เช้าวันใหม่ในวังน้ำแข็งเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด แสงเงินบาง ๆ จากดวงอาทิตย์ที่ไม่เคยส่องแรงเกินไปในดินแดนหิมะ ทอผ่านหน้าต่างน้ำแข็งหนาเป็นลำแสงอ่อน ๆ คลี่ตัวลงบนพื้นพรมขนสัตว์หนานุ่ม
ฉันขยับตัวใต้ผ้าห่มขนสัตว์ สูดกลิ่นอุ่น ๆ ของไฟเวทย์ที่ยังคงลุกโชนในเตาผิง
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นอย่างสุภาพ
“คุณผู้มาเยือน...”
เสียงอ่อนโยนของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นจากหลังบานประตู
“ข้ามีนามว่า เสี่ยวหนิง มาดูแลท่านตามบัญชาขององค์ชาย”
ฉันสะดุ้งเล็กน้อย รีบลุกขึ้นจากเตียง กอดผ้าห่มขนสัตว์แนบอกด้วยความเคยชินของคนแปลกที่
แล้วตอบเสียงเบา ๆ
“เข้ามาได้ค่ะ”
บานประตูเปิดออกเบา ๆ อย่างนุ่มนวล
หญิงสาวร่างเล็กในชุดสีขาวสะอาดก้าวเข้ามา
ใบหน้าของเธออ่อนหวาน ดวงตากลมโค้งรับรอยยิ้มสุภาพ ทำให้บรรยากาศแข็งกร้าวของวังน้ำแข็งดูนุ่มนวลลงทันทีที่เธอปรากฏตัว
“ข้ามีหน้าที่นำอาหาร เครื่องใช้ และช่วยดูแลท่านระหว่างที่พักอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ”
เสี่ยวหนิงก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงเคารพ
ฉันยิ้มแหย ๆ ตอบกลับไป พลางกอดผ้าห่มแน่นกว่าเดิมเล็กน้อยด้วยความเก้อเขิน
“ขอบคุณนะคะ...เอ่อ...ฝากตัวด้วยค่ะ”
เสี่ยวหนิงยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะก้าวเท้าเบา ๆ ไปจัดเตรียมอาหารเช้าบนโต๊ะข้างเตาผิง
แม้จะเป็นวังน้ำแข็งที่โอบล้อมด้วยความหนาวเหน็บ แต่โต๊ะอาหารเล็ก ๆ นี้...กลับอบอุ่นกว่าที่ฉันคาดไว้
เสี่ยวหนิงจัดวางจานขนมปังนุ่ม ๆ ที่เพิ่งอบจนหอมกรุ่น แก้วชาร้อน ๆ ที่มีไออ่อน ๆ ลอยขึ้นมาแตะปลายจมูก และชามซุปใสร้อน ๆ ที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลด้วยสมุนไพรอ่อน ๆ
กลิ่นนั้นอบอุ่น...ชวนให้หัวใจอ่อนแรงที่แข็งค้างจากความหนาวละลายลงอย่างช้า ๆ
ฉันหิวจนแทบจะกระโจนใส่โต๊ะ แต่ก็พยายามระงับสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดด้วยมารยาทอันบางเบา นั่งลงบนเก้าอี้ขนสัตว์นุ่ม ๆ ใช้ช้อนเงินตักซุปเข้าปากอย่างตั้งใจ
ซุปใสร้อน ๆ รสชาติอ่อนโยนไหลลงลำคออุ่นวาบ ราวกับละลายเศษเสี้ยวความเหน็บหนาวที่เกาะกุมอยู่ในใจมาตลอดสองวัน
'อย่างน้อย...ก็ไม่ต้องอดตายเพราะหนาวหรือหิว ในวังแห่งนี้'
ฉันคิดในใจ
พลางเหลือบมองเจ้าหยกหิมะที่ขดตัวในกรงน้ำแข็งอยู่ข้างเตาผิง ส่งเสียงหายใจเบา ๆ อย่างพอใจ
บรรยากาศเงียบสงบในห้องเล็ก ๆ นี้ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกโอบล้อมด้วยอ้อมแขนอ่อนโยนที่ไม่เคยคาดหวังจะได้รับจากวังเยือกแข็งแห่งนี้
เมื่อฉันทานอาหารไปได้ครึ่งหนึ่ง เสี่ยวหนิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ ด้วยท่าทางสำรวม รอจังหวะเหมาะสม เธอก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“หากท่านผู้มาเยือนต้องการสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้า ยา หรือความช่วยเหลือ...”
เธอหยิบของบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อของชุดขาว —
มันคือ ระฆังเล็ก ๆ สีเงินเรืองแสงจาง ๆ ขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย รูปทรงคล้ายดอกบัวตูม สลักลวดลายเกล็ดหิมะรอบขอบ
“เพียงเขย่าระฆังนี้เบา ๆ เจ้าค่ะ”
“เสียงจะส่งตรงถึงข้า ไม่ว่าข้าจะอยู่ส่วนไหนของวังน้ำแข็ง”
เธอยื่นระฆังนั้นมาให้ฉันอย่างทะนุถนอม ฉันรับมาด้วยความเกรงใจ แต่ก็อดยิ้มบาง ๆ ไม่ได้
“ขอบคุณนะคะ...มันสวยมากเลย”
เสี่ยวหนิงยิ้มรับ รอยยิ้มอ่อนโยนของเธอเหมือนแสงแดดอ่อน ๆ ท่ามกลางพายุหิมะ
“เป็นเวทเสียงเรียกของวังเก่าแก่เจ้าค่ะ… องค์ชายสั่งให้ข้านำมามอบให้ท่านโดยเฉพาะ”
ฉันชะงักเล็กน้อย
‘...องค์ชาย?’
คำเรียกนั้นทำให้หัวใจฉันเต้นสะดุดอย่างไม่รู้สาเหตุ
“ข้าจะรอรับใช้ท่านเสมอเจ้าค่ะ” เสี่ยวหนิงพูดพร้อมก้มศีรษะอีกครั้ง
“และขอให้ท่านใช้เวลากับวังน้ำแข็งนี้...อย่างอุ่นใจที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
ฉันยิ้มรับเบา ๆ
กำระฆังเงินเล็ก ๆ ไว้แน่นในมืออย่างรู้สึกถึงความปลอดภัยแผ่วเบาที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ
หลังอาหารเช้า ฉันรีบกดเช็กนาฬิกา Omnibite ด้วยความหวังราง ๆ
[กำลังพยายามเชื่อมต่อ...]
จังหวะหัวใจของฉันเต้นเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว
รอคอยอย่างกระวนกระวาย เหมือนคนที่เฝ้ารอโทรศัพท์จากบ้านเกิด
[Error: พลังงานยังไม่เสถียร โปรดลองใหม่อีกครั้งในภายหลัง]
“...เฮ้อ” ฉันถอนหายใจยาวเหยียดอย่างหมดแรง
“พี่ยำ...อย่าทิ้งฉันไว้ที่นี่สิ...”
ฉันพึมพำกับตัวเองเบา ๆ เสียงแหบพร่าเพราะอารมณ์ที่กดทับอยู่ในอก
เจ้าหยกหิมะในกรงน้ำแข็งข้างเตียงเหมือนจะรับรู้ถึงความหดหู่ของฉัน มันส่งเสียง “คิ๊ว~” อ่อนโยนในลำคอ ราวกับจะปลอบใจ
ฉันหัวเราะแห้ง ๆ แล้วก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ เมื่อความหวังริบหรี่ในการติดต่อกลับโลกเดิมเริ่มแผ่ขยายเต็มอก
ประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง
“ตามข้ามา” เสียงทุ้มเย็นเอ่ยขึ้น
ฉันเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจเล็กน้อย
หลงอวิ๋นยืนอยู่ที่ธรณีประตู เส้นผมยาวสีครามเข้มลู่ไหลลงบนไหล่ ชุดคลุมสีเงินเรืองแสงอ่อน ๆ ไหวเบา ๆ ตามแรงลมที่ลอดเข้ามาจากทางเดิน
ดวงตาสีฟ้าของเขาจับจ้องมาที่ฉัน —
นิ่งสงบ เยือกเย็น แต่ไม่แข็งกระด้างเท่าคืนแรกที่เราเจอกัน
ฉันรีบเก็บนาฬิกา Omnibite ใส่กระเป๋า กอดเจ้าหยกหิมะที่หลับปุ๋ยอยู่ในกรงแนบอก แล้วก้าวตามเขาออกไปอย่างรวดเร็ว
วังน้ำแข็งในยามกลางวัน...สวยงามจนน่าใจหาย
เสาหินน้ำแข็งสูงเสียดฟ้าถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจง รูปสัตว์วิเศษ มังกร ลำน้ำ และหมู่ดาว พันร้อยเข้าหากันราวกับโลกทั้งใบถูกร้อยเรียงด้วยปลายนิ้วของเทพเจ้า
พื้นน้ำแข็งใต้เท้าใสสะท้อนแสงแดดอ่อน ๆ ที่ลอดผ่านกระจกน้ำแข็งหนา เกิดเป็นประกายระยิบระยับสีรุ้งที่เต้นระริกไล่ตามฝ่าเท้าไปทุกย่างก้าว
ห้องโถงกว้างใหญ่เต็มไปด้วยประติมากรรมน้ำแข็งรูปร่างแปลกตา —
บางตัวเหมือนนกฟีนิกซ์กำลังสยายปีก บางตัวเหมือนปลาวาฬยักษ์ล่องลอยอยู่เหนือพื้นดิน ทุกรูปปั้นละเอียดลออเสียจนเหมือนพวกมันจะขยับได้จริง ๆ
แสงที่ส่องลอดผ่านคริสตัลน้ำแข็งสูงเหนือหัวทำให้ทั้งวังดูเหมือนลอยอยู่ในความฝัน —
ระหว่างโลกของมนุษย์กับแดนสวรรค์ที่เย็นเยียบ
หลงอวิ๋นเดินนำฉันไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน ฝีเท้าของเขานุ่มนวลมั่นคง ทุกย่างก้าวมีจังหวะที่แน่วแน่เหมือนกับว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของวังน้ำแข็งนี้มาตั้งแต่ต้น
เขาไม่พูดอะไรเลย —
เพียงเดินอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้ฉันได้ซึมซับภาพทั้งหมดด้วยตัวเอง และฉันก็ไม่รู้ตัวเลย...ว่าความกังวล หวาดหวั่น และความเหงาที่เคยเกาะกุมหัวใจมาทั้งคืน เริ่มสลายไปทีละน้อย ราวกับถูกละลายด้วยแสงระยิบระยับของวังน้ำแข็งแห่งนี้
เราผ่าน ห้องบัลลังก์ —
โถงสูงตระหง่านที่เต็มไปด้วยแสงสะท้อนระยิบระยับของน้ำแข็งบริสุทธิ์
ตรงกลางห้อง...ตั้งตระหง่านอยู่คือ บัลลังก์น้ำแข็ง แกะสลักอย่างวิจิตรพิสดาร มังกรน้ำแข็งขนาดมหึมาโอบล้อมรอบบัลลังก์ ด้วยท่วงท่าเยือกเย็นและสง่างามเหมือนสิ่งมีชีวิตจริง
เพดานเบื้องบนประดับด้วย สายคริสตัลใส ร้อยเรียงเป็นเส้นสายละเอียดอ่อน เปล่งประกายแสงระยิบระยับเหมือนหมู่ดาวบนผืนฟ้ายามค่ำคืน
เมื่อมองขึ้นไป...ราวกับโลกทั้งใบกำลังแขวนอยู่เหนือหัว
โถงสีเงินสะท้อนแสงทุกฝีก้าวที่เราย่างผ่าน ความเงียบงันในที่แห่งนี้ ไม่ได้เย็นเพียงร่างกาย — แต่เย็นลึกถึงหัวใจ
ฉันย่างเท้าไปตามหลงอวิ๋นอย่างเงียบ ๆ แต่เมื่อเดินผ่านหนึ่งในเสาน้ำแข็งใสที่ประดับเรียงรายตามทางเดิน ฉันก็เผลอยกมือขึ้นแตะเบา ๆ อย่างไม่รู้ตัว
ปลายนิ้วสัมผัสกับความเย็นเฉียบ...
และทันใดนั้น—
ภาพบางอย่างพุ่งเข้าสู่หัวฉันอย่างรุนแรง
ฉันเห็นหิมะตกหนัก —
เกล็ดหิมะกระหน่ำราวกับพายุโหมกระหน่ำโลกจนแทบแตกสลาย ได้ยินเสียงร้องโหยหวนกรีดแผ่นฟ้า —
เสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด สูญเสีย และความสิ้นหวังจนแทงทะลุเข้าไปถึงกระดูก
และภายใต้พายุหิมะที่ไร้ความเมตตานั้น —
ฉันเห็นเงาร่างบางร่างหนึ่ง ร่างสูงสง่า สวมชุดคลุมที่ปลิวไหว ทรุดตัวลงกลางทะเลเลือดสีแดงฉานที่ซึมไหลเป็นแอ่งใต้หิมะขาวโพลน
เลือด
หิมะ
และความตายที่กัดกร่อนทุกสิ่ง
ภาพนั้นพร่าเลือนเกินกว่าจะจับรายละเอียดได้ เหมือนเศษเสี้ยวของความทรงจำที่แตกสลาย
แต่ความรู้สึกที่มันฝากไว้...
ชัดเจนจนบีบรัดหัวใจฉันจนแทบหยุดเต้น
“อึก...”
ฉันสะดุ้งเฮือก ถอนมือจากผนังน้ำแข็งอย่างรุนแรง ความเย็นเฉียบไหลย้อนจากปลายนิ้วไปจนถึงอก
หลงอวิ๋นหยุดเดิน เขาหันกลับมาช้า ๆ ดวงตาสีฟ้านิ่งสงบแต่เต็มไปด้วยความระวัง
“เป็นอะไร” เขาถามด้วยเสียงราบเรียบ ไม่มีความร้อนรน แต่ก็ไม่เฉยชา
ฉันพยายามพูด แต่เสียงติดขัดกลางลำคอ ราวกับคำพูดทุกคำถูกความกลัวพันธนาการไว้
“ฉัน...ฉันเห็น...” ฉันฝืนเอ่ยด้วยเสียงสั่นไหว
“เลือด...แล้วก็หิมะ...แล้วก็...”
ฉันไม่กล้าพูดคำสุดท้ายออกมา —
คำว่าความตาย
คำที่ยังคงก้องกังวานอยู่ในหัวใจอย่างน่ากลัว
หลงอวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าไม่แสดงความตกใจ เพียงแต่จ้องมองฉันอย่างนิ่งสงบราวกับกำลังชั่งน้ำหนักบางอย่าง
“เจ้ามีดวงตา...ของผู้มองเห็นชะตา” เขากล่าวเบา ๆ ราวกระซิบกับสายลม
“ชะตา?”
ฉันทวนคำนั้นเสียงสั่น หัวใจเต้นกระหน่ำในอก
อย่าบอกนะ...เขารู้แล้ว ว่าฉันไม่ใช่แค่คนส่งอาหารธรรมดา
หลงอวิ๋นไม่ได้ตอบในทันที
เขาเพียงเบือนสายตาออกไปยังหน้าต่างน้ำแข็งสูงที่เผยให้เห็นท้องฟ้าขาวโพลนเบื้องนอก
แววตาของเขาในตอนนั้น...เศร้าลึก ราวกับแบกพายุหิมะที่ไม่มีวันสิ้นสุดอยู่บนบ่าของตัวเอง
ฉันกอดเจ้าหยกหิมะแน่นแนบอก ความอบอุ่นเพียงน้อยนิดนั้นช่วยพยุงหัวใจที่สั่นไหวของฉันไว้ไม่ให้แตกสลาย
'ไม่ว่าภาพนั้นคืออะไร...'
'ไม่ว่าความเศร้าของเขาจะลึกแค่ไหน...'
'ฉันสัญญา...'
'ฉันจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นง่าย ๆ แน่นอน'
แม้ว่าตอนนี้...ฉันจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำอย่างไร
แต่ฉันรู้แค่ว่า —
ฉันอยากปกป้องสิ่งสำคัญนี้ไว้...ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม
💫ลูกมังกรตัวจิ๋วคนแรก!? 🐣💕สถานที่ : วังเทียนหลง — หอจันทราเสียงลมหนาวอ่อน ๆ พัดผ่านม่านบางสีเงินที่พลิ้วไหวอย่างเงียบงัน แสงจันทร์ยามค่ำคืนนี้นุ่มนวลเป็นพิเศษ ราวกับโลกทั้งใบกำลังหยุดหายใจ…เพื่อเฝ้าดูเหตุการณ์บางอย่างฉันนั่งอยู่กลางเตียงผ้าไหม กลางอ้อมแขนของหลงอวิ๋น — ที่เวลานี้ดูจะตื่นเต้นยิ่งกว่าฉันเสียอีกเพราะในอ้อมแขนของเรา…คือ ‘ลูกมังกร’ ตัวจิ๋วที่เพิ่งถือกำเนิดใช่ค่ะ... ลูกของเราเจ้าตัวน้อยมีผมสีเงินจางราวแสงจันทร์ เปลือกตาหลับพริ้ม ริมฝีปากเล็กจิ๋วขยับเบา ๆ ขณะที่ลมหายใจอุ่นนุ่มพ่นออกมาเป็นหมอกจิ๋ว ๆ ทุกครั้งที่หายใจนิ้วมือจิ๋วนั่น…กำมือเล็ก ๆ ไว้แน่น และมีเกล็ดบาง ๆ สีเงินอมฟ้าปรากฏจาง ๆ บนหลังมือ“เขามีเกล็ด…” ฉันกระซิบ ขณะวางมือลงบนผ้าห่มผืนน้อยหลงอวิ๋นที่นั่งอยู่ข้างฉันเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะโน้มตัวลงจูบหน้าผากลูกเบา ๆ ดวงตาสีฟ้าของเขาสั่นระริกด้วยความตื้นตันที่เขาไม่เคยแสดงออกแบบนี้มาก่อน“
💎 ราชินีแห่งเทียนหลง...ผู้ไม่กินเผ็ดฉันคือคือเอลาเรีย...ราชินีผู้กุมพลังมังกรจันทรา ผู้ผนึกมังกรทองด้วยเวทโบราณ...และผู้ที่พ่ายแพ้อย่างหมดรูปให้กับ...เพลิงเกล็ดมังกรหนึ่งเม็ด พริกในตำนานที่แค่ได้กลิ่น ลิ้นก็เหมือนโดนเปลวเพลิงว่ากันว่า ‘เพลิงเกล็ดมังกร’ เกิดขึ้นเมื่อเปลวไฟจากมังกรบรรพกาลตกกระทบเมล็ดพืชธรรมดาในสงครามเมื่อพันปีก่อน เมล็ดนั้นดูดซับพลังและกลายพันธุ์ จนกลายเป็นพริกต้องห้ามที่ แม้แต่มังกรไฟบางตนยังหลีกเลี่ยง“ฉันแค่ถามว่า ‘เผ็ดมากมั้ย’ ไม่ได้หมายความว่า ‘ขอเผ็ดที่สุดในโลก’ นะค้า!!”ฉันตะโกนลั่นกลางโต๊ะทรงกลมที่ตั้งอยู่ในห้องทานอาหารส่วนตัวของราชวังราอูลกับไคเซอร์แทบจะกลิ้งลงจากเก้าอี้ด้วยความขำเอลิอานยื่นน้ำเย็นให้พร้อมสีหน้าที่ดูเหมือนพยายามกลั้นหัวเราะอย่างยิ่งยวดแต่คนที่แย่ที่สุด—คือ หลงอวิ๋นท่านชายสุดหล่อที่นั่งกินพริกเผ็ดระดับมังกรไฟด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แล้วหันมาถามฉันเสียงเรียบม
ร่างของฉันยังหอบสะท้านไม่หายหลงอวิ๋นค่อย ๆ เลื่อนตัวขึ้นมา ร่างเปลือยเปล่าทาบทับฉันอย่างมั่นคง ปลายลิ้นเขายังไล้เล็มริมฝีปากฉันแผ่วเบา ก่อนกระซิบเสียงพร่าที่ข้างหู“เจ้าพร้อมหรือยัง...”ยังไม่ทันให้ฉันตอบ ร่างกายฉันก็รับรู้ถึงแก่นกายของเขา ที่ร้อนจัดและแข็งแกร่งกำลังแนบอยู่ตรงกลางกลีบเนื้อที่ชื้นฉ่ำ ปลายหัวดันเบา ๆ อย่างมีจังหวะ ขณะที่มือของเขาจับสะโพกฉันไว้มั่น“อ๊ะ...หลงอวิ๋น...!”ฉันครางเผลอเมื่อเขาค่อย ๆ ดันเข้ามาทีละน้อย ผนังด้านในตอดรัดแท่งร้อนของเขาอย่างแน่นหนึบ จนเขาต้องขมวดคิ้วและกัดฟันนิด ๆ“แน่นเหลือเกิน...”เสียงของเขาต่ำและกระเส่า ก่อนจะกระซิบข้างหูฉัน“แต่ข้าจะเข้าไปให้หมด...”พูดจบ เขาก็กระแทกเข้ามาจนสุดในจังหวะเดียว“อ๊าาาาา!!”ฉันร้องเสียงหลง เมื่อแก่นกายของเขาถูกดันเข้ามาลึกสุดทาง มิดชิดแนบชิดจนสัมผัสได้ถึงชีพจรที่เต้นจากร่างเขา...ในตัวฉันเขาผงกตัวขึ้น มือสองข้างยันกับเตียง ปล่อยให้ท่อนล่างขยับได้อย่างเต็มแรงจากนั้น...ตึง ตึง ตึง!เขาเริ่มกร
พระราชพิธีแต่งงาน ณ พระราชวังเทียนหลงเสียงขลุ่ยหยกโบราณดังแผ่วไปทั่วหุบเขา และเสียงระฆังเงินก็ดังขึ้นเจ็ดครั้งตามจังหวะลมหายใจของมังกรทั้งเจ็ดแห่งสภาฟ้าดอกหิมะโปรยปรายจากฟากฟ้าอย่างสงบ แต่มือของฉันเย็นเฉียบไม่ใช่เพราะอากาศ...แต่เพราะใจเต้นแรงยิ่งกว่าครั้งไหนในชีวิตฉันไม่เคยคิดว่า ‘งานแต่งงาน’ ของตัวเองจะจัดขึ้นในวังของมังกร…และยิ่งไม่เคยคิดเลยว่าคนที่ยืนรออยู่ปลายทางเดินคือมังกรน้ำแข็งผู้เยือกเย็นที่สุดในตำนานวันนี้ไม่ใช่แค่วันแต่งงานธรรมดาแต่มันคือ “พิธีเสกสมรสระหว่างราชามังกรในอนาคต” กับมนุษย์ต่างโลก—หญิงสาวที่ไม่มีสายเลือดสูงศักดิ์ ไม่มีอำนาจทางการเมืองใด ๆ ...มีเพียงหัวใจที่กล้ารัก และยืนหยัดเคียงข้างณ ท้องพระโรงใหญ่ของวังเทียนหลงหอแก้วทั้งหลังถูกประดับด้วยแผ่นผลึกน้ำแข็งสลักมือ เรียงรายเป็นเสาโค้งล้อมแท่นพิธีตรงกลาง — พื้นหินใสราวกระจก สะท้อนเงาแสงจันทราเต็มดวง พร้อมภาพของฉันที่กำลังเดินก้าวเข้าไปทีละก้าวชุดเจ้าสาวของฉันในวันนี้...คือชุดที่รังสรรค์ขึ้นด้วย
สวนหิมะนิรันดร์ — ยามค่ำของฤดูจันทราวสันต์แสงจันทร์ทอประกายอ่อนนุ่มลงบนหิมะขาวทั่วทั้งสวน เสียงน้ำแข็งแตกรินเบา ๆ จากลำธารเล็กที่เพิ่งละลายจากมนตราแห่งฤดูใหม่ กลีบเกล็ดหิมะโปรยลงมาช้า ๆ จากท้องฟ้า สะท้อนแสงจันทร์ราวเกล็ดเงินลอยละล่องในห้วงความฝันพุ่มไม้หิมะรอบสวนยังคงเงียบงัน ราวกับเฝ้ารอสิ่งใดอยู่...เช่นเดียวกับฉัน ที่ยืนอยู่หน้ากุหลาบน้ำแข็งซึ่งยังคงหลับใหล ไม่ยอมแย้มกลีบในค่ำคืนนี้เสียงฝีเท้าทุ้มหนักนุ่มนวลดังขึ้นจากด้านหลัง ก่อนจะมีเสียงที่ฉันจำได้แม่นดังขึ้น“ข้าคิดว่าเจ้าหลับไปแล้ว”ฉันไม่ตอบในทันที แต่หันไปมองร่างสูงในชุดคลุมเรียบง่าย ไม่ใช่เครื่องราชพิธี ไม่ใช่ฐานะผู้ครองแผ่นดิน“ข้าคิดว่าเจ้าหลับไปแล้ว”“ฉันนอนไม่หลับค่ะ”เราสองคนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ฉันจะหันไปมองเขา...ใบหน้าของหลงอวิ๋นอยู่ใต้เงาจันทร์ครึ่งดวง แสงสีเงินอ่อนสะท้อนบนเสี้ยวหน้าด้านขวา—เผยผิวขาวนวลประหนึ่งหินหยกสลัก ลมหายใจเย็น ๆ ของเขาละลายเป็นไอควันเบา ๆ ยามกระทบอากาศเย็น
“เพราะเมื่อหัวใจของผู้คนเปลี่ยน...ดินแดนก็เปลี่ยนตาม”แสงแรกของราตรีวันใหม่...ไม่ใช่แสงอาทิตย์แต่เป็นแสงจันทร์อ่อนละมุน ที่ทอประกายลงมาจากฟากฟ้า—อ่อนโยน...เจิดจ้ายิ่งกว่าเคยดินแดนแห่งหิมะที่เคยเงียบงัน...กำลังมีการเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งแรกในรอบพันปีเสียง ‘หยดน้ำ’ หยดแรก—ดังกระทบผืนน้ำแข็ง เบาเสียจนราวกับโลกทั้งใบต้องหยุดฟังหยดล็ก ๆ นั้น ไม่ได้เกิดจากอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง แต่มาจากเวทของ ‘ใครบางคน’ ที่เปลี่ยนความเยือกเย็นให้กลายเป็นพลังแห่งการเยียวยาทั่วทั้งแนวทุ่งหิมะ ดอกไม้สีฟ้าขาวเริ่มโผล่ขึ้นจากผิวดิน กลีบใสราวกับหยดจันทร์ ละลานตาราวกับดวงดาวที่หยั่งรากบนพื้นโลก—คือ ‘กุหลาบจันทรานิรันดร์’ดอกไม้ในตำนานที่เคยต้องใช้เวลาหนึ่งศตวรรษในการเบ่งบานแต่วันนี้…มันกำลังผลิบานพร้อมกันทั้งทุ่ง ด้วยเวทจันทราที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความรักและการให้อภัยหิมะ...ไม่ได้ละลายหายไปแต่หลอมรวมเป็นสายน้ำใสไหลเอื่อย เหนือยอดต้นเข็มสน ใบ