ผู้ใด!? ปล่อยข้า ปล่อยข้า ข้าจะไปหาท่านแม่และท่านพี่ ปล่อยข้า!
ชายผู้นั้นรัดเอวคอดเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ผู้คนล้วนแตกฮือด้วยความงุนงง
นางเป็นใครงั้นหรือ ไยมาเอะอะอยู่ตรงนี้
คงมิใช่ญาติตระกูลจ้าวกระมัง หากนางเข้าไปมีหวังคอขาดอีกคนแน่
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังอึงอลไปหมด บุรุษซึ่งยืนอยู่หน้าประตูผินหน้ากลับเชื่องช้า จ้าวหลิงหลิงสบดวงตาของเขาผ่านช่องว่างระหว่างผ้าแพรครู่หนึ่ง นางลดสายตามองของบางอย่างที่อยู่ในมืออีกฝ่าย พลางแดดิ้นดุจปลาขาดน้ำ ร่างระหงพยายามดิ้นรนทว่าไม่เป็นผล
ของสิ่งนั้น ของนั่น! คือของแม่ข้า ของพี่สาวข้า พี่ใหญ่ ๆ ท่านอยู่ที่ใด ฮื่อ สวรรค์ได้โปรดอย่าล้อเล่นกับข้า!...
จ้าวหลิงหลิงทำได้เพียงตะโกนร่ำร้องภายในใจ เพราะริมฝีปากของนางถูกปิดเอาไว้ อยู่ ๆ ท้ายทอยของนางก็เกิดอาการเจ็บแปลบดั่งถูกตีกระหน่ำ
ฮึก!...ทะ...ท่านแม่ ท่านพี่ นี่มันเกิดเรื่องอะไรกัน
ภาพที่นางเห็นคือแววตาเย็นชาของบุรุษผู้นั้น เขาสวมกวานทองคำลายมังกรไว้บนศีรษะ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาทว่าแววตาช่างเศร้าหมอง จ้าวหลิงหลิงกลับไม่คิดเช่นนั้น ประกายตาของเขาช่างเย็นชายิ่ง! นางจดจำใบหน้าหล่อเหลานี้ไว้ในก้นบึ้งของจิตใจ จู่ ๆ สติสัมปชัญญะจ้าวหลิงหลิงพลันดับวูบลงในที่สุด
"จิ้งเหยา เกิดอันใดงั้นหรือ" เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางเขม้นมองความโกลาหลซึ่งอยู่ห่างจากเขาไม่มากนัก
"องค์ชายรอง ชาวบ้านต่างบอกว่านางเป็นคนเสียสติ คงเกิดอาการคลุ้มคลั่งชั่วขณะ ยามนี้ญาติของนางกำลังช่วยกันนำตัวกลับพ่ะย่ะค่ะ"
เวินเยี่ยนเฉินพยักหน้า เขาลดสายตามองสาสน์ที่อยู่ในมือสลับกับเครื่องประดับสตรีในมือซ้าย จากนั้นผินหน้าไปยังร่างของสตรีทั้งสอง รวมถึงลานแสดงที่เคยไว้จัดงานรื่นเริงของสกุลจ้าวที่ยามนี้ล้วนเจิ่งนองไปด้วยโลหิตสีชาด
ข้าผิดเอง เป็นข้าที่ผิด ข้าขอโทษ...
.
.
"คะ...คุณชายซาง ท่านมาได้อย่างไรเจ้าคะ" เริ่นเหมยเบิกตากว้าง
"แม่นม ไว้ข้าจะเล่าให้ท่านฟัง ยามนี้ออกไปจากที่นี่ก่อน หากทางการจับได้ว่ายังหลงเหลือคนอยู่ แม้มีเก้าชีวิตก็มิอาจหลีกพ้นโทษทัณฑ์"
ซางจี้หยวนคือสหายรักของจ้าวเฉินหลิน และมักมาเที่ยวเล่นกับสามพี่น้องสกุลจ้าวเสมอ เขาเห็นทุกอย่างด้วยตาตนเองว่ายามนี้เกิดสิ่งใดขึ้นกับตระกูลจ้าว น้ำตาลูกผู้ชายหลั่งรินแทบเป็นสายเลือด เขาอยากเข้าไปอุ้มกายสตรีสองนางออกมาเดี๋ยวนั้น แต่เขามิอาจทำอันใดได้ เขาเฝ้าร่ำไห้โทษตัวเองมิขาดปาก กระทั่งสายตาเหลือบเห็นสตรีร่างระหงสวมหมวกสานบดบังใบหน้ายืนไหล่ไหวสะท้าน อาละวาดเจียนบ้าท่ามกลางสายฝน แม้ใบหน้าของนางถูกปกปิดด้วยผ้าแพรผืนบาง กระนั้นเขายังจดจำนางได้เป็นอย่างดี
ซางจี้หยวนอุ้มจ้าวหลิงหลิงไว้บนอ้อมแขน ทั้งสามคนขึ้นมายังรถม้าแล้ว ชายผู้บังคับบังเหียนล้วนแตกตื่นไม่ต่างกัน รถม้าเคลื่อนออกไปท่ามกลางความงุนงงของบรรดาคนนับสิบ
นะ...นั่นมิใช่รถม้าตระกูลจ้าวหรือ
คงไม่ใช่กระมัง เจ้าตาฝาดแล้ว กลับเถอะฝนตกเพียงนี้ ก่อนเข้าบ้านต้องล้างเนื้อล้างตัวเสียหน่อย มายืนมองความไม่เป็นมงคลนานเพียงนี้เกรงจะซวยไปทั้งชาติ คนขายบ้านเมืองกินก็สมควรได้รับผลกรรมอย่างสาสมมิใช่หรือ ไป! กลับ
ผู้เป็นสามีเกาศีรษะมองตามรถม้าที่แล่นฉิวออกไป เขาละความสนใจแล้ว จากนั้นถอนหายใจแผ่ว ส่วนภรรยาจูงมือของผู้เป็นสามีออกจากบริเวณนั้นด้วยความรวดเร็วดั่งเกรงว่าจะถูกสาปส่งร่วมด้วย
ล้อไม้เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างทุลักทุเล เริ่นเหมยร่ำไห้ปิ่มขาดใจ มือของนางเฝ้าปัดป่ายเส้นผมที่ปรกระใบหน้าเกลี้ยงเกลาและซีดขาวออกด้วยใจรวดร้าว จ้าวหลิงหลิงยังคงนอนไม่ได้สติ
"ฮื่อ...โถ คุณหนู ท่านช่างน่าเวทนายิ่งนัก"
ซางจี้หยวนมองภาพความเศร้าโศกสองนายบ่าวด้วยความเวทนา ความผิดหวังและเสียใจเกาะกินพลังชีวิตของเขา จิตใจของซางจี้หยวนเหี่ยวแห้งไม่ต่างจากพวกนางเลย มือหยาบระคายกำหมัดแน่นด้วยความเคียดแค้น เหตุใดเขาจึงมิอาจช่วยเหลือสหายรักของตนและจ้าวหลิงหวินรวมถึงฮูหยินจ้าวได้
บัดซบ! ข้ามันไม่เอาไหนจริง ๆ หลิงหลิง เจ้าจะต้องเข้มแข็งเข้าไว้ อย่าเป็นอะไรไปอีกคนเล่า
สามปีผันผ่าน แคว้นเฉินเป่ยอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงรัชศกใหม่ รัชทายาทหมายช่วงชิงตำแหน่งฮ่องเต้จากบิดาของตน ทว่าองค์ชายรองกลับเป็นผู้ปกป้องบัลลังก์มังกรเอาไว้ กระนั้นฮ่องเต้เวินเจียเหลียงกลับทนพิษบาดแผลจากคมดาบอาบยาพิษได้ไม่กี่วันก็สิ้นพระชนม์ลง เมื่อรัชทายาทไม่เถรตรงต่อตำแหน่งหน้าที่ การก่อกบฏหนนี้จึงถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษสูงสุด คือประหารเท่านั้น ตำแหน่งฮ่องเต้คนถัดไปจึงมิมีผู้ใดเหมาะสมมากไปกว่าองค์ชายรองอีกแม้องค์ชายรองยืนกรานไม่ขอขึ้นครองบัลลังก์และต้องการส่งมอบแด่องค์ชายสาม ทว่าบรรดาขุนนางกลับคัดค้านหัวชนฝา เช่นนั้นแล้วผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่งอย่างองค์ชายรองจึงจำใจต้องแบกภาระอันหนักอึ้งนี้ไว้บนบ่ากาลเวลามิเคยคอยท่า องค์ชายสามเกิดประชวรโดยไร้สาเหตุท้ายที่สุดก็สิ้นพระชนม์ตามบิดาเวินเยี่ยนเฉินทุกข์ระทมอย่างหนักหน่วง เขาสูญเสียคนที่ตนรักไปทั้งหมด แทบนับได้ว่าเหลือตัวคนเดียวเวินเยี่ยนเฉินมักใช้โอกาสจากกรณีสวรรคตของฮ่องเต้องค์ก่อนเป็นข้ออ้างในการแต่งตั้งฮองเฮาและรับสนม ทว่าเป็นเวลาไว้ทุกข์อันเหมาะสมแล้ว ครั้นจะหยิบยกเอาเรื่ององค์ชายสามมากล่าวอ้างก็มิอาจประ
จ้าวหลิงหลิงยิ้มบาง "ท่านพี่จี้หยวน ขอบคุณท่านมาก แต่ท่านไม่ต้องลำบากแล้วล่ะ ข้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้ว ไม่นานข้าจะตามทุกคนไป"เริ่นเหมยถลาเข้ามา พลางร้องไห้โฮ "คุณหนู อย่าเอ่ยเช่นนี้เจ้าค่ะ ฮึก ฮื่อ...หากท่านไม่อยู่แล้วข้าเล่า ข้าจะอยู่กับใคร"จ้าวหลิงหลิงยกมือขึ้นลูบแก้มแม่นมของตน "แม่นม ท่านสามารถกลับไปที่บ้านเดิมของท่านได้ กลับไปใช้บั้นปลายชีวิตของท่าน ส่วนข้าอย่าได้ใส่ใจอีกเลย"เริ่นเหมยส่ายหน้าพัลวัน "ไม่เจ้าค่ะ หากคุณหนูจะไปที่ใด ข้าจะไปกับท่าน"ซางจี้หยวนถอนหายใจ เขาไม่รู้ควรทำเช่นไรแล้วจริง ๆ "เจ้าแน่ใจหรือหลิงหลิง เจ้าจะให้ครอบครัวของเจ้าถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏทั้งที่ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรเลยอย่างนั้นหรือ เจ้ากำลังทำให้ฮูหยินจ้าวและท่านแม่ทัพใหญ่ผิดหวัง ไยไม่ลองตรึกตรองดูดี ๆ หากเป็นข้า ข้าจะไม่มีวันยอมแพ้โดยที่ยังไม่ได้ทำสิ่งใดเลยเป็นอันขาด"จ้าวหลิงหลิงใจสั่นหวิว นางปิดเปลือกตาลงเนิบนาบ ทำราวกับสิ่งที่ซางจี้หยวนเอ่ยเปรียบดั่งอากาศธาตุ ทว่านางกำลังใคร่ครวญบางอย่างก็เพียงเท่านั้น ดูเหมือนคนทั้งสองถอยห่างจากนางแล้ว กระนั้นเมื่อจ้าว
ยามนี้ฝนซาลงแล้ว ทว่าจ้าวหลิงหลิงยังคงหลับใหลไร้สติ ริมฝีปากซีดขาวพร่ำรำพันด้วยเสียงแผ่วโผย ร่างระหงนอนเหยียดกายอยู่บนผ้าปูผืนบางท่ามกลางผืนป่าอันเงียบสงัด "ท่านแม่ ท่านพ่อ พี่ใหญ่ หลิงหวิน...จะไปไหนกัน รอข้าด้วย รอหลิงหลิงด้วย" จ้าวหลิงหลิงควานมือท่ามกลางอากาศสะเปะสะปะ เริ่นเหมยนั่งเฝ้าคุณหนูสามอยู่ไม่ห่าง ผู้เป็นแม่นมเลี้ยงดูอีกฝ่ายมาแต่อ้อนแต่ออกเห็นนางทุกข์ระทมเพียงนี้ก็พลันน้ำตาคลอหน่วย กระทั่งหลั่งรินอาบแก้มอีกหน นางจับมือน้อย ๆ อันเย็นเยียบขึ้นแนบแก้มของตน "คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ ทุกคนไม่อยู่แล้ว แต่คุณหนูยังมีข้านะเจ้าคะ คุณหนู ฮื่อ..." ซางจี้หยวนนั่งอยู่อีกด้านของกองไฟมองภาพสองนายบ่าวด้วยความรู้สึกอันยากอธิบาย เขาเองก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน ชายหนุ่มลุกยืนเต็มความสูง จากนั้นเยื้องย่างเข้าใกล้ร่างของสตรีที่ยังนอนละเมอพร่ำเพ้อไม่ขาดปาก "แม่นมเริ่น ท่านไปพักบ้างเถิด เดี๋ยวข้าดูแลนางต่อให้เอง" เริ่นเหมยเหลียวมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าแดงก่ำ "ตะ...แต่..." "ท่านไปเถิด ไม่ต้องเป็นกังวล เฉินหลินเป็นสหายข้า หลิงหลิงและหลิงหวินก็เปรียบดั่งน้องสาวของข้าเช่นเดียวกัน" เอ่ยถึงสองพี่น้องที่เพิ่งจาก
ผู้ใด!? ปล่อยข้า ปล่อยข้า ข้าจะไปหาท่านแม่และท่านพี่ ปล่อยข้า!ชายผู้นั้นรัดเอวคอดเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ผู้คนล้วนแตกฮือด้วยความงุนงงนางเป็นใครงั้นหรือ ไยมาเอะอะอยู่ตรงนี้คงมิใช่ญาติตระกูลจ้าวกระมัง หากนางเข้าไปมีหวังคอขาดอีกคนแน่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังอึงอลไปหมด บุรุษซึ่งยืนอยู่หน้าประตูผินหน้ากลับเชื่องช้า จ้าวหลิงหลิงสบดวงตาของเขาผ่านช่องว่างระหว่างผ้าแพรครู่หนึ่ง นางลดสายตามองของบางอย่างที่อยู่ในมืออีกฝ่าย พลางแดดิ้นดุจปลาขาดน้ำ ร่างระหงพยายามดิ้นรนทว่าไม่เป็นผลของสิ่งนั้น ของนั่น! คือของแม่ข้า ของพี่สาวข้า พี่ใหญ่ ๆ ท่านอยู่ที่ใด ฮื่อ สวรรค์ได้โปรดอย่าล้อเล่นกับข้า!...จ้าวหลิงหลิงทำได้เพียงตะโกนร่ำร้องภายในใจ เพราะริมฝีปากของนางถูกปิดเอาไว้ อยู่ ๆ ท้ายทอยของนางก็เกิดอาการเจ็บแปลบดั่งถูกตีกระหน่ำฮึก!...ทะ...ท่านแม่ ท่านพี่ นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันภาพที่นางเห็นคือแววตาเย็นชาของบุรุษผู้นั้น เขาสวมกวานทองคำลายมังกรไว้บนศีรษะ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาทว่าแววตาช่างเศร้าหมอง จ้าวหลิงหลิงกลับไม่คิดเช่นนั้น ประกายตาของเขาช่างเย็นชายิ่ง! นางจดจำใบหน้าหล่อเหลานี้ไว้ในก้นบึ้งของจิตใจ จู่ ๆ สติสั
รถม้าเคลื่อนมาหยุดหน้าจวนสกุลจ้าว แต่ทว่ากลับมีบรรดาชาวบ้านกำลังยืนรายล้อมเบียดเสียดกันแน่นขนัดไปหมด จ้าวหลิงหลิงสาวเท้าลงจากบันไดคับแคบพลางกวาดสายตาสำรวจด้วยความงุนงง "คุณหนู รอก่อนเจ้าค่ะ ฝนตกเดี๋ยวเป็นหวัดเอาได้นะเจ้าคะ" เริ่นเหมยหยิบหมวกสานซึ่งมีผ้าแพรผืนบางปิดล้อมโดยรอบพลางสวมลงบนศีรษะของจ้าวหลิงหลิง จากนั้นกางร่มเพื่อป้องกันละอองฝนอีกครั้ง "ขอบคุณแม่นม" จ้าวหลิงหลิงยิ้มตอบ "แล้วไยผู้คนจึงมายืนบังหน้าจวนของเราอย่างนี้เล่า" สกุลจ้าวน่าเวทนาเสียจริง เดิมทีท่านแม่ทัพทำผลงานมากมายไม่น่าคิดกบฏบ้านเมืองเลยเสียงจากสตรีนางหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนที่แออัด คนขายบ้านเมืองกินก็สมควรแล้วมิใช่หรือ ว่าแต่นั่นชายหนุ่มผู้นั้น...ชายหนุ่มอันใด เจ้าอยากหัวขาดรึ นั่นองค์ชายรองเชียวนะ เกรงว่าคงนำราชโองการลงทัณฑ์มาด้วยตนเอง ว่ากันว่าองค์ชายรองทั้งเคร่งขรึมเหี้ยมโหด คาดไม่ถึง พระองค์จะสามารถสังหารคนทั้งตระกูลจ้าวได้อย่างเลือดเย็นเพียงนี้ ช่างน่ากลัวโดยแท้ พวกเจ้า! พูดจาส่งเดชยิ่ง หากพระองค์ได้ยินจะได้หัวหลุดจากบ่า! หญิงชรานางหนึ่งเอ่ยสำทับ หนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษต่างก้มหน้างุดพลันหุบปากลงเดี๋ยวนั้
"ตระกูลจ้าวรับราชโองการ" เสียงขันทีประกาศก้องพร้อมกองทหารนับร้อยวิ่งกรูเข้ามาปิดล้อมเรือนสกุลจ้าว ขณะเดียวกันรถม้าคันหนึ่งก็เพิ่งเคลื่อนตัวออกจากจวนโดยมิทันสังเกตถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ฮูหยินจ้าวหรือจ้าวหว่านถงพร้อมทั้งบุตรทั้งสองเร่งรุดออกมาหน้าลานกว้าง บ่าวไพร่วางงานในมือลงจ้าละหวั่น อกซ้ายของทุกคนต่างกระเพื่อมไหว เหงื่อเม็ดละเอียดผุดซึมขึ้นบนกรอบหน้ายามนี้แม่ทัพใหญ่จ้าวตงหยวนไม่อยู่เรือน เพราะบ้านเมืองเข้าสู่ช่วงเพลิงสงคราม เขาจึงเป็นทัพหน้ากรีธาเพื่อปกป้องแว่นแคว้น แล้วเหตุใดจู่ ๆ จึงมีราชโองการมาจ่อถึงหน้าประตูจวนได้กันเล่า หลังจากทุกคนมารวมตัวกันโดยพร้อมเพรียง ขันทีจึงเอ่ยถามด้วยสุ้มเสียงกึ่งเล็กแหลม "ฮูหยินเจ้า ไม่ทราบว่ามาครบทุกคนแล้วหรือไม่" จ้าวหว่านถงสัมผัสได้ถึงสังหรไม่ดี ความรู้สึกประหลาดใจเริ่มหนักหน่วงกลายเป็นหวาดระแวง จ้าวหว่านถงเป็นหญิงวัยกลางคนทว่าใบหน้ายังคงสะสวยเฉกเช่นดรุณีแรกแย้ม มิแปลกใจที่บุตรสาวทั้งสองจะหน้าตางดงามอนึ่งนางเซียนแดนสวรรค์นางเหลียวมองบุตรีข้างกาย และบุตรชายคนโตแช่มช้า แววตากระจ่างใสดุจไข่มุกราตรีสะท้อนความเจ็บปวดดั่งล่วงรู้ว่ากำลังจะเกิดอั