รถม้าเคลื่อนมาหยุดหน้าจวนสกุลจ้าว แต่ทว่ากลับมีบรรดาชาวบ้านกำลังยืนรายล้อมเบียดเสียดกันแน่นขนัดไปหมด จ้าวหลิงหลิงสาวเท้าลงจากบันไดคับแคบพลางกวาดสายตาสำรวจด้วยความงุนงง
"คุณหนู รอก่อนเจ้าค่ะ ฝนตกเดี๋ยวเป็นหวัดเอาได้นะเจ้าคะ"
เริ่นเหมยหยิบหมวกสานซึ่งมีผ้าแพรผืนบางปิดล้อมโดยรอบพลางสวมลงบนศีรษะของจ้าวหลิงหลิง จากนั้นกางร่มเพื่อป้องกันละอองฝนอีกครั้ง
"ขอบคุณแม่นม" จ้าวหลิงหลิงยิ้มตอบ "แล้วไยผู้คนจึงมายืนบังหน้าจวนของเราอย่างนี้เล่า"
สกุลจ้าวน่าเวทนาเสียจริง เดิมทีท่านแม่ทัพทำผลงานมากมายไม่น่าคิดกบฏบ้านเมืองเลย
เสียงจากสตรีนางหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนที่แออัด
คนขายบ้านเมืองกินก็สมควรแล้วมิใช่หรือ ว่าแต่นั่นชายหนุ่มผู้นั้น...
ชายหนุ่มอันใด เจ้าอยากหัวขาดรึ นั่นองค์ชายรองเชียวนะ เกรงว่าคงนำราชโองการลงทัณฑ์มาด้วยตนเอง ว่ากันว่าองค์ชายรองทั้งเคร่งขรึมเหี้ยมโหด คาดไม่ถึง พระองค์จะสามารถสังหารคนทั้งตระกูลจ้าวได้อย่างเลือดเย็นเพียงนี้ ช่างน่ากลัวโดยแท้
พวกเจ้า! พูดจาส่งเดชยิ่ง หากพระองค์ได้ยินจะได้หัวหลุดจากบ่า!
หญิงชรานางหนึ่งเอ่ยสำทับ หนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษต่างก้มหน้างุดพลันหุบปากลงเดี๋ยวนั้น
จ้าวหลิงหลิงซึ่งยืนฟังอยู่นานใจเต้นระรัวแทบกระดอนออกนอกอก นางพยายามควบคุมสติจากนั้นแหวกผ่านฝูงชนออกไปยืนด้านหน้าท่ามกลางสายฝน
เรื่องที่พวกเขาเอ่ยเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไรกัน!
ทั่วทั้งเรือนหลังใหญ่รายล้อมไปด้วยบรรดาองครักษ์จากราชวัง หน้าธรณีทางเข้ามีบุรุษร่างสูงโปร่ง เกรงว่าเขาคงอายุราวสิบแปดปี ยืนสงบนิ่งดั่งหุ่นไม้แกะสลักลายประณีต ในมือขวากำสาสน์สีแดงเหลือบทองคำไว้แน่น ส่วนมือซ้ายกำลังถือของบางอย่างเอาไว้
จ้าวหลิงหลิงหูอื้อไปชั่วขณะ นัยน์ตาหงส์เขม้นมองผ่านลาดไหล่ของบุรุษร่างสูงไปเบื้องหน้า นางเห็นสองสตรีนอนกอดกันท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำดั่งสวรรค์ร่ำไห้ มือเรียวสั่นระริกท่าทางเหม่อลอย จ้าวหลิงหลิงยกมือขึ้นแง้มผ้าโปร่งที่ขวางใบหน้าออกเชื่องช้า ความหวาดกลัวกำลังกัดกร่อนผ่านเส้นเอ็นเข้าไปจนถึงกระดูก กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งจนชวนเวียนศีรษะ
สตรีข้างกายจับข้อมือของจ้าวหลิงหลิงเอาไว้ทันควัน "คะ...คุณหนู..."
จ้าวหลิงหลิงชะงักค้าง นางกล้ำกลืนกดข่มก้อนสะอื้น ลำคอกระเพื่อมขึ้นลงน้อย ๆ "หืม..."
"อย่าบุ่มบ่าม..." เสียงสตรีข้างกายสั่นเครือ กระทั่งมือที่ปรามไม่ให้นางเลิกผ้ายังควบคุมไม่อยู่
จ้าวหลิงหลิงเหลียวหน้ามอง "แม่นม ท่านหมายความว่าอย่างไร"
เริ่นเหมยกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ กระบอกตาของนางแดงก่ำ ร่มที่ถือเมื่อครู่หล่นลงพื้นโดยไม่ได้รับการเหลียวแล ดูเหมือนน้ำตาได้หลั่งออกมาแล้ว ทว่าหยาดฝนกลับช่วยอำพรางชะล้างเอาไว้ นางทราบดีว่าจ้าวหว่านถงต้องการส่งจ้าวหลิงหลิงออกจากจวนเพราะเหตุใด ทว่าเริ่นเหมยไม่คิดว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นรวดเร็วเพียงนี้ จ้าวหลิงหวินยังอยู่ที่นี่ จ้าวเฉินหลินก็เช่นกัน พวกขุนนางจอมริษยาเหล่านั้นช่างกระทำการป้ายสีได้เหี้ยมโหดยิ่ง
"ขึ้นรถม้าเถิดเจ้าค่ะ" หญิงวัยกลางคนเอ่ยเสียงแหบแห้ง นางพยายามดึงมือของจ้าวหลิงหลิง กระนั้นอีกฝ่ายกลับรั้งกายไว้ด้วยความดื้อดึง
"แม่นม ทะ...ท่านและท่านแม่กำลังมีเรื่องปิดบังข้าใช่หรือไม่" เสียงที่เปล่งออกมาหัวเราะแผ่วระคนปวดร้าว
นางกลัวเหลือเกิน กลัวว่าภาพที่เห็นเลือนรางจะเป็นคนที่นางคิด ยามนี้เกิดเรื่องใดขึ้นกับจวนสกุลจ้าวกันเล่า กลิ่นคาวและน้ำสีแดงเข้มซึ่งไหลรวมกับหยาดน้ำฝนนั่นคือสิ่งใด โลหิตงั้นหรือ ไฉนจึงมากมายเพียงนี้
จ้าวหลิงหลิงกระชากมือออกจากการเกาะกุมของเริ่นเหมย นางแหวกผ้าขาวบางให้พ้นทาง ภาพเบื้องหน้าเด่นชัดกระจะตา เรือนโอ่อ่าไม่หลงเหลือเค้าเดิมอีกต่อไป สองสตรีซึ่งกำลังกอดกันท่ามกลางสายฝนคือมารดาและพี่สาวฝาแฝดของนาง จ้าวหลิงหลิงเจ็บปวดดุจถูกคมมีดกรีดลงกลางใจ ท่ามกลางสติที่เริ่มพร่าเบลอน้ำตาพลันเอ่อคลอขึ้นเต็มเบ้า
เสียงสะอื้นไห้ดังลอดออกมาจากลำคอแห้งผาก ร่างบอบบางแข็งทื่อดุจถูกตะปูนับร้อยตอกตรึงติดแท่นประหาร "แม่นม..." ใบหน้างามผินมองสตรีข้างกายด้วยความระทมทุกข์ ขาเรียวเยื้องย่างออกไปด้านหน้าเนิบช้า
"นี่มันเรื่องอะไร เรื่องอะไรกัน!" จ้าวหลิงหลิงตะโกนเสียงดังลั่นท่ามกลางสายฝน
ชาวบ้านที่มุงดูหลงเหลือบางตาแล้ว ทุกคนต่างตกใจสะดุ้งโหยง
ผู้ใดกัน นางเป็นใคร คนเสียสติงั้นหรือ
จ้าวหลิงหลิงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ร่างบอบบางตั้งท่าวิ่งถลาไปหน้าประตูบานใหญ่ซึ่งมีบุรุษร่างสูงยืนอยู่ ทว่ากายของนางกลับปลิวติดมือใครบางคนไปเสียแล้ว ริมฝีปากสีกุหลาบชื้นเปียกถูกมือหยาบกร้านตะปบปิดเอาไว้ จ้าวหลิงหลิงพยายามดิ้นรนดีดแข้งดีดขาอย่างสุดชีวิต เสียงกรีดร้องเมื่อครู่ถูกกลืนอยู่ในลำคอพร้อมน้ำตาที่หลั่งรินเป็นสาย
ผู้ใด!? ปล่อยข้า ปล่อยข้า ข้าจะไปหาท่านแม่และท่านพี่ ปล่อยข้า!
สามปีผันผ่าน แคว้นเฉินเป่ยอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงรัชศกใหม่ รัชทายาทหมายช่วงชิงตำแหน่งฮ่องเต้จากบิดาของตน ทว่าองค์ชายรองกลับเป็นผู้ปกป้องบัลลังก์มังกรเอาไว้ กระนั้นฮ่องเต้เวินเจียเหลียงกลับทนพิษบาดแผลจากคมดาบอาบยาพิษได้ไม่กี่วันก็สิ้นพระชนม์ลง เมื่อรัชทายาทไม่เถรตรงต่อตำแหน่งหน้าที่ การก่อกบฏหนนี้จึงถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษสูงสุด คือประหารเท่านั้น ตำแหน่งฮ่องเต้คนถัดไปจึงมิมีผู้ใดเหมาะสมมากไปกว่าองค์ชายรองอีกแม้องค์ชายรองยืนกรานไม่ขอขึ้นครองบัลลังก์และต้องการส่งมอบแด่องค์ชายสาม ทว่าบรรดาขุนนางกลับคัดค้านหัวชนฝา เช่นนั้นแล้วผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่งอย่างองค์ชายรองจึงจำใจต้องแบกภาระอันหนักอึ้งนี้ไว้บนบ่ากาลเวลามิเคยคอยท่า องค์ชายสามเกิดประชวรโดยไร้สาเหตุท้ายที่สุดก็สิ้นพระชนม์ตามบิดาเวินเยี่ยนเฉินทุกข์ระทมอย่างหนักหน่วง เขาสูญเสียคนที่ตนรักไปทั้งหมด แทบนับได้ว่าเหลือตัวคนเดียวเวินเยี่ยนเฉินมักใช้โอกาสจากกรณีสวรรคตของฮ่องเต้องค์ก่อนเป็นข้ออ้างในการแต่งตั้งฮองเฮาและรับสนม ทว่าเป็นเวลาไว้ทุกข์อันเหมาะสมแล้ว ครั้นจะหยิบยกเอาเรื่ององค์ชายสามมากล่าวอ้างก็มิอาจประ
จ้าวหลิงหลิงยิ้มบาง "ท่านพี่จี้หยวน ขอบคุณท่านมาก แต่ท่านไม่ต้องลำบากแล้วล่ะ ข้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้ว ไม่นานข้าจะตามทุกคนไป"เริ่นเหมยถลาเข้ามา พลางร้องไห้โฮ "คุณหนู อย่าเอ่ยเช่นนี้เจ้าค่ะ ฮึก ฮื่อ...หากท่านไม่อยู่แล้วข้าเล่า ข้าจะอยู่กับใคร"จ้าวหลิงหลิงยกมือขึ้นลูบแก้มแม่นมของตน "แม่นม ท่านสามารถกลับไปที่บ้านเดิมของท่านได้ กลับไปใช้บั้นปลายชีวิตของท่าน ส่วนข้าอย่าได้ใส่ใจอีกเลย"เริ่นเหมยส่ายหน้าพัลวัน "ไม่เจ้าค่ะ หากคุณหนูจะไปที่ใด ข้าจะไปกับท่าน"ซางจี้หยวนถอนหายใจ เขาไม่รู้ควรทำเช่นไรแล้วจริง ๆ "เจ้าแน่ใจหรือหลิงหลิง เจ้าจะให้ครอบครัวของเจ้าถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏทั้งที่ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรเลยอย่างนั้นหรือ เจ้ากำลังทำให้ฮูหยินจ้าวและท่านแม่ทัพใหญ่ผิดหวัง ไยไม่ลองตรึกตรองดูดี ๆ หากเป็นข้า ข้าจะไม่มีวันยอมแพ้โดยที่ยังไม่ได้ทำสิ่งใดเลยเป็นอันขาด"จ้าวหลิงหลิงใจสั่นหวิว นางปิดเปลือกตาลงเนิบนาบ ทำราวกับสิ่งที่ซางจี้หยวนเอ่ยเปรียบดั่งอากาศธาตุ ทว่านางกำลังใคร่ครวญบางอย่างก็เพียงเท่านั้น ดูเหมือนคนทั้งสองถอยห่างจากนางแล้ว กระนั้นเมื่อจ้าว
ยามนี้ฝนซาลงแล้ว ทว่าจ้าวหลิงหลิงยังคงหลับใหลไร้สติ ริมฝีปากซีดขาวพร่ำรำพันด้วยเสียงแผ่วโผย ร่างระหงนอนเหยียดกายอยู่บนผ้าปูผืนบางท่ามกลางผืนป่าอันเงียบสงัด "ท่านแม่ ท่านพ่อ พี่ใหญ่ หลิงหวิน...จะไปไหนกัน รอข้าด้วย รอหลิงหลิงด้วย" จ้าวหลิงหลิงควานมือท่ามกลางอากาศสะเปะสะปะ เริ่นเหมยนั่งเฝ้าคุณหนูสามอยู่ไม่ห่าง ผู้เป็นแม่นมเลี้ยงดูอีกฝ่ายมาแต่อ้อนแต่ออกเห็นนางทุกข์ระทมเพียงนี้ก็พลันน้ำตาคลอหน่วย กระทั่งหลั่งรินอาบแก้มอีกหน นางจับมือน้อย ๆ อันเย็นเยียบขึ้นแนบแก้มของตน "คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ ทุกคนไม่อยู่แล้ว แต่คุณหนูยังมีข้านะเจ้าคะ คุณหนู ฮื่อ..." ซางจี้หยวนนั่งอยู่อีกด้านของกองไฟมองภาพสองนายบ่าวด้วยความรู้สึกอันยากอธิบาย เขาเองก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน ชายหนุ่มลุกยืนเต็มความสูง จากนั้นเยื้องย่างเข้าใกล้ร่างของสตรีที่ยังนอนละเมอพร่ำเพ้อไม่ขาดปาก "แม่นมเริ่น ท่านไปพักบ้างเถิด เดี๋ยวข้าดูแลนางต่อให้เอง" เริ่นเหมยเหลียวมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าแดงก่ำ "ตะ...แต่..." "ท่านไปเถิด ไม่ต้องเป็นกังวล เฉินหลินเป็นสหายข้า หลิงหลิงและหลิงหวินก็เปรียบดั่งน้องสาวของข้าเช่นเดียวกัน" เอ่ยถึงสองพี่น้องที่เพิ่งจาก
ผู้ใด!? ปล่อยข้า ปล่อยข้า ข้าจะไปหาท่านแม่และท่านพี่ ปล่อยข้า!ชายผู้นั้นรัดเอวคอดเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ผู้คนล้วนแตกฮือด้วยความงุนงงนางเป็นใครงั้นหรือ ไยมาเอะอะอยู่ตรงนี้คงมิใช่ญาติตระกูลจ้าวกระมัง หากนางเข้าไปมีหวังคอขาดอีกคนแน่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังอึงอลไปหมด บุรุษซึ่งยืนอยู่หน้าประตูผินหน้ากลับเชื่องช้า จ้าวหลิงหลิงสบดวงตาของเขาผ่านช่องว่างระหว่างผ้าแพรครู่หนึ่ง นางลดสายตามองของบางอย่างที่อยู่ในมืออีกฝ่าย พลางแดดิ้นดุจปลาขาดน้ำ ร่างระหงพยายามดิ้นรนทว่าไม่เป็นผลของสิ่งนั้น ของนั่น! คือของแม่ข้า ของพี่สาวข้า พี่ใหญ่ ๆ ท่านอยู่ที่ใด ฮื่อ สวรรค์ได้โปรดอย่าล้อเล่นกับข้า!...จ้าวหลิงหลิงทำได้เพียงตะโกนร่ำร้องภายในใจ เพราะริมฝีปากของนางถูกปิดเอาไว้ อยู่ ๆ ท้ายทอยของนางก็เกิดอาการเจ็บแปลบดั่งถูกตีกระหน่ำฮึก!...ทะ...ท่านแม่ ท่านพี่ นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันภาพที่นางเห็นคือแววตาเย็นชาของบุรุษผู้นั้น เขาสวมกวานทองคำลายมังกรไว้บนศีรษะ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาทว่าแววตาช่างเศร้าหมอง จ้าวหลิงหลิงกลับไม่คิดเช่นนั้น ประกายตาของเขาช่างเย็นชายิ่ง! นางจดจำใบหน้าหล่อเหลานี้ไว้ในก้นบึ้งของจิตใจ จู่ ๆ สติสั
รถม้าเคลื่อนมาหยุดหน้าจวนสกุลจ้าว แต่ทว่ากลับมีบรรดาชาวบ้านกำลังยืนรายล้อมเบียดเสียดกันแน่นขนัดไปหมด จ้าวหลิงหลิงสาวเท้าลงจากบันไดคับแคบพลางกวาดสายตาสำรวจด้วยความงุนงง "คุณหนู รอก่อนเจ้าค่ะ ฝนตกเดี๋ยวเป็นหวัดเอาได้นะเจ้าคะ" เริ่นเหมยหยิบหมวกสานซึ่งมีผ้าแพรผืนบางปิดล้อมโดยรอบพลางสวมลงบนศีรษะของจ้าวหลิงหลิง จากนั้นกางร่มเพื่อป้องกันละอองฝนอีกครั้ง "ขอบคุณแม่นม" จ้าวหลิงหลิงยิ้มตอบ "แล้วไยผู้คนจึงมายืนบังหน้าจวนของเราอย่างนี้เล่า" สกุลจ้าวน่าเวทนาเสียจริง เดิมทีท่านแม่ทัพทำผลงานมากมายไม่น่าคิดกบฏบ้านเมืองเลยเสียงจากสตรีนางหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนที่แออัด คนขายบ้านเมืองกินก็สมควรแล้วมิใช่หรือ ว่าแต่นั่นชายหนุ่มผู้นั้น...ชายหนุ่มอันใด เจ้าอยากหัวขาดรึ นั่นองค์ชายรองเชียวนะ เกรงว่าคงนำราชโองการลงทัณฑ์มาด้วยตนเอง ว่ากันว่าองค์ชายรองทั้งเคร่งขรึมเหี้ยมโหด คาดไม่ถึง พระองค์จะสามารถสังหารคนทั้งตระกูลจ้าวได้อย่างเลือดเย็นเพียงนี้ ช่างน่ากลัวโดยแท้ พวกเจ้า! พูดจาส่งเดชยิ่ง หากพระองค์ได้ยินจะได้หัวหลุดจากบ่า! หญิงชรานางหนึ่งเอ่ยสำทับ หนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษต่างก้มหน้างุดพลันหุบปากลงเดี๋ยวนั้
"ตระกูลจ้าวรับราชโองการ" เสียงขันทีประกาศก้องพร้อมกองทหารนับร้อยวิ่งกรูเข้ามาปิดล้อมเรือนสกุลจ้าว ขณะเดียวกันรถม้าคันหนึ่งก็เพิ่งเคลื่อนตัวออกจากจวนโดยมิทันสังเกตถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ฮูหยินจ้าวหรือจ้าวหว่านถงพร้อมทั้งบุตรทั้งสองเร่งรุดออกมาหน้าลานกว้าง บ่าวไพร่วางงานในมือลงจ้าละหวั่น อกซ้ายของทุกคนต่างกระเพื่อมไหว เหงื่อเม็ดละเอียดผุดซึมขึ้นบนกรอบหน้ายามนี้แม่ทัพใหญ่จ้าวตงหยวนไม่อยู่เรือน เพราะบ้านเมืองเข้าสู่ช่วงเพลิงสงคราม เขาจึงเป็นทัพหน้ากรีธาเพื่อปกป้องแว่นแคว้น แล้วเหตุใดจู่ ๆ จึงมีราชโองการมาจ่อถึงหน้าประตูจวนได้กันเล่า หลังจากทุกคนมารวมตัวกันโดยพร้อมเพรียง ขันทีจึงเอ่ยถามด้วยสุ้มเสียงกึ่งเล็กแหลม "ฮูหยินเจ้า ไม่ทราบว่ามาครบทุกคนแล้วหรือไม่" จ้าวหว่านถงสัมผัสได้ถึงสังหรไม่ดี ความรู้สึกประหลาดใจเริ่มหนักหน่วงกลายเป็นหวาดระแวง จ้าวหว่านถงเป็นหญิงวัยกลางคนทว่าใบหน้ายังคงสะสวยเฉกเช่นดรุณีแรกแย้ม มิแปลกใจที่บุตรสาวทั้งสองจะหน้าตางดงามอนึ่งนางเซียนแดนสวรรค์นางเหลียวมองบุตรีข้างกาย และบุตรชายคนโตแช่มช้า แววตากระจ่างใสดุจไข่มุกราตรีสะท้อนความเจ็บปวดดั่งล่วงรู้ว่ากำลังจะเกิดอั