วันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงเชิญตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ก่อนมาซูจื่อหังเคยพูดกับนางว่า เขากับตระกูลจางเข้ากันได้ดีในราชสํานัก ดังนั้นวันนี้ ถูซินเยว่ก็ไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้กับตระกูลจาง เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีมารยาทเห็นเหล่าฮูหยินกับหลิ่วโหรวโหรวเพิ่งเยาะเย้ยเธอเมื่อครู่ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถูซินเยว่ก็สบายใจไม่น้อย ก้มหน้าก้มตากินอาหารด้วยตัวเองไม่สนใจใครทั้งนั้นในขณะที่เธอกําลังกินอย่างมีความสุข จู่ ๆ ก็มีคนผลักแขนของเธอเบา ๆถูซินเยว่นิ่งงันไปพักหนึ่ง หันหน้ากลับไปอย่างสงสัยใคร่รู้ เห็นหญิงสาวในชุดสีเหลืองคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กําลังใช้ดวงตากลมโตจ้องมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็นดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและไร้เดียงสา แต่กลับไม่มีเจตนาร้ายเลยแม้แต่น้อยถูซินเยว่เคยเห็นคนมามากมาย เรื่องเหล่านี้เธอยังพอสามารถมองออกได้ตั้งแต่แรกเห็นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย ท่าทีของเธอก็อ่อนโยนลงมาก"ไม่ทราบว่าแม่นางมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?"ถ้าเธอจําไม่ผิด คนที่นั่งข้างเธอเมื่อกี้น่าจะเป็นผู้หญิงที่เยาะเย้ยเธ
หากซูจื่อหังไม่รังเกียจถูซินเยว่แล้วล่ะก็ งั้นต่อให้หลิ่วโหรวโหรววทุ่มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหนก็ตาม เกรงว่าก็คงไม่สามารถเข้าไปในจวนสกุลซูได้ดั่งใจปรารถนาหรอกแต่น่าขําที่ลูกสาวคนนี้ของนางกลับไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เลย รู้แต่ไปเหยียดหยามถูซินเยว่อย่างโง่เขลาเท่านั้นนี่ถ้าทําให้ถูซินเยว่อับอายต่อหน้าทุกคนก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับยังโดนถูซินเย่วตอบโต้กลับมาจนขายหน้า นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้าตัวเองหรือไง?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินหลิ่วก็ไม่อยากเห็นหน้าลูกสาวคนนี้แม้แต่นิดนางขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ใช่แล้ว เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้บอกพ่อเจ้า ถ้าพ่อเจ้ารู้ ดูสิว่าเขาจะสั่งสอนเจ้ายังไง เจ้าระวังตัวหน่อย"ภายใต้การเกลี้ยกล่อมและคําเตือนของฮูหยินหลิ่ว ในที่สุดหลิ่วโหรวโหรวก็หลับตาลง นางนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ ทั้งหน้ามีแค่อารมณ์เดียวนั่นก็คือ นางไม่มีความสุขฮูหยินหลิ่วถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วเงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม ตําแหน่งของนาง มีเพิงดอกไม้อยู่ตรงกลางบดบังร่างของถูซินเยว่พอดี ดังนั้นนางจึงเห็นเพียงโครงร่างผ่านเถาวัลย์อย่างคลุมเครือเท่
ทั้งคู่เดินถึงหน้าประตู ปะเหมาะเวลานี้ จวนแม่ทัพหลิ่วก็มีคนเดินออกมาเช่นกัน"คนนี้ก็คือใต้เท้าซูที่เจ้าชอบอย่างงั้นหรือ" ฮูหยินหลิ่วเหลียวมองบุตรีซึ่งอยู่ข้างกาย สื่อเป็นนัยให้อีกฝ่ายอย่าได้วู่วามทุกวันนี้คราใดที่หลิ่วโหรวโหรวเห็นถูซินเยว่กับซูจื่อหังเดินมาด้วยกัน ด้วยท่าทีรักใคร่ปรองดอง นางจะรู้สึกเดือดดาลในใจ ราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิดกระนั้นนางทำเสียงฮึดฮัด "ถูซินเยว่มีวันนี้ได้ ก็เพราะอาศัยบารมีซูจื่อหัง แต่คอยดูไปเถิด หญิงบ้านนอกเช่นนาง ใหม่ ๆ ยังพอทำให้ซูจื่อหังพอใจได้บ้าง แต่พอนานวันเข้า ได้เห็นสาวงามในเมืองหลวงมากมาย ความรักของพวกเขายังมั่นคงเหมือนแต่ก่อนได้อีก ก็แสดงว่าผิดมนุษย์แล้ว"ฮูหยินหลิ่วแสดงท่าทีนิ่งเฉยแต่บุตรีพูดก็มีเหตุผล ผู้ชายในโลกนี้น้อยนักที่จะไม่คิดได้ใหม่ลืมเก่า ยกตัวอย่างเช่นสามีของนาง ในอดีตก็เคยให้คำมั่นสัญญา ว่าแม้เป็นหรือตายก็จะขอรักอดีตคนรักเพียงผู้เดียว แต่พอบ้านเขาประสบภาวะเดือดร้อน สุดท้ายก็มาเลือกแต่งงานกับตน จนบัดนี้ลืมหน้านังคนแพศยานั่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วแสดงว่าความจริงใจของผู้ชายคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ปกติเสแสร้งทำเป็นรักมั่นจริงใจ แต่พอเอ
มีคนเตะเธอเข้าที่ท้องอย่างแรง ร่างกลม ๆ ของถูซินเยว่กลิ้งหลุน ๆ อยู่สองทีบนกระดานไม้ก่อนที่จะหยุดอย่างไม่เต็มใจ หน้าผากของเธอกระแทกด้านข้างอย่างแรงจนมีก้อนสีแดงแข็ง ๆ บวมนูนขึ้น ความเจ็บปวดทำให้เธอสั่นสะท้านไปทั้งร่าง เธออยากจะลืมตาขึ้นเหลือเกินถูซินเยว่ยกเปลือกตาหนัก ๆ ด้วยพละกำลังทั้งหมดของเธอขึ้นอย่างยากลำบาก...เสียงระเบ็งเซ็งแซ่ข้างหูของเธอดังและชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ภาพเงาผู้คนรอบตัวที่เลือนลางก็เริ่มปรากฏชัดขึ้น“เรื่องนี้ ตระกูลถูต้องมาคุยกับตระกูลซูให้รู้เรื่อง!”หือ?นี่มันที่ไหนกัน?คนพวกนั้นพูดเรื่องอะไรกันอยู่นะ?หัวของเธอเจ็บมากเสียจนถูซินเยว่ทำได้เพียงมองดูผู้คนที่แต่งตัวประหลาดเหล่านั้นและพึมพำอยู่ในใจ แต่ไม่สามารถพูดอะไรสักคำออกมาได้ เธอหลับตาลงอย่างอ่อนแรงและฟังผู้คนโต้เถียงกันต่อไป"ลูกสะใภ้คนใหม่ของข้าอยู่ดี ๆ กลายเป็นนางอัปลักษณ์นี่ได้อย่างไรกัน?"“คนตระกูลถูพูดจาเชื่อถือไม่ได้เลยจริง ๆ อยากกลั่นแกล้งพวกข้าอย่างนั้นรึ เอาคนอัปลักษณ์มาเล่นตลกกับพวกข้า ถูหมิงซวนอยู่ที่ไหน รีบพาตัวนางออกมาให้พวกข้าเดี๋ยวนี้ ข้าไม่เอานังอัปลักษณ์นี่!”บุตรสาวคนโตของบ้านตระกูลซู
เมื่อถูซินเยว่ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นเวลาเช้าของวันรุ่งขึ้นแล้ว แสงแดดจาง ๆ ส่องเข้ามาจากด้านนอกตามรอยแยกของประตู และกระทบไปที่ใบหน้าของถูซินเยว่ เธอขยับร่างเล็กน้อย และทันใดนั้นก็สูดหายใจเฮือกเมื่อรู้สึกว่าถูกบางสิ่งอยู่ข้างใต้ตัวเธอทิ่มแทงเมื่อมองลงไปจึงเห็นว่าตัวเองนอนอยู่บนกองฟืน เพิงเล็ก ๆ โทรม ๆ นี้เต็มไปด้วยกองฟืนและกิ่งไม้แห้ง ตรงหัวมุมยังมีเครื่องมือทางการเกษตรที่ใช้ในทุ่งนาวางสุมอยู่ก่อนหน้านี้เธอรู้อยู่แล้วว่าตนเองได้ข้ามภพมายังชนบทในสมัยโบราณ ถูซินเยว่ก็ไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรมากนัก แต่ก็โชคดีที่ตระกูลซูพาเธอกลับมาและไม่ปล่อยให้เธอตายอยู่ข้างนอกถูซินเยว่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ลดศีรษะลงแล้วมองดูร่างอ้วนท้วนของที่มองไม่เห็นขาของตน ฟ้าร้องดังสนั่นแลบแปรบปราบอยู่เหนือศีรษะ เมื่อนึกถึงชาติก่อนที่เป็นถึงสาวงามในหน่วยแพทย์ทหารสังกัดหน่วยรบพิเศษ รูปร่างโค้งเว้าได้สัดส่วน เอวคอดเรียวขายาวระหง รุ่นพี่รุ่นน้องที่เดินผ่านต่างก็ต้องน้ำลายหกไปตาม ๆ กัน แล้วไอ้ร่างอ้วนฉุเป็นงูหลามในตอนนี้นี่มันอะไรกัน?ถูซินเยว่ยื่นมือมาบีบเนื้อนุ่ม ๆ รอบเอว สงสัยจริง ๆ ว่าเจ้าของร่างนี้กินยังไงถึงไ
หลังจากที่ซูเฟิ่งอี๋จากไปแล้ว นางหยูก็เดินประคองเอวที่บาดเจ็บเดินไปหาถูซินเยว่ เมื่อเห็นสีหน้าเฉื่อยชาที่ไร้ความรู้สึกของถูซินเยว่ นางหยูก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความเห็นใจ "เด็กน้อย เจ้ากลัวหรือเปล่า"ถูซินเยว่เป็นแค่คนสติไม่ดี การแต่งงานผิดฝาผิดตัวที่เกิดขึ้นเมื่อวาน จริง ๆแล้วก็ไม่ส่งผลอะไรต่อนางมากนัก"ข้าไม่เป็นไร" ถูซินเยว่ส่ายหัว สายตามั่นคงชัดเจน มองดูนางหยูร่างกายผอมบางที่อยู่ตรงหน้า จู่ ๆ เธอก็นึกถึงชายหนุ่มที่ถือร่มอยู่หน้าประตูบ้านตระกูลถูเมื่อวาน ด้วยเหตุผลบางอย่าง จู่ ๆ เธอรู้สึกคุ้นหน้านางหยูขึ้นมาเมื่อเทียบกับซูเฟิงอี๋แล้ว นางหยูดูน่าถูกชะตากว่ามากเมื่อนางหยูเห็นว่าถูซินเยว่สามารถพูดกับเธอได้อย่างชัดเจน ความประหลาดใจก็ปรากฏขึ้นบนดวงตาของเธอไม่ใช่ว่าหลานสาวคนโตของตระกูลถูเป็นหญิงสติไม่ดีหรอกหรือ ทำไมถึงเข้าใจสิ่งที่นางพูดได้ล่ะกำลังจะเอ่ยปากถาม นางก็ได้ยินเสียงสาปแช่งของแม่นางเฉินผู้เป็นแม่สามีดังมาจากห้องด้านข้าง "นี่บ้านลูกชายรองน่ะ ทำอะไรกันอยู่ ยังไม่รีบทำอาหารเช้าอีก อยากให้ทั้งบ้านอดตายกันหมดหรือไง?”นางหยูได้ยินเสียงบ่นด่า ใบหน้าแสดงความหวาดหวั่น กระวีกระว
ถูซินเยว่ลูบท้องแล้วมองไปที่โต๊ะ บนโต๊ะไม้เก่ามีชามวางอยู่สองใบ ในชามเต็มไปด้วยโจ๊กผักกาด และมีเศษไข่ตีแตกลอยอยู่ข้างบน ดวงตาของเธอเป็นประกาย เลียแผลบที่มุมปากอย่างไม่รู้ตัวนางหยูยิ้ม "ซินเยว่ ไม่ต้องเกรงใจ เจ้าก็นั่งลงกินด้วยกันเถอะ"ดวงตาของถูซินเยว่เป็นประกายขึ้นอีกครั้ง มองดูนางหยูด้วยความซาบซึ้ง คิดไม่ถึงว่านางหยูที่ดูขี้ระแวดระวังจะมีจิตใจดีงามเช่นนี้ที่ตระเตรียมอาหารไว้ให้เธอด้วย เธอรีบหยิบชามขึ้นมา เนื่องจากมีซูจื่อหังอยู่ข้าง ๆ เธอจึงเคลื่อนไหวด้วยความสงบเสงี่ยมกว่าเดิมมากนางหยูเห็นว่าเธอเป็นคนสติไม่ดี จึงไม่ได้คำนึงถึงถูซินเยว่ขณะที่พูดคุยกับซูจื่อหัง เธอเช็ดมือด้วยผ้ากันเปื้อนมันเยิ้ม ใบหน้าเศร้าหมอง "จื่อหัง อย่าหาว่าแม่พูดมากเลยนะ แต่แม่ว่าเรื่องแต่งงานระหว่างเจ้ากับหมิงซวนคงเป็นไปไม่ได้แล้ว หมิงซวนพักอยู่บ้านตระกูลเหลียงแล้วทั้งคืน ยังไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรบ้าง ซินเยว่ในสภาพนี้ ตระกูลเหลียงเองก็รังเกียจมานาน ได้ตัวหมิงซวนไปดูท่าว่าก็คงกำลังดีใจกันอยู่ มีแต่เจ้านี่แหละที่น่าสงสาร..."ถูซินเยว่หูผึ่งซูจื่อหังเงยหน้าขึ้นสีหน้าเรียบเฉย "ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ลูกไม่
ทุกคนต่างคิดว่านางหยูเจ็บเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าการล้มครั้งนี้จะเป็นการเจ็บหนักเมื่อซูจื่อหังอุ้มนางหยูเดินขึ้นมา ด้านหลังศีรษะของนางหยูถูกก้อนหินกระแทกแตกเห็นเป็นโพรง เลือดไหลพุ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิต แขนของนางก็ถูกไม้แหลมแทง น่าสยดสยองยิ่งนักไม่มีสิ่งใดจะเล็ดลอดสายตาคนในหมู่บ้านไปได้ เรื่องที่นางหยูหกล้มกระจายไปทั่วหมู่บ้านในชั่วพริมตาเดียวหน้าบ้านของตระกูลซูเต็มไปด้วยฝูงชนที่แห่มามุงดู เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านทราบเรื่อง ก็ได้ไปตามหมอหลี่จากท้ายหมู่บ้านมา"กรุณาหลีกทางด้วย หลีกทางด้วย" ผู้นำหมู่บ้านตะโกนเสียงดัง ฝูงชนก็แบ่งออกเป็นสองฝั่งราวกับกระแสน้ำแยกเขาเดินก้าวยาวเข้าไปในลานบ้าน ซูจื่อหังรีบวิ่งพรวดออกมาจากห้องพร้อมกับทำมือคำนับ "ขอบคุณท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ท่านหมอหลี่รีบเข้าไปเถอะ ท่านแม่ข้า...."อาการของนางหยูหนักเอาการ เลือดที่ไหลบนหัวของนางหยุดแล้ว แต่แขนขวาของนางยังมีเลือดไหลริน ดูท่าแล้วอาจจะใช้การไม่ได้อีกหัวหน้าหมู่บ้านรู้ว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน ก็ไม่ได้ทักทายอะไรมากนักกับตระกูลซู รีบพาหมอหลี่เข้าไปข้างในโดยเร็วภายในห้องเล็ก ๆ นางหยูนอนอยู่บนเตียงไม่รู