หมิงหลินมองตามร่างสูงอย่างมุ่งมาด จิวซินกระชับเสื้อคลุมให้เข้าที่ ก้าวขาข้าม ประตูออกไปเปลี่ยนท่าทีเป็นองอาจ จิ่นฉินตามไปติดๆ
ลานธนู ที่พลุกพล่านไปด้วย เหล่าบุรุษที่มาทำการฝึกฝนวิชา การต่อสู้หรือที่เรียกว่าวิทยายุทธ์ จิวซินเดินด้วยท่าทีองอาจ
อาวุโสท่านหนึ่งนั่งอยู่อีกฟากของเป้าธนูมองดูเหล่าลูกศิษย์กำลังประลองความแม่น จิวซินขยับตัวเข้าไปใกล้ทรุดตัวลงคุกเข่า ยกมือขึ้นประสานกัน
“ซือฟุ ข้าน้อยองค์ชายใหญ่จิ่นเกอ คารวะท่าน” มือเหี่ยวยกขึ้นลูบคางที่เต็มไปด้วยเครายาวสีขาวใบหน้าพึงพอใจ
“องค์ชายใหญ่ช่างนอบน้อม สมดังเป็นชาวเหอตงหยวน ข้ายังมิได้รับปากว่าจะรับท่านเป็นศิษย์”
จิวซินยิ้มเพียงบางเบา ปล่อยให้รอยยิ้มจางหายไปเหมือนใบหลิวที่หลุดร่วงลงสู่พื้น
“ทำเช่นไรเล่าท่านถึงจะรับข้าเป็นศิษย์ของท่าน” อาวุโสยืนขึ้น ยกมือส่งสัญญาณ เด็กหนุ่มท่าทางเซ่อซ่าวิ่งเข้ามาพร้อมธนูในมือ
“องค์ชายใหญ่ ฝีมือยิงธนูท่านเป็นที่ร่ำลือไปถึงสามแคว้นเพียงท่านเอาชนะ องค์ชายห้าศิษย์ของข้าได้นับว่าข้ามิอาจมีข้อกังขา”
จิ่นฉินสะอึก จิวซินยกมือกันไว้ องคืชายห้าฮู่ยโม๋ก้างเท้ายาวๆเข้ามาตรงหน้าเมื่อถูกเอ่ยนาม
“ดี เช่นนั้นข้าไม่อาจปฏิเสธได้ ขอองค์ชายห้าโปรดชี้แนะ” ยกมือขึ้นประสานกันตรงหน้าองค์ชายห้า ผู้อ่อนหวานใบหน้าเหลาดังภาพวาดยิ้มอ่อนโยน
“มิกล้ามิกล้า ข้าองค์ชายห้าฮุ่ยโม๋ ขอท่านชี้แนะเช่นกัน”
ชงไฉ่มอง จิวซินด้วยแววตาปรามาส ยิ้มเยาะที่ริมฝีปากจะมีผู้ใดในไห่ตงหยวนที่สามารถเอาชนะองค์ชายห้าฮุ่ยโม๋ พี่ชายต่างมารดาของเขาได้
องค์ชายห้าง้างคันธนูจนโค้งงอ หันคันธนูยังเป้าปล่อยลูกธนูออกไปยังเป้าที่ห่างออกไปเกือบยี่สิบวาแม่นเหมือนจับวางธนูปักอยู่กลางเป้ามิมีพลาด อาวุโสพยักหน้าน้อยๆพร้อมกับรอยยิ้ม องค์ชายห้าส่งคันธนูคืนผายมือให้จิวซินบ้าง
“องค์ชายใหญ่เชิญท่านชี้แนะ”
จิวซินง้างคันธนูจนโค้งงอเข้าหาตัวอย่างเชี่ยวชาญด้วยแรงทั้งหมด หันเข้าหา เป้าอีกอันที่อยู่ใกล้กับเป้าธนูที่มีคันศรขององค์ชายห้าปักคาอยู่ก่อนจะเปลี่ยนใจเพียงเสี่ยวนาทีหันกลับมายังเป้าอันเดียวกับขององค์ชายห้าปล่อยลูกดอกพุ่งออกจากคันธนูรวดเร็วปานสายฟ้าเสียบเข้ากับคันธนูด้วยความแรงและเร็วจน คันธนูแยกออกเป็นสองส่วนอย่างชัดเจน คันธนูของจิวซินปักคาซ้อนทับคันธนูขององค์ชายห้าอยู่อย่างนั้น ชงไฉ่อดทึ่งในฝีมือของผู้ที่เขาปรามาสไว้ไม่ได้จิ่นฉินยิ้มบาง อาวุโสลูบเคราไปมา
“องค์ชายใหญ่ท่าน ฝีมือล้ำลึกเพียงนี้ เหอตงหยวนคงไม่แคล้วยิ่งใหญ่เป็นแน่แท้ อย่างนี้ข้ามิอาจปฏิเสธที่จะรับท่านเป็นศิษย์” จิวซินยกมือขึ้นประสานกันตรงหน้าก้มหัวเล็กน้อย
“ซือฟุเพียงท่านรับข้าเป็นศิษย์ก็ถือว่าเป็นพระคุณ”
“ข้า ฮุ่ยโม๋ชื่นชมท่านนัก มิไยที่ต้องได้ดื่มคารวะท่านสักจอก หวังว่าท่านจะไม่ปฏิเสธข้า” จิวซินยิ้ม ยกมือขึ้นประสานตรงหน้า
“มิอาจปฏิเสธ ในเมื่อข้าจิ่นเกอ หวังเพียงมิตรแท้ต่างแดน”
“พี่ห้า หากไม่เป็นการรบกวนจวนอ๋องของท่าน ข้าขอร่วมดื่มเป็นการต้อนรับองค์ชายใหญ่ของเหอตงหยวนด้วยคน”
“ข้ามีหรือจะปฏิเสธการร่ำสุราร่วมกับองค์รัชทายาท555เชิญน้องสิบสองและองค์ชายใหญ่ ที่จวนเถิด” ชงไฉ่ยกมือคาราวะอาจารย์ สะบัดชายเสื้อออกเดินนำ ยังจวนอ๋องที่อยู่ห่างออกไป
ฮุ่ยโม๋ผายมือเชิญจิวซิน แววตาชื่นชมส่งมาด้วยความจริงใจ
จิ่นเกอองค์ชายใหญ่ผู้ปรารถนารักแท้ และมีศรัทธาในรักแท้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีทึมทึบจูงมือหญิงสาวใบหน้าสวยหวานอ่อนวัยเดินลัดเลาะมาบนทางเดินตามไหล่เขามุ่งหน้าเข้าสู่ไห่ตงหยวน
“พักก่อนเถิดลู่ชิง” หญิงงามนามลู่ชิงนั่งลงบนขอนไม้ ดวงหน้ามีแววกังวล
“องค์ชายเหตุใดท่านต้องมา ที่ไห่ตงหยวนทั้งๆ ที่ต้องการจะหนี”
“อย่ากังวลไปเลยลู่ชิง ถึงข้าจะละทิ้งหน้าที่องค์ชายและรัชทายาทแต่มิอาจละทิ้งหน้าที่พี่ชายได้” ลู่ชิงมองด้วยสายตาขมขื่น
“ท่านมิผิดหากแต่จิวซิน...องค์หญิงนางอาสาเอง”
“ข้าเพียงไม่อาจให้จิวซินเผชิญทุกข์ยากเพียงลำพัง”
“ท่านไม่อาจแก้ไขอะไรได้แล้วในเมื่อนางตัดสินใจไปแล้ว”
“เพียงเพื่อช่วยเหลือนางอย่างลับๆ แม้จิ่นฉินสหายข้าจะร่วมเดินทางมากับนางแม้ข้าจะรู้ว่าจิ่นฉินต้องไม่ปล่อยให้จิวซินตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่ แต่ข้าก็ไม่อาจวางใจเมื่อนางมาอยู่ในดินแดนของศัตรู ผู้ที่หวังจะยึดครองดินแดนของเรา เป็นข้าเองที่ผิด และท่านพ่อเองก็กำลังประชวรจิวซินแม้จะแข็งแกร่งดุจหินผาต่างจากหญิงทั่วไปแต่นางก็ยังเป็นหญิง” ลู่ชิง ไม่มีคำพูดใดๆ แม้จะรู้สึกไม่พอใจเพียงใดก็ตาม
“ข้ามาลาท่านทั้งสอง บัดนี้ทุกอย่างสงบเรียบร้อยกงกง ถูกตัดสินโทษประหาร ขุนนางทั้งหลายสวามิภักดิ์กับฝ่าบาทอย่างจริงใจ ขุนนางนอกลู่นอกทางถูกกำจัด ฮุยเจินไม่ใช่พี่ห้าฮุยโม๋ที่จากไปไร้คำล่ำลา” รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากบาง“น้องสิบสามเจ้าช่างเหน็บพี่ห้าหากเขายังอยู่ที่นี่ไม่สู้เจ้าต้องโดนฝ่ามือซัดเข้าเป็นแน่”“ฝ่าบาท และฮองเฮา ฮุยเจินขอให้ท่านทั้งสองครองคู่กันตราบนิรันดร์มีองค์ชายน้อยเมื่อไหร่ส่งข่าวให้ ข้าทราบด้วย” ชงไฉ่ประคอง จิวซินให้หันหน้าไปทางฮุยเจิน“เจ้าสิบสามเจ้าดูสะใภ้ เจ้าสิ เอาแต่เมินเฉยไม่สดใสเช่นนี้นางจะมีแก่ใจมีประสูติกาลองค์ชายน้อยให้ข้าหรือ”“ฮุยเจินเชื่อว่าท่านทั้งสองเพียงแค่ใกล้ชิดกันอีกไม่นานเหกินรอ จริงไหมพี่สะใภ้”จิวซินยิ้ม“ข้าขอเวลาลืมเรื่องเจ็บช้ำทั้งหมดที่ไม่อาจปล่อยวางรวมทั้งเรื่องของเสด็จพ่อ และเหอตงหยวน”“หลายอย่างแม้จะขุ่นเคืองแม้จะยังไม่เข้าใจแต่อีกไม่นาน ข้าเชื่อว่าด้วยความจริงใจและความรักที่ฝ่าบาทมีต่อพี่สะใภ้จะทำให้ทุกอย่างคลี่คลาย”“ข้าต่อแต่นี้สัญญาว่าจะดูแลและรักเจ้า เพื่อชดเชยสิ่งที่เจ้าเสียไป” สบตาจิวซินนิ่งไม่สนใจว่าฮุยเจินอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งฮุยเจ
กงกงเฒ่าแสยะยิ้มน่าเกลียด“ดีดีฝ่าบาท พระทัยกว้างดั่งแม่น้ำ เช่นนั้นแล้วข้ากงกงคงไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีกแล้ว” กระชากผมของจิวซินให้ลุกขึ้นจิวซินกัดฟันแน่นแม้จะรู้สึกเจ็บปวด จินฉิ่นและชงไฉ่สะอึกเข้าใส่“ไม่มีเหตุผลใด ที่ข้าจะปล่อยนางไปรวมทั้งฝ่าบาทและเจ้า” ชี้มือไปที่จินฉิ่น“เจ้าคนทรยศ” มีดสั้นถูกจ่อที่คอหอยของจิวซิน“กงกงท่านปล่อยนางเสีย ข้าพร้อมแล้ว” จินฉิ่นปาดกระบี่คมกริบลงบนคอของตัวเองอย่างไม่รอช้า ชงไฉ่ถลาเข้าแย่งกระบี่เสียงอึกอักแววตาเศร้าสร้อยเหลือบมองจิวซินชึ่งบัดนี้ดิ้นรนสะบัดตัวพร้อมกับเสียงร้องห้ามไม่ให้จินฉิ่นทำเรื่องที่คาดไม่ถึง” กงกงปล่อยจิวซินลงไปกองกับพื้นจิวซินทรุดตัวลงข้างจินฉิ่นที่นอนนิ่งส่งเสียงอึกอักฟังไม่ได้ศัพท์ น้ำตาร่วงรินจากดวงตาของจิวซินเป็นสายจินฉิ่นฝืนยิ้ม“องค์หญิงจินฉิ่นผิดจนไม่อาจอภัย อยุ่ข้างกายท่านเพื่อคอยส่งข่าวคราวให้กับกงกงความผิดนี้มีเพียงโทษตายเท่านั้น”“ไม่ไม่ไม่ ข้าแทบไม่เหลือใครแล้วท่านยังทิ้งข้าได้ลงคอ”“องค์หญิงมีฝ่าบาทมี จิ่นเกอพี่ใหญ่ของท่าน ฮุยโม๋และฮุยเจินที่รักหวังดีกับท่านความเจ็บปวดและแค้นเคืองใดใดขององค์หญิงของให้ตายไปกับจินฉิ่น ข้ารู้ด
“ท่านประเมินเราต่ำไปหรือเปล่า” กงกงเฒ่าขมวดคิ้วองครักษ์ที่เคยภักดีบัดนี้กลับแปรพักตร์ ล้อมกรอบใกล้ชงเข้ามาเรื่อยๆ บุรุษร่างกายกำยำกระชากลากถูร่างหนึ่ง เข้ามาคุกเข่าเบื้องหน้าชงไฉ่ เขม่นมอง จิวซินอ้าปากค้างนึกสงสารเยว่ฉีขึ้นมาทันใด เยว่ฉีที่ถูกปิดปากสนิทไม่ให้ส่งเสียงกงกงเฒ่าแสยะยิ้มกระชากผม เยว่ฉีให้เงยหน้า“ฝ่าบาท พระชายาที่ฝ่าบาทลืมเลือนที่ฝ่าบาทไม่ต้องการข้ากงกงอาสาจัดการนางให้แล้วขอเพียงฝ่าบาท มอบบัลลังก์สูงส่งของไห่ตงหยวนแก่ข้า” เยว่ฉีน้ำตาไหลพราก มองชงไฉ่ด้วยความรู้สึกเจ็บซ้ำ“เจ้าก็รู้ว่าข้าชงไฉ่ไม่เคยมีใจให้นางมาก่อน” ขอเพียงถ่วงเวลาไว้ก่อนแม้ไม่มีใจก็ใช่เขาต้องการให้นางตายแต่ช้าไปเสียแล้วมีดสั้นคมกริบในมือตวัดเพียงสายลมผ่าน เลือดสีแดงฉานทะลักออกมาจากลำคองามระหงไร้การร่ำลาใดใดจากเยว์ฉี ชงไฉ่เบิกตาโพลงคาดไม่ถึงว่ากงกงเฒ่าจะกล้าลงมือทั้งๆ ที่เลี้ยงดูเยว่ฉีมาแต่เล็ก เยว่ฉีทรุดกายลงพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ยังไหลรินชงไฉ่ซ้อนร่างของเยว่ฉีไว้ จิวซินเผลอตัวลุกขึ้นผลักกงกงเฒ่าเต็มแรงจนเซทรุดลงไป ดีที่องครักษ์ชั่วหลายคนรับไว้ทันมือสั่นเทาด้วยความโกรธชี้หน้าจิวซิน“จับนางไว้ ข้าจะให้นางไ
สวมกอดอีกครั้งทว่าครั้งนี้หยาดน้ำตานองหน้าคราวนี้ชงไฉ่ไม่แกะมือออก“เจ้าไม่คู่ควรกับหัวใจรักของข้าในเมื่อทุกสิ่งที่เจ้าทำล้วนทำไปด้วยความริษยาและเห็นแก่ตัว”“ฝ่าบาทยังไม่ตอบหากเยว่ฉี....หายไป”“หากเจ้าหายไป ในหัวใจข้าไม่เคยโกหกความรู้สึกตัวเอง ข้า...ไม่เคยรู้สึกอะไร” เยว่ฉีหยุดสะอื้นไห้ประเมินคำตอบที่ได้รับผิดไป ผู้คนบางคนเขาดีกับเราเพียงแค่ เขาเป็นคนดีหาใช่เขารู้สึกดีกับเราไม่“ปล่อยข้าเถิดเยว่ฉี ในเมื่อข้าไม่มีใจให้เจ้าเหตุใดต้องเหนี่ยวรั้งข้าให้หัวใจเจ้าเจ็บปวด” คราวนี้เยว่ฉีกับสะอื้นหนักกว่าเดิมชงไฉ่ยกมือขึ้นโอบไหล่เยว่ฉี“ข้าไม่กล่าวโทษไม่ตำหนิไม่ลงโทษเพียงแค่เจ้า หยุดคาดหวังในตัวข้า...หยุดรอ...หยุดทำทุกอย่างเพื่อให้ข้าไม่พอใจมากไปกว่านี้เรื่องราวที่ผ่านมาข้าจะปล่อยมันไปกับความทรงจำที่หายไป” จิวซินเดินเลาะเลีบยออกมาข้างนอกมือข้างหนึ่งชูขึ้นรองรับเกล็ดหิมะบางเบามือบางสีแดงระเรื่อด้วยความหนาวเย็น เสื้อคลุมสีงาช้างงดงามขับผิวนวล บรรยากาศรอบตัวแม้ชวนให้ล่องลอยทว่าภาพที่เห็นตรงหน้าชงไฉ่โอบกอดเยว่ฉีที่สะอื้นไห้กับทำให้จิตใจห่อเหี่ยว ไม่มีวาจาใดใดหลุดออกมามีเพียงการหันหลังเดินกลับไปยังท
"ไม่ช้าเจ้าก็จะได้รู้ว่าทุกอย่างที่ข้าทำ หาใช่การจงใจไม่แต่เป็นเพียงความโง่งมที่ไร้ซึ่งเจ้าคอยบงการ"ชงไฉ่ไม่อาจหลีกหนีคำว่า ผิดต่อจิวซินไปได้ก็ในเมื่อเขาเองที่ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในวังวนของความทุกข์จนเปิดโอกาสให้เยว่ฉีสามารถทำให้เขาตกเป็นทาสของพิษลืมเลือนได้อย่างไม่ยากอาภรณ์บุรุษของจิวซินที่เขาเก็บไว้อย่างดีถูกเยว่ฉีนำไปเผาทำลายความคับแค้นใจนี้ชงไฉ่ไม่อาจให้อภัยเป็นสามีภรรยยากันเจ็ดชาติต้องรอถึงอีกร้อยปีกว่าจะได้เป็นภรรยากันอีกครั้งชงไฉ่คิดว่าเขากับเยว่ฉีหมดวาสนาต่อกันแล้ว คงต้องรออีกร้อยปีถึงจะกลับมาเป็นสามีภรรยากันอีกครั้งเรียกว่าสิ้นรักหรือไร? ....หรือว่าเขาไม่เคยรักนางความรักกับหลงต่างกันอย่างไรความหลงอยากครอบครองยึดเหนี่ยวเป็นเจ้าของ ไม่สนใจคำห้ามปรามหรือทัดทานหากความรักคือการ ยอมทุกอย่างเพื่อให้เขาเป็นสุขและอยากเห็นรอยยิ้มของคนที่รัก รอยยิ้มนั้นย่อมทำให้เขามีความสุขความรักคือการ ทนรอคอยแม้เขาไม่แยแส ความรักทำให้โลกที่หม่นเศร้าสดใส ความรักทำให้ใบหน้าอมทุกข์กลับกลายเปี่ยมสุขในชั่วพริบตาความรักไม่อาจบรรยายได้ภายในเวลาอันสั้นหากแต่เขารับรู้ว่ามันมากมายจนคณานับได้ท่วมท้นอยู
“ไม่ไม่ไม่..ไม่ ข้าคือเลี่ยงเฟิ่งที่สามารถทำทุกอย่างตามใจตัวเอง....ไม่ใช่จิวซิน” ลืมตาตื่นเวลาดึกสงัดชงไฉ่ฟุบหน้าข้างๆ แท่นนอนกุมมือของจิวซินไว้แน่น อากาศข้างนอกหนาวเหน็บชงไฉ่ขยับตัวกอดอกด้วยความหนาวลืมตามองจิวซิน“เจ้าได้สติแล้ว” ชงไฉ่ลนลานรินชาใส่ถ้วย พยุงจิวซินลุกขึ้น จ่อถ้วยชาที่ริมฝีปากจิวซินเหลือบตามองก่อนจะจิบชาช้าๆ ชงไฉ่ยิ้มใช้มือปัดเส้นผมที่ลงมาละใบหน้างาม“นอนไปเสียนานจนข้าใจหายว่าเจ้าจะไม่ฟื้น จิวซินยังคงนิ่ง“เจ้ารู้ไหม ฟู่โม๋ติดตามมาที่นี่เพื่อ มาหาเจ้าโดยเฉพาะ” แววตาเป็นประกายตื่นเต้นชงไฉ่หลุบตามองพื้นรู้สึกน้อยใจ“ฟู่โม๋อยู่ที่ไหน ฟู่โม๋แต่เดิมเป็นคนของไห่ตงหยวนบัดนี้เมื่อเจ้าไม่สบายเขากำลังต้มยาให้เจ้าอยู่” จิวซินพยักหน้าชงไฉ่คิดถึงคำพูดของฮุยโม๋ที่ให้เขาปิดบังตัวตนของฮุยโม๋เพื่อว่าจะได้ขุดรากถอนโคนขันทีเฒ่าที่มีอำนาจล้นมือในตอนนี้และค่อยๆ พยายามฟื้นความทรงจำของจิวซินไปพร้อมกับยาของฮุ่ยโม๋“ฟู่โม๋ตลอดเวลาที่รู้จักกันมา จะคิดค้นยาถอนพิษชนิดต่างๆ โดยที่ฮุยเจินคอยสนับสนุน เราอยู่ที่เหอตงหยวนแม้จะไม่สบายนักแต่ว่าก็มีสุขไม่น้อยสหายแสนดีอย่างฮุยเจิน คอยสนับสนุนเราสองคนทุกอ