นางจงใจเข้ารับการคัดเลือกสนม ข่าวหนาหูว่าฮ่องเต้เป็นบุรุษตัดแขนเสื้อไม่ก็โรคประหลาด นั่นย่อมดีต่อแผนการชำระแค้นมิใช่หรือ ได้เข้าวังในฐานะสนม ซ้ำยังมิต้องเปลืองตัว ผู้ใดจะคาดคิดว่านางกำลังทำผิดมหันต์!
View More"ตระกูลจ้าวรับราชโองการ"
เสียงขันทีประกาศก้องพร้อมกองทหารนับร้อยวิ่งกรูเข้ามาปิดล้อมเรือนสกุลจ้าว ขณะเดียวกันรถม้าคันหนึ่งก็เพิ่งเคลื่อนตัวออกจากจวนโดยมิทันสังเกตถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ฮูหยินจ้าวหรือจ้าวหว่านถงพร้อมทั้งบุตรทั้งสองเร่งรุดออกมาหน้าลานกว้าง บ่าวไพร่วางงานในมือลงจ้าละหวั่น อกซ้ายของทุกคนต่างกระเพื่อมไหว เหงื่อเม็ดละเอียดผุดซึมขึ้นบนกรอบหน้า
ยามนี้แม่ทัพใหญ่จ้าวตงหยวนไม่อยู่เรือน เพราะบ้านเมืองเข้าสู่ช่วงเพลิงสงคราม เขาจึงเป็นทัพหน้ากรีธาเพื่อปกป้องแว่นแคว้น แล้วเหตุใดจู่ ๆ จึงมีราชโองการมาจ่อถึงหน้าประตูจวนได้กันเล่า
หลังจากทุกคนมารวมตัวกันโดยพร้อมเพรียง ขันทีจึงเอ่ยถามด้วยสุ้มเสียงกึ่งเล็กแหลม "ฮูหยินเจ้า ไม่ทราบว่ามาครบทุกคนแล้วหรือไม่"
จ้าวหว่านถงสัมผัสได้ถึงสังหรไม่ดี ความรู้สึกประหลาดใจเริ่มหนักหน่วงกลายเป็นหวาดระแวง จ้าวหว่านถงเป็นหญิงวัยกลางคนทว่าใบหน้ายังคงสะสวยเฉกเช่นดรุณีแรกแย้ม มิแปลกใจที่บุตรสาวทั้งสองจะหน้าตางดงามอนึ่งนางเซียนแดนสวรรค์
นางเหลียวมองบุตรีข้างกาย และบุตรชายคนโตแช่มช้า แววตากระจ่างใสดุจไข่มุกราตรีสะท้อนความเจ็บปวดดั่งล่วงรู้ว่ากำลังจะเกิดอันใดขึ้น จ้าวหว่านถงกล้ำกลืนก้อนสะอื้นซึ่งจุกในคอลงไปด้วยความลำบากยากยิ่ง พลางเบนหน้ากลับ เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
"คะ...ครบแล้วเจ้าค่ะ" นางรู้สึกเสียขวัญจนหลั่งเหงื่อเย็นโซมกาย
บ่าวไพร่มิได้เอะใจ ทว่าบุตรทั้งสองกลับมองหน้ากันด้วยความฉงน
จ้าวหลิงหวินกระซิบแผ่ว "ท่านแม่ แล้วหลิงหลิงเล่าเจ้าคะ"
จ้าวหว่านถงตวัดตามองด้วยใจโหมระทึก เดิมนางมีบุตรสามคน คือคุณชายใหญ่จ้าวเฉินหลิน ลูกสาวฝาแฝด จ้าวหลิงหวินและจ้าวหลิงหลิง ทว่ายามนี้แฝดผู้น้องไม่อยู่จวน เป็นนางที่จงใจส่งบุตรสาวคนเล็กออกไปข้างนอกก่อน เพราะยามนี้สามีไม่ส่งข่าวคราวกลับมาหลายเดือนแล้ว ไม่ทราบเป็นหรือตาย แม่ทัพใหญ่จ้าวตงหยวนมีศัตรูรอบด้าน มีหรือยามที่เขาล้มจะไม่โดนตลบหลังเหยียบซ้ำและถูกถอนรากถอนโคนจนหมดสิ้น
จ้าวหลิงหวินสบประสานสายตาอันแข็งกร้าวของมารดา นางจึงหุบปากฉับพลัน พลางหลุบตามองต่ำเดี๋ยวนั้น
ขันทีพยักหน้าเข้าใจ เขาไม่ทันได้ยินในสิ่งที่จ้าวหลิงหวินเอ่ย และมิได้ใส่ใจว่ามีจำนวนคนอาศัยอยู่ในจวนสกุลจ้าวเท่าใด จากนั้นถอนหายใจอย่างนึกสังเวชแล้วจึงประกาศก้องอีกหน
"แม่ทัพใหญ่จ้าวตงหยวนมิเถรตรงต่อหน้าที่ คิดกบฏต่อบ้านเมือง จนศัตรูสามารถตีฝ่าด่านหน้าเข้ามา ส่งผลให้แว่นแคว้นได้รับความเสียหาย ประชากรล้มตายดุจทะเลโลหิต เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ฝ่าบาทจึงมีราชโองการสำเร็จโทษโดยการประหารริบจวนทั้งตระกูล"
บ่าวไพร่ต่างแตกตื่นไม่กล้าขยับกาย เสียงอึงอลเริ่มดังขึ้นระเบ็งเซ็งแซ่ด้วยความตื่นตระหนก
"พะ...พวกเราเป็นบ่าวของที่นี่ก็ยังจะถูกลงทัณฑ์ด้วยเช่นนั้นหรือ" บ่าวรับใช้นายหนึ่งกล่าว ริมฝีปากอันซีดขาวพลางสั่นระริก ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกัน หัวใจระส่ำระสายแทบหยุดเต้น
จ้าวหลิงหวิน และจ้าวเฉินหลินมองหน้ากันด้วยความหวาดกลัว ต่างเบิกตากว้างตะลึงพรึงเพริด กระทั่งลืมหายใจ ทั้งสองนัยน์ตาแดงก่ำเหลียวหน้ามองมารดาด้วยความเจ็บปวดระคนผิดหวัง
จ้าวเฉินหลินเอ่ยเสียงสั่นเครือ กระบอกตาร้อนผ่าว "ทะ...ท่านแม่ ท่านทราบเรื่องนี้มาโดยตลอดเลยหรือ"
ขณะที่สกุลจ้าวกำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ที่สุดของแคว้นเฉินเป่ย จ้าวเฉินหลินเองเพิ่งสอบจอหงวนได้อันดับแรก ส่วนน้องสาวทั้งสองเพิ่งย่างเข้าวัยปักปิ่นได้ไม่นาน พวกนางยังไม่ทันได้ใช้ชีวิตดุจใจปรารถนาก็ต้องสิ้นชีพอย่างน่าเวทนาเช่นนี้หรือ ตระหนักถึงตรงนี้คิ้วเข้มพลันขมวดมุ่น เหตุใดจึงประจวบเหมาะกับวันที่จ้าวหลิงหลิงออกเดินทางกันเล่า
จ้าวหว่านถงพยายามกล้ำกลืนความเจ็บปวดลงคอ เสียงร้องไห้ระงมของบ่าวไพร่ตอกย้ำความผิดบาปซึ่งกำลังถาโถมเข้ามาดุจระลอกคลื่นกระหน่ำซัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"หลินเอ๋อร์ หวินเอ๋อร์ โลกใบนี้หาได้งดงามเฉกเช่นพวกเจ้าเข้าใจ การอยู่จุดสูงสุดแม้จะนับเป็นเรื่องน่ายินดี ทว่ากลับมีคนเตรียมฉุดเจ้าลงมายังที่ต่ำสุดได้เช่นกัน อย่าได้น้อยเนื้อต่ำใจต่อโชคชะตา ชาตินี้ไร้วาสนา ชาติหน้าแม่ขอให้พวกเจ้าได้เกิดในตระกูลที่ดี และพบแต่ความสงบสุข"
จ้าวหลิงหวินน้ำตาไหลพรากโผเข้ากอดผู้เป็นมารดา "ฮึก...ฮื่อ...ท่านแม่ ข้ากลัว ท่านพ่อไม่ได้ทำใช่ไหมเจ้าคะ ข้าไม่เชื่อว่าท่านพ่อจะกบฏ"
จ้าวเฉินหลินค่อย ๆ กระถดกายเข้าใกล้มารดา ทั่วทั้งร่างสั่นกระเพื่อม มือเท้าอ่อนปวกเปียกไปหมด จ้าวเฉินหลินก่อเกิดคำถามในใจ มารดาของเขาไม่รักตนทั้งสองแล้วหรือ ทว่าเมื่อเขาประสานกับดวงตาซึ่งบ่งบอกถึงความรวดร้าวของจ้าวหว่านถง จ้าวเฉินหลินจึงเข้าใจความรู้สึกของผู้เป็นมารดาในบัดดล ไม่ว่านางเลือกทางใดก็ล้วนเจ็บปวดไม่ต่างกัน
สามคนแม่ลูกกอดกันน้ำตานองหน้า นางไม่มีสิ่งใดจะอธิบายหรือแก้ต่างทั้งสิ้น ต่อให้ยืนกรานว่าสามีของตนไม่ผิด คนโฉดชั่วพวกนั้นก็ยังสามารถหาวิธีบิดเบือนความเป็นจริงเพื่อทำลายตระกูลจ้าวอยู่วันยังค่ำ
การประหัตประหารได้เริ่มต้นขึ้น บุรุษถูกกุดหัวทั้งหมด ส่วนสตรีดื่มยาพิษดิ้นทุรนทุราย เสียงสาปแช่งจากบ่าวรับใช้ยิ่งทำให้จ้าวหว่านถงรู้สึกรวดร้าว นางมิอาจปกป้องใครได้สักคน นางเฝ้าโทษตนเองในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เดิมทีนางไม่คิดว่าเรื่องมิคาดฝันจะเกิดขึ้นรวดเร็วปานนี้ นึกไม่ถึงว่าจ้าวหลิงหลิงออกไปเพียงเวลาฉิวเฉียดเท่านั้น
ราชโองการมิอาจขัด บุตรชายเพียงคนเดียวกำลังจะถูกสะบั้นศีรษะ นัยน์ตาที่เคยเริงร่าเพ่งมองมารดาด้วยแววตาระทมทุกข์ น้ำสีใสเอ่อคลอเสียจนภาพเบื้องหน้าพร่าเบลอ "ท่านแม่ ต่อให้เกิดชาติหน้าข้าก็ยังอยากเป็นลูกของท่าน"
ดาบคมกริบตวัดฉับ สะบั้นลำคอเสียจนศีรษะหล่นจากบ่า โลหิตสีแดงฉานเจิ่งนองสาดกระจาย จ้าวหว่านถงและจ้าวหลิงหวินต่างกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด นางกอดลูกสาวคนรองไว้ในอ้อมแขนรวดร้าวดั่งถูกเลาะเอ็นในกายออกมาบดขยี้ ไม่รู้ว่าตนทำผิดไปหรือไม่ เหตุใดจึงไม่ส่งลูก ๆ ออกไปพร้อมกันวันนี้ นางช่างเป็นมารดาที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย สวรรค์ก็โหดร้ายไร้เมตตานัก ให้นางมีความสุขชั่วประเดี๋ยว จากนั้นก็ฟาดทัณฑ์อสนีเคราะห์ลงมาอย่างแสนสาหัส
สองแม่ลูกยกจอกสุราพิษขึ้นด้วยฝ่ามือสั่นเทา พลางหลั่งน้ำตาไม่หยุด จ้าวหว่านถงเอื้อมมือลูบไล้ใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่เปียกแฉะของบุตรสาว "หวินเอ๋อร์ แม่ขอโทษ อย่าได้น้อยใจในโชคชะตา ไม่ว่าคนที่จากไปหรือคนที่ยังอยู่ล้วนเจ็บปวดด้วยกันทั้งสิ้น ดูเหมือนแม่และพ่อทำผิดต่อพวกเจ้าแล้ว"
"ทะ...ท่านแม่ ฮื่อ..." จ้าวหลิงหวินโน้มกระซิบแนบอกมารดา นางส่ายหน้าพัลวัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนางไม่มีทางถือโทษหรือโกรธบิดามารดาเลย ถึงอย่างไรนางก็ช่วงชิงโชคชะตามาจากสวรรค์ คนร่างกายอ่อนแอเช่นนางมิควรมีลมหายใจตั้งแต่ทีแรก หากไม่เพราะจ้าวหลิงหลิงดันทุรังมอบเลือดในกายให้นางถึงสองส่วน นางคงตายไปตั้งแต่สามปีก่อนแล้ว "หลิงหลิงล่ะเจ้าคะ ท่านแม่... น้องจะยัง ฮึก... จะยังรอดหรือไม่"
จ้าวหว่านถงวางจอกสุราพิษลง จากนั้นลูบไล้เส้นผมนุ่มสลวยของบุตรสาวในอ้อมแขนด้วยความทะนุถนอม "น้องต้องรอดแน่นอน แม่จะไม่ยินยอมให้เราต้องจากไปอย่างอยุติธรรมเช่นนี้ วันนี้ไม่อาจหลีกหนีความอดสู หากแม้พ่อเจ้ามิได้ก่อกบฏจริง คนเหล่านั้นล้วนต้องได้รับผลกรรมอย่างสาสม เด็กดีหลับเถิดนะ เจ้าจะไม่เจ็บปวด ส่วนพี่ของเจ้าแม่จะไปหาเขาเอง..."
มือขาวซีดยกจอกสุราพิษของบุตรสาวขึ้นแช่มช้า นัยน์ตายังคงเพ่งมองลานประหารที่มีร่างของบุตรชายนอนจมกองโลหิตด้วยความระทมทุกข์ จ้าวหลิงหวินหวาดกลัวจนแทบขาดใจ ทว่านางก็ยังกระดกดื่มสุราพิษลงคออย่างเชื่อฟัง อาการสั่นเทาค่อย ๆ สงบลงเนิบช้า ลมหายใจของนางขาดสะบั้นลงในที่สุด
จ้าวหว่านถงร่ำไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด นางตระกองกอดร่างบุตรสาวที่เริ่มเย็นลงทุกขณะไว้ในอ้อมแขน พลางร้องเพลงขับกล่อม เอนกายโยกเยกอนึ่งปลอบประโลมทารกน้อย จ้าวหว่านถงถอดกำไลหยกของตนและปิ่นปักผมของบุตรสาวกำไว้ในอุ้งมือ ลายเหมยกุ้ยฮวา [1] บนปิ่นบาดลึกเข้าไปในเนื้อนวล ของเหลวสีแดงสดไหลเยิ้มอาบย้อมจนน่าหวาดผวา นัยน์ตาดำขลับกวาดมองทั่วบริเวณ บ่าวไพร่ตายเกลื่อนกระทั่งลูกเล็กเด็กแดงก็ไม่เว้น บาปของนางหนนี้สาหัสสากรรจ์ยิ่งนัก
จ้าวหว่านถงหัวเราะทั้งน้ำตาดุจคนเสียสติ พลันหยดโลหิตลงในสุราพิษเอ่ยสาปแช่งไม่ขาดปาก จู่ ๆ ฟากฟ้าก็ร้องกึกก้องกัมปนาท หยาดน้ำฝนหลั่งลงมาห่าใหญ่เฉกเช่นน้ำตาและสายเลือดที่รินไหลของผู้คนสกุลจ้าวในยามนี้ จ้าวหว่านถงมือสั่นระริก นางประคองสุราโลหิตด้วยพละกำลังอันแผ่วโผย จากนั้นจึงยกซดจนหมดถ้วย ร่างอรชรสองแม่ลูกกอดกันกลมล้มกลิ้งลงบนพื้นอย่างน่าอเนจอนาถใจ
ขันทีมองภาพความอดสูเบื้องหน้าพลันถอนหายใจอย่างนึกเวทนา "กลับ..."
.
.
"แม่นม ท่านว่าเหตุใดท่านแม่จึงต้องส่งข้าไปที่สำนักซูเซียวหรือ" จ้าวหลิงหลิงเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว พลางหยิบขนมเข้าปากคำโต
"คุณหนู เพราะท่านชอบเรื่องจับดาบง้างธนูเฉกเช่นบุรุษมิใช่หรือ เช่นนั้นการไปศึกษาที่สำนักซูเซียวท่านมิดีใจหรือเจ้าคะ"
จ้าวหลิงหลิงยิ้มแฉ่ง "ดีใจสิ ข้าชอบมาก แต่เดิมข้าขอร้องท่านแม่แทบตายก็ยังไม่อนุญาต ข้าเลยแอบเรียนกับพี่ใหญ่ซะเลย เอ๊ะ!..."
จ้าวหลิงหลิงคลำเปะปะบนศีรษะ "แม่นม ๆ ข้าลืมของ"
แม่นมเริ่นเหมยกะพริบตามอง "ลืมอันใดเจ้าคะ"
"ปิ่นที่ท่านพ่อมอบให้ข้าอย่างไรเล่า ช่วยกลับไปเอาได้หรือไม่ หากไม่มีมันข้ามิอาจสงบใจได้เลย" จ้าวหลิงหลิงเว้าวอน
หญิงวัยราวสี่สิบกว่าถอนหายใจแผ่ว "คุณหนูนี่นา นิสัยขี้หลงขี้ลืมแต่เด็ก ดูสิฝนฟ้าก็ตกลงมาแล้วเสียด้วย เอาเถอะเจ้าค่ะกลับสักครู่คงไม่เป็นไร"
เริ่นเหมยเอื้อมมือบีบปลายจมูกเชิดรั้นอย่างนึกมันเขี้ยว
"หยุดก่อน พาคุณหนูกลับไปเอาของที่จวนก่อน"
รถม้าจึงค่อย ๆ ชะลอลง "ขอรับ"
จ้าวหลิงหลิงยิ้มตาหยี "ข้ารู้ว่าแม่นมน่ารักที่สุด"
ยามนี้ดรุณีน้อยกำลังคลี่ยิ้มด้วยความซุกซนตามนิสัยคุณหนูสามของตระกูลจ้าว ไหนเลยจะล่วงรู้ ขณะที่ตนกำลังเริงร่าเพราะจะได้ไปศึกษายังสำนักที่หวัง เรือนสกุลจ้าวกลับเจิ่งนองไปด้วยทะเลโลหิตเสียแล้ว...
^เหมยกุ้ยฮวา หมายถึง ดอกกุหลาบ
สามปีผันผ่าน แคว้นเฉินเป่ยอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงรัชศกใหม่ รัชทายาทหมายช่วงชิงตำแหน่งฮ่องเต้จากบิดาของตน ทว่าองค์ชายรองกลับเป็นผู้ปกป้องบัลลังก์มังกรเอาไว้ กระนั้นฮ่องเต้เวินเจียเหลียงกลับทนพิษบาดแผลจากคมดาบอาบยาพิษได้ไม่กี่วันก็สิ้นพระชนม์ลง เมื่อรัชทายาทไม่เถรตรงต่อตำแหน่งหน้าที่ การก่อกบฏหนนี้จึงถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษสูงสุด คือประหารเท่านั้น ตำแหน่งฮ่องเต้คนถัดไปจึงมิมีผู้ใดเหมาะสมมากไปกว่าองค์ชายรองอีกแม้องค์ชายรองยืนกรานไม่ขอขึ้นครองบัลลังก์และต้องการส่งมอบแด่องค์ชายสาม ทว่าบรรดาขุนนางกลับคัดค้านหัวชนฝา เช่นนั้นแล้วผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่งอย่างองค์ชายรองจึงจำใจต้องแบกภาระอันหนักอึ้งนี้ไว้บนบ่ากาลเวลามิเคยคอยท่า องค์ชายสามเกิดประชวรโดยไร้สาเหตุท้ายที่สุดก็สิ้นพระชนม์ตามบิดาเวินเยี่ยนเฉินทุกข์ระทมอย่างหนักหน่วง เขาสูญเสียคนที่ตนรักไปทั้งหมด แทบนับได้ว่าเหลือตัวคนเดียวเวินเยี่ยนเฉินมักใช้โอกาสจากกรณีสวรรคตของฮ่องเต้องค์ก่อนเป็นข้ออ้างในการแต่งตั้งฮองเฮาและรับสนม ทว่าเป็นเวลาไว้ทุกข์อันเหมาะสมแล้ว ครั้นจะหยิบยกเอาเรื่ององค์ชายสามมากล่าวอ้างก็มิอาจประ
จ้าวหลิงหลิงยิ้มบาง "ท่านพี่จี้หยวน ขอบคุณท่านมาก แต่ท่านไม่ต้องลำบากแล้วล่ะ ข้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้ว ไม่นานข้าจะตามทุกคนไป"เริ่นเหมยถลาเข้ามา พลางร้องไห้โฮ "คุณหนู อย่าเอ่ยเช่นนี้เจ้าค่ะ ฮึก ฮื่อ...หากท่านไม่อยู่แล้วข้าเล่า ข้าจะอยู่กับใคร"จ้าวหลิงหลิงยกมือขึ้นลูบแก้มแม่นมของตน "แม่นม ท่านสามารถกลับไปที่บ้านเดิมของท่านได้ กลับไปใช้บั้นปลายชีวิตของท่าน ส่วนข้าอย่าได้ใส่ใจอีกเลย"เริ่นเหมยส่ายหน้าพัลวัน "ไม่เจ้าค่ะ หากคุณหนูจะไปที่ใด ข้าจะไปกับท่าน"ซางจี้หยวนถอนหายใจ เขาไม่รู้ควรทำเช่นไรแล้วจริง ๆ "เจ้าแน่ใจหรือหลิงหลิง เจ้าจะให้ครอบครัวของเจ้าถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏทั้งที่ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรเลยอย่างนั้นหรือ เจ้ากำลังทำให้ฮูหยินจ้าวและท่านแม่ทัพใหญ่ผิดหวัง ไยไม่ลองตรึกตรองดูดี ๆ หากเป็นข้า ข้าจะไม่มีวันยอมแพ้โดยที่ยังไม่ได้ทำสิ่งใดเลยเป็นอันขาด"จ้าวหลิงหลิงใจสั่นหวิว นางปิดเปลือกตาลงเนิบนาบ ทำราวกับสิ่งที่ซางจี้หยวนเอ่ยเปรียบดั่งอากาศธาตุ ทว่านางกำลังใคร่ครวญบางอย่างก็เพียงเท่านั้น ดูเหมือนคนทั้งสองถอยห่างจากนางแล้ว กระนั้นเมื่อจ้าว
ยามนี้ฝนซาลงแล้ว ทว่าจ้าวหลิงหลิงยังคงหลับใหลไร้สติ ริมฝีปากซีดขาวพร่ำรำพันด้วยเสียงแผ่วโผย ร่างระหงนอนเหยียดกายอยู่บนผ้าปูผืนบางท่ามกลางผืนป่าอันเงียบสงัด "ท่านแม่ ท่านพ่อ พี่ใหญ่ หลิงหวิน...จะไปไหนกัน รอข้าด้วย รอหลิงหลิงด้วย" จ้าวหลิงหลิงควานมือท่ามกลางอากาศสะเปะสะปะ เริ่นเหมยนั่งเฝ้าคุณหนูสามอยู่ไม่ห่าง ผู้เป็นแม่นมเลี้ยงดูอีกฝ่ายมาแต่อ้อนแต่ออกเห็นนางทุกข์ระทมเพียงนี้ก็พลันน้ำตาคลอหน่วย กระทั่งหลั่งรินอาบแก้มอีกหน นางจับมือน้อย ๆ อันเย็นเยียบขึ้นแนบแก้มของตน "คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ ทุกคนไม่อยู่แล้ว แต่คุณหนูยังมีข้านะเจ้าคะ คุณหนู ฮื่อ..." ซางจี้หยวนนั่งอยู่อีกด้านของกองไฟมองภาพสองนายบ่าวด้วยความรู้สึกอันยากอธิบาย เขาเองก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน ชายหนุ่มลุกยืนเต็มความสูง จากนั้นเยื้องย่างเข้าใกล้ร่างของสตรีที่ยังนอนละเมอพร่ำเพ้อไม่ขาดปาก "แม่นมเริ่น ท่านไปพักบ้างเถิด เดี๋ยวข้าดูแลนางต่อให้เอง" เริ่นเหมยเหลียวมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าแดงก่ำ "ตะ...แต่..." "ท่านไปเถิด ไม่ต้องเป็นกังวล เฉินหลินเป็นสหายข้า หลิงหลิงและหลิงหวินก็เปรียบดั่งน้องสาวของข้าเช่นเดียวกัน" เอ่ยถึงสองพี่น้องที่เพิ่งจาก
ผู้ใด!? ปล่อยข้า ปล่อยข้า ข้าจะไปหาท่านแม่และท่านพี่ ปล่อยข้า!ชายผู้นั้นรัดเอวคอดเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ผู้คนล้วนแตกฮือด้วยความงุนงงนางเป็นใครงั้นหรือ ไยมาเอะอะอยู่ตรงนี้คงมิใช่ญาติตระกูลจ้าวกระมัง หากนางเข้าไปมีหวังคอขาดอีกคนแน่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังอึงอลไปหมด บุรุษซึ่งยืนอยู่หน้าประตูผินหน้ากลับเชื่องช้า จ้าวหลิงหลิงสบดวงตาของเขาผ่านช่องว่างระหว่างผ้าแพรครู่หนึ่ง นางลดสายตามองของบางอย่างที่อยู่ในมืออีกฝ่าย พลางแดดิ้นดุจปลาขาดน้ำ ร่างระหงพยายามดิ้นรนทว่าไม่เป็นผลของสิ่งนั้น ของนั่น! คือของแม่ข้า ของพี่สาวข้า พี่ใหญ่ ๆ ท่านอยู่ที่ใด ฮื่อ สวรรค์ได้โปรดอย่าล้อเล่นกับข้า!...จ้าวหลิงหลิงทำได้เพียงตะโกนร่ำร้องภายในใจ เพราะริมฝีปากของนางถูกปิดเอาไว้ อยู่ ๆ ท้ายทอยของนางก็เกิดอาการเจ็บแปลบดั่งถูกตีกระหน่ำฮึก!...ทะ...ท่านแม่ ท่านพี่ นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันภาพที่นางเห็นคือแววตาเย็นชาของบุรุษผู้นั้น เขาสวมกวานทองคำลายมังกรไว้บนศีรษะ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาทว่าแววตาช่างเศร้าหมอง จ้าวหลิงหลิงกลับไม่คิดเช่นนั้น ประกายตาของเขาช่างเย็นชายิ่ง! นางจดจำใบหน้าหล่อเหลานี้ไว้ในก้นบึ้งของจิตใจ จู่ ๆ สติสั
รถม้าเคลื่อนมาหยุดหน้าจวนสกุลจ้าว แต่ทว่ากลับมีบรรดาชาวบ้านกำลังยืนรายล้อมเบียดเสียดกันแน่นขนัดไปหมด จ้าวหลิงหลิงสาวเท้าลงจากบันไดคับแคบพลางกวาดสายตาสำรวจด้วยความงุนงง "คุณหนู รอก่อนเจ้าค่ะ ฝนตกเดี๋ยวเป็นหวัดเอาได้นะเจ้าคะ" เริ่นเหมยหยิบหมวกสานซึ่งมีผ้าแพรผืนบางปิดล้อมโดยรอบพลางสวมลงบนศีรษะของจ้าวหลิงหลิง จากนั้นกางร่มเพื่อป้องกันละอองฝนอีกครั้ง "ขอบคุณแม่นม" จ้าวหลิงหลิงยิ้มตอบ "แล้วไยผู้คนจึงมายืนบังหน้าจวนของเราอย่างนี้เล่า" สกุลจ้าวน่าเวทนาเสียจริง เดิมทีท่านแม่ทัพทำผลงานมากมายไม่น่าคิดกบฏบ้านเมืองเลยเสียงจากสตรีนางหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนที่แออัด คนขายบ้านเมืองกินก็สมควรแล้วมิใช่หรือ ว่าแต่นั่นชายหนุ่มผู้นั้น...ชายหนุ่มอันใด เจ้าอยากหัวขาดรึ นั่นองค์ชายรองเชียวนะ เกรงว่าคงนำราชโองการลงทัณฑ์มาด้วยตนเอง ว่ากันว่าองค์ชายรองทั้งเคร่งขรึมเหี้ยมโหด คาดไม่ถึง พระองค์จะสามารถสังหารคนทั้งตระกูลจ้าวได้อย่างเลือดเย็นเพียงนี้ ช่างน่ากลัวโดยแท้ พวกเจ้า! พูดจาส่งเดชยิ่ง หากพระองค์ได้ยินจะได้หัวหลุดจากบ่า! หญิงชรานางหนึ่งเอ่ยสำทับ หนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษต่างก้มหน้างุดพลันหุบปากลงเดี๋ยวนั้
"ตระกูลจ้าวรับราชโองการ" เสียงขันทีประกาศก้องพร้อมกองทหารนับร้อยวิ่งกรูเข้ามาปิดล้อมเรือนสกุลจ้าว ขณะเดียวกันรถม้าคันหนึ่งก็เพิ่งเคลื่อนตัวออกจากจวนโดยมิทันสังเกตถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ฮูหยินจ้าวหรือจ้าวหว่านถงพร้อมทั้งบุตรทั้งสองเร่งรุดออกมาหน้าลานกว้าง บ่าวไพร่วางงานในมือลงจ้าละหวั่น อกซ้ายของทุกคนต่างกระเพื่อมไหว เหงื่อเม็ดละเอียดผุดซึมขึ้นบนกรอบหน้ายามนี้แม่ทัพใหญ่จ้าวตงหยวนไม่อยู่เรือน เพราะบ้านเมืองเข้าสู่ช่วงเพลิงสงคราม เขาจึงเป็นทัพหน้ากรีธาเพื่อปกป้องแว่นแคว้น แล้วเหตุใดจู่ ๆ จึงมีราชโองการมาจ่อถึงหน้าประตูจวนได้กันเล่า หลังจากทุกคนมารวมตัวกันโดยพร้อมเพรียง ขันทีจึงเอ่ยถามด้วยสุ้มเสียงกึ่งเล็กแหลม "ฮูหยินเจ้า ไม่ทราบว่ามาครบทุกคนแล้วหรือไม่" จ้าวหว่านถงสัมผัสได้ถึงสังหรไม่ดี ความรู้สึกประหลาดใจเริ่มหนักหน่วงกลายเป็นหวาดระแวง จ้าวหว่านถงเป็นหญิงวัยกลางคนทว่าใบหน้ายังคงสะสวยเฉกเช่นดรุณีแรกแย้ม มิแปลกใจที่บุตรสาวทั้งสองจะหน้าตางดงามอนึ่งนางเซียนแดนสวรรค์นางเหลียวมองบุตรีข้างกาย และบุตรชายคนโตแช่มช้า แววตากระจ่างใสดุจไข่มุกราตรีสะท้อนความเจ็บปวดดั่งล่วงรู้ว่ากำลังจะเกิดอั
Comments