ไม่ทันจะได้ตั้งตัว หอกคมกริบก็พุ่งทะลุผ่านผนังรถม้า หว่านเอ๋อร์รีบเอาร่างเข้ารับหอกนั้น สิ้นใจคาอ้อมกอดของหนิงซินในชั่วเสี้ยววินาที
“หวะ...หว่านเอ๋อร์!” ไม่ทันที่นางจะได้หลั่งน้ำตา บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะสีดำทมิฬก็กระชากประตูรถม้าออก ดึงแขนลากนางออกมาที่ขอบประตู บีบกรอบหน้าเรียวเล็กให้จ้องมองภาพการเข่นฆ่าเผาทำลาย ผู้คนแคว้นป๋ายวิ่งหนีตาย ทั้งขุนนาง ทั้งเชื้อพระวงศ์!
บุรุษชุดดำผู้นั้นบีบคางนางแรงขึ้น ถามเสียงเย็น
“ดูเสียให้เต็มตา องค์หญิงแคว้นป๋าย ที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ ล้วนเป็นความดีความชอบของเจ้าทั้งสิ้น!”
“...ข้า...ไม่...ไม่ใช่...” หนิงซินน้ำตาไหลเป็นสาย
ตอนนี้เลือดหว่านเอ๋อร์ไหลทะลักอาบหนิงซินไปจนแทบทั่วทั้งร่าง
แต่นางไม่มีแม้แต่เวลาจะใส่ใจเรื่องนั้น
ยามนี้กระทั่งเสด็จพ่อเสด็จแม่ของนางเองก็กำลังจะถูกลงดาบบั่นศีรษะ
“อย่านะ...” นางคุกเข่า เงยหน้าขึ้นสบดวงตาเหยี่ยวคู่คม สะอึกสะอื่นวิงวอน “ข้าขอโทษ...พวกท่านพูดถูกทุกอย่าง ล้วนเป็นความผิดของข้าเอง ข้าผิดเอง ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ สังหารฆ่าเถิด ปล่อยพวกเขาไป อย่าทำร้ายพวกเขา ข้าขอโทษ!” นางกรีดร้องดิ้นรน แต่ไม่ว่าจะพยายามสักเพียงใดก็ไม่อาจปลดป่อยตนเองจากมือใหญ่ๆ สากๆ ของแม่ทัพผู้นี้
“ใช่แล้ว...นั่นไม่ใช่ความฝัน...” จู่ๆ หนิงซินก็นึกขึ้นได้ ตอนนี้ความทรงจำของนางค่อยๆ ฟื้นคืน มัน...สับสนปนเปกันไปหมด
“มัน...มันไม่ใช่ความฝัน ท่านตกปากรับคำยอมเจรจาแล้ว ทั้งยัง...” นางข่มความอัปยศอดสู่ เอ่ยออกมาอย่างกล้ำกลืนฝืนทน “ทั้งยัง...ได้ชำระแค้นไปบ้างแล้ว แล้วเหตุใด...” หนิงซินน้ำตาไหลเป็นสาย ชั่วขณะนั้น ก็รู้สึกปวดท้องน้อยขึ้นมา
“เป็นอะไรไป” เขาถามเสียงขรึม
ตอนนี้นางเจ็บปวดร้าวระบมตั้งแต่บั้นเอวลงไปจนไม่อาจขยับกาย ทำได้เพียงทรุดตัวลงกองอยู่ตรงหน้าเขาเท่านั้น
จู่ๆ แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์ก็เข้ามาในรถม้า ผลักนางลงนอน กดแขนสองข้างของนางไว้ หนิงซินนัยน์ตาพร่ามัวไปชั่วขณะ เมื่อภาพแจ่มชัดขึ้นมาอีกครา เห็นอีกฝ่ายยังคงคร่อมทัพ กดแขนตนเองอยู่ ก็พยายามดิ้นรนขัดขืนทั้งที่ไร้เรี่ยวแรงจนน่าใจหาย
“...ไม่ต้องมายุ่งกับข้า...ข้า...” จู่ๆ นางก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรง อีกทั้งยังรู้สึกว่าน้ำเสียงตนเองแหบแห้งจนน่าสังเวช “...ป...ปล่อย...” นางพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีผลักเขาออก แต่ยิ่งดิ้นรนยิ่งผลักใสก็ยิ่งทั้งเจ็บและปวด ร้าวระบมในช่องท้องรวมถึงช่วงล่างมากขึ้น
จู่ๆ นางเป็นอะไรไปแล้วกันแน่...คงมิใช่ว่าแม่ทัพผู้นี้ต้องการเห็นนางทุกข์ทรมาน ค่อยๆ เน่าตายจากข้างใน แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์จึงถึงกับใช้ให้หมอผีมาสาปแช่ง กระทำเรื่องอัปมงคลลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์กระมัง?
เป็นเพราะนางเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นหรือ?
“อยู่เฉยๆ ถ้าไม่อยากให้ข้าเรียกทหารรับใช้มาช่วยกัน ‘รุม’ เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เจ้า”
คำว่าทหารรับใช้ทำให้หนิงซินได้สติ ตื่นเต็มตา
จริงสิ...ที่นี่คือค่ายพักทัพของกองทัพใหญ่เฮยเซ่อเย่ว์ นางลอบออกจากเมืองมาเพื่อขอเจรจากับชายผู้นี้ที่เลี่ยงจินอู่ เขายอมรับฟังข้อเสนอ แต่ก็พาตัวนางกลับมาด้วยในฐานะ...ตัวประกัน?
ตัวประกันเช่นนั้นรึ? วัดจากสิ่งที่ถูกกระทำ บุรุษผู้นี้คงเห็นองค์หญิงรองแคว้นป๋ายเป็นเพียงเชลยศึกมากกว่า...จึงได้...
ภาพความทรงจำอันเลวร้ายก็ถาโถมเข้ามาไม่หยุด หนิงซินน้ำตาท่วมทะลัก อาการปวดศีรษะและกระบอกนัยน์ตายิ่งกำเริบหนักจนน่ากลัวว่านางจะไม่อาจควบคุมสติสัมปชัญญะและสูญเสียดวงตา กลายเป็นหญิงบ้าตาบอดที่ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องกลายไปเป็นนางคณิกาในกองทัพที่มีไพร่พลนับแสน เมื่อคนผู้นี้ ‘ระบายความแค้นส่วนตน’ กับนางจนสาแก่ใจ
“มะ...ไม่ได้นะ...”“ข้ารับปากว่าจะไม่สังหารผู้ใดหากไม่จำเป็น”“แต่เหล่าทหารของทั้งเฮยเซ่อเย่ว์และแคว้นป๋ายก็ต้องเสียเลือดเสียเนื้อมิใช่หรือ” นางจ้องตาวิงวอนไม่ยอมแพ้อาจเพราะความกังวล มือที่ทาบทับแผงอกแกร่งพลันแข็งเกร็ง ขยับเหมือนหนึ่งจะกำ ท้องน้อยเองก็หดเกร็งเช่นกันหยางหยางสะดุ้งเล็กน้อยเพราะการกระทำนั้น ทำเอาหนิงซินสะดุ้งตาม แต่เพราะนางพยายามข่มใจไม่ให้รามือโดยง่าย มือที่ควรผละออกจึงกลายเป็นเคลื่อนไหวอยู่บนแผงอกแกร่งเหมือนหนึ่งแตะไล้หยอกเย้าจู่ๆ ส่วนที่ยังค้างคาอยู่ในกายนางส่วนนั้นก็ขยายตัวขึ้นอีกคราหนิงซินหน้าแดงจัด รู้สึกร้อนวูบไปทั้งหน้าทั้งตัว มือน้อยที่ทาบบนแผงอกกว้างยิ่งสั่นระริกไปกันใหญ่อา... นางช่าง...น่ารัก...หยางหยางพลันตื่นตัวเต็มที่อีกครั้ง ทำเอาเคร่งเครียด คิดหนัก...เมื่อครู่เพิ่งรังแกนางหนักหน่วงถึงเพียงนั้น หากลงมือซ้ำ เกรงว่าร่างกายเล็กๆ บอบบางใต้ร่างเขาอาจล้มป่วยลงอีกหน...“นะเจ้าคะ...ท่านแม่ทัพ ได้โปรด...” นางขอร้อง
เขากอดร่างนางไว้แน่น กระแทกแรงๆ อีกหลายครั้ง ก่อนดันอาวุธร้ายเข้าลึก จากนั้นบางอย่างก็ระเบิดโพลงอยู่ข้างในนั้น ทำเอาในกายนางอุ่นร้อนชุ่มแฉะไปหมดเขา...ปลดปล่อยสิ่งนั้นข้างในอีกแล้ว? หนิงซินเสียวซ่านสุดจะหาคำบรรยาย ส่วนอ่อนนุ่มกระตุกเกร็ง สองขาหนีบเข้าหากันแน่นโดยไม่รู้ตัวหยางหยางฟุบตัวลง กอดร่างนางไว้แน่น เนิ่นนานนักถึงเลื่อนมือขึ้นลูบศีรษะน้อยๆ ของนางอย่างเบามือ ก่อนเคลื่อนตัวขึ้นจูบหน้าผากทั้งที่บางส่วนยังคงค้างคากันอยู่ แล้วลูบหลังปลอบโยนอย่างแผ่วเบาสำหรับบุรุษเช่นเขาแล้ว ความสัมพันธ์ทางกายกับความรักนั้นเป็นคนละเรื่องกัน ทว่าครั้งนี้ กับองค์หญิงน้อยผู้นี้ เขากลับรู้สึกต่างออกไปเขาไม่เคยเอ็นดูใส่ใจ เฝ้าถนอมและหวงแหนผู้ใดเท่าสตรีในอ้อมกอดร่างน้อยนี้มาก่อน“เมื่อครู่...เจ็บหรือไม่” หยางหยางถามอย่างไม่มั่นใจนักตัวเขาเองก็พยายามยั้งมือ ยับยั้งชั่งใจมากแล้ว ทว่า...ช่วงสุดท้ายนั้น มันสุดจะระงับจริงๆหนิงซินได้ยินคำถามแล้วใบหน้าตึงและเห่อร้อนขึ้นทันทีนางก้มหน้างุด ซุกแผงอกแกร่ง ส่ายหน้าน้อยๆ“ท
จะไม่ให้นางตกใจได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่เข้ามาในกายนางมันทั้งใหญ่โตมโหฬาร ทั้งดุนดันหน้าท้องนางจนอึดอัดคับแน่นไปหมด!สิ่งที่ทั้งร้อนและแข็ง ทั้งใหญ่ยาวเช่นนี้ เข้ามาในกายนาง!มิน่าเล่าครั้งแรกนั่นนางถึงได้...หนิงซินกระถดถอยหนีโดยสัญชาตญาณ แต่เขาขยับตาม“อา...” เขาครางอย่างพึงพอใจ ก่อนจะจับร่างนางขึ้นนั่งคร่อมร่างตนเองไว้ตอนแรกว่าตกใจแล้ว ตอนนี้หนิงซินกลับตกใจยิ่งกว่านางทั้งตกใจทั้งรู้สึกอับอายจนไม่อายนั่งตัวตรงอยู่ได้ ได้แต่หมอบกายลงกอดเกาะเขาไว้แน่น“แบบนี้น่าจะดีกว่า...” เขาบอกเสียงแหบห้าวหนิงซินหูอื้อตาลาย ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไรไม่ทันจะได้ถาม หยางหยางก็ค่อยๆ จับสะโพกนางขยับยก“ฮึก...!” เพียงเขาขยับมือเล็กน้อย เลือดลมในกายนางก็พลันแล่นพล่าน ความเสียวซ่านแปลกประหลาดแล่นปลาบจากปลายเท้าขึ้นสู่ศีรษะ ทำเอาตัวสั่นงันงกเหมือนลูกนกอ่อนแอยามแรกฟักจากไข่หยางหยางเห็นท่าทางนั้นแล้วยิ่งกว่าคันยิบๆ ในหัวใจ เขาทั้งเอ็นดูทั้งอยากรังแกนาง เอาคืนที่บังอาจมายั่วยวนบุรุษเช่นตน
แม่ทัพใหญ่สบตาคู่งามแล้วไม่อาจโกหกได้เขากล่าวเนิบช้า “เสด็จพ่อของเจ้าคิดเล่นเล่ห์กับข้า”หนิงซินตกใจ“มิใช่ว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรอกหรือ ท่าน...ท่านตรวจสอบดีแล้วหรือยัง”“ไม่มีสิ่งใดต้องตรวจสอบทั้งนั้น ข้ายื่นข้อเสนอที่ดีต่อทั้งสองฝ่ายที่สุดไปแล้ว บิดาเจ้าอิดเอื้อนไม่ทำตาม เรื่องก็มีเท่านี้”“เช่นนั้น...พวกท่านจะทำสงครามกันอีกหรือ” นางถามหน้าเผือดสีไม่นะ! นางจะยอมให้เกิดเรื่องเสียเลือดเนื้อเช่นนั้นไม่ได้เป็นอันขาดหนิงซินเปลี่ยนจากจับแขนเสื้อเป็นจับแขนเขาไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใด นางก็จะต้องทำให้คนผู้นี้ให้โอกาสเสด็จพ่อของนางได้คิดอีกสักครั้ง นางไม่เชื่อหรอกว่าเสด็จพ่อของนางจะหน้ามืดตามัวจนมองไม่เห็นความเป็นจริงเช่นนั้น!ก่อนอื่น...ก่อนอื่นนางต้องรั้งเขาไว้ ทำให้เขาหยุดคิดเรื่องแต่งกำลังทหารเตรียมการรบเสียก่อน!“เมื่อครู่ท่านจะออกไปไหนอีกหรือ...อย่าไปเลยนะ”แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์ไม่เข้าใจ“ข้ารู้ว่าเสด็จพ่อทำให้ท่านและเหล่าแม่ทัพนายกองขุ่น
“ทวยเทพช่างส่งท่านมาโปรดข้าโดยแท้” หนิงซินแย้มยิ้มงดงามดั่งบุปผา ทำเอาหญิงหม้ายสกุลอวี๋ที่เข้าใจผิดไปคนละเรื่องขวยอายจนแทบตัวลอยหนิงซินที่หาได้รู้อันใดสักนิด เผลอเลื่อนมือข้างหนึ่งลงลูบท้องน้อยแม้แต่สัตว์ยังรักลูกของมัน แล้วประสาอะไรกับนาง...ใช่ว่านางไม่ต้องการลูก สำหรับนางแล้ว ไม่ว่าลูกจะถือกำเนิดขึ้นมาด้วยเหตุใด ลูกก็ย่อมเป็นลูก เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนาง...ทว่าการตั้งครรภ์กับผู้นำทัพฝ่ายศัตรูในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมมิต่างอะไรไปจากการตบหน้าราชวงศ์สกุลอิ๋ง ยังไม่นับอีกว่านางคือผู้ถือพรหมจรรย์แม้ข้อเท็จจริงจะเป็นเช่นไร นางก็ไม่ต้องการให้ผู้อื่นล่วงรู้ความจริงน่าอับอายที่ว่าองค์หญิงศักดิ์สิทธิ์แคว้นป๋ายถูกข่มเหงรังแก และ...นางมั่นใจว่าจะต้องเกิดเรื่องเช่นในคืนนั้นอีกมากกว่าหนึ่งครั้ง โดยที่นางไม่อาจห้ามปรามขัดขืนได้เลยวัดจากเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุด ยามนี้นางไม่กลัวบุรุษผู้นั้นอีกต่อไป สิ่งที่นางหวาดกลัว และทำให้กังวลเสียมากมาย ก็คือตัวนางเองพอได้รู้จักรสสัมผัสที่ชวนให้ใจสั่นและสุขสมอย่างน่าพิศวงนั้นแล้ว นางก็เปลี่ยนไป
นึกถึงสิ่งที่นางต้องประสบ หยางหยางก็ยิ่งโกรธคนเหล่านั้น ที่โกรธยิ่งกว่าคือโกรธที่ตนเองโทสะโมหะบังตาจนหน้ามืดตามัว ใจทราม ขาดสติ กระทำเรื่องหยาบช้าป่าเถื่อนเช่นนั้นลงไปราวกับไม่ใช่มนุษย์ปึง!!!เสียงทุบโต๊ะดังสนั่น ทำเอาเหล่าขุนศึกนายกองร่างใหญ่ยังอกสั่นขวัญผวาท่ามกลางความเงียบงัน แม่ทัพใหญ่เข่นเขี้ยวคำราม ออกคำสั่งเสียงเข้ม นัยน์ตาแดงก่ำเหมือนโลหิต“ส่งคนไปจับตาดูในจุดที่สำคัญ หากพบพิรุธแม้แต่น้อย ก็ไม่ต้องคิดแสดงความเมตตาเจรจาอะไรแล้ว! ระหว่างนี้ก็เฝ้าระวังค่ายพักทัพให้ดี หลายวันมานี้พักผ่อนกันพอแล้ว นับจากวันนี้เริ่มฝึกซ้อมไพร่พล เตรียมแผนการรบเผื่อเอาไว้ อย่าให้บกพร่อง!” เหล่าแม่ทัพนายกองฟังแล้ว บ้างแย้มยิ้มพยักหน้าเออออ บ้างก็ลูบหนวดเคราชอบอกชอบใจเห็นนายตนขึงขัง เอาจริงเอาจัง มีไฟในการสู้รบเช่นนี้ พวกเขาก็พลอยฮึกเหิมไปด้วยถูกแล้ว! ต้องอย่างนี้สิ จึงจะสมกับที่เป็นท่