Share

ตอนนี้ 7 ขอบวชเป็นพระดีกว่า

ซู่จื่อหังพูดอย่างเย็นชา "ในเมื่อพวกท่านปฏิเสธที่จะช่วยแม่ของข้า ต่อไปข้าก็จะไม่มอบเงินให้พวกท่านอีก"

แม่เฒ่าซูได้ยินดังนั้น ก็รีบเคาะไม้เท้าเสียงดัง ใบหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียด

"จื่อหัง เจ้าอยากแยกบ้านงั้นรึ?"

"เป็นเช่นนั้น" ซู่จื่อหังพยักหน้าโดยไม่ปฏิเสธ

ทันทีที่คำพูดออกจากปาก ไม่เพียงแต่คนอื่น ๆ ที่ตกตะลึง แม้แต่ถูซินเยว่ที่กำลังนั่งอยู่บนม้านั่งเนื้อคนก็ผงะไปเล็กน้อย

แยกครอบครัว?

เธอเงยหน้าขึ้นและครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง

หากจำไม่ผิด การแยกครอบครัวในชนบทสมัยโบราณถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย

คิดไม่ถึงว่าซูจื่อหังอายุยังน้อย จะมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวถึงเพียงนี้

ถูซินเยว่รู้สึกทึ่งไม่น้อย

ถูซินเยว่รู้สึกทึ่ง แต่แม่เฒ่าตระกูลซูนั้นถึงกับขนหัวลุกเลยทีเดียว

ที่ผ่านมานางเห็นว่าซูจื่อหังเป็นปัญญาชนที่มีการศึกษา แม่เฒ่าตระกูลซูจึงไม่กล้าใช้กำลังกับเขา แต่ทว่าตอนนี้นางยกไม้เท้าขึ้นในมือแล้วเหวี่ยงใส่ซูจื่อหังเต็มแรง

"เจ้าคนอกตัญญู ข้ากับปู่เจ้ายังไม่ตายก็คิดจะแยกบ้าน ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วรึ"

ไม้เท้าทำจากไม้มีน้ำหนักไม่น้อย เมื่อกระแทกเข้าใส่หัวของซูจื่อหังก็ส่งเสียงดังกึก

เสียงนั้น ถูซินเยว่ได้ยินแล้วยังรู้สึกเจ็บแทน

แต่ซูจื่อหังก็ไม่หลบ รอรับไม้เท้าของแม่เฒ่าตระกูลซูอย่างไม่ไหวติง จากนั้นจึงเดินไปหานางและจับมือนางลากออกไปจากห้อง

"ซินเยว่ มาช่วยข้าหน่อย"

เสียงนุ่มดังกังวานดังมาจากข้างนอก ด้วยระดับเสียงขนาดนี้ เดาได้ว่าถูซินเยว่ต้องได้ยินอย่างแน่นอน

"ได้!" ถูซินเยว่ตอบเสียงเฉียบ จากนั้นจึงขยับก้นของตนหิ้วซูเฟิ่งอี๋ขึ้นมาเหมือนกับหิ้วลูกเจี๊ยบ แล้วโยนนางออกไปนอกประตู

ต้องยอมรับว่าโครงสร้างร่างกายของเจ้าของร่างนี้ไม่ใช่คนอ้วนที่อ่อนแอเลย แต่เป็นหญิงแกร่งที่มีพลังเยอะจริง ๆ

เท่าที่จำได้ เจ้าของร่างเป็นคนสติไม่ดี ปกติไม่มีอะไรทำก็จะชอบไปจับกุ้งในแม่น้ำ ลักขโมยของ ทะเลาะเบาะแว้งกับเด็ก ๆ และบางทีก็ทะเลาะกับหมูในคอกหมูของตัวเอง เดาว่าพละกำลังที่มีก็คงฝึกมาจากพวกนี้นี่เอง

ถูซินเยว่บุ้ยปาก หลังจากที่โยนซูเฟิ่งอี๋ออกไปแล้ว ก็หาเก้าอี้มานั่งลงอย่างสงบเสงี่ยม

เนื้อบนร่างกายเยอะเกินไป ยืนนาน ๆ ก็เมื่อยเท้า

ซูจื่อหังงับประตูเข้าหากันเสียงดัง "ปัง" กันเอาเสียงด่าของแม่เฒ่าตระกูลซูและซูเฟิ่งอี๋ไว้ด้านนอก หันหลังเดินกลับไปที่ข้างเตียง มองดูอาการของนางหยูจึงถามหมอหลี่ขึ้นว่า "มือของแม่ข้าไม่มีทางหายดีจริง ๆ หรือ?"

ถึงแม้จะได้ยินคำตอบของหมอหลี่มาแล้ว แต่ซูจื่อหังก็ยังไม่ยอมถอดใจ

พ่อของซูจื่อหังเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก เป็นนางหยูที่เลี้ยงดูเขามาโดยลำพัง ดังนั้นนางหยูจึงสำคัญสำหรับเขามาก ไม่ว่าจะเป็นยังไง ซูจื่อหังก็ไม่มีทางจะทิ้งแม่ของตนได้

เมื่อเห็นแสงระยิบระยับในดวงตาของชายหนุ่ม หมอหลี่ก็ถอนหายใจและพูดว่า "มือที่บาดเจ็บนี้หากว่าเป็นคนในตระกูลที่ร่ำรวย ก็ไม่แน่ว่าจะรักษาให้หายดีได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ เช่นนี้ ศีรษะของนางหยูก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ตอนนี้จะฟื้นขึ้นมาได้หรือไม่ก็ยังน่าห่วง"

ซูจื่อหังรีบถามต่อว่า "ท่านหมอ ค่ายาที่ท่านเพิ่งพูดถึง มันวันละเท่าไหร่กัน?"

"หกสิบอีแปะ" หมอหลี่โบกมือลูบเคราแล้วพูดว่า "วันละสามครั้ง ใช้ยาครั้งละหนึ่งแผ่น ยาแต่ละแผ่นมีราคายี่สิบอีแปะ บาดแผลนี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองเดือนในการรักษา จื่อหัง ข้ารู้ว่าเจ้าลำบาก ดังนั้นข้าจึงไม่คิดกำไรอะไรจากเจ้า ที่ผ่านมาปกติยาชุดนี้ราคาเก้าสิบตำลึง"

ซูจื่อหังพยักหน้ากล่าวว่า "ท่านหมอหลี่ ข้าขอบคุณท่านมาก หากแม่ข้าหายดีในอนาคต ข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านอย่างเด็ดขาด"

"เฮ้อ ไม่ต้องเกรงใจไป" หมอหลี่โบกมือแล้วพูดว่า "แม่นางซูเคราะห์ร้ายนัก เดี๋ยวข้าจะให้คนนำยามาส่ง ส่วนเงินเจ้ามีเมื่อไหร่ค่อยเอามาให้ก็แล้วกัน"

ซูจื่อหังส่งหมอหลี่กลับไป หัวหน้าหมู่บ้านก็เอ่ยให้กำลังใจ หยิบไข่สองฟองออกจากกระเป๋าแล้ววางลงบนโต๊ะ โบกมือแล้วจากไป

ซูจื่อหังนั่งลงข้างเตียง ได้ยินเสียงคนข้างนอกค่อย ๆ ห่างออกไป มองดูนางหยูที่หายใจแผ่วเบา ก็อดไม่ได้ที่จะทำหน้าเป็นกังวล

ถูซินเยว่ยกเก้าอี้นั่งตัวเล็กมานั่งข้างซูจื่อหัง เมื่อเห็นนางหยูในสภาพเช่นนี้ก็รู้สึกทุกข์ใจ

ต่างฝ่ายต่างเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหายใจเบา ๆ ในห้อง

ครู่ใหญ่ต่อมา จู่ ๆ ซูจื่อหังก็เอ่ยว่า "ซินเยว่"

"หืม?" ถูซินเยว่เงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ แต่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าปฏิกิริยาของเธอเหมือนคนปกติเกินไป เธอต้องเป็นคนสติไม่ดีถึงจะถูก กำลังจะแกล้งทำเป็นสติไม่ดี ซูจื่อหังก็ชิงพูดขึ้นว่า "อย่าเสแสร้งเลย ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้โง่"

ถูซินเยว่ที่กำลังดูดนิ้วอยู่ชะงัก วางมือลงอย่างเก้อเขิน

ครู่ต่อมาเธอก็ถามขึ้นด้วยความงุนงง "เจ้ารู้ได้ยังไง?" หรือว่าก่อนหน้านี้ตนแสดงออกชัดเกินไป? เธอก็ดูดนิ้วทำน้ำลายไหลอยู่ตลอดนี่นา ไม่ต่างอะไรจากคนสติไม่ดี

"เจ้าหายสติไม่ดีเมื่อไหร่กัน?" ซูจื่อหังไม่ตอบพลางย้อนถาม

ตู่ซินเยว่เกาหัวแล้วพูดว่า "ข้าก็ไม่รู้ น่าจะตอนที่ถูกแบกกลับไปที่บ้านตระกูลถู หัวกระแทก แล้วจู่ ๆ ก็หาย"

เธอจำได้ว่าย้อนอดีตมาในตอนนั้น จึงบอกเวลานั้นไปซึ่งก็ดูมีที่มาที่ไป

ในขณะที่กำลังคิดอยู่ เมื่อเห็นว่าซูจื่อหังเอาแต่จ้องหน้าเธอ ถูซินเยว่ก็รู้สึกหน้าแดงและถามว่า "มี...มีอะไรหรือเปล่า?"

แหม ก็สาวแก่ที่โสดมาสามสิบปี ถูกหนุ่มน้อยหน้าหล่อจ้องเข้าให้แบบนี้ก็ต้องเขินเป็นธรรมดา

ถูซินเยว่กำลังจินตนาการอยู่ในภวัง ซูจื่อหังกลับยื่นมือออกมา ชี้ไปที่ฟันของตน แล้วพูดว่า "ตรงนี้ มีผักติดอยู่ ตรงฟันหน้า"

"!!!"

จินตนาการเมื่อครู่หายวับไปทันที เธออยากจะร้องไห้ รีบลุกขึ้นยืนมองหากระจกจากทุกทิศทาง คาดไม่ถึงว่าลุกเร็วไปหน่อย ทำเอาม้านั่งพลิกคว่ำ เกือบล้มคะมำลงกับพื้น

ร่างใหญ่เทอะทะจนเกินไป แค่จะหมุนตัวยังอึกทึกครึกโครมขนาดนี้

ถูซินเยว่เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก มือเท้าพันกันยุ่งเหยิงพยายามจะลุกขึ้นมา

จนปัญญาจริง ๆ อ้วนเกินไป ล้มง่าย แต่ลุกยาก

กำลังพยายามสะกัดกั้นความอับอายเอาไว้ ทันใดนั้นซูจื่อหังก็ยื่นมือมาดึงมือของเธอ แล้วพูดว่า "มา ข้าช่วย"

ถูซินเยว่หน้าแดงก่ำ พยักหน้าอย่างอาย ๆ

ด้วยความช่วยเหลือของซูจื่อหัง ในที่สุดเธอก็ลุกขึ้นมาได้ และแอบเอาผักที่ติดฟันออกไปอย่างเงียบ ๆ

"ขอบใจ" ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลา ไม่ต้องพูดถึงว่าถูซินเยว่กำลังรู้สึกอับอายขนาดไหน

ซูจื่อหังกลับบุ้ยปาก อย่าหาว่าเขาติเลย แต่ถูซินเยว่สภาพในตอนนี้ ใบหน้าอ้วนกลม ดวงตาเล็กหยีจนเกือบจะปิด ใบหน้าดำคล้ำปกคลุมไปด้วยแป้งสีแดงเลอะเทอะ และเนื่องจากไม่เคยแปรงฟัน พออ้าปากก็เห็นฟันเหลืองเต็มปากแถมมาพร้อมกับกลิ่นเหม็น เกือบทำให้เขาเป็นลมหมดสติเลยทีเดียว

แต่งภรรยาแบบนี้เข้ามา เฮ้อ...ช่างเถอะ ต่อไปนี้เขาขอไปบวชเป็นพระทำจิตใจให้บริสุทธิ์หลีกหนีจากกิเลสตัณหาทั้งปวงจะดีกว่า

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status