“ขอบคุณมากนะครับคุณพยาบาล ถ้ายังไงเดี๋ยวผมกลับพี่ชายของผมจะตามไปดูเนเน่ที่บ้านของเธอและถ้าหากว่าเธอมีอาการไม่สบายขึ้นมาอีกผมจะพาเธอกลับมารักษาที่โรงพยาบาลครับ”
“ค่ะถ้ายังไงก็ขอให้ดูแลเธอให้ดี ๆ ก็แล้วกันนะคะ ดิฉันจะรีบแจ้งกลับไปที่คุณหมอเจ้าของไข้ว่าญาติจะตามไปดูเธอที่บ้าน เจอกับเคสนี้พวกเราทั้งตกใจและก็เป็นห่วงคนไข้มากค่ะ”
นางพยาบาลสาวกล่าวก่อนจะหันกลับไปทำงานของตัวเองซึ่งในขณะนั้นคริสต์ก็หันกลับไปยังพี่ชายของเขาที่ตอนนี้ยืนนิ่ง เขาเห็นใบหน้าของนิโคลัสดูเยือกเย็นราวกับรูปสลักหินหากแต่ประกายตาคู่นั้นกลับฉายความกังวลออกมา พี่ชายของเขานิ่งงันกับคำบอกกล่าวของนางพยาบาลซึ่งเขาคิดว่านิโคลัสได้ยินและคงซึมซับทุกคำพูดเหล่านั้นลงไปถึงใต้บึ้งของหัวใจเขาก็เป็นคนแบบนี้ แข็งนอกแต่อ่อนในซึ่งก็มีเพียงน้องชายคนเดียวเท่านั้นที่รู้ดี สักครู่คริสจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ ๆ
“นิค...เรากลับกันก่อนเถอะ ผมว่าสิ่งที่เราต้องทำหลังจากนี้ก็คือตามไปดูว่าเนเน่กลับไปที่บ้านของเธอจริงไหม”
“เธอท้อง...คริส...แกได้ยินไหม นางพยาบาลบอกว่าเธอท้อง...หรือว่า...แกคงรู้แล้วใช่ไหม”
คริสไม่ตอบแต่จูงมือพี่ชายของเขาที่ยังนิ่งอึ้งและเหมือนมึนงงกับเรื่องราวที่รับรู้ซึ่งเขาเองไม่เคยเห็นนิโคลัสเป็นแบบนี้มาก่อน พี่ชายของเขาคงทั้งตกใจและถึงกับผงะงันไปเลยทีเดียว ก็แน่ล่ะ...มันไม่ใช่แค่เรื่องที่น่าเป็นห่วงแต่มันยังน่าตระหนกถ้าหากใคร ๆ ตกอยู่ในสภาวะการเดียวกันกับพี่ชายของเขาตอนนี้ เมื่อต้องมารับรู้เรื่องราวที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น
คริสดึงมือนิโคลัสให้เดินตามเขาออกมาที่รถสปอร์ตคันหรูซึ่งจอดอยู่ที่บริเวณลานจอดรถของโรงพยาบาลหลังจากเข้าไปนั่งในรถแล้วทั้งคู่ต่างก็นิ่งเงียบกันไปเป็นเวลาชั่วครู่ใหญ่ ๆที่สุดแล้วคริสถอนหายใจและกล่าวออกมาว่า
“เนเน่ท้องและผมก็ทราบเรื่องนี้จากหมอที่รักษาเธอ มันออกจะ...น่าตกใจ แต่ผมคิดว่าผมเคยเจอเรื่องเซอไพรซ์แบบนี้มาหลายครั้ง”
“หมอก็คงบอกเธอแล้วสินะ”
“ผมยังไม่ได้คุยกับเนเน่ แต่คิดว่าเธอคงรู้แล้วล่ะครับ หลังจากทราบอาการของเธอจากหมอผมตั้งใจจะเข้าไปเยี่ยมแต่เห็นว่าเธอยังหลับอยู่ก็เลยพาโซอี้กลับก่อน”
“โซอี้มาด้วยอย่างนั้นเหรอ”
“แกเป็นห่วงคุณน้าเนเน่ของแกมากครับ ถึงขนาดไปจัดที่นอนไว้รอเนเน่ โซอี้คิดว่าคุณหมอจะให้เธอกลับพรุ่งนี้ด้วยซ้ำไป...นิค...วันนี้พี่ไม่ได้ไปเบลเยี่ยมใช่ไหม?”
คริสถามและเห็นเสี้ยวหน้าราวรูปปั้นสลักเสลาขณะ นิโคลัสนั่งหลังพวงมาลัยทว่านัยน์ตาเข้มจ้องมองไปเบื้องหน้า พี่ชายของเขาหันกลับมาและตอบว่า
“ใช่...ฉันยกเลิกนัดหมายที่จะไปเบลเยี่ยม”
“พี่รู้ใช่มั้ยว่าเนเน่ไม่สบาย”
นิโคลัสพยักหน้า “ขอโทษนะคริส จริง ๆ แล้วฉันให้คนคอยรายงานว่าที่บ้านมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง”
“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็รู้ว่าเนเน่เข้าโรงพยาบาล”
“ฉันรู้”
คริสถึงกับถอนใจ “ที่ทำแบบนี้เพราะพี่เป็นห่วงเธออย่างนั้นใช่ไหม”
“ไม่...เอ้อ...ไม่ใช่แกหรอกเหรอที่เป็นห่วงเธอมากกว่าฉัน”
“ถามตัวเองดีกว่านิคว่าคนที่เป็นห่วงเธอมากที่สุดเป็นใคร หรือถ้ายังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ผมจะพาพี่ไปพบคำตอบเดี๋ยวนี้ล่ะ”
“แกจะไปไหน”
“กลับบ้านครับ” นิโคลัสไม่แสดงความคิดเห็นทั้งก็ไม่คัดค้านใด ๆ ท่าทีของเขานิ่งและสงบลงซึ่งอาจเป็นเพียงภายนอกเท่านั้น คริสไม่เคยเห็นพี่ชายของเขาในลักษณะแบบนี้มาก่อน ดูเหมือนว่านิโคลัสกำลังจมอยู่ในความครุ่นคิดของตัวเอง เขาดูไม่ค่อยมั่นใจ ปกติแล้วคริสจะเห็นพี่ชายเป็นคนเยือกเย็นลุ่มลึกและทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเสมอแต่ตอนนี้เขามองเห็นความลังเลไม่แน่ใจฉายชัดอยู่ในดวงตาคมคู่นั้น บางทีอะไร ๆ อาจเปลี่ยนแปลงไปจนหมดแล้วหลังจากที่พี่ชายของเขาได้พบกับภิณไลย์ญาก็เป็นได้
คริสและนิโคลัสกลับมายังคฤหาสน์ซาเวียร์ เวลานั้นก็จวน 3 ทุ่มแล้วและเมื่อเข้าไปข้างในก็มีแต่ความเงียบเหงาทั้งสองหยุดยืนที่ห้องรับแขกกระทั่งนิโคลัสเอ่ยถามคริสว่า
“ไหนล่ะที่แกบอกว่าอยากจะบอกอะไรกับฉันน่ะคริส”
“ตามผมมานี่สิครับ”
คริสเดินนำพี่ชายของเขาขึ้นไปยังชั้น 2 และตรงไปยังห้องของภิณไลย์ญา เขาเปิดประตูอย่างเบามือ ภายในห้องนั้นแสงไฟยังส่องสว่าง นิโคลัสที่เดินตามหลังมาต้องผงะนิ่งเมื่อเห็นว่ามีใครนอนอยู่บนเตียง
“โซอี้...ทำไมถึงมานอนที่ห้องนี้ได้ล่ะ”
นิโคลัสตั้งคำถามแต่ก็เหมือนเขาพูดกับตัวเองมากกว่าเพราะเสียงนั้นเบาแต่คริสก็ยังได้ยินเขาหันกลับมาและจ้องหน้าพี่ชายนิ่ง
นิโคลัสหยิบอะไรบางอย่างจากกระเป๋าเสื้อของเขาด้วยมือข้างหนึ่ง มันเป็นกล่องกำมะหยี่สีชมพูเล็ก ๆ และเมื่อเขาเปิดมันออกก็ทำให้เป็นภิณไลย์ญาดวงตาเบิกกว้างเพราะภายในนั้นเป็นแหวนแพลตตินัมประดับเพชรแม้เม็ดไม่ใหญ่แต่ประกายของมันก็ล้อเล่นกับแสงแดดอุ่นที่สาดส่องลงมาอาบไล้ เขาบรรจงหยิบมันและสวมลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของภิณไลย์ญาก่อนที่เขาจะก้มหน้าลงไปประทับริมฝีปากของเขาบนเรือนแหวนที่อยู่บนนิ้วของเธอหญิงสาวมองดูราวกับไม่อยากเชื่อสายตา นิโคลัสเงยหน้าขึ้นและเอ่ยว่า“คริสเคยบอกผมเหมือนกันว่าคนอย่างผมคิดถึงแต่ตัวเองและเห็นค่าของเงินเป็นใหญ่ ผมไม่เคยคิดถึงใคร แต่ตอนนี้ผมอยากพิสูจน์ให้น้องชายของผมได้เห็นว่าผมได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่เขาเคยว่าเอาไว้ ผมอาจจะเลวร้ายกับคุณมาก่อนแต่คนเราก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้นี่ไม่ใช่เหรอ คุณอาจไม่ต้องอภัยให้ผมวันนี้ มันอาจต้องใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปี ว่าแต่คุณจะยินยอมให้โอกาสนั้นกับผมไหม”“บอกแล้วไงคะว่าฉันต่ำต้อยมากเกินไป คนที่ต้องขอร้องโอกาสคุณเป็นฉันมากกว่าที่จะร้องขอจากคุณ”“ผมจะไม่ให้คุณร้องขออะไร แต่เป็นผมที่จะต้องขอร้องคุณ”นิโคลัสทรุดตัวลงนั่
“แต่ฉันยังเป็นหนี้คุณนะคะนิค ฉันเป็นหนี้คุณตั้ง 3 ล้านดอลลาร์ ฉันจะพยายามหามันมาใช้คุณ”“ลืมเรื่องนั้นไปเถอะนะ รู้หรือเปล่าว่าจริง ๆ ผมลืมมันไปตั้งนานแล้ว”“ฉันรู้ค่ะนิคว่าเงินสำคัญสำหรับคุณเสมอและไม่ใช่สิ่งที่คุณจะลืมมันได้ง่าย ๆ”“อยากรู้ไหมว่าผมลืมมันไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมลืมมันไปตั้งแต่ที่คุณเป็นของผมครั้งแรก”เธอเม้มปากแน่นน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว“คุณคงอยากให้ฉันดีใจ คุณคงแค่อยากจะปลอบใจฉัน”“เปล่าเลย...นี่เป็นคำสารภาพแบบโง่ ๆ ของคนที่ไม่เคยมีและไม่เคยเห็นค่าในความรักอย่างผม แม้แต่จะพูดคำนี้ก็ยังไม่เคย ผมได้แต่ภาวนาขอให้คุณเข้าใจ”“ฉันเข้าใจว่าคุณไม่เคยรักใครไม่เคยจริงจัง”“ผมอาจจะไม่เคยรักใครอย่างที่คุณว่าแต่ผมไม่เคยหลอกผู้หญิงเล่น ๆ และคุณก็เป็นคนแรกที่ทำให้ผมได้เห็นคุณค่าของความรักจากที่ผมรู้จักแต่งการใช้เงิน รู้ไหมว่าตอนที่คริสต์อยากจะใช้หนี้แทนคุณมันทำให้ผมโกรธมาก ผมรู้ว่าผมกำลังหึงคุณและคิดบ้าๆ ว่าคริสมันคงอยากได้คุณกลับคืนไป ผมลืมไปว่าสัมพันธภาพอันยิ่งใหญ่ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงมันไม่ได้มีแค่เรื่องนั้น แต่มันหมายถึงความรักและความหวังดี คริสหวังดีกับคุณมากกว่าที่จะรู้สึกรั
“ผมยอมรับนะว่าตอนแรกตกใจมากที่รู้เรื่องระหว่างคุณกับนิคแต่มันก็ทำให้ผมมาคิดได้ในหลาย ๆ เรื่องว่าที่ผ่านมาหลาย ๆ เหตุการณ์และเรื่องแย่ ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของผมมันก็ล้วนเกิดขึ้นมาจากตัวผมเองและคนที่เข้ามาคอยจัดการให้ผมทุกสิ่งทุกอย่างก็คือพี่ชายของผม บางทีถ้าเราสองคนยังรักกันมันก็อาจจะทำให้ผมไม่ได้คิดถึงสิ่งสวยงามที่สุดที่ผมทอดทิ้งไปนานนั่นก็คือโซอี้ ถึงแม้ว่าผมจะต้องเลิกกับลาลิสาแต่มันก็ทำให้ผมคิดได้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือความรับผิดชอบและมันทำให้ได้มองเห็นตัวเอง มองเห็นความจริงว่าถ้าหากผมยังไม่กล้าคิดและตัดสินใจคงจะไม่มีวันค้นพบว่าต้องจัดการชีวิตตัวเองยังไงบ้างการไปอยู่ฝรั่งเศสมันเกิดจากการเลือกของผมเองและนิคก็ไม่ปฏิเสธที่จะให้โซอี้ไปอยู่กับผมเพราะอย่างน้อยที่สุดเขาก็ยังมีคุณกับชีวิตเล็ก ๆ”“ฉันกับเขาไม่คู่ควรกัน เหมือนที่เขามองฉันกับคุณว่าไม่คู่ควร ฉันต่ำต้อยเหลือเกินค่ะคริส ฉันคิดว่า...”“ว่าไงล่ะคริส...จะไปกันแล้วเหรอ?”เสียงทุ้มห้าวที่ดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนาของคริสและภิณไลย์ญาแต่โซอี้กลับกระโดดลงจากโซฟาแล้ววิ่งเข้าไปหาเจ้าของเสียงทรงอำนาจนั้น นิโคลัสช้อนร่างเด็กน้อยขึ้นอุ้มและจูบแ
“คุณอาคริสจะพาหนูไปฝรั่งเศสค่ะ”โซอี้เป็นฝ่ายตอบขณะที่นั่งอยู่บนตักของคริส เขาโอบกอดหนูน้อยเอาไว้และจูบแก้มยุ้ยเบาๆแสดงความรักความห่วงใยพร้อมกันนั้นก็มีรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลา“ผมจะมารับโซอี้ไปฝรั่งเศสวันนี้ นี่ก็ให้คนของผมจัดกระเป๋ากับของใช้เรียบร้อยแล้ว พวกเขารอผมอยู่ที่สนามบิน”กล่าวจบเขาก็จับเด็กหญิงให้เลื่อนลงจากตักและนั่งบนโซฟา เขาลุกขึ้นและก้าวเข้าไปหาภิณไลย์ญาซึ่งตอนนี้เธออยู่ในชุดนอนสวมทับด้วยเสื้อคลุมผ้าไหมสีละมุนตา คริสหยุดยืนตรงหน้าเธอ รอยยิ้มจางผุดขึ้นบนมุมปากได้รูป“เป็นยังไงบ้าง คุณสบายดีแล้วใช่ไหม?”“ฉันสบายดีค่ะ ว่าแต่คุณเถอะค่ะ คุณจะไปฝรั่งเศสแล้วจะพาโซอี้ไปด้วยเหรอคะ”“ใช่...ผมจะไปอยู่ที่ฝรั่งเศสและรับตำแหน่ง CEO ของบริษัทในเครือของซาเวียร์กรุ๊ปที่นั่น”“คุณลาริสาไปด้วยใช่ไหมคะ พวกคุณเข้าใจกันแล้วใช่ไหมคะ”เขาส่ายหน้าและตอบว่า “ผมหย่ากับลาลิสาแล้ว เราเพิ่งหย่ากันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เอง”“ว่ายังไงนะคะ! คุณหย่ากับลาริสา...คุณพระ...เธอคงโกรธเรื่องของฉันอย่างนั้นสินะคะ ฉันต้องขอโทษด้วยค่ะคริส ฉันไม่ตั้งใจที่จะทำให้ครอบครัวของคุณต้องแตกหักกันอย่างนี้เลย”เขาส่ายหน้าอีก
“คุณน้าเนเน่นอนพักผ่อนก่อนนะคะ เดี๋ยวหนูจะเช็ดตัวให้คุณน้านะคะ”โซอี้กระวีกระวาดทำเหมือนผู้ใหญ่ไม่มีผิด เด็กหญิงวิ่งออกไปจากห้องนั้นนิโคลัสจึงหันมาทางภิณไลย์ญาที่นอนบนเตียงโดยมีเขานั่งอยู่ข้าง ๆ“ผมรู้ว่าคุณไม่สบายและต้องการพักผ่อน”“ใช่...ฉันต้องการพักผ่อนแต่เป็นบ้านของฉันไม่ใช่ที่นี่ ฉันอยากกลับบ้าน ถ้าคุณไม่ว่างไปส่งฉันก็เรียกคนขับรถของคุณให้พาฉันไปส่งก็ได้ค่ะนิค”“วันนี้คนของผมไม่มีใครว่างหรอกนะ”“ฉันไม่เชื่อ คุณโกหก คุณอยากจะกักตัวฉันไว้ที่นี่ หรือว่าถ้าคุณอยากจะให้ฉันอยู่ที่นี่ก็ให้ฉันกลับไปที่บ้านก่อนแล้วฉันจะบอกแม่ฉันว่าฉันต้องออกมาทำงานท่านจะได้เข้าใจจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน”“ท่านไม่เป็นห่วงคุณหรอกนะ ท่านรู้ว่าคุณอยู่กับโซอี้และผมก็อยากจะขอร้องให้คุณอยู่กับแกที่นี่คืนนี้”“ด้วยเหตุผลอะไรกันคะ ได้โปรดเถอะค่ะ คุณไม่ควรจะใช้คำว่าขอร้องกับฉันเพราะนี่เป็นการบังคับ”“OK… ถ้าคุณอยากจะกลับก็ได้แต่โซอี้จะรู้สึกยังไงในเมื่อแกคิดว่าคุณไม่สบายและแกก็ตั้งใจที่จะดูแลคุณ ถ้าคุณกลับไปมันก็เหมือนเป็นการทำร้ายจิตใจแก”“คุณกำลังสร้างเงื่อนไขและกำลังกดดันฉันอยู่นะคะ”“ผมพูดความจริงต่างหากและมันก
“ คุณคิดแบบนั้นเหรอเนเน่”“ ใช่ค่ะ...และฉันก็คิดถูกใช่ไหมคะ ฉันพูดถูกทุกอย่าง ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ คุณจะไม่สูญเสียผลประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้นเพราะฉันจะไม่ผิดสัญญาเรื่องที่จะหาเงินมาชดใช้ให้คุณ”“ผมรู้ว่าคุณจะไม่ผิดสัญญาแต่คุณก็ผิดคำพูดกับผม ““แล้วคุณจะให้ฉันทำยังไง จะให้ฉันทำยังไงคะนิค ฉันไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไปแล้ว”ภิณไลย์ญาเผลอร้องไห้ออกมาและทรุดตัวลงนั่งบนพื้นห้องน้ำ เธอกอดเข่าแล้วร้องไห้อย่างคนสิ้นหวัง ตอนนี้หัวใจของเธอแหลกสลายทั้งจากความผิดหวังและร่างกายที่ยิ่งนับวันยิ่งอ่อนแอ เธอดูเหมือนคนสิ้นไร้ไม้ตอกและถึงทางตันของชีวิต นิโคลัสทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าเธอ จ้องมองร่างเล็กที่ก้มหน้าร้องไห้เหมือนแทบขาดใจแต่ภิณไลย์ญาก็ไม่ส่งเสียงออกมาดัง ๆ เธอกดเก็บตัวเองไว้เพราะกลัวโซอี้จะได้ยินแต่ในเวลานี้เธอช่างดูอ่อนแอและเป็นภาพที่ฉุดรั้งความรู้สึกของนิโคลัสให้ยิ่งดำดิ่ง เขารู้ตัวดีว่าทำให้เธอเจ็บช้ำอย่างสาหัสหากทว่าคนที่เจ็บปวดยิ่งกว่ากลับเป็นเขาเสียเอง ขณะที่เขากำลังจะเอื้อมมือเพื่อลูบเรือนผมของภิณไลย์ญาที่นั่งก้มหน้ากอดเข่าร้องไห้นั้นก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นข้างหลั