำรวม รอจังหวะเหมาะสม เธอก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“หากท่านผู้มาเยือนต้องการสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้า ยา หรือความช่วยเหลือ...”
เธอหยิบของบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อของชุดขาว —
มันคือ ระฆังเล็ก ๆ สีเงินเรืองแสงจาง ๆ ขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย รูปทรงคล้ายดอกบัวตูม สลักลวดลายเกล็ดหิมะรอบขอบ
“เพียงเขย่าระฆังนี้เบา ๆ เจ้าค่ะ”
“เสียงจะส่งตรงถึงข้า ไม่ว่าข้าจะอยู่ส่วนไหนของวังน้ำแข็ง”
เธอยื่นระฆังนั้นมาให้ฉันอย่างทะนุถนอม ฉันรับมาด้วยความเกรงใจ แต่ก็อดยิ้มบาง ๆ ไม่ได้
“ขอบคุณนะคะ...มันสวยมากเลย”
เสี่ยวหนิงยิ้มรับ รอยยิ้มอ่อนโยนของเธอเหมือนแสงแดดอ่อน ๆ ท่ามกลางพายุหิมะ
“เป็นเวทเสียงเรียกของวังเก่าแก่เจ้าค่ะ… องค์ชายสั่งให้ข้านำมามอบให้ท่านโดยเฉพาะ”
ฉันชะงักเล็กน้อย
‘...องค์ชาย?’
คำเรียกนั้นทำให้หัวใจฉันเต้นสะดุดอย่างไม่รู้สาเหตุ
“ข้าจะรอรับใช้ท่านเสมอเจ้าค่ะ” เสี่ยวหนิงพูดพร้อมก้มศีรษะอีกครั้ง
“และขอให้ท่านใช้เวลากับวังน้ำแข็งนี้...อย่างอุ่นใจที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
ฉันยิ้มรับเบา ๆ
กำระฆังเงินเล็ก ๆ ไว้แน่นในมืออย่างรู้สึกถึงความปลอดภัยแผ่วเบาที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ
หลังอาหารเช้า ฉันรีบกดเช็กนาฬิกา Omnibite ด้วยความหวังราง ๆ
[กำลังพยายามเชื่อมต่อ...]
จังหวะหัวใจของฉันเต้นเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว
รอคอยอย่างกระวนกระวาย เหมือนคนที่เฝ้ารอโทรศัพท์จากบ้านเกิด
[Error: พลังงานยังไม่เสถียร โปรดลองใหม่อีกครั้งในภายหลัง]
“...เฮ้อ” ฉันถอนหายใจยาวเหยียดอย่างหมดแรง
“พี่ยำ...อย่าทิ้งฉันไว้ที่นี่สิ...”
ฉันพึมพำกับตัวเองเบา ๆ เสียงแหบพร่าเพราะอารมณ์ที่กดทับอยู่ในอก
เจ้าหยกหิมะในกรงน้ำแข็งข้างเตียงเหมือนจะรับรู้ถึงความหดหู่ของฉัน มันส่งเสียง “คิ๊ว~” อ่อนโยนในลำคอ ราวกับจะปลอบใจ
ฉันหัวเราะแห้ง ๆ แล้วก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ เมื่อความหวังริบหรี่ในการติดต่อกลับโลกเดิมเริ่มแผ่ขยายเต็มอก
ประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง
“ตามข้ามา” เสียงทุ้มเย็นเอ่ยขึ้น
ฉันเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจเล็กน้อย
หลงอวิ๋นยืนอยู่ที่ธรณีประตู เส้นผมยาวสีครามเข้มลู่ไหลลงบนไหล่ ชุดคลุมสีเงินเรืองแสงอ่อน ๆ ไหวเบา ๆ ตามแรงลมที่ลอดเข้ามาจากทางเดิน
ดวงตาสีฟ้าของเขาจับจ้องมาที่ฉัน —
นิ่งสงบ เยือกเย็น แต่ไม่แข็งกระด้างเท่าคืนแรกที่เราเจอกัน
ฉันรีบเก็บนาฬิกา Omnibite ใส่กระเป๋า กอดเจ้าหยกหิมะที่หลับปุ๋ยอยู่ในกรงแนบอก แล้วก้าวตามเขาออกไปอย่างรวดเร็ว
วังน้ำแข็งในยามกลางวัน...สวยงามจนน่าใจหาย
เสาหินน้ำแข็งสูงเสียดฟ้าถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจง รูปสัตว์วิเศษ มังกร ลำน้ำ และหมู่ดาว พันร้อยเข้าหากันราวกับโลกทั้งใบถูกร้อยเรียงด้วยปลายนิ้วของเทพเจ้า
พื้นน้ำแข็งใต้เท้าใสสะท้อนแสงแดดอ่อน ๆ ที่ลอดผ่านกระจกน้ำแข็งหนา เกิดเป็นประกายระยิบระยับสีรุ้งที่เต้นระริกไล่ตามฝ่าเท้าไปทุกย่างก้าว
ห้องโถงกว้างใหญ่เต็มไปด้วยประติมากรรมน้ำแข็งรูปร่างแปลกตา —
บางตัวเหมือนนกฟีนิกซ์กำลังสยายปีก บางตัวเหมือนปลาวาฬยักษ์ล่องลอยอยู่เหนือพื้นดิน ทุกรูปปั้นละเอียดลออเสียจนเหมือนพวกมันจะขยับได้จริง ๆ
แสงที่ส่องลอดผ่านคริสตัลน้ำแข็งสูงเหนือหัวทำให้ทั้งวังดูเหมือนลอยอยู่ในความฝัน —
ระหว่างโลกของมนุษย์กับแดนสวรรค์ที่เย็นเยียบ
หลงอวิ๋นเดินนำฉันไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน ฝีเท้าของเขานุ่มนวลมั่นคง ทุกย่างก้าวมีจังหวะที่แน่วแน่เหมือนกับว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของวังน้ำแข็งนี้มาตั้งแต่ต้น
เขาไม่พูดอะไรเลย —
เพียงเดินอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้ฉันได้ซึมซับภาพทั้งหมดด้วยตัวเอง และฉันก็ไม่รู้ตัวเลย...ว่าความกังวล หวาดหวั่น และความเหงาที่เคยเกาะกุมหัวใจมาทั้งคืน เริ่มสลายไปทีละน้อย ราวกับถูกละลายด้วยแสงระยิบระยับของวังน้ำแข็งแห่งนี้
เราผ่าน ห้องบัลลังก์ —
โถงสูงตระหง่านที่เต็มไปด้วยแสงสะท้อนระยิบระยับของน้ำแข็งบริสุทธิ์
ตรงกลางห้อง...ตั้งตระหง่านอยู่คือ บัลลังก์น้ำแข็ง แกะสลักอย่างวิจิตรพิสดาร มังกรน้ำแข็งขนาดมหึมาโอบล้อมรอบบัลลังก์ ด้วยท่วงท่าเยือกเย็นและสง่างามเหมือนสิ่งมีชีวิตจริง
เพดานเบื้องบนประดับด้วย สายคริสตัลใส ร้อยเรียงเป็นเส้นสายละเอียดอ่อน เปล่งประกายแสงระยิบระยับเหมือนหมู่ดาวบนผืนฟ้ายามค่ำคืน
เมื่อมองขึ้นไป...ราวกับโลกทั้งใบกำลังแขวนอยู่เหนือหัว
โถงสีเงินสะท้อนแสงทุกฝีก้าวที่เราย่างผ่าน ความเงียบงันในที่แห่งนี้ ไม่ได้เย็นเพียงร่างกาย — แต่เย็นลึกถึงหัวใจ
ฉันย่างเท้าไปตามหลงอวิ๋นอย่างเงียบ ๆ แต่เมื่อเดินผ่านหนึ่งในเสาน้ำแข็งใสที่ประดับเรียงรายตามทางเดิน ฉันก็เผลอยกมือขึ้นแตะเบา ๆ อย่างไม่รู้ตัว
ปลายนิ้วสัมผัสกับความเย็นเฉียบ...
และทันใดนั้น—
ภาพบางอย่างพุ่งเข้าสู่หัวฉันอย่างรุนแรง
ฉันเห็นหิมะตกหนัก —
เกล็ดหิมะกระหน่ำราวกับพายุโหมกระหน่ำโลกจนแทบแตกสลาย ได้ยินเสียงร้องโหยหวนกรีดแผ่นฟ้า —
เสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด สูญเสีย และความสิ้นหวังจนแทงทะลุเข้าไปถึงกระดูก
และภายใต้พายุหิมะที่ไร้ความเมตตานั้น —
ฉันเห็นเงาร่างบางร่างหนึ่ง ร่างสูงสง่า สวมชุดคลุมที่ปลิวไหว ทรุดตัวลงกลางทะเลเลือดสีแดงฉานที่ซึมไหลเป็นแอ่งใต้หิมะขาวโพลน
เลือด
หิมะ
และความตายที่กัดกร่อนทุกสิ่ง
ภาพนั้นพร่าเลือนเกินกว่าจะจับรายละเอียดได้ เหมือนเศษเสี้ยวของความทรงจำที่แตกสลาย
แต่ความรู้สึกที่มันฝากไว้...
ชัดเจนจนบีบรัดหัวใจฉันจนแทบหยุดเต้น
“อึก...”
ฉันสะดุ้งเฮือก ถอนมือจากผนังน้ำแข็งอย่างรุนแรง ความเย็นเฉียบไหลย้อนจากปลายนิ้วไปจนถึงอก
หลงอวิ๋นหยุดเดิน เขาหันกลับมาช้า ๆ ดวงตาสีฟ้านิ่งสงบแต่เต็มไปด้วยความระวัง
“เป็นอะไร” เขาถามด้วยเสียงราบเรียบ ไม่มีความร้อนรน แต่ก็ไม่เฉยชา
ฉันพยายามพูด แต่เสียงติดขัดกลางลำคอ ราวกับคำพูดทุกคำถูกความกลัวพันธนาการไว้
“ฉัน...ฉันเห็น...” ฉันฝืนเอ่ยด้วยเสียงสั่นไหว
“เลือด...แล้วก็หิมะ...แล้วก็...”
ฉันไม่กล้าพูดคำสุดท้ายออกมา —
คำว่าความตาย
คำที่ยังคงก้องกังวานอยู่ในหัวใจอย่างน่ากลัว
หลงอวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าไม่แสดงความตกใจ เพียงแต่จ้องมองฉันอย่างนิ่งสงบราวกับกำลังชั่งน้ำหนักบางอย่าง
“เจ้ามีดวงตา...ของผู้มองเห็นชะตา” เขากล่าวเบา ๆ ราวกระซิบกับสายลม
“ชะตา?”
ฉันทวนคำนั้นเสียงสั่น หัวใจเต้นกระหน่ำในอก
อย่าบอกนะ...เขารู้แล้ว ว่าฉันไม่ใช่แค่คนส่งอาหารธรรมดา
หลงอวิ๋นไม่ได้ตอบในทันที
เขาเพียงเบือนสายตาออกไปยังหน้าต่างน้ำแข็งสูงที่เผยให้เห็นท้องฟ้าขาวโพลนเบื้องนอก
แววตาของเขาในตอนนั้น...เศร้าลึก ราวกับแบกพายุหิมะที่ไม่มีวันสิ้นสุดอยู่บนบ่าของตัวเอง
ฉันกอดเจ้าหยกหิมะแน่นแนบอก ความอบอุ่นเพียงน้อยนิดนั้นช่วยพยุงหัวใจที่สั่นไหวของฉันไว้ไม่ให้แตกสลาย
'ไม่ว่าภาพนั้นคืออะไร...'
'ไม่ว่าความเศร้าของเขาจะลึกแค่ไหน...'
'ฉันสัญญา...'
'ฉันจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นง่าย ๆ แน่นอน'
แม้ว่าตอนนี้...ฉันจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำอย่างไร
แต่ฉันรู้แค่ว่า —
ฉันอยากปกป้องสิ่งสำคัญนี้ไว้...ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม
เสียงคำรามของเนรูไซร์ระเบิดขึ้นอีกครั้ง หางขนาดยักษ์กวาดทำลายผนังถ้ำเวทเหมือนกระดาษชื้น เวทแสงและเงาปะทะกันกลางอากาศจนเกิดการสั่นสะเทือนระลอกใหญ่ฝุ่นเวทปลิวว่อน—เสียงเวทร้องดังก้องในทุกสรรพางค์ของโลกเวทหลงอวิ๋นยังคงยืนอยู่ตรงหน้าแท่นเวท ร่างกายบาดเจ็บจากการรับเวทแทนเอลาเรียดวงตาสีฟ้าของเขาเรืองแสงเย็นราวน้ำแข็งที่กำลังแตกร้าว เขากำมือแน่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเนรูไซร์ที่คำรามลั่นกลางอากาศ“...พอแล้ว”เสียงเขาดังแน่น…แต่ราบเรียบราวหิมะที่กำลังตก พลังเวทเริ่มปะทุจากใต้ฝ่าเท้า—วงเวทมังกรน้ำแข็งเรืองแสงใต้พื้นหิน“เอลิอาน”“ดูแลเอลาเรีย...จนกว่าข้าจะหยุดมันได้”เอลิอานสบตาเขานิ่ง ก่อนพยักหน้ารับหลงอวิ๋นยื่นมือแตะอกตนเอง—จุดที่พลังแก่นมังกรหลับใหล เวทน้ำแข็งทะลักออกจากผิวหนัง กลายเป็นเกล็ดสีฟ้าระยับ เสื้อคลุมของเขาฉีกออก—เผยร่างที่ค่อย ๆ ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดมังกร เสียงกระดูกและกล้ามเนื้อแปรสภาพดังกรอบแกรบแสงเวทแตกกระจาย—ปีกกว้างกางออกกลางอากาศ
เสียงคำรามของมังกรดึกดำบรรพ์ เนรูไซร์ ดังสะท้านห้องเวททั้งมวล แท่นผนึกกลางถ้ำใต้ทะเลสาบจันทราสั่นไหวเหมือนจะพังทลายลงในทุกวินาที แสงเวทบนพื้นแตกร้าวเป็นทางยาว หินศิลาโบราณสะเทือนจนผงธุลีร่วงเหมือนน้ำตาของกาลเวลาหางมังกรยาวสีเงินดำของมันตวัดกวาดแนวกำแพงเวท กระแทกผนังเวทที่เจิ้งอู่สร้างไว้แตกเป็นเสี่ยงเสียง ครืน!! ดังสนั่นจนหูแทบชาฉันหอบหายใจ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะพลังเวทในตัวกำลังเดือดพล่านเหมือนถูกกระชากให้ตื่นขึ้นสุดขีด มือทั้งสองข้างสั่น—แต่ยังยืนอยู่ตรงหน้าแท่นเวทดวงตาของเนรูไซร์…เป็นสีเงินมืดที่ไม่มีประกายชีวิตแต่ในแววตานั้นแฝงไว้ด้วยบางอย่าง—เศษเสี้ยวของความทรงจำพันปีที่ยังถูกผนึกอยู่“...มังกรตื่นแล้ว”เสียงของเอลิอานดังขึ้นข้างตัวฉัน เขามีบาดแผลที่ไหล่ แต่ยังคงยืนมั่น ดาบเวทยังคงเรืองแสงอยู่ในมือเซรีฟิน่าเงยหน้าขึ้นมองเนรูไซร์ที่กำลังอาละวาด ดวงตาของนางเป็นประกายเรืองแสงสีม่วงเข้ม พลังเงาดำแผ่ออกจากร่างอย่างบ้าคลั่ง“ใจเย็น…ที่รักข
แสงจากไพ่ทาโรห์ใบสุดท้าย— “The Star” ลอยขึ้นเหนือฝ่ามือฉัน มันส่องประกายสีเงินอ่อน กระเพื่อมช้า ๆ ไปตามแรงเวทจากแท่นศิลาเบื้องล่างณ วินาทีนั้น…โลกทั้งใบคล้ายถูกแช่แข็งลงชั่วขณะ รอบกายเงียบงันราวกับกาลเวลาเองก็หยุดหายใจฉันยืนข้างหลงอวิ๋น มือของเราประสานกันแนบแน่น พลังเวทของเราค่อย ๆ ไหลซึมผ่านปลายนิ้ว—หลอมรวมกันเป็นสายใยเรืองแสงที่โยงถึงจิตวิญญาณเสียงหัวใจของเขา...ประสานกับจังหวะหัวใจของฉันอย่างไร้รอยต่อ“จงผนึกซากจันทรา…”เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นจากริมฝีปากของเขา แสงเวทสีเยือกแข็งเริ่มเรืองขึ้นจากปลายนิ้ว ค่อย ๆ ลากเป็นเส้นเวทรอบแท่นกลาง ลวดลายเวทพันกันวนซ้อน กลายเป็น ‘อักขระมังกรพันธะ’ โบราณ—อักขระที่ไม่มีผู้ใดยุคนี้อ่านออก…นอกจากเขาเพียงผู้เดียวฉันหลับตาลง ปล่อยให้จิตเงียบลงจนหมด เหลือเพียงหนึ่งเดียว—ภาพของเขาที่ชัดเจนที่สุดในใจเส้นเวทวนทบซ้อนกันเป็นรูป ‘อักขระมังกรพันธะ’ ซึ่งไม่เคยมีใครในยุคนี้อ่านออกได้นอกจากเขา“ด้วยเส้นชะตาที่ผูกพัน…”“ด้วยหัวใจที่มิได้เลือกเพียงชาตินี้…”“จงคื
ลมหิมะยามเช้าเอื่อยพัดผ่านช่องหน้าต่าง แสงอ่อนจากผลึกเวทสีเงินวาวสาดลงบนผืนพรมขนสัตว์สีเทาอ่อนที่ปูอยู่กลางห้อง ฉันยืนนิ่งอยู่หน้ากระจกทรงสูง บิดตัวน้อย ๆ ให้มั่นใจว่าเกราะเวทเบาเข้ารูปสีขาวเงินที่สวมอยู่แนบตัวพอดีทุกส่วนสายคาดเอวสีเทาอ่อนปักลายจันทร์เสี้ยวไขว้ทับด้านหน้า ผ้าคลุมยาวสีเงินชายผ้าคลุมยาวจนแตะข้อเท้า พาดจากไหล่ซ้ายลงไปด้านหลังอย่างสง่างาม ถุงมือเวทสีขาวไข่มุกสวมเฉพาะมือขวา เพื่อเปิดการสัมผัสเวทร่วม และปลายผมของฉันถูกรวบด้วยปิ่นเวทผลึกสีฟ้า...ที่เขาเป็นคนสวมให้ฉันเมื่อคืน...แค่คิดถึงสัมผัสของเขาบนเส้นผม ฉันก็เผลอยิ้มเสียงขยับผ้าเบา ๆ ด้านหลังทำให้ฉันหันกลับไปมอง—ภาพที่เห็นคือเขา...หลงอวิ๋นกำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะไม้แกะสลัก จัดเกราะชิ้นสุดท้ายเข้าที่อย่างเงียบ ๆเขาสวมเสื้อคลุมเวทชั้นในสีดำแนบตัว พาดทับด้วยเกราะหน้าอกสีเงินเข้มที่สลักอักขระเวทน้ำแข็ง และเสื้อคลุมสีเทาน้ำแข็งชายยาวลากพื้น ด้านในเป็นเส้นด้ายเวทสีฟ้าประกายปลอกแขนและถุงมือเวทสีน้ำเงินเข้มแนบข้อมือ และผ้าคาดเอวปักตราประจำตระกูลมังกรน้ำแข็งทับด้วยดาบประจำตัวสีเงิ
หลงอวิ๋นกวาดสายตามองไปรอบห้องโถงประชุม ดวงตาสีฟ้าของเขานิ่งลึก ยากจะคาดเดาได้ว่าภายในใจเขากำลังสั่นไหวเพียงใด“มีผู้ใดสงสัยในแผนหรือไม่”น้ำเสียงของเขาดังชัดในห้องประชุมหินน้ำแข็ง ความเงียบโรยตัวลงอีกครั้ง ราวกับแม้แต่ลมหายใจก็ลังเลที่จะดังขึ้นแม่ทัพเถาอู่ขยับตัวเล็กน้อย แต่เพียงแค่พยักหน้า ก่อนกล่าวเสียงหนักแน่น“กองกำลังพร้อมแล้วพะยะค่ะ ไม่มีข้อสงสัยใด”เจิ้งอู่ที่ยืนอยู่ใกล้แผนภาพเวทบนโต๊ะเอ่ยขึ้นเสริม“กองรบแนวหน้าจะเริ่มเคลื่อนพลล่วงหน้าในคืนนี้ ส่วนหน่วยซึมลึกผ่านอุโมงค์ จะเริ่มลงจุดตามแผนตั้งแต่ยามก่อนรุ่งอรุณ”หลงอวิ๋นพยักหน้า ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงต่ำเยือกเย็น—แต่มั่นคง“ถ้าแผนหลักล้มเหลว…”เขาหยุดมองหน้าทุกคนทีละคน—รวมถึงฉัน“แผนสำรองคือการเร่ง ‘พันธะผนึก’ ระหว่างข้ากับเอลาเรียทันที”“นั่นจะทำให้พลังของเราเชื่อมถึงกันได้ลึกยิ่งขึ้น แม้จะยังไม่สมบูรณ์ แต่พลังสั่นสะเทือนของข้าอาจทำลายแท่นเวทก่อนมันจะกลืนข้า”เสียงฮือฮาเบา ๆ ดังขึ้นจากมุมแม่ทัพสายเวท แต่ก็เงียบลงทันทีเมื่อหลงอวิ๋นปรายตามอง
ห้องประชุมเงียบไปอีกครั้งความกล้าของฉันอาจดูบ้าบิ่นในสายตาใครหลายคนแต่ไม่มีใครรู้...ว่าหัวใจฉันมันดื้อแค่ไหนแล้วทันใดนั้นเอง—“ดูเหมือนการประชุมจะเข้มข้นขึ้นนะ…”เสียงทุ้มต่ำและเรียบนิ่งดังขึ้นจากประตูด้านในบานประตูน้ำแข็งที่ควรจะถูกผนึกไว้ด้วยเวทรุนแรง…กลับเปิดออกอย่างไร้เสียง ด้วยแรงเวทที่หนักแน่นแต่แผ่วเบาเงาร่างสูงระหงในชุดคลุมดำล้วนก้าวเข้ามาอย่างสงบนิ่งผ้าคลุมของเขาทอดยาวสะบัดเบา ๆ กับพื้นหินเย็นเยียบ ปักลายมังกรดำด้วยด้ายเงินวาววับ เงามันราวกับสะท้อนแสงจากห้วงอเวจีต่างหูข้างเดียวที่เขาสวมไว้สะท้อนแสงเทียนเป็นประกาย...และดวงตาสีแดงเข้มราวเถ้าถ่านจับจ้องมาที่ฉัน—เพียงคนเดียว“เจ้าช่างกล้าจริง ๆ ...เจ้ามนุษย์น้อย”ไคเซอร์ ดราโคนิส—องค์ชายดำแห่งแดนเหนือเขาก้าวผ่านเหล่าแม่ทัพอย่างไม่แม้แต่จะปรายตามองใคร ร่างสูงสง่าของเขาหยุดลงหน้าฉัน พร้อมแรงกดดันที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ทั่วห้อง“อย่าได้หลงคิดว่า