“สตรีเช่นนางจะชอบปิ่นไม้แสนธรรมดาหรือไม่” เขาเอ่ยขึ้นและคนของชายหนุ่มล้วนต่างอมยิ้ม “องค์ชาย หากเป็นสตรีคนอื่นย่อมต้องสนใจ ไข่มุก หยก หรือเครื่องทอง แต่ปิ่นไม้นี้สำหรับหญิงใบ้ ข้าคิดว่าเหมาะสมกับนาง” “ฮึ ๆ เจ้ากำลังด้อยค่านางหรือ” เมิ่งถูถลึงตาใส่คนสนิทของตน “มิได้องค์ชาย ข้าเพียงแต่คิดว่านางคือสตรีที่จะส่งเสริมของไร้ค่าให้มีราคาเสียยิ่งกว่าเครื่องประดับใด ๆ ของฮองเฮาต้าเหอเสียด้วยซ้ำ” “ฮ่า ๆ ๆ เจ้าเอ่ยเหมือนรู้จักนาง” เมิ่งถูว่าอย่างอารมณ์ดี “ข้าเพียงแต่มองเห็นความสุขขององค์ชาย หลายปีที่ผ่านมาน้อยนักที่จะพบรอยยิ้มและแววตาอ่อนโยนเช่นนี้” คนสนิทของเขาเอ่ย “ฮึ กล่าวเหลวไหลอันใด พวกเจ้าทั้งหมดยังเคารพข้าหรือไม่” องค์ชายหนุ่มแกล้งทำเสียงขึงขัง แต่ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มราวกับหนุ่มน้อยที่ตกอยู่ในห้วงรัก “ข้าจะทำปิ่นไม้ให้มู่หลัน... และหวังว่านางจะรับมันไว้ด้วยความเต็มใจ” เมิ่งถูเอ่ยจบจึงตัดเอากิ่งไม้ยาวราว ๆ ครึ่งศอกใส่ไว้ในอกเสื้อตน ยามนั้นหัวใจเมิ่งถูเต้นไหว
ไร้ทางเลือก เวลาในคืนนั้นยาวนานอยู่สักหน่อย และหญิงใบ้ไม่อาจข่มตาหลับ นางพลิกตัวไปมาพลางคอยมองไปรอบ ๆ ตัว ภายในถ้ำที่นางนอนอยู่กับสตรีอีกสองคน ส่วนเมิ่งถูแยกไปนอนที่อื่น กระทั่งเช้ามืด อวิ๋นมู่หลันรีบลุกขึ้น นางบอกคนของเมิ่งถูว่าจะช่วยทำอาหาร ด้วยมีทั้งกระต่ายที่เสี่ยวเฮยคาบมาให้ หน่อไม้กับมันสีม่วงรสหวานและหอม นอกจากนั้นนางยังได้นางฟ้าเต้าหู้ (ใบเฉาก๊วยเขียว/ของไทยคล้ายใบหมาน้อยนำมาทำวุ้นเขียว) มาจำนวนหนึ่งด้วย จึงตั้งใจทำเป็นอาหารรสชาติจัดจ้าน เปรี้ยว เผ็ด เพราะคนของเมิ่งถูเก็บพริกป่า มะเขือสด ทั้งยังมีผลไม้เปรี้ยวกับองุ่นมาเพิ่ม อวิ๋นมู่หลันปรุงอาหารง่าย ๆ คือผัดกระต่ายกับสมุนไพรที่หาได้ในป่า ส่วนมันม่วงนางเผาไฟจนสุกกำลังดี ทว่ามีสิ่งที่นางคิดจะใส่ในอาหารที่ทำขึ้นนั่นก็คือเห็ดเหลือง และอีกอย่างที่นางพบเมื่อตอนเดินไปล้างหน้า มันคือยอดอ่อนของใบชา ซึ่งอยากชงให้พวกเขาได้กินด้วยสองสิ่งนี้เมื่อรวมกันจะช่วยขับพิษได้ ขณะที่กำลังเพลินใจในการทำอาหารนางก็ย้อนนึกถึงคำพูดของกวนเฉินหลาง “หญิงใบ้... หัวใจของเจ้า
หลังม่านน้ำตก! ปิ่นไม้สีดำที่แกะเป็นรูปดอกมู่หลันปักอยู่ที่ผมอวิ๋นมู่หลัน ด้วยไม่มีกระจกทองเหลืองนางจึงไม่รู้ว่าเหมาะกับตนเองหรือไม่ ทว่าจากสายตาของเมิ่งถู นางคาดเดาได้ว่าสตรีที่มีโลหิตทมิฬคงเป็นที่พึงใจแก่เขาอยู่บ้าง “เมื่อเป็นมิตรสหายผู้หนึ่ง... คงไม่รังเกียจที่จะรับปิ่นไม้นี้ไว้” อวิ๋นมู่หลันส่ายหน้าช้า ๆ น้ำตาเหมือนจะไหลคลอหน่วยอีกหน ‘มิได้ ข้าเพียงแต่ ระลึกถึงความหลัง ยามอยู่กับบิดาและพี่ใหญ่ พวกเขาดีต่อข้ายิ่งนัก’ “มู่หลัน เจ้านับว่าโชคดีที่ยังมีคนรออยู่ จงอย่าทำให้ใครผิดหวัง ครอบครัวสำคัญเหนือสิ่งใด” เมิ่งถูเอ่ยจบเขาก็โน้มตัวมาใกล้ ๆ หญิงใบ้ เป็นตอนนั้นที่นางกับเขาต่างได้ยินเสียงหัวใจของกันและกัน ด้วยมีแรงปรารถนามากล้น และเขาคิดว่าหากไม่กระทำตอนนี้ เมิ่งถูไม่อาจรู้ได้ว่าภายภาคหน้าเขาจะมีโอกาสหรือไม่ ริมฝีปากหยักสวยจุมพิตที่หน้าผากของนาง ทั้งอ่อนหวานและมากด้วยความห่วงใยล้ำลึก ‘อ๊ะ... องค์ชาย... ทะ… ท่าน’ “ข้าย่อมรู้ ชายหญิงมิควรใกล้ชิด แต่เราเป็นสหายกัน ไยต้องใส่
บุรุษทั้งสองล้วนอยู่ในกำมือข้า สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความตื่นตะลึงให้ทั้งกวนเฉินหลางและเมิ่งถู ซึ่งพอองค์ชายขยับตัวปลายแหลมของมีดสั้นก็ทำให้เขาเจ็บแปลบ เพราะมันสร้างบาดแผลตรงลำคอเขา จากนั้นก็มีเลือดไหลซึม แน่นอนหญิงใบ้ไม่ใช่แค่ข่มขู่ หากแต่นางกระทำเรื่องดังกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญโดยใช้เมิ่งถูเป็นตัวประกัน! ดวงตาคมกริบของกวนเฉินหลางมองอวิ๋นมู่หลัน เขาจดจ้องราวกับอยากประเมินความต้องการนาง ยามนั้นกวนเฉินหลางแทบไม่เชื่อภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะเคยเห็นนางปลิดชีพซ่งเถียนทหารชั่วเลี้ยงสุนัขมาแล้ว หญิงใบ้เป็นสตรีที่เขายากจะคาดเดาความคิดนางได้!ยามนั้นมือเรียวสวยที่จับมีดสั้นไม่ได้สั่น ดวงตากลมโตจ้องตอบโต้กวนเฉินหลาง แสดงให้เขาเห็นว่าหากก้าวเข้ามาใกล้อีกนิดเมิ่งถูสิ้นลมหายใจเป็นแน่ กวนเฉินหลางถอนลมหายใจร้อน ๆ ก่อนส่ายหน้าช้า ๆ เขาพยายามใจเย็น เมื่อเห็นว่าหญิงใบ้กำลังสู้อย่างคนเบาปัญญา “หญิงใบ้ สติเจ้ายังดีหรือไม่ อยากตายพร้อมกับมันหรือ” อวิ๋นมู่หลันส่ายหน้าช้า ๆ กวนเฉินหลางประเมินนางต่ำเสียทุ
ฝ่ายโจวจื่อเว่ยรู้ว่ายามนี้เขาเครียดหนักกว่าครั้งไหน ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ หลังจากส่งจดหมายผ่านนกพิราบสื่อสารเขามั่นใจว่าค่ายกลปรมาจารย์จางมีทางออกหลายทาง แต่เขาเลือกด้านที่เป็นป่าไผ่ ด้วยมีหน้าผาสูงและจุดเชื่อมต่อกับแผ่นดินของหนานหยาง ดังนั้นโจวจื่อเว่ยจึงมาดักรอแม่ทัพหนุ่มที่นี่พร้อมทหารฝีมือดีและเตรียมช่วยเหลือกวนเฉินหลางเพื่อนำเมิ่งถูและเชลยที่รอดชีวิตกลับค่ายทหาร แต่ไม่นึกว่าเหนี่ยวซีกังจะโผล่มาและทำให้ทุกอย่างเสียแผน “ข้าบอกท่านแล้วอย่าวู่วาม” โจวจื่อเว่ยต่อว่าเหนี่ยวซีกัง แต่อีกฝ่ายเพียงแค่ยักไหล่ ด้วยกุนซือระดับสี่มีความสามารถใดมาขัดขวางเขา และหลังจากไปส่งเหล่าขุนนางและองค์ชายต่างสกุลที่เมืองหลวงเรียบร้อย เหนี่ยวซีกังรีบรุดหน้ากลับมาค่ายหทาร เมื่อรู้ว่าโจวจื่อเว่ยออกมาข้างนอกจึงติดตามอย่างเร่งด่วน “วู่วามอันใด ข้าไม่อยากเสียเวลาต่างหาก เมิ่งถูมีค่าหัวสูงจะให้ผู้อื่นจับเป็นตัวประกันได้หรือ” เอ่ยจบเหนี่ยวซีกังจึงเล็งธนูไปที่ร่าง อวิ๋นมู่หลัน เขาจงใจฆ่านางให้ตายจากนั้นจะได้พาเมิ่งถูกลับเมืองหลวง เมื่อทำเช่นนี้ก็ร
หลางจึงเพลี่ยงพล้ำ กระนั้นเขาก็ถีบพื้นพาหญิงใบ้ขึ้นที่สูง ดาบในมือกวัดแกว่งไม่หยุด ทว่าหากใช้กำลังมากเข้าเขากลับพ่นเลือดกองใหญ่ออกมา ด้วยฝ่ามือเมิ่งถูก่อนหน้านี้ข่มธาตุในร่างกายเขา หากใช้กำลังเกินไปเลยส่งผลร้าย ขณะที่ปัดป้องอาวุธลับของเหนี่ยวซีกังเขาเลยไม่ทันระวังจินฉานอสูรที่มุ่งร้ายตน มันหมายมั่นปล่อยเหล็กในใส่เขา แต่อวิ๋นมู่หลัน กลับใช้ร่างนางขวางไว้! แต่เดิมจินฉานมีจิตมุ่งร้ายต่อคนที่เจ้าของออกคำสั่ง การที่มันปล่อยเหล็กในใส่อวิ๋นมู่หลันไม่ใช่เพราะทำงานผิดพลาด หากเป็นเพราะกวนเฉินหลางกับอวิ๋นมู่หลันมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน อีกทั้งนางยังเคยกัดฝ่ามือเขา เลือดชายหนุ่มบางส่วนอยู่ในร่างกายนาง และเขาใช้เลือดของตนทาที่โลหิตทมิฬด้วย ดังนั้นคนทั้งสองจึงเหมือนมีจิตวิญญาณเดียวกัน จินฉานจึงไม่อาจปล่อยผู้ใดผู้หนึ่งให้รอดเมิ่งถูเห็นภาพดังกล่าวหัวใจพลันหดเกร็ง เขาเรียกจินฉานกลับ คืน ทว่ามันกลับถูกดาบยาวในมือของกวนเฉินหลางฟันขาดเป็นสองท่อน แต่แทนที่มันจะตายกลับกลายเป็นว่าในร่างดังกล่าวยังมีจินฉานอีกตัวและมันบินหลบหนีไป! จากนั้นองค์ชายหนุ่มคิดจะเข้าไปช่วยอว
“แม่ทัพกวน... ท่านเป็นหนี้ชีวิตข้าอีกครั้งแล้ว!” นั่นคือเสียงของนาง มันเกิดขึ้นเพราะพิษจินฉานกระจายตัวทั่วร่าง และข่มพิษเดิมที่นางเคยได้รับลง เสียงนั้นหวานไพเราะหากแต่หนักแน่น ทั้งยังดังย้ำย้อนในหัวพร้อมรอยยิ้มของผู้มีชัยชนะเหนือเขา “หญิงใบ้ เจ้าอย่าหวังว่าจะจากข้าไปได้ ลมหายใจ ทั้งร่างกายและวิญญาณนี้ ล้วนตกอยู่ในกำมือข้า หากข้าสั่งให้เจ้าอยู่ เจ้าก็ต้องอยู่มิอาจหลบหนีไปที่ใด” ชายหนุ่มย้อนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในป่าไผ่ พอเขาเอื้อมมือไปสัมผัสมือเรียวสวยก็สะท้านไปทั้งใจ ร่างอวิ๋นมู่หลันเย็นจัดมิต่างจากแช่อยู่ในถ้ำน้ำแข็ง “ข้าจะดูดพิษออกจากร่างนาง พวกเจ้าเตรียมเข็มเงิน สมุนไพรสิบชนิดกับโสม แล้วต้มน้ำแกงสำหรับเพิ่มธาตุหยางในร่างกายข้า” “ท่านแม่ทัพ นั่นเป็นการรักษาของชาวหนานหยาง” โจวจื่อเว่ยก้าวเข้ามาในกระโจมอีกคน และเขาร้อนใจจนแทบยืนอยู่ไม่เป็นสุข “จินฉานเป็นของหนานหยาง หากไม่ใช่วิธีนี้ เจ้ายังคิดว่าอา หลันจะมีชีวิตรอดหรือ” สิ่งที่โจวจื่อเว่ยตกใจอย่างที่สุดยามนี้กลับไม่ใช่ความตั้งใจของกวน
หนึ่งปีก่อน เมิ่งถูตัวร้อนเพราะพิษไข้ สาเหตุเกิดจากเขาถูกจินฉานอสูรกัด ถึงปกป้องตนด้วยถุงมือทองคำ แต่สัตว์ที่เขาเลี้ยงยากจะควบคุมได้ มันมีจิตใจเป็นของตน ทั้งยังดื่มกินเลือดของสัตว์พิษอื่น ๆ รวมถึงเลือดเมิ่งถู เขานอนป่วยมาเกือบครึ่งเดือนนับแต่หลบออกจากหนานหยางแผ่นดินซึ่งลุกเป็นไฟ ก่อนจะเหลือเพียงซากปรักหักพังและคราบน้ำตา หนานหยางถูกสองแคว้นร่วมมือกันที่จะยึดเอาไปเป็นของตน บิดาเขาสู้อย่างกล้าหาญ สุดท้ายก็สิ้นลมหายใจพร้อมเหล่าทหารนับหมื่นชีวิต ส่วนพี่น้องคนอื่นต่างสูญหายไปคนละทิศละทาง จนป่านนี้ยังตามข่าวไม่ได้ ส่วนเขาได้รับการช่วยเหลือจากราชครูโต้ว ซึ่งพาเขาไปพักใกล้ ๆ เมืองซ่ง และนั่นจึงทำให้เขาเริ่มรวบรวมกำลังชาวหนานหยางจนมีช่องทางที่พอมองเห็นว่าการสร้างแผ่นดินที่ล่มสลายไปให้คืนกลับคงไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป บิดาเขามีกองทัพทหารฝีมือดี เป็นหน่วยลับถูกฝึกไว้เกือบสามหมื่นนาย รอเพียงเขาหาป้ายคำสั่งพบก็จะใช้งานได้ รวมถึงกลุ่มนักพรตและชาวเผ่านอกด่านซึ่งรวมจำนวนทั้งหมด เขามีกองทัพขนาดย่อมเกือบห้าหมื่นชีวิต เพียงแต่ว่าเขาต้องสร้างตนให้เ
หยวนจื่อบอกให้คนของตนเตรียมส่งคนเข้ามาตรวจร่างกายของเถียนลู่ฟาง นี่คือสิ่งที่จะเชื่อมโยงกับหลักฐานที่นางให้คนไปจัดฉากไว้ ทั้งเสื้อผ้าบุรุษ และพยานบุคคลที่บอกว่าเห็นผู้ชายออกจากห้องหอเรือนของหนันเฉินเทียน ทั้งที่อีกฝ่ายพักในเรือนหลักไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเถียนลู่ฟางเนื่องจากการแต่งครั้งนี้เป็นเพียงการแก้เคล็ด “การแต่งงานของเจ้ากับเทียนเอ๋อร์ ล้วนเป็นพิธีซึ่งทำเพื่อเสริมดวงให้เขา และสิ่งสำคัญที่ข้าอยากรู้ เจ้ายังเป็นสตรีที่บริสุทธิ์หรือไม่” หยวนจื่อโพล่งขึ้น “แล้ว หนันฮูหยินต้องการทำเช่นไรกัน ข้าแต่งเข้าบ้านท่านแล้ว ใยต้องทนให้ผู้อื่นเหยียดหยาม” เถียนลู่ฟางส่งเสียงดัง และนางไม่พอใจเป็นอย่างมากให้ยามนี้ “เพียงแต่ตรวจร่างกาย หากยังไม่พบร่องรอยถูกข่มเหง ข้าก็ยินดีให้เจ้าอยู่ในเรือนต่อไป” หยวนจื่อกล่าว “ฮึ อย่างไรข้าก็เป็นฮูหยินผู้หนึ่งของสกุลหนัน และได้เข้าหอแล้ว เรื่องนี้ให้คนเป็นสามีตรวจสอบจะไม่ดีกว่าหรือ” หยวนจื่อหัวเราะเสียงดังทีเดียว และเอ่ยอย่างหยามหมิ่นเถียนลู่ฟาง “เจ้ายังมีสติดีหรือไม่ แน่นอนเจ้าเข้าหอกับเทียนเอ๋อร์ แต่นั่นเป็นเพ
เถียนลู่ฟางทั้งโมโห ทั้งฉุนเฉียว แต่แรกนางมั่นใจว่าคงเข้ามาที่หอบรรพชนเพียงสองสามชั่วยาม แต่ตอนนี้เกือบสามวันแล้วที่ถูกกักบริเวณ แต่หากกล่าวให้ถูกต้อง นางถูกขังเสียมากกว่า กระนั้นหนันฮูหยินยังมีความเมตตาอยู่บ้าง ด้วยมีข้าวสวยกับน่องไก่ส่งมาให้ทางช่องเล็กๆ เพียงวันละหนึ่งครั้ง ภายในหอบรรพชนนี้อากาศเย็น ไม่ร้อน ทว่าบรรยากาศชวนให้นางหวาดกลัวมิน้อย ตกกลางคืนมีเสียงสุนัข และเงาแมวดำวิ่งไปมา แม้ไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่เถียนลู่ฟาง ทั้งเครียด และยากควบคุมตนไม่ให้คิดมากไม่ได้ เมื่ออยากออกไปข้างนอก เสียงของคนที่ยืนเฝ้าประตูก็ตอบว่า หากไม่มีคำสั่งหยวนจื่อ ให้ไฟไหม้หอบรรพชน เถียนลู่ฟางก็มิอาจก้าวออกไป “มารดาคนสกุลหนันเถิด... ข้าเป็นถึงฮูหยินห้า ไป ไปเชิญสามีข้า มารับกลับเรือนเดี๋ยวนี้” เถียนลู่ฟางร้องโวยวายอย่างคนขาดสติอยู่นานทีเดียว กระทั่งมีกลิ่นธูปหอมจัดลอยเข้าจมูก นางเลยผ่อนคลายลงก่อนจะค่อยๆ หมดสติไป กระทั่งนางรู้สึกว่าลำคอแห้งผาก ทั้งยังวิงเวียนศีรษะมาก ไป๋รั่วรั่วจึงเข้ามาด้านใน พร้อมกาน้ำชา “ฮูหยินห้า...” อีกฝ่ายเรียกนาง แล
หญิงสาวขยับร่างกายบนฟูกหนาหนุ่ม และยามนี้ละอายใจยิ่งนัก เนื้อตัวก็ปวดเมื่อยไปหมด พออยากขยับร่างกาย ก็รู้สึกว่าร้าวไปทั้งร่าง นางตกเป็นของหนันจิ้งโหย่ว...แน่นอน เขาไม่ใช่สามีที่นางแต่งเข้าสกุลหนัน “ท่านย่ำยีข้า หญิงสาวไม่ได้โวยวาย แต่เอ่ยอย่างเจ็บปวด” หนันจิ้งโหย่วมองนาง มองแล้วอมยิ้ม ไม่ได้ยั่วล้อ แต่มองอย่างชัดเจนว่าพึงใจที่ตนได้ร่วมรักกันอย่างสุดเหวี่ยงกับสตรีผู้นี้ “ข้าเคยบอกแล้ว เจ้าเป็นภรรยาข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น ส่วนเสี่ยวเทียน ให้เขาเป็นน้องสามีจึงจะถูกต้องที่สุด มิอย่างนั้น เจ้าคงเป็นสตรีประหลาด ที่อยากให้เด็กน้อย ใช้มือ และลิ้นเล็กๆกับกลีบบุปผาหวานฉ่ำนั่น” ชายหนุ่มกล่าวจบประโยค นางก็ตบใบหน้าเขาไปเต็มแรง “สตรีแซ่เถียน บอกรักผู้อื่นเช่นนี้หรือ” “ทะ ท่านทำให้ข้าอับอาย จากนี้ ข้าจะสู้หน้าผู้อื่นได้อย่างไร” “หมายความถึง!” “ข้าเป็นสะใภ้เล็กคุณชายห้า หากทำเรื่องผิดศีลธรรม มิแคล้วต้องถูกลงโทษสถานหนักหรอกหรือ” “เสี่ยงฟาง หากเจ้าไม่พูด ข้าไม่พูดแล้วใครจะรู้ว่า เราเป็นผัวเมียกัน” หญิงสาวเหลืออดแล้
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร มันเป็นเรื่องบังเอิญที่สุดวิสัย หาไม่แล้วก็เพราะโชคชะตาลิขิตไว้เช่นนั้นเอ ว่าแต่ หนันจิ้งโหย่วผู้นี้ เหตุใด ยิ่งมองหน้าเขา นางก็คุ้นเคยอย่างประหลาดเขาเป็นชายชั่วช้าจริงๆ หรือว่า เป็นนางที่ติดค้างบางอย่างต่อเขา จนเขามาไล่คิดดอกเบี้ยราคาสูงลิบกับนาง กล่าวถึงฝ่ายสกุลหนัน มีอิทธิพลทางด้านการค้าและยังเป็นสกุลขุนนางบู๊อีกด้วยและเป็นใต้เท้าหนันผู้ล่วงลับหาใช่คนที่ใครจะกล้าต่อกรด้วย เขาไม่ขาว และก็ไม่เป็นสีเทา กระนั้นกล่าวได้ว่า มือเขาเปื้อนเลือดไม่น้อยและยังมีลูกชายที่ไม่ได้เรื่องกับอดีตฮูหยินที่ล่วงลับผู้หนึ่ง ฝ่ายนั้นก็คือหนันจิ้งโหย่ว แต่เดิมหลังจากมารดาเสียชีวิต เขาก็ออกท่องยุทธภพ รับใช้ทางการบ้างเป็นครั้งคราว โดยตำแหน่งของเขาสูงถึงเป็นแมวหลวงฮ่องเต้ คอยทำงานสืบสวนลับๆ เกี่ยวกับคนในราชวงศ์ รวมถึงขุนนางกังฉิน และสืบข่าวต่างแคว้น ป้องกันการก่อกบฏ สุดท้ายเขาหายสาบสูญไป ซึ่งเชื่อกันว่า เขาถูกคนฝ่ายกฎบลอบสังหาร เนื่องจากสืบข่าวลับๆ หลายอย่างที่เป็นภัยใหญ่หลวงต่อคนกลุ่มดังกล่าว และการหายตัวไปของเขา ได้เข้าทางหนันฮูหยิน นางใช้เรื่องนี้ฮุบสมบัติทั้งหมดให
บาปกรรม บาปกรรม... ลงมาจากเขา เดินทางไกลหลายร้อยลี้เพื่อหวังได้เงินสามร้อยตำลึงเปิดเหลาไว้ให้ชาวยุทธ์มาลิ้มรสชาติอาหาร โดยการเข้าไปเป็น สะใภ้สกุลหนันสักสามสี่เดือน จากนั้นนางก็จะใช้เล่ห์กลรีดไถเงินเพิ่มอีกสักหน่อย ก่อนหายสาบสูญไปจากสกุลหนันที่เป็นพวกหน้าซื่อใจคด ทั้งยังงมงาย เรื่องไสยศาสตร์ มีความเชื่อเกี่ยวกับการทำนายโชคชะตา จนเป็นเหตุให้เกิดงานแต่งของเด็กชายวัยแปดขวบ กับเจ้าสาวสุดสวยสกุลเถียน หากไม่ใช่เถียนหลิงหลิงโฉมงามแสนบอบบาง หากเป็นเถียนลู่ฟาง ผู้ที่เก่งกล้า แต่ก็นั่นแหละ สุดท้ายเถียนลู่ฟาง ต้องอับอายอย่างหนัก จนอยากเอาหัวโม่งพื้นดินตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด นางหลงกลผู้ชายที่หลงเหลือเพียงป้ายวิญญาณ อีกทั้งถูกเขาข่มขู่ ให้ทำเรื่องชั่วร้าย สิ่งนั้นก็คือ เล่นบทบาทคบชู้กับวิญญาณจอมปลอม พร้อมกับเปิดโปงความชั่วร้ายของหนันฮูหยิน และหากนางขัดขืน จะต้องรับโทษอันใด คำพูดอีกฝ่ายย้อนเข้ามาในหัว “ข้าจะลักหลับเจ้า และเรียกบุตรให้มาอยู่ในครรภ์สักสองสามคน!” วิญญาณจอมปลอมของหนันจิ้งโหย่วข่มขู่นางไว้อย่างนั้น ยามนี้ ส่วนที่นางรักษาเอาไว้เพื่อบุรุษที่คู่ควรกำ
โปรย....อ๊ะ! นางร้องเสียงหลงไฉนทวนเล็กสั้น ของเด็กน้อยผู้เป็นสามีวัยแปดขวบถึงขยายใหญ่ได้เพียงนี้แล้วลิ้นสากร้อนนั้นก็เช่นกัน ประหนึ่งมีดสั้นที่จ้วงแทงทั้งปากบน ปากล่างของนางจนซาบซ่านยากจะอดกลั้นเสียงครวญครางได้บัดซบ! เข้าหอคืนแรก นางคงมิแคล้วคงขาดใจตายด้วยมีดสั้นอันพลิ้วไหว ทั้งจั๊กจี้และสากร้อนนี้!แนะนำเรื่อง นางขึ้นเกี้ยวเพื่อแต่งงานกับเด็กแปดขวบ เพื่อหวังขโมยของล้ำค่าในสกุลสามี แต่ไฉนจึงหลงกลวิญญาณจอมปลอมของพี่สามี กระทั่งถูกตบตีด้วยมีดสั้น และทวนทอง อย่างเร้าร้อนซาบซ่านสยิวใจ “อ๊ะ! นางร้องเสียงหลง เหตุใด ทวนเล็กสั้นของเด็กน้อยผู้เป็นสามีวัยแปดขวบถึงขยายใหญ่ได้เพียงนี้ แล้วลิ้นสากร้อนก็เช่นกัน ประหนึ่งมีดสั้นที่จ้วงแทงทั้งปากบน ปากล่างของนางให้ซาบซ่านยากจะอดกลั้นเสียงครวญครางได้ บัดซบ! เข้าหอคืนแรก นางคงมิแคล้วคงขาดใจตาย ด้วยมีดสั้นอันพลิ้วไหว ที่แสนจั๊กจี้และสากร้อนนี้ ! กระนั้น เถียนลู่ฟางก็มิใช่คนเบาปัญญา ในเมื่อเจ้าบ่าวนางเยาว์วัย เขาคงมิอาจพานางขึ้นสวรรค์ได้ แน่แล้ว คนผู้นี้ ย่อมเป็นหนันจิ้งโหย่ว บุรุษที่หลอกลวงผู้อื่น และเหลือเพียงป้าย
ระหว่างการเดินทางไปเยี่ยมพ่อตา หรือแม้แต่ไปเมืองหลวงเพื่อรายงานสิ่งต่าง ๆ กวนเฉินหลางอาศัยในรถม้ากับอวิ๋นมู่หลัน แทนการขี่ม้า และบ่อยครั้งที่เขาจะบอกให้รถม้าเคลื่อนตัวช้า ๆ มิหนำซ้ำชายหนุ่มยังหิวบ่อย ของที่เขาต้องการกินล้วนเป็นอาหารของเด็ก ๆ กับผลไม้รสหวานจัด “ถังหูลู่ข้าเบื่อแล้ว ขอเป็นน้ำตาลปั้น แล้วก็พุทราเชื่อม” เขาตะโกนบอกหลิวตงที่อยู่ด้านนอก พออีกฝ่ายเตรียมกลับเข้าไปในตลาดที่เพิ่งผ่านมาเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน กวนเฉินหลางก็ตะโกนขึ้นว่า “กลับรถม้า ข้าอยากได้ขนมเปี๊ยะแล้วก็ลูกอมบ๊วย หากไม่เลือกด้วยตัวเองไฉนจะถูกใจ!” อวิ๋นมู่หลันหัวเราะจนได้ นางเห็นสายตาสามีเมื่อเขาพูดถึงของหวานก็น่าชมและชวนให้หมั่นไส้ “เหตุใดฮูหยินถึงมองข้าเช่นนั้น” “ข้าอดดีใจไม่ได้ที่ท่านพี่เจริญอาหาร ทั้งยังชวนผู้อื่นกินไม่หยุดปาก หากเราไปถึงเมืองหลวง คงต้องตัดชุดใหม่ให้มากสักหน่อย ดูแล้วยามนี้ท่านพี่คงอึดอัดมิน้อย” “เอ ฮูหยินหมายความเยี่ยงไร” กวนเฉินหลางถาม มือข้างหนึ่งเอื้อมไปหยิบมะยมเชื่อมโรยน้ำตาลเข้าปาก “ก็... ตั้งแต่ออกจ
อวิ๋นมู่หลันนึกเสียดายเหลือเกิน ในขณะกวนเฉินหลางถูกเมิ่งถูจับตัวไว้หลังจากเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากปูม่วงก้ามหนาม เขาควรได้ รับการลงโทษให้หนักกว่านี้ และจะดีมากหากฝ่ายนั้นสามารถทำให้บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของนางตายด้าน ไม่ต้องมีพละกำลังล้นเหลือยามขึ้นเตียง “อา... ฮูหยิน ห่างกันหนึ่งปีเต็ม เหมือนข้าได้พบดรุณีน้อย แสนบริสุทธิ์ เจ้างามหมดจดทุกส่วน ผิวเนียนนุ่ม จุดหวานล้ำก็เป็นสีชมพู!” คำชื่นชมเขาแปลกประหลาดอยู่สักหน่อย และอวิ๋นมู่หลันขัดเขินจนหน้าแดงระเรื่อ มือไม้นางอ่อนไปหมด และสามีนางเป็นแมวหรอกหรือ ไฉนเดี๋ยวใช้ลิ้นสาก ๆ โลมเลียกลีบฉ่ำหวาน สลับการส่งแรงดูดล้ำลึก จนนางดิ้นพล่านอย่างเผลอไผล ลิ้นของเขาช่ำชอง และดูเหมือนคลั่งรักนางหนักจนชวนให้ตื่นตระหนก! ส่วนมือใหญ่ ๆ นั้นนวดเฟ้นหน้าอกอวบสวยที่เด้งไหวรองรับสัมผัสที่ซ่านสยิว กวนเฉินหลางมีนิ้วมือยอดเยี่ยม ทั้งยังลงแรงสม่ำเสมอพลอยให้นางซ่านใจจนความหวานในแอ่งเนื้อนิ่มซึมเอ่อไม่หยุด “ฮูหยิน ไม่อยากลองกระทำสิ่งแปลกใหม่บางหรือ ขี่ม้าก็แล้ว ท่าสุนัขหรือให้ข้าอุ้มเจ้าก็ทำได้ยอดเยี่ยม เราจะได้ปลดปล่
อวิ๋นมู่หลันมองคนตัวโตในชุดเกราะ และมือหนึ่งนั้นอุ้มอี้เหยาเอาไว้ ท่าทางเขาเก้ ๆ กัง ๆ คงเพราะไม่เคยอุ้มเด็กมาก่อน แต่แสดงให้เห็นว่าเอ็นดูและห่วงใยลูกชายคนเล็กของนางเพียงใด ฝ่ายอี้เหยาก็ช่างรู้ความ ปกติไม่ใช่คนมักคุ้นคนแปลกหน้า แต่เด็กน้อยในยามนี้อมยิ้มอยู่น้อย ๆ ดวงตามีประกายแจ่มใส คอยมองบิดาราวกับนิยมในความสง่างามและกล้าหาญ ทั้งที่ร่างกายกวนเฉินหลางแผ่ไอเย็นออกมา ผู้ใดเห็นแล้วไฉนจะไม่ครั่นคร้าม “ท่านพี่... เหยาเอ๋อร์ คงเพลียแล้ว ส่งมาให้ข้าเถิด” นางเอ่ยพร้อมพยายามจับตัวลูกชายอีกคนให้ออกมาพบผู้เป็นบิดา แต่อี้หยางเข้าไปหลบอยู่ในกระโปรงนาง พอจะจับตัวเขาก็ร้องโวยวายสลับการข่มขู่ นิสัยเช่นนี้นาน ๆ จะเกิดขึ้น “มะ… ไม่! ขะ… ไม่ไป!” “โอ้ ฮูหยิน เด็กอีกคนนั้น เจ้ายังไม่ได้คลอดเขาออกมาหรอกหรือ” กวนเฉินหลางถามแล้วจึงหัวเราะร่วน ลูกชายคนโตของเขาดูเหมือนไม่อยากพบหน้าคนเป็นบิดา ช่างพิลึกดีแท้ “ปกติก็ร่าเริง แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด หยางเอ๋อร์ถึงหลบหน้าท่านพี่เช่นนี้” กวนเฉินหลางมองภาพตรงหน้าและชอบใจ เขามีบุตรชายสองคน ต่อไปนี้คงมีหล