หานหรงเหยานั่งลงข้างเตียง เฝ้ามองจิ้งจอกแดงแสนสวยหลับอย่างสบายบนเตียงนอนของเขา คนทั่วไปอาจหวาดกลัวหรือตื่นตระหนก แต่เขาผู้ได้ยินและได้เห็นเรื่องราวมากมายในใต้หล้ากลับเห็นเป็นธรรมดาสามัญ
หญิงสาวแปลกหน้าหมดสติในอ้อมแขนของเขา ด้วยเกรงว่าจะทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงใช้เสื้อคลุมของตนคลุมร่างของนางแล้วอุ้มขึ้นหลังม้า ทว่าระหว่างที่เดินทางกลับมาที่จวนแม่ทัพซุน ร่างที่เขาโอบเอวไว้กันนางหล่นกลับค่อยๆ เล็กลงไปเรื่อยๆ เสื้อคลุมยวบลงไปตามขนาดของเจ้าของร่างก่อนจะประตูจวน เขาก้มมองด้วยแววตาประหลาดใจ แต่เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยของผู้อื่นจึงอุ้มร่างน้อยเข้ามาในห้องตัวเองและปล่อยให้นาง เอ่อ... จิ้งจอกแดงตัวน้อยหลับใหลบนเตียงของเขา
ถูกแล้ว หญิงสาวผู้นั้นกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดง
หรือจิ้งจอกแดงกลายร่างเป็นหญิงสาวกันล่ะ
เขายื่นปลายนิ้วเขี่ยปลายจมูกของจิ้งจอกน้อย เขาเองก็ไม่คิดว่าคืนนี้จะต้องแบ่งปันเตียงนอนให้ผู้อื่นจึงไม่ได้เตรียมที่นอนสำรองไว้ หรือคืนนี้เขาต้องนอนกับเจ้าจิ้งจอกน้อยตัวนี้แล้ว
เพราะสัมผัสอ่อนโยนทำให้หลิวเข่อซิงรู้สึกตัว ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง จนเมื่อดวงตาปรับกับสิ่งรอบตัว จึงเห็นว่ามีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว
“แง้วๆ”
“หือ?”
“แง๊วๆๆ” จิ้งจอกแดงตัวน้อยตกใจกับเสียงตัวเองแล้วยื่นขาคู่หน้า นางร้องโวยวายแล้วกระโดดออกจากผ้าห่มที่คลุมร่าง หมุนตัวบนเตียงเพื่อดูหางของตน
‘ทำไมเป็นเช่นนี้ หรือเพราะนางไม่ได้กินพลังชีวิต’
จิ้งจอกแดงตัวน้อยลนลานทำอะไรไม่ถูก กว่าจะได้ร่างมนุษย์มานั้นช่างแสนยากเย็น ยามนี้กลับกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงเช่นนี้ได้ นางจะทำอย่างไร จะกลับหุบเขาจื่อเซ่อไปหาท่านแม่ได้หรือไม่ อะ จริงสิ นางต้องไปที่หอชมบุหลันนี่นะ
หานหรงเหยาเห็นจิ้งจอกน้อยท่าทางลุกลี้ลุกลนก็นึกสงสาร ยื่นมือไปอุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นหมายจะปลอบประโลมให้สงบใจ
“ไม่เป็นไร อย่ากลัวไปเลย ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก”
น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นทำให้หลิวเข่อซิงนิ่งไป ลมหายใจอุ่นร้อนรดที่ปลายจมูก นางตวัดลิ้นยื่นไปแตะริมฝีปากของเขาอย่างไม่รู้ตัว ชายหนุ่มผงะไปเล็กน้อย แต่เจ้าขนฟูยังยื่นหน้ามาตวัดลิ้นเลียริมฝีปากของเขาอยู่ สองมือคิดจะผลักออกทว่าร่างที่เขาจับอยู่นั้นค่อยๆ เปลี่ยนสภาพจากจิ้งจอกแดงตัวน้อยเป็นหญิงสาวรูปร่างอรชร ดวงหน้านวลเนียนเอิบอาบด้วยสีแดงจาง กลีบปากแดงนุ่มละมุนและยังลิ้นสีชมพูที่ยื่นมาอีก
ปีนี้หานหรงเหยาอายุยี่สิบแล้ว แม้ยังไม่ได้แต่งงานมีภรรยาแต่เขาไม่ใช่บุรุษไม่ประสีประสาเรื่องระหว่างชายหญิง ทว่ากลับรู้สึกไม่อยากผลักไสหญิงสาวออกไป นางสูดลมหายใจจนทรวงอกสะท้อนขึ้น เส้นผมนุ่มสลวยทิ้งตัวปิดยอดอกสีหวาน นางกลืนกินลมหายใจของเขาอย่างพอใจแล้วจึงผละถอยห่างออกมาเล็กน้อย
“ดีเหลือเกิน นึกว่าจะไม่รอดเสียแล้ว” หลิวเข่อซิงยกมือขึ้นลูบอกเรียกขวัญตัวเอง ทว่าเมื่อวางฝ่ามือลงหน้าอกจึงรู้ว่าตนเองเปลือยเปล่าต่อหน้าบุรุษอยู่
“อ๊า!” ปีศาจสาวร้องเสียงหลงกระถดตัวถอยห่าง หันซ้ายแลขวาคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างกายของตน
เอ๊ะ! นี่ไม่ถูกต้อง นางเป็นปีศาจจะมากลัวมนุษย์ได้อย่างไรกัน
ท่าทางของนางทำให้มุมปากของชายหนุ่มยกยิ้ม นานเหลือเกินที่เขาไม่ได้ยิ้มเช่นนี้ เมื่อเห็นว่านางขดตัวกลมในผ้าห่มดีแล้วจึงลุกขึ้นเดินไปรินน้ำแล้วส่งให้หญิงสาวแปลกหน้า
“เจ้าหลับไปนาน ดื่มน้ำเสียหน่อยสิ”
“ข้าหลับไปหรือ?” นางถามยื่นมือไปรับน้ำมาดื่มอย่างกระหาย
“ค่อยๆ ดื่ม ประเดี๋ยวสำลักน้ำ” เขาเตือน “เจ้าจำไม่ได้หรือว่าพบข้าที่สะพานข้ามคลอง”
หญิงสาวนิ่งคิดครู่หนึ่งแล้วยิ้มกว้าง “จำได้แล้ว เจ้านั้นเอง”
หานหรงเหยาพยักหน้ารับ แต่ถ้อยคำต่อมาของนางทำให้เขานิ่งงันไป
“แล้วเหตุใดยังไม่ตายอีก” นางกวาดตามองเขาแล้วหัวเราะร่า“เป็นเช่นนี้ก็ดี ถ้าเจ้าตายไปก่อนข้าก็ไม่ได้กินดวงจิตของเจ้า”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “เจ้าอยากเห็นข้าตาย”
“เจ้าก็พูดเกินไป” นางหัวเราะคิกคัก “ข้าจะไปอยากเห็นคนตายได้อย่างไรเล่า แต่ไหนๆ เจ้าจะตายแล้ว ดวงจิตก็ไม่ได้ใช้อะไรนี่”
“แล้วถ้าข้ายังไม่ตายล่ะ” เขาอดยิ้มกับท่าทางไร้เดียงสาของนางไม่ได้ ทั้งที่กำลังพูดเรื่องอัปมงคลแท้ๆ
“อ๊า...” นางมีสีหน้าผิดหวัง “ตั้งเป็นปีศาจมา ข้ายังไม่เคยปลิดชีพผู้ใด ที่ผ่านมาก็กินเศษพลังชีวิตจากศิษย์พี่”
“เจ้าไม่เคยฆ่าผู้ใด” นี่มันเป็นการสนทนาแบบไหนกันหนอ หานหรงเหยากลั้นหัวเราะ หากไม่เพราะเขาเห็นนางกลายร่างกับตาตัวเองคงไม่เชื่อในสิ่งที่เผชิญอยู่เป็นแน่
“ถูกต้อง” นางทำหน้าเศร้า “ศิษย์พี่ไปฟ้องท่านแม่ ท่านแม่จึงส่งข้าออกจากเขาไปหอชมบุหลัน เพื่อฝึกฝนการยั่วยวนและเสพพลังหยางของบุรุษ”
หานหรงเหยาพยักหน้าเข้าใจ นางคงเป็นปีศาจจิ้งจอกแดงที่เขาเคยได้ยินและอ่านพบในหนังสือลับมาบ้าง ทว่านางกลับตรงข้ามกับสิ่งที่เขารับรู้ ปีศาจที่ควรเต็มไปด้วยความเย้ายวนเปี่ยมเสน่หาทำให้คนประสบพบเจอหลงใกลมัวเมา แต่นางกลับ...ไม่ใช่ ท่าทางไร้เดียงสาจนน่าสงสาร ทำให้หานหรงเหยาอดยื่นมือไปลูบศีรษะน้อยๆ ของนางไม่ได้ ปีศาจสาวถึงกับเคลิบเคล้มกับสัมผัสที่ได้รับ หลับตาร้องครางอย่างพอใจ
เสียงครางแว่วหวานของนางทำให้เขาชักมือกลับ กระแอมไอเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น
“เจ้าหลับไปนานคงหิวแล้วกระมัง ข้าสั่งให้เด็กๆ อุ่นอาหารมาให้ เจ้าลุกขึ้นมากินอะไรสักนิดเถอะ”
“ใช่ๆ ข้าหิวมาก” นางยิ้มจนดวงตาหยีเล็ก ดีดตัวขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็วทำเอาผ้าที่คลุมกายอยู่ร่วงลงมาเปิดเผยผิวพรรณขาวกระจ่างดุจหิมะแรกของเหมันต์
“แม่นาง...” เขาถอนใจเบาๆ แล้วหันไปหยิบห่อผ้าของนางแล้วส่งให้ “เจ้าเป็นจิ้งจอกคงคุ้นชินกับการมีขนนุ่มห่อหุ้มร่างกาย แต่ยามนี้เจ้ากลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว ก็ควรสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยเสียก่อน”
“อ่อ! ข้าลืมไป” เมื่อครู่ยังกระดากอายที่เปลือยเปล่าต่อหน้าเขา ตอนนี้นางก็ลืมไปอีกว่าตัวเองอยู่ในร่างมนุษย์แล้ว “จริงสิ เหตุใดเจ้าไม่กลัวข้าเลย ข้าเป็นปีศาจเชียวนะ แล้วเจ้าก็เห็นตอนที่ข้าเปลี่ยนร่างแล้ว”
ซุนเจ้าเฟิงยอมรับว่าผ่านอะไรมามาก แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอเรื่องราวแปลกประหลาดเช่นนี้ เพื่อได้อยู่ดูแลคนรัก หานหรงเหยายอมแต่งเข้าสกุลหลิว ตระกูลวานิชที่มั่งคั่งในเมืองหลวง พิธีแต่งงานจัดใหญ่โตสมฐานะ แต่น้อยคนที่จะสังเกตว่าเจ้าสาวไม่ได้สติ ถูกประคองตลอดเวลา เขาพูดอะไรไม่ออก อยากถามย้ำการตัดสินใจครั้งนี้ แต่แววตาของหานหรงเหยาชัดเจนแล้วว่า ต้องการอยู่เคียงข้างหลิวเข่อซิง เขาทำได้เพียงแค่มองสหายรักเข้าพิธีแต่งงาน จนทั้งสองเดินทางออกจากเมืองหลวง เดิมทีเขาควรได้เดินทางกลับชายแดนก่อน แต่กลายเป็นว่าหานหรงเหยาออกเดินทางก่อนเขา และเป็นอีกครั้งที่เขาต้องนั่งฟังเสด็จพ่อเสด็จแม่ พยายามกล่อมให้เขาเลือกชายาเสียที “จะว่าไปลูกก็มีความดีความชอบไม่น้อย เหตุใดจึงไม่สามารถเลือกชายาของตนเองได้เล่า” ชายหนุ่มบ่นพึมพำแล้วยกน้ำชาขึ้นดื่ม “จะบ่ายเบี่ยงไปไย อย่างไรก็ต้องแต่งงาน” “ลูกแค่อยากเลือกคนที่จะมาเป็นชายาด้วยตนเอง” เขาเงยหน้าสบตากับบิดามารดาซึ่งเป็นฮ่องเต้และฮองเฮา “เสด็จพ่อเสด็จแม่จะกังวลเรื่องลูกไปทำไมกัน ในเมื่อพี่น้องคนอื่นล้วนแต
เพราะนางหลับใหลไม่ได้สติ แม้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงมงคล เขาก็ต้องคอยประคองนางอยู่ตลอดเวลา แต่เขาไม่รู้สึกเป็นภาระแต่อย่างใด ร่างเล็กเอียงซบต้นแขนของเขา มือใหญ่เกาะกุมมือเล็กไว้มั่น หลิวชิงเซียง คอยประคองยามที่ต้องคารวะให้กันและกัน เมื่อเสร็จพิธีทั้งหมด พวกเขาไม่ได้ส่งตัวบ่าวสาวเข้าห้องหอ แต่ขึ้นรถม้าที่ตระเตรียมไว้ออกนอกเมืองทันที “เจ้าติดค้างคืนเข้าหอของข้าอยู่นะ ซิงเอ๋อร์” เขาลูบใบหน้าน้อยที่หลับตาพริ้ม บางครั้งนางเหมือนอยู่ในห้วงฝัน แต่คงเป็นฝันดี เพราะนางยิ้มตลอดเวลา ราวครึ่งชั่วยามรถม้าก็หยุด หลิวชิงเซียงลงจากรถม้าแล้วส่งเสียงบอกหานหรงเหยาว่าถึงที่หมายแล้ว เขาเปิดผ่านประตูรถม้าก้าวลงมาก่อน กวาดตามองกระท่อมหลังเล็กที่มีดอกไม้นานาพรรณรายล้อม ไม่น่าเชื่อว่านี่คือสถานที่ที่ปีศาจอยู่ “ตำหนักของท่านแม่อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก ท่านกับเข่อซิงพักที่นี่ หมอกสีม่วงที่ปกคลุมบริเวณนี้ไม่ทำอันตรายท่าน แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาอาจถึงแก่ชีวิตได้” “ข้าทราบแล้ว” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม “ข้าต้องดูแลเข่อซิงอย่างไร” “ให้นางนอนหลับเช่นนี้ ห
“ท่านแม่ รีบช่วยเข่อซิงก่อนเถิดเจ้าค่ะ” หญิงงามในชุดสีม่วงหัวเราะในลำคอแล้วเดินไปทางหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิง นางขยับปลายนิ้วเล็กน้อย โซ่ที่รัดรอบลำคอก็หลุดออก แม้ใบหน้าระบายยิ้มแต่ดวงตามีแววหวั่นวิตก “อุ้มนางลงมา” หานหรงเหยาไม่รอช้ารีบอุ้มร่างไร้เรี่ยวแรงของหลิวเข่อซิงลงจากเตียงหยกโลหิตแล้วประคองนางไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม “ท่าน...ท่านแม่...” “เด็กโง่ เหตุใดทำตัวเองเจ็บเช่นนี้” นางพูดด้วยสีหน้าเวทนา “นางจะดีขึ้นใช่ไหม” หานหรงเหยาเอ่ยถาม แต่คำตอบที่ได้ทำให้เขาหน้าซีดลงไปทันที “นางถูกหยกโลหิตดูดพลังชีวิตไปจนพร่องแล้ว เดิมทีนางก็เป็นเพียงจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่ข้าชุบชีวิตให้กลายร่างเป็นมนุษย์ได้ และพลังชีวิตของนางก็ถ่ายเทไปที่ตัวเจ้าเสียครึ่งหนึ่งแล้ว” “อะไรนะ...เข่อซิง ทำไมเจ้าทำเช่นนี้” เขาก้มหน้ามองคนในอ้อมอกที่หายใจแผ่วเบา แต่นางยังคงฝืนยิ้มให้เขา “ข้า...ข้าอยู่มาหนึ่งร้อยสิบหกปีแล้ว แต่ท่านเพิ่งใช้ชีวิตได้แค่ยี่สิบปีเอง ข้าจึงแบ่งชีวิตครึ่งหนึ่งของข้าให้ท่าน”
“ข้าไม่เป็นอะไร พวกท่านรีบไปเสีย” “พูดบ้าอะไร!” หลิวชิงเซียงที่ประมือกับนักพรตซีห่าวอยู่ตะคอกออกมา “เจ้าจะถูกหยกโลหิตดูดพลังชีวิตไปหมด เจ้าจะสลายกลายเป็นธุลี!” “อย่าห่วงไป ก่อนนางจะสลายไป ข้าจะควักหัวใจออกมาเช่นเดียวกับที่จะทำกับเจ้า” “ห้าสิบปีที่แล้วเจ้าทำไม่เสร็จ วันนี้เจ้าก็คิดว่าจะทำได้เรอะ!” นางสะแขนเสื้อขึ้นรับแส้หางม้าที่ฟาดลงมา ครั้งนี้เสื้อของนางฉีกขาดและเลือดสีสดกระเซ็นออกมา “เจ้าอยู่หอนางโลมแต่ไม่กินพลังหยางของบุรุษหรือไร เรี่ยวแรงจึงมีเพียงแค่นี้” นักพรตซีห่าวหัวเราะ “เจ้าอายุเท่าไหร่กัน ห้าร้อยปีใช่หรือไม่ ยังคงเชื่อใจว่ามนุษย์จะรักกับปีศาจอย่างเจ้าได้อยู่อีกเหรอ” เพราะถูกสะกิดแผลเก่า หลิวชิงเซียงพุ่งเข้าใส่อย่างไม่กลัวตาย ไม่สิ! นางไม่ยอมตายเพราะนักพรตชั่วที่เคยเปิดโปงร่างปีศาจของนางต่อหน้าชายคนรัก มันทำให้คนผู้นั้นทอดทิ้งนาง ทั้งที่นางเคยช่วยชีวิตเขา สิ่งที่นางไม่ยอมรับคือหลิวเข่อซิงเหมือนกับนางในอดีต แต่หลิวเข่อซิงไม่เหมือนนาง เพราะหานหรงเหยามีความจริงใจและมั่นรักอย่างแท้จริง แม้รู้ว่านางเป็น
ดวงตาคู่งามฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำตา หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา นางเป็นปีศาจจิ้งจอกแดงก็จริง แต่ไม่เคยทำร้ายมนุษย์ “ข้า...ข้าไม่เคยทำร้ายใคร...ท่าน ปะ...ปล่อยข้าไปเถิด” “ปีศาจอย่างพวกเจ้า หากไม่เสพพลังชีวิตจากมนุษย์จะอยู่ได้อย่างไร” เขายังคงใบหน้าแย้มยิ้ม “และหากไม่ได้เสพพลังหยางจากบุรุษจะมีพลังได้อย่างไร” หลิวเข่อซิงส่ายหน้าทั้งน้ำตา “ข้าไม่...” “เจ้าจะปฏิเสธไปไย ในเมื่อตัวเจ้าก็รู้ดีว่าตนเองมีปราณหยางไหลเวียนในกาย” เขาลดมือลงจากปลายคางของปีศาจสาว “ทำชั่วมามากแล้ว ข้าจะขอหัวใจของเจ้าเอาไว้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ก็แล้วกัน” “หัวใจของข้า...” นางยกมือกุมหัวใจตนเอง นางลืมไปได้อย่างไรว่าหัวใจของจิ้งจอกคือยาวิเศษชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะปีศาจจิ้งจอกแดงที่กินพลังพลังวิญญาณของมนุษย์ และจะยิ่งดีขึ้นเมื่อปีศาจตนนั้นได้กินพลังหยางบริสุทธิ์ ไม่หรอก นางไม่ได้ลืม แต่ทำเป็นจำไม่ได้ เดิมนางเป็นจิ้งจอกแดงตัวน้อย แต่ถูก ‘ท่านแม่’ มอบปราณปิศาจให้กลายเป็นปีศาจที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ เพื่อที่นางจะได้สะสมพลังหยาง ทว่านางขลาดกลัวจนเกินไป จึงเป
หลิวชิงเซียงไม่มีเวลาจะมาโต้เถียงกับซุนเจ้าเฟิง นางจึงหันไปพูดหานหรงเหยาที่ควบม้าขนาบข้าง“ดูแลสหายของเจ้าให้ดี หากได้เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น เจ้าก็รับผิดชอบเอาเองก็แล้วกัน” ซุนเจ้าเฟิงรู้สึกถ้อยคำของนางแปลกหู ไม่ใช่คำพูดนอบน้อมและยังบังอาจสั่งสหาของเขาอีก หานหรงเหยาสบตากับซุนเจ้าเฟิง เขาไม่มีเวลาอธิบายเรื่องทั้งหมด และไม่รู้ว่าสหายจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้หรือไม่ ทั้งสามมาถึงอารามฝั่งตะวันตก มองผิวเผินด้านนอกดูสงบร่มรื่นแต่คนที่ผ่านสนามรบมาโชกโชนอย่างซุนเจ้าเฟิงย่อมรู้ดีว่า ที่นี่ไม่ใช่อารามธรรมดาอย่างแน่นอน เขาหันไปสบตากับหานหรงเหยาที่กระชับกระบี่ในมือ หลิวชิงเซียงไม่มีเวลาสนใจเรื่องใดอีก นางก้าวเท้าเข้าไปในอาราม ยังไม่ทันยกเท้าข้ามธรณีประตูก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่พุ่งออกมาทำให้นางผงะถอยหลัง ยันต์กระดาษสีเหลืองมีอักขระสีแดงพุ่งเข้าใส่หญิงสาวราวลูกศร นางเบี่ยงตัวหลบแต่ยันต์แผ่นนั้นปาดแขนเสื้อของนางขาด “บัดซบ! เจ้านักพรตชั่วทำเสื้อข้าขาดเรอะ!” หลิวชิงเซียงกระทืบ เท้าอย่างไม่พอใจ “วันนั้นข้าไม่ควรปล่อยให้เจ้ารอดตายเลย” หญ