เช้าวันใหม่ในวังน้ำแข็งเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด แสงเงินบาง ๆ จากดวงอาทิตย์ที่ไม่เคยส่องแรงเกินไปในดินแดนหิมะ ทอผ่านหน้าต่างน้ำแข็งหนาเป็นลำแสงอ่อน ๆ คลี่ตัวลงบนพื้นพรมขนสัตว์หนานุ่ม
ฉันขยับตัวใต้ผ้าห่มขนสัตว์ สูดกลิ่นอุ่น ๆ ของไฟเวทย์ที่ยังคงลุกโชนในเตาผิง
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นอย่างสุภาพ
“คุณผู้มาเยือน...”
เสียงอ่อนโยนของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นจากหลังบานประตู
“ข้ามีนามว่า เสี่ยวหนิง มาดูแลท่านตามบัญชาขององค์ชาย”
ฉันสะดุ้งเล็กน้อย รีบลุกขึ้นจากเตียง กอดผ้าห่มขนสัตว์แนบอกด้วยความเคยชินของคนแปลกที่
แล้วตอบเสียงเบา ๆ
“เข้ามาได้ค่ะ”
บานประตูเปิดออกเบา ๆ อย่างนุ่มนวล
หญิงสาวร่างเล็กในชุดสีขาวสะอาดก้าวเข้ามา
ใบหน้าของเธออ่อนหวาน ดวงตากลมโค้งรับรอยยิ้มสุภาพ ทำให้บรรยากาศแข็งกร้าวของวังน้ำแข็งดูนุ่มนวลลงทันทีที่เธอปรากฏตัว
“ข้ามีหน้าที่นำอาหาร เครื่องใช้ และช่วยดูแลท่านระหว่างที่พักอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ”
เสี่ยวหนิงก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงเคารพ
ฉันยิ้มแหย ๆ ตอบกลับไป พลางกอดผ้าห่มแน่นกว่าเดิมเล็กน้อยด้วยความเก้อเขิน
“ขอบคุณนะคะ...เอ่อ...ฝากตัวด้วยค่ะ”
เสี่ยวหนิงยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะก้าวเท้าเบา ๆ ไปจัดเตรียมอาหารเช้าบนโต๊ะข้างเตาผิง
แม้จะเป็นวังน้ำแข็งที่โอบล้อมด้วยความหนาวเหน็บ แต่โต๊ะอาหารเล็ก ๆ นี้...กลับอบอุ่นกว่าที่ฉันคาดไว้
เสี่ยวหนิงจัดวางจานขนมปังนุ่ม ๆ ที่เพิ่งอบจนหอมกรุ่น แก้วชาร้อน ๆ ที่มีไออ่อน ๆ ลอยขึ้นมาแตะปลายจมูก และชามซุปใสร้อน ๆ ที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลด้วยสมุนไพรอ่อน ๆ
กลิ่นนั้นอบอุ่น...ชวนให้หัวใจอ่อนแรงที่แข็งค้างจากความหนาวละลายลงอย่างช้า ๆ
ฉันหิวจนแทบจะกระโจนใส่โต๊ะ แต่ก็พยายามระงับสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดด้วยมารยาทอันบางเบา นั่งลงบนเก้าอี้ขนสัตว์นุ่ม ๆ ใช้ช้อนเงินตักซุปเข้าปากอย่างตั้งใจ
ซุปใสร้อน ๆ รสชาติอ่อนโยนไหลลงลำคออุ่นวาบ ราวกับละลายเศษเสี้ยวความเหน็บหนาวที่เกาะกุมอยู่ในใจมาตลอดสองวัน
'อย่างน้อย...ก็ไม่ต้องอดตายเพราะหนาวหรือหิว ในวังแห่งนี้'
ฉันคิดในใจ
พลางเหลือบมองเจ้าหยกหิมะที่ขดตัวในกรงน้ำแข็งอยู่ข้างเตาผิง ส่งเสียงหายใจเบา ๆ อย่างพอใจ
บรรยากาศเงียบสงบในห้องเล็ก ๆ นี้ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกโอบล้อมด้วยอ้อมแขนอ่อนโยนที่ไม่เคยคาดหวังจะได้รับจากวังเยือกแข็งแห่งนี้
เมื่อฉันทานอาหารไปได้ครึ่งหนึ่ง เสี่ยวหนิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ ด้วยท่าทางสำรวม รอจังหวะเหมาะสม เธอก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“หากท่านผู้มาเยือนต้องการสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้า ยา หรือความช่วยเหลือ...”
เธอหยิบของบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อของชุดขาว —
มันคือ ระฆังเล็ก ๆ สีเงินเรืองแสงจาง ๆ ขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย รูปทรงคล้ายดอกบัวตูม สลักลวดลายเกล็ดหิมะรอบขอบ
“เพียงเขย่าระฆังนี้เบา ๆ เจ้าค่ะ”
“เสียงจะส่งตรงถึงข้า ไม่ว่าข้าจะอยู่ส่วนไหนของวังน้ำแข็ง”
เธอยื่นระฆังนั้นมาให้ฉันอย่างทะนุถนอม ฉันรับมาด้วยความเกรงใจ แต่ก็อดยิ้มบาง ๆ ไม่ได้
“ขอบคุณนะคะ...มันสวยมากเลย”
เสี่ยวหนิงยิ้มรับ รอยยิ้มอ่อนโยนของเธอเหมือนแสงแดดอ่อน ๆ ท่ามกลางพายุหิมะ
“เป็นเวทเสียงเรียกของวังเก่าแก่เจ้าค่ะ… องค์ชายสั่งให้ข้านำมามอบให้ท่านโดยเฉพาะ”
ฉันชะงักเล็กน้อย
‘...องค์ชาย?’
คำเรียกนั้นทำให้หัวใจฉันเต้นสะดุดอย่างไม่รู้สาเหตุ
“ข้าจะรอรับใช้ท่านเสมอเจ้าค่ะ” เสี่ยวหนิงพูดพร้อมก้มศีรษะอีกครั้ง
“และขอให้ท่านใช้เวลากับวังน้ำแข็งนี้...อย่างอุ่นใจที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
ฉันยิ้มรับเบา ๆ
กำระฆังเงินเล็ก ๆ ไว้แน่นในมืออย่างรู้สึกถึงความปลอดภัยแผ่วเบาที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ
หลังอาหารเช้า ฉันรีบกดเช็กนาฬิกา Omnibite ด้วยความหวังราง ๆ
[กำลังพยายามเชื่อมต่อ...]
จังหวะหัวใจของฉันเต้นเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว
รอคอยอย่างกระวนกระวาย เหมือนคนที่เฝ้ารอโทรศัพท์จากบ้านเกิด
[Error: พลังงานยังไม่เสถียร โปรดลองใหม่อีกครั้งในภายหลัง]
“...เฮ้อ” ฉันถอนหายใจยาวเหยียดอย่างหมดแรง
“พี่ยำ...อย่าทิ้งฉันไว้ที่นี่สิ...”
ฉันพึมพำกับตัวเองเบา ๆ เสียงแหบพร่าเพราะอารมณ์ที่กดทับอยู่ในอก
เจ้าหยกหิมะในกรงน้ำแข็งข้างเตียงเหมือนจะรับรู้ถึงความหดหู่ของฉัน มันส่งเสียง “คิ๊ว~” อ่อนโยนในลำคอ ราวกับจะปลอบใจ
ฉันหัวเราะแห้ง ๆ แล้วก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ เมื่อความหวังริบหรี่ในการติดต่อกลับโลกเดิมเริ่มแผ่ขยายเต็มอก
ประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง
“ตามข้ามา” เสียงทุ้มเย็นเอ่ยขึ้น
ฉันเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจเล็กน้อย
หลงอวิ๋นยืนอยู่ที่ธรณีประตู เส้นผมยาวสีครามเข้มลู่ไหลลงบนไหล่ ชุดคลุมสีเงินเรืองแสงอ่อน ๆ ไหวเบา ๆ ตามแรงลมที่ลอดเข้ามาจากทางเดิน
ดวงตาสีฟ้าของเขาจับจ้องมาที่ฉัน —
นิ่งสงบ เยือกเย็น แต่ไม่แข็งกระด้างเท่าคืนแรกที่เราเจอกัน
ฉันรีบเก็บนาฬิกา Omnibite ใส่กระเป๋า กอดเจ้าหยกหิมะที่หลับปุ๋ยอยู่ในกรงแนบอก แล้วก้าวตามเขาออกไปอย่างรวดเร็ว
วังน้ำแข็งในยามกลางวัน...สวยงามจนน่าใจหาย
เสาหินน้ำแข็งสูงเสียดฟ้าถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจง รูปสัตว์วิเศษ มังกร ลำน้ำ และหมู่ดาว พันร้อยเข้าหากันราวกับโลกทั้งใบถูกร้อยเรียงด้วยปลายนิ้วของเทพเจ้า
พื้นน้ำแข็งใต้เท้าใสสะท้อนแสงแดดอ่อน ๆ ที่ลอดผ่านกระจกน้ำแข็งหนา เกิดเป็นประกายระยิบระยับสีรุ้งที่เต้นระริกไล่ตามฝ่าเท้าไปทุกย่างก้าว
ห้องโถงกว้างใหญ่เต็มไปด้วยประติมากรรมน้ำแข็งรูปร่างแปลกตา —
บางตัวเหมือนนกฟีนิกซ์กำลังสยายปีก บางตัวเหมือนปลาวาฬยักษ์ล่องลอยอยู่เหนือพื้นดิน ทุกรูปปั้นละเอียดลออเสียจนเหมือนพวกมันจะขยับได้จริง ๆ
แสงที่ส่องลอดผ่านคริสตัลน้ำแข็งสูงเหนือหัวทำให้ทั้งวังดูเหมือนลอยอยู่ในความฝัน —
ระหว่างโลกของมนุษย์กับแดนสวรรค์ที่เย็นเยียบ
หลงอวิ๋นเดินนำฉันไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน ฝีเท้าของเขานุ่มนวลมั่นคง ทุกย่างก้าวมีจังหวะที่แน่วแน่เหมือนกับว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของวังน้ำแข็งนี้มาตั้งแต่ต้น
เขาไม่พูดอะไรเลย —
เพียงเดินอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้ฉันได้ซึมซับภาพทั้งหมดด้วยตัวเอง และฉันก็ไม่รู้ตัวเลย...ว่าความกังวล หวาดหวั่น และความเหงาที่เคยเกาะกุมหัวใจมาทั้งคืน เริ่มสลายไปทีละน้อย ราวกับถูกละลายด้วยแสงระยิบระยับของวังน้ำแข็งแห่งนี้
เราผ่าน ห้องบัลลังก์ —
โถงสูงตระหง่านที่เต็มไปด้วยแสงสะท้อนระยิบระยับของน้ำแข็งบริสุทธิ์
ตรงกลางห้อง...ตั้งตระหง่านอยู่คือ บัลลังก์น้ำแข็ง แกะสลักอย่างวิจิตรพิสดาร มังกรน้ำแข็งขนาดมหึมาโอบล้อมรอบบัลลังก์ ด้วยท่วงท่าเยือกเย็นและสง่างามเหมือนสิ่งมีชีวิตจริง
เพดานเบื้องบนประดับด้วย สายคริสตัลใส ร้อยเรียงเป็นเส้นสายละเอียดอ่อน เปล่งประกายแสงระยิบระยับเหมือนหมู่ดาวบนผืนฟ้ายามค่ำคืน
เมื่อมองขึ้นไป...ราวกับโลกทั้งใบกำลังแขวนอยู่เหนือหัว
โถงสีเงินสะท้อนแสงทุกฝีก้าวที่เราย่างผ่าน ความเงียบงันในที่แห่งนี้ ไม่ได้เย็นเพียงร่างกาย — แต่เย็นลึกถึงหัวใจ
ฉันย่างเท้าไปตามหลงอวิ๋นอย่างเงียบ ๆ แต่เมื่อเดินผ่านหนึ่งในเสาน้ำแข็งใสที่ประดับเรียงรายตามทางเดิน ฉันก็เผลอยกมือขึ้นแตะเบา ๆ อย่างไม่รู้ตัว
ปลายนิ้วสัมผัสกับความเย็นเฉียบ...
และทันใดนั้น—
ภาพบางอย่างพุ่งเข้าสู่หัวฉันอย่างรุนแรง
ฉันเห็นหิมะตกหนัก —
เกล็ดหิมะกระหน่ำราวกับพายุโหมกระหน่ำโลกจนแทบแตกสลาย ได้ยินเสียงร้องโหยหวนกรีดแผ่นฟ้า —
เสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด สูญเสีย และความสิ้นหวังจนแทงทะลุเข้าไปถึงกระดูก
และภายใต้พายุหิมะที่ไร้ความเมตตานั้น —
ฉันเห็นเงาร่างบางร่างหนึ่ง ร่างสูงสง่า สวมชุดคลุมที่ปลิวไหว ทรุดตัวลงกลางทะเลเลือดสีแดงฉานที่ซึมไหลเป็นแอ่งใต้หิมะขาวโพลน
เลือด
หิมะ
และความตายที่กัดกร่อนทุกสิ่ง
ภาพนั้นพร่าเลือนเกินกว่าจะจับรายละเอียดได้ เหมือนเศษเสี้ยวของความทรงจำที่แตกสลาย
แต่ความรู้สึกที่มันฝากไว้...
ชัดเจนจนบีบรัดหัวใจฉันจนแทบหยุดเต้น
“อึก...”
ฉันสะดุ้งเฮือก ถอนมือจากผนังน้ำแข็งอย่างรุนแรง ความเย็นเฉียบไหลย้อนจากปลายนิ้วไปจนถึงอก
หลงอวิ๋นหยุดเดิน เขาหันกลับมาช้า ๆ ดวงตาสีฟ้านิ่งสงบแต่เต็มไปด้วยความระวัง
“เป็นอะไร” เขาถามด้วยเสียงราบเรียบ ไม่มีความร้อนรน แต่ก็ไม่เฉยชา
ฉันพยายามพูด แต่เสียงติดขัดกลางลำคอ ราวกับคำพูดทุกคำถูกความกลัวพันธนาการไว้
“ฉัน...ฉันเห็น...” ฉันฝืนเอ่ยด้วยเสียงสั่นไหว
“เลือด...แล้วก็หิมะ...แล้วก็...”
ฉันไม่กล้าพูดคำสุดท้ายออกมา —
คำว่าความตาย
คำที่ยังคงก้องกังวานอยู่ในหัวใจอย่างน่ากลัว
หลงอวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าไม่แสดงความตกใจ เพียงแต่จ้องมองฉันอย่างนิ่งสงบราวกับกำลังชั่งน้ำหนักบางอย่าง
“เจ้ามีดวงตา...ของผู้มองเห็นชะตา” เขากล่าวเบา ๆ ราวกระซิบกับสายลม
“ชะตา?”
ฉันทวนคำนั้นเสียงสั่น หัวใจเต้นกระหน่ำในอก
อย่าบอกนะ...เขารู้แล้ว ว่าฉันไม่ใช่แค่คนส่งอาหารธรรมดา
หลงอวิ๋นไม่ได้ตอบในทันที
เขาเพียงเบือนสายตาออกไปยังหน้าต่างน้ำแข็งสูงที่เผยให้เห็นท้องฟ้าขาวโพลนเบื้องนอก
แววตาของเขาในตอนนั้น...เศร้าลึก ราวกับแบกพายุหิมะที่ไม่มีวันสิ้นสุดอยู่บนบ่าของตัวเอง
ฉันกอดเจ้าหยกหิมะแน่นแนบอก ความอบอุ่นเพียงน้อยนิดนั้นช่วยพยุงหัวใจที่สั่นไหวของฉันไว้ไม่ให้แตกสลาย
'ไม่ว่าภาพนั้นคืออะไร...'
'ไม่ว่าความเศร้าของเขาจะลึกแค่ไหน...'
'ฉันสัญญา...'
'ฉันจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นง่าย ๆ แน่นอน'
แม้ว่าตอนนี้...ฉันจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำอย่างไร
แต่ฉันรู้แค่ว่า —
ฉันอยากปกป้องสิ่งสำคัญนี้ไว้...ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม
เสียงหัวเราะเยาะ... เสียงซุบซิบกระซิบกระซาบ... และเสียงก่นด่าอันแสบแก้วหู ดังก้องสะท้อนอยู่ในความฝันอันพร่าเลือนเอลาเรีย เวลเลนไฮม์ ยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางจัตุรัสเมืองเก่า ที่ครั้งหนึ่งเคยอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของขนมปังสดใหม่และเสียงหัวเราะของผู้คนที่แวะเวียนมาเยี่ยมชม ตลาดที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับกลายเป็นเวทีประจานเย้ยหยันเธอยืนอยู่ตรงนั้น ร่างกายสั่นสะท้านในเสื้อคลุมสีกรมท่าขาดรุ่งริ่ง ผมสีน้ำตาลเข้มแห้งกรอบปิดใบหน้าที่สวยสด สายลมหนาวกรูกราวพัดกระโชกจนชายเสื้อของเธอสะบัดฟาดไปมาเหมือนธงแห่งความพ่ายแพ้ผู้คนมากมายรายล้อมเธอเป็นวงกลม แววตาที่เคยมองเธอด้วยความเลื่อมใส บัดนี้กลับเปลี่ยนเป็นสายตาแข็งกร้าว เคลือบด้วยความโกรธและความผิดหวังโต๊ะไพ่ตัวเดิมที่เธอเคยนั่งประจำ ถูกพลิกคว่ำกลางลานหิน เสียงไม้กระแทกพื้นดังกึกก้อง ไพ่ทาโรต์สีสดปลิวกระจัดกระจายไปตามแรงลม ราวกับนกน้อยที่สิ้นแรงบิน พร็อพเวทมนตร์—ลูกแก้วพยากรณ์ กระดิ่งเงิน และเครื่องรางสีหม่น—กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้น เหยียบย่ำจนแทบไม่เหลือสภาพแผ่นป้ายไม้ที่สลักคำว่า "เอลาเรีย เวลเลนไฮม์ - หมอดูผู้หยั่งรู้โชคชะตา" ถูกเหยียบซ้ำแล้
ถนนสายเช้ายังคงว่างเปล่า มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวลอดผ่านตรอกแคบ ๆ ที่ทอดยาวเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด ฉันเร่งก้าวเท้าไปตามทาง ลมหายใจเปลี่ยนเป็นไอขาวลอยวูบวาบในอากาศหนาวเหน็บ ทั้งที่ปฏิทินบอกว่ากำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้วแท้ ๆมือข้างหนึ่งกอดกระเป๋าส่งอาหารแน่น ขณะที่อีกข้างกำเสื้อแจ็กเก็ตไว้แน่นเพื่อกันลมที่เย็นเฉียบแทงทะลุเข้ามาในทุกอณูผิว‘Omnibite...นั่นไง’ฉันหยุดยืนหน้าร้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง — มันดูธรรมดาจนน่าเหลือเชื่อว่าที่นี่คือศูนย์กลางการส่งอาหารทะลุมิติป้ายหน้าร้านเป็นกระจกสีดำเรียบลื่น ไม่มีโลโก้ ไม่มีชื่อร้าน ไม่มีแม้แต่ตัวอักษรใด ๆ ที่บอกว่านี่คืออะไร นอกจากเส้นสายแสงเงินบางเบาที่ไหลวูบไหวไปมาใต้ผิวกระจก ราวกับเป็นลมหายใจของบางสิ่งที่หลับใหลอยู่ภายในแสงนั้นสั่นระริก เหมือนเส้นทางของแม่น้ำบนท้องฟ้า พริบพรายอย่างเงียบงันในยามเช้ามืดฉันกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ ก่อนจะยื่นมือออกไปผลักประตูกระจกเบา ๆ —ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสบานประตู โลกทั้งใบก็เหมือนพลิกตัวไปอีกมิติหนึ่งประตูเปิดออกอย่างไร้เสียงแสงสีเงินจาง ๆ พร่างพรายออกมาและทันทีที่ก้าวข้ามธรณีประตู..."ยินดีต้อนรับสู่ Omnibite
ท่ามกลางทุ่งหิมะขาวโพลนที่แผ่กว้างสุดลูกหูลูกตา ลมหิมะเย็นเฉียบพัดกรูใส่หน้าแบบไม่ปรานีเกล็ดหิมะละเอียดปลิวว่อนอยู่ในอากาศหนาแน่นจนแทบมองไม่เห็นเส้นขอบฟ้า ทุกย่างก้าวที่ฉันเดินเหมือนเหยียบลงไปในมหาสมุทรเย็นเยียบที่ไม่รู้จุดจบ"ฮ่าาา...อะไรกันเนี่ย..."ฉันกัดฟันแน่น เสียงลมหายใจของตัวเองกลายเป็นไอขาวพวยพุ่งออกมาเป็นจังหวะ ยกแขนปิดหน้าบังลม และก้าวเท้าออกไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นที่รวบรวมมาแทบหมดทั้งชีวิตข้างหลัง —ประตูเชื่อมต่อกับโลกเดิม ที่ครั้งหนึ่งยังมองเห็นเป็นบานประตูไม้ธรรมดา บัดนี้ค่อย ๆ เลือนหายไปเหมือนเงาฝันจาง ๆ ถูกลบหายไปกับหิมะเหมือนไม่เคยมีอยู่เลยตั้งแต่แรกทิ้งฉันไว้กลางโลกที่ไม่รู้จักตอนนี้...ฉันมีแค่ตัวเอง กับ...กล่องราเมนที่อบอุ่นในมือเท่านั้นมือข้างที่กอดกล่องไว้แน่นรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นเล็ก ๆมันเหมือนจุดไฟเล็ก ๆ ในทะเลน้ำแข็งนี้ กลิ่นหอมกรุ่นที่แทรกออกมาจากกล่อง ยังช่วยเตือนว่าฉันมีภารกิจ — มีเป้าหมาย — และยังมีอะไรบางอย่างที่ต้องไปให้ถึงเสียงลมหิมะพัดหวิวดังครืนครางอยู่รอบตัว — มันไม่ใช่แค่เสียงลมธรรมดา แต่ฟังดูเหมือนเสียงคำรามอันแผ่วเบาของบางสิ่งที่ซ่อน
ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มยังคงจ้องฉันนิ่ง ๆ ไม่ไหวติง สายตาของเขาเย็นเยียบ ปราศจากอารมณ์เหมือนผืนน้ำแข็งโบราณที่ไม่เคยละลายตลอดกาลฉันยืนเกร็งอยู่ท่ามกลางลมหิมะที่กระหน่ำใส่ราวกับจะพัดฉันปลิวได้ทุกเมื่อกอดกล่องราเมนแนบอกไว้แน่นจนแทบจะฝังเข้าไปในร่าง ราวกับมันคือโล่ป้องกันตัวสุดท้ายที่ฉันมีในโลกใบนี้'ยิ้มเข้าไว้เอลาเรีย...อย่างน้อยก็ตายอย่างมีมารยาท...'ฉันพยายามยิ้มแหย ๆ แต่ริมฝีปากสั่นระริกจนแทบเก็บไม่อยู่ ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจได้ว่าจะหนีหรือสู้...เสียงฝีเท้าหนัก ๆ หลายคู่ก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงจากด้านหลังวังน้ำแข็งกึก กึก กึก กึก!ชายในชุดเกราะสีเงินวาววับวิ่งกรูออกมา เสียงเกราะกระทบกันดังแกรก ๆ ลั่นสะท้อนในอากาศเย็นจัดพวกเขาล้อมฉันไว้ในพริบตา ท่าทางแข็งกร้าวเหมือนหินน้ำแข็งที่ไม่มีวันแตก"บุกรุกพื้นที่หวงห้าม!"เสียงหนึ่งตะโกนกร้าว"จับตัวไว้!"อีกเสียงตะโกนซ้ำ ขณะที่มือข้างหนึ่งหยิบเชือกเวทย์ที่เรืองแสงสีฟ้าอ่อนออกมา"หาาาา?! เดี๋ยว ๆ ฉันแค่ส่งราเมนนะ!"ฉันโบกไม้โบกมือรัว ๆ จนกล่องราเมนแทบหลุดจากมือ พยายามถอยหลังหนีโดยไม่คิดชีวิตแต่พื้นหิมะลื่นอย่างร้ายกาจ เท้าที่จมหายอยู่ในห
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของฉันก้าวย่ำลงบนหิมะกรอบกรับในความเงียบเสียงนั้นเล็กน้อยนัก เมื่อเทียบกับความกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตของลานหิมะที่แผ่ขยายอยู่รอบตัวฉันกอดกระเป๋าส่งอาหารแนบตัวแน่น เดินตามหลังชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีครามเข้มที่ปลิวลู่ตามแรงลมเบา ๆ อย่างสง่างามร่างสูงโปร่งของเขาเป็นเหมือนเส้นทางนำทางเดียวในโลกที่ไร้จุดหมายนี้ลมหิมะที่เคยเกรี้ยวกราด ราวกับโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่ บัดนี้กลับสงบนิ่งอย่างประหลาด ราวกับธรรมชาติเองยังยอมสยบให้กับการปรากฏตัวของเขาหลงอวิ๋น — ฉันยังไม่รู้จักชื่อจริงของเขาในตอนนี้แต่ในใจของฉัน...ได้ตั้งชื่อให้เขาเงียบ ๆ ว่า "เจ้าชายน้ำแข็ง"เมื่อก้าวผ่านประตูวังเข้าไป...ฉันเผลออ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัวภายในวังน้ำแข็ง...ไม่ได้เยือกเย็นน่ากลัวเหมือนที่ฉันเคยจินตนาการเอาไว้เลยตรงกันข้าม — มันสวยงามจนแทบหยุดหายใจห้องโถงใหญ่เบื้องหน้าสูงเสียดเพดาน ราวกับแผ่นฟ้าถูกยกมาครอบวังแห่งนี้เสาหินน้ำแข็งบริสุทธิ์ตั้งตระหง่านแต่ละต้นแกะสลักลวดลายอย่างประณีต —มังกรน้ำแข็ง พันตัวลอยละลิ่วขึ้นไปสู่ความสูง ราวกับจะทะยานสู่ท้องฟ้าเพดานประดับด้วย คริสตัลน้ำแข็งนับพันแต่ละเม็ดเจียระไน
วังน้ำแข็งเบื้องหน้าเงียบสงบเหมือนความฝันผนังน้ำแข็งใสราวกระจกสะท้อนแสงคริสตัลระยิบระยับ ดั่งหมื่นดวงดาวแขวนอยู่ในคืนหนาวแต่หัวใจของฉัน...กำลังเต้นสับสนและร้อนรุ่มอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนหลังจากส่งราเมนเสร็จ ฉันคิดว่างานจบแล้วแค่กดเปิดระบบ Omnibite แล้วกลับบ้านเหมือนทุกครั้งฉันกวาดนิ้วลงบนหน้าจอนาฬิกาอย่างคล่องแคล่วด้วยความเคยชิน ใจเฝ้าฝันถึงห้องเช่าอันคับแคบ ผ้าห่มขาด ๆ และกลิ่นกาแฟที่เก่าจนขมขื่นแต่...[Error: ไม่สามารถเชื่อมต่อมิติปกติ][ระบบเสียหาย: โปรดรอการรีเซ็ตพลังงานใน 7 วัน]ฉันกะพริบตาปริบ ๆมองข้อความนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับมันจะเปลี่ยนคำตอบได้ถ้าฉันจ้องนานพอ“...หา?”มือไม้เย็นเฉียบจนแทบไม่รู้ตัวฉันกดรีเซ็ต กดสแกน กดทุกอย่างที่จำได้จากคู่มือฉุกเฉิน แต่ไม่ว่าอย่างไร...ข้อความเดิมก็ยังคงสว่างอยู่บนหน้าจอ[คุณติดอยู่ในโลกนี้ 7 วัน]“...ฉันติดอยู่ที่นี่จริง ๆ เหรอ?”เสียงตัวเองเบาเสียย
เช้าวันใหม่ในวังน้ำแข็งเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด แสงเงินบาง ๆ จากดวงอาทิตย์ที่ไม่เคยส่องแรงเกินไปในดินแดนหิมะ ทอผ่านหน้าต่างน้ำแข็งหนาเป็นลำแสงอ่อน ๆ คลี่ตัวลงบนพื้นพรมขนสัตว์หนานุ่มฉันขยับตัวใต้ผ้าห่มขนสัตว์ สูดกลิ่นอุ่น ๆ ของไฟเวทย์ที่ยังคงลุกโชนในเตาผิงก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นอย่างสุภาพ“คุณผู้มาเยือน...”เสียงอ่อนโยนของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นจากหลังบานประตู“ข้ามีนามว่า เสี่ยวหนิง มาดูแลท่านตามบัญชาขององค์ชาย”ฉันสะดุ้งเล็กน้อย รีบลุกขึ้นจากเตียง กอดผ้าห่มขนสัตว์แนบอกด้วยความเคยชินของคนแปลกที่แล้วตอบเสียงเบา ๆ“เข้ามาได้ค่ะ”บานประตูเปิดออกเบา ๆ อย่างนุ่มนวลหญิงสาวร่างเล็กในชุดสีขาวสะอาดก้าวเข้ามาใบหน้าของเธออ่อนหวาน ดวงตากลมโค้งรับรอยยิ้มสุภาพ ทำให้บรรยากาศแข็งกร้าวของวังน้ำแข็งดูนุ่มนวลลงทันทีที่เธอปรากฏตัว“ข้ามีหน้าที่นำอาหาร เครื่องใช้ และช่วยดูแลท่านระหว่างที่พักอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ”เสี่ยวหน
วังน้ำแข็งเบื้องหน้าเงียบสงบเหมือนความฝันผนังน้ำแข็งใสราวกระจกสะท้อนแสงคริสตัลระยิบระยับ ดั่งหมื่นดวงดาวแขวนอยู่ในคืนหนาวแต่หัวใจของฉัน...กำลังเต้นสับสนและร้อนรุ่มอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนหลังจากส่งราเมนเสร็จ ฉันคิดว่างานจบแล้วแค่กดเปิดระบบ Omnibite แล้วกลับบ้านเหมือนทุกครั้งฉันกวาดนิ้วลงบนหน้าจอนาฬิกาอย่างคล่องแคล่วด้วยความเคยชิน ใจเฝ้าฝันถึงห้องเช่าอันคับแคบ ผ้าห่มขาด ๆ และกลิ่นกาแฟที่เก่าจนขมขื่นแต่...[Error: ไม่สามารถเชื่อมต่อมิติปกติ][ระบบเสียหาย: โปรดรอการรีเซ็ตพลังงานใน 7 วัน]ฉันกะพริบตาปริบ ๆมองข้อความนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับมันจะเปลี่ยนคำตอบได้ถ้าฉันจ้องนานพอ“...หา?”มือไม้เย็นเฉียบจนแทบไม่รู้ตัวฉันกดรีเซ็ต กดสแกน กดทุกอย่างที่จำได้จากคู่มือฉุกเฉิน แต่ไม่ว่าอย่างไร...ข้อความเดิมก็ยังคงสว่างอยู่บนหน้าจอ[คุณติดอยู่ในโลกนี้ 7 วัน]“...ฉันติดอยู่ที่นี่จริง ๆ เหรอ?”เสียงตัวเองเบาเสียย
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของฉันก้าวย่ำลงบนหิมะกรอบกรับในความเงียบเสียงนั้นเล็กน้อยนัก เมื่อเทียบกับความกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตของลานหิมะที่แผ่ขยายอยู่รอบตัวฉันกอดกระเป๋าส่งอาหารแนบตัวแน่น เดินตามหลังชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีครามเข้มที่ปลิวลู่ตามแรงลมเบา ๆ อย่างสง่างามร่างสูงโปร่งของเขาเป็นเหมือนเส้นทางนำทางเดียวในโลกที่ไร้จุดหมายนี้ลมหิมะที่เคยเกรี้ยวกราด ราวกับโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่ บัดนี้กลับสงบนิ่งอย่างประหลาด ราวกับธรรมชาติเองยังยอมสยบให้กับการปรากฏตัวของเขาหลงอวิ๋น — ฉันยังไม่รู้จักชื่อจริงของเขาในตอนนี้แต่ในใจของฉัน...ได้ตั้งชื่อให้เขาเงียบ ๆ ว่า "เจ้าชายน้ำแข็ง"เมื่อก้าวผ่านประตูวังเข้าไป...ฉันเผลออ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัวภายในวังน้ำแข็ง...ไม่ได้เยือกเย็นน่ากลัวเหมือนที่ฉันเคยจินตนาการเอาไว้เลยตรงกันข้าม — มันสวยงามจนแทบหยุดหายใจห้องโถงใหญ่เบื้องหน้าสูงเสียดเพดาน ราวกับแผ่นฟ้าถูกยกมาครอบวังแห่งนี้เสาหินน้ำแข็งบริสุทธิ์ตั้งตระหง่านแต่ละต้นแกะสลักลวดลายอย่างประณีต —มังกรน้ำแข็ง พันตัวลอยละลิ่วขึ้นไปสู่ความสูง ราวกับจะทะยานสู่ท้องฟ้าเพดานประดับด้วย คริสตัลน้ำแข็งนับพันแต่ละเม็ดเจียระไน
ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มยังคงจ้องฉันนิ่ง ๆ ไม่ไหวติง สายตาของเขาเย็นเยียบ ปราศจากอารมณ์เหมือนผืนน้ำแข็งโบราณที่ไม่เคยละลายตลอดกาลฉันยืนเกร็งอยู่ท่ามกลางลมหิมะที่กระหน่ำใส่ราวกับจะพัดฉันปลิวได้ทุกเมื่อกอดกล่องราเมนแนบอกไว้แน่นจนแทบจะฝังเข้าไปในร่าง ราวกับมันคือโล่ป้องกันตัวสุดท้ายที่ฉันมีในโลกใบนี้'ยิ้มเข้าไว้เอลาเรีย...อย่างน้อยก็ตายอย่างมีมารยาท...'ฉันพยายามยิ้มแหย ๆ แต่ริมฝีปากสั่นระริกจนแทบเก็บไม่อยู่ ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจได้ว่าจะหนีหรือสู้...เสียงฝีเท้าหนัก ๆ หลายคู่ก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงจากด้านหลังวังน้ำแข็งกึก กึก กึก กึก!ชายในชุดเกราะสีเงินวาววับวิ่งกรูออกมา เสียงเกราะกระทบกันดังแกรก ๆ ลั่นสะท้อนในอากาศเย็นจัดพวกเขาล้อมฉันไว้ในพริบตา ท่าทางแข็งกร้าวเหมือนหินน้ำแข็งที่ไม่มีวันแตก"บุกรุกพื้นที่หวงห้าม!"เสียงหนึ่งตะโกนกร้าว"จับตัวไว้!"อีกเสียงตะโกนซ้ำ ขณะที่มือข้างหนึ่งหยิบเชือกเวทย์ที่เรืองแสงสีฟ้าอ่อนออกมา"หาาาา?! เดี๋ยว ๆ ฉันแค่ส่งราเมนนะ!"ฉันโบกไม้โบกมือรัว ๆ จนกล่องราเมนแทบหลุดจากมือ พยายามถอยหลังหนีโดยไม่คิดชีวิตแต่พื้นหิมะลื่นอย่างร้ายกาจ เท้าที่จมหายอยู่ในห
ท่ามกลางทุ่งหิมะขาวโพลนที่แผ่กว้างสุดลูกหูลูกตา ลมหิมะเย็นเฉียบพัดกรูใส่หน้าแบบไม่ปรานีเกล็ดหิมะละเอียดปลิวว่อนอยู่ในอากาศหนาแน่นจนแทบมองไม่เห็นเส้นขอบฟ้า ทุกย่างก้าวที่ฉันเดินเหมือนเหยียบลงไปในมหาสมุทรเย็นเยียบที่ไม่รู้จุดจบ"ฮ่าาา...อะไรกันเนี่ย..."ฉันกัดฟันแน่น เสียงลมหายใจของตัวเองกลายเป็นไอขาวพวยพุ่งออกมาเป็นจังหวะ ยกแขนปิดหน้าบังลม และก้าวเท้าออกไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นที่รวบรวมมาแทบหมดทั้งชีวิตข้างหลัง —ประตูเชื่อมต่อกับโลกเดิม ที่ครั้งหนึ่งยังมองเห็นเป็นบานประตูไม้ธรรมดา บัดนี้ค่อย ๆ เลือนหายไปเหมือนเงาฝันจาง ๆ ถูกลบหายไปกับหิมะเหมือนไม่เคยมีอยู่เลยตั้งแต่แรกทิ้งฉันไว้กลางโลกที่ไม่รู้จักตอนนี้...ฉันมีแค่ตัวเอง กับ...กล่องราเมนที่อบอุ่นในมือเท่านั้นมือข้างที่กอดกล่องไว้แน่นรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นเล็ก ๆมันเหมือนจุดไฟเล็ก ๆ ในทะเลน้ำแข็งนี้ กลิ่นหอมกรุ่นที่แทรกออกมาจากกล่อง ยังช่วยเตือนว่าฉันมีภารกิจ — มีเป้าหมาย — และยังมีอะไรบางอย่างที่ต้องไปให้ถึงเสียงลมหิมะพัดหวิวดังครืนครางอยู่รอบตัว — มันไม่ใช่แค่เสียงลมธรรมดา แต่ฟังดูเหมือนเสียงคำรามอันแผ่วเบาของบางสิ่งที่ซ่อน
ถนนสายเช้ายังคงว่างเปล่า มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวลอดผ่านตรอกแคบ ๆ ที่ทอดยาวเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด ฉันเร่งก้าวเท้าไปตามทาง ลมหายใจเปลี่ยนเป็นไอขาวลอยวูบวาบในอากาศหนาวเหน็บ ทั้งที่ปฏิทินบอกว่ากำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้วแท้ ๆมือข้างหนึ่งกอดกระเป๋าส่งอาหารแน่น ขณะที่อีกข้างกำเสื้อแจ็กเก็ตไว้แน่นเพื่อกันลมที่เย็นเฉียบแทงทะลุเข้ามาในทุกอณูผิว‘Omnibite...นั่นไง’ฉันหยุดยืนหน้าร้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง — มันดูธรรมดาจนน่าเหลือเชื่อว่าที่นี่คือศูนย์กลางการส่งอาหารทะลุมิติป้ายหน้าร้านเป็นกระจกสีดำเรียบลื่น ไม่มีโลโก้ ไม่มีชื่อร้าน ไม่มีแม้แต่ตัวอักษรใด ๆ ที่บอกว่านี่คืออะไร นอกจากเส้นสายแสงเงินบางเบาที่ไหลวูบไหวไปมาใต้ผิวกระจก ราวกับเป็นลมหายใจของบางสิ่งที่หลับใหลอยู่ภายในแสงนั้นสั่นระริก เหมือนเส้นทางของแม่น้ำบนท้องฟ้า พริบพรายอย่างเงียบงันในยามเช้ามืดฉันกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ ก่อนจะยื่นมือออกไปผลักประตูกระจกเบา ๆ —ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสบานประตู โลกทั้งใบก็เหมือนพลิกตัวไปอีกมิติหนึ่งประตูเปิดออกอย่างไร้เสียงแสงสีเงินจาง ๆ พร่างพรายออกมาและทันทีที่ก้าวข้ามธรณีประตู..."ยินดีต้อนรับสู่ Omnibite
เสียงหัวเราะเยาะ... เสียงซุบซิบกระซิบกระซาบ... และเสียงก่นด่าอันแสบแก้วหู ดังก้องสะท้อนอยู่ในความฝันอันพร่าเลือนเอลาเรีย เวลเลนไฮม์ ยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางจัตุรัสเมืองเก่า ที่ครั้งหนึ่งเคยอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของขนมปังสดใหม่และเสียงหัวเราะของผู้คนที่แวะเวียนมาเยี่ยมชม ตลาดที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับกลายเป็นเวทีประจานเย้ยหยันเธอยืนอยู่ตรงนั้น ร่างกายสั่นสะท้านในเสื้อคลุมสีกรมท่าขาดรุ่งริ่ง ผมสีน้ำตาลเข้มแห้งกรอบปิดใบหน้าที่สวยสด สายลมหนาวกรูกราวพัดกระโชกจนชายเสื้อของเธอสะบัดฟาดไปมาเหมือนธงแห่งความพ่ายแพ้ผู้คนมากมายรายล้อมเธอเป็นวงกลม แววตาที่เคยมองเธอด้วยความเลื่อมใส บัดนี้กลับเปลี่ยนเป็นสายตาแข็งกร้าว เคลือบด้วยความโกรธและความผิดหวังโต๊ะไพ่ตัวเดิมที่เธอเคยนั่งประจำ ถูกพลิกคว่ำกลางลานหิน เสียงไม้กระแทกพื้นดังกึกก้อง ไพ่ทาโรต์สีสดปลิวกระจัดกระจายไปตามแรงลม ราวกับนกน้อยที่สิ้นแรงบิน พร็อพเวทมนตร์—ลูกแก้วพยากรณ์ กระดิ่งเงิน และเครื่องรางสีหม่น—กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้น เหยียบย่ำจนแทบไม่เหลือสภาพแผ่นป้ายไม้ที่สลักคำว่า "เอลาเรีย เวลเลนไฮม์ - หมอดูผู้หยั่งรู้โชคชะตา" ถูกเหยียบซ้ำแล้