เขายืนมองเธอเงียบ ๆเหมือนโลกทั้งใบชะงักนิ่งอยู่ในดวงตาคู่นั้นไม่มีคำพูดใด ไม่มีประโยคเถียงกลับแต่บางอย่างในแววตาของภานุวัฒน์…กำลังเปลี่ยนไปไม่ใช่แค่สงสาร มันคือสิ่งที่หนักแน่นกว่า ชัดเจนกว่าและลึกถึงรากของบางความรู้สึกที่เขาเคยผลักไสเสมอมาเขาเพิ่งรู้ตัวว่า…ความแค้นที่เขายึดถือมาตลอดนั้นมันได้ถูกปลดวางไปแล้ว ตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาเห็นชื่อ “วิศรุต เกริกไกร” บนรายงานข่าวการตายเขาควรจะพอใจ ควรจะโล่งใจแต่สิ่งที่เหลืออยู่ตอนนี้ กลับไม่ใช่ชัยชนะมันคือความรู้สึกผิด ที่ท่วมขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ เมื่อได้เห็นเธอยืนอยู่ตรงหน้ายอมรับทุกอย่างอย่างไม่มีคำโต้เถียง พร้อมจะชดใช้ทั้งที่ไม่เคยเป็นผู้กระทำผิดเลยด้วยซ้ำเขาเคยคิดว่าเธอกับพ่อของเธอคงไม่ต่างกันแต่เวลานี้เขากลับมองเห็น…ว่าทั้งสองคือโลกที่ห่างไกลคนละฟากฟ้าภานุวัฒน์ก้าวเข้าไปช้า ๆ ไม่มีท่าทีบังคับ ไม่มีการจู่โจมเขาแค่ยื่นมือไปแตะแก้มเธออย่างแผ่วเบา นิ่งอยู่ตรงนั้นนานพอให้เธอรู้ว่าเขาไม่ได้แตะเธอเพราะอำนาจลาริสาเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอย่างไม่แน่ใจ แต่ไม่ได้ขยับหนีและในความเงียบนั้น…เขาก็โน้มใบหน้าเข้ามาริมฝีปากแตะลงที่
และในห้วงนาทีนั้นเอง เธอเห็นเขา พ่อของเธอ ยืนอยู่หลังบานหน้าต่างกระจก เงาไฟสะท้อนใบหน้าที่เคยคุ้น แต่ในแววตาคู่นั้นไม่มีความตกใจ ไม่มีแม้แต่ความหวาดกลัว มีเพียงความว่างเปล่า คล้ายกับยอมรับว่าทุกอย่างนี้…คือบทลงโทษที่เขาเลือกจะอยู่กับมันจนถึงวินาทีสุดท้าย เธออ้าปากจะร้องเรียก แต่ไม่มีเสียงหลุดออกมา ข้างในอกเหมือนถูกเผาไหม้ไปพร้อมกัน ไฟลุกสูงขึ้นอีก หน้าต่างพังครืน แสงแดงฉานกลืนทุกอย่างไปต่อหน้าต่อตา ... เธอสะดุ้งตื่น ลมหายใจขาดเป็นห้วง มือกำผ้าห่มแน่น เหงื่อเกาะทั่วแผ่นหลัง ทั้งที่อากาศในห้องเย็นจัด เธอค่อย ๆ พยุงตัวขึ้นนั่ง แสงจากโคมไฟยังทอดอุ่นเหมือนเดิม แต่ภายในใจกลับหนาวเยียบราวกับยืนอยู่หน้าบ้าน หน้าเปลวเพลิงนั้นอีกครั้ง เธอกอดตัวเองไว้แน่น เสียงของพ่อ ใบหน้าของเขาในฝัน ล้วนยังหลงเหลือในแววตาเธอ ไม่จางไปแม้ในยามตื่น แม้จะลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ภาพในฝันยังฝังแน่นอยู่ในใจ เธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นไหม้ที่ไม่มีจริง เสียงไฟลุกโชนที่ไม่มีอยู่ แต่กลับแผดเผาความรู้สึกข้างในอย่างเงียบงัน ลาริสามองเพดานที่เงียบและนิ่ง หัวใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะ ฝ่ามือกำผ้าห่มไว้แน่
“บางทีก็คิดนะคะ…” ลาริสาพูดต่อ ริมฝีปากยังคงมีรอยยิ้มจาง ๆ “ถ้าไม่ได้เกิดมาในชีวิตแบบนี้ ริสาคงได้เลือกอะไรด้วยตัวเองมากกว่านี้” พี่ส้มเอนตัวพิงเบาะเล็กน้อย “หมายถึงเรื่องไหนเหรอ” หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง ราวกับต้องเลือกคำให้เรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ริสาเคยอยากเป็นครูค่ะ ครูสอนเด็กเล็ก อยากอยู่กับเด็ก ๆ ทุกวัน ได้เห็นเขาค่อย ๆ เติบโตขึ้น แล้วก็ได้เป็นส่วนหนึ่งเล็ก ๆ ของการเปลี่ยนแปลงในชีวิตใครสักคน” “แต่พ่อไม่เห็นด้วยเลยค่ะ” น้ำเสียงยังสุภาพ แต่แฝงเศร้าบาง ๆ “เขาบอกว่าอาชีพแบบนั้นไม่เหมาะกับลูกสาวของรัฐมนตรี” พี่ส้มฟังเงียบ ๆ ไม่ถาม ไม่ขัด แค่ปล่อยให้ถ้อยคำไหลไปตามจังหวะใจของหญิงสาวตรงหน้า “เขาวางแผนให้ริสาตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าใจว่าตัวเองชอบอะไร สังคมที่ควรอยู่ คนที่ควรคบ แม้แต่ความฝัน…ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้มี” เธอหัวเราะน้อย ๆ อย่างไม่ขบขัน “น่าแปลกดีนะคะ คนเราจำเป็นต้องทิ้งความฝันของตัวเองเพื่อความเหมาะสมกับฐานะของตระกูล” พี่ส้มเอื้อมมือไปแตะมือเธอเบา ๆ อบอุ่น และนิ่งพอให้รู้ว่าฟังอยู่เสมอ ลาริสาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง รอยยิ้มของเธอยังอยู่ แต่ในดวงตา...มีประกายบาง
อดีตรัฐมนตรีวิศรุต เกริกไกร เดินผ่านประตูเหล็กไปอย่างเงียบงัน เพียงแค่ก้าวแรก…เขาก็ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว ห้องคุมขังชั้นล่างสุดมีเพียงผนังเปลือย หลอดไฟขุ่นมัว อากาศภายในชื้นและนิ่ง ราวกับเป็นที่ที่เวลาถูกขังร่วมกับเขาไปด้วย เขาทิ้งตัวลงบนขอบเตียงเหล็ก เหม่อมองฝาผนังข้างหน้าโดยไม่รู้ว่านานแค่ไหน ทั้งวันแทบไม่ได้ขยับ แผ่นหลังตรง แขนวางบนตัก เหมือนร่างกายแช่แข็งในความว่างเปล่า ... ช่วงบ่ายวันที่สาม เจ้าหน้าที่เวรนำถุงกระดาษสีเรียบใบหนึ่งส่งให้ผ่านช่องประตู เขารับไว้โดยไม่ถาม เปิดมันออกช้า ๆ ภายในนั้น มีกล่องไม้สีเข้ม วางอยู่เคียงกับกระดาษพับครึ่ง กล่องดูสะอาดเกินกว่าของจากภายนอกทั่วไป กระดาษเพียงหนึ่งแผ่น แนบไว้ใต้ฝา เขาหยิบขึ้นมา คลี่ออก สายตาหยุดที่ลายมือสวยสะอาดตาเพียงไม่กี่คำ 'ของขวัญ จาก พลอย' เขานิ่งงัน สายตาว่างเปล่า แต่อะไรบางอย่างในดวงตากลับกำลังไหลย้อนกลับมา ไม่ใช่แค่ชื่อ…แต่คือเสียง คือภาพเงาของเด็กสาวในชุดฝึกงาน ที่เขาทำลายชีวิตของเธออย่างเลือดเย็น ภาพนั้นชัดขึ้นทีละวินาที โดยที่เขาไม่อาจหันหน้าหนีได้อีกต่อไป เขาหยิบปืนขึ้นมา เย็นจัด แต่จับมั่น
เสียงตะโกน “โดนยิง!” ดังขึ้น ข้างกัน เจ้าหน้าที่อีกคนรีบลากเพื่อนออกจากแนวเป้าอย่างไม่รอช้า คีรณัฐขยับจังหวะเพียงครึ่งก้าว เล็งไปที่ขาอีกฝ่ายอย่างแม่นยำ คนคุ้มกันร่วงลงพื้น เสียงร้องดังลั่นก่อนหมดแรงแน่นิ่ง อีกคนพุ่งจะเปิดประตูหลัง ไม่ทัน เสียงปืนสั้นของภานุวัฒน์ดังก้องกลางอากาศเพียงนัดเดียว ปัง! ร่างคนคุ้มกันคนสุดท้ายทรุดลงทันที เลือดซึมจากต้นคอ ล้มแน่นิ่งอยู่ข้างล้อหลังรถ ทุกอย่างเงียบลงในเสี้ยวนาที มีเพียงเสียงหอบหายใจหนัก ๆ ของเจ้าหน้าที่ กลิ่นควันดินปืน และความเงียบของคืนที่แทบจะไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลม ... “เคลียร์เป้าแล้ว!” เจ้าหน้าที่กรูเข้าไปพร้อมจับกุมคนขับที่ยังมีสติแต่ถูกกระสุนถากไหล่ ในตอนนั้นเอง ประตูฝั่งขวาหลังค่อย ๆ เปิดออก และชายคนหนึ่ง…ก้าวลงมาช้า ๆ ใบหน้าเครียดจัด เสื้อเชิ้ตชุ่มเหงื่อ เขาเงยหน้าขึ้น สบตาภานุวัฒน์ตรง ๆ รัฐมนตรีวิศรุต...ไม่มีที่ให้หนีอีกแล้ว ภานุวัฒน์หยุดยืนตรงหน้า ห่างจากอีกฝ่ายเพียงไม่กี่ก้าว ระยะใกล้พอจะมองเห็นร่องเหงื่อบนขมับที่เกาะเงียบอยู่ใต้แสงไฟสลัว ดวงตาของเขานิ่ง คม ไม่หวือหวา แต่หนักแน่นราวกับทุกถ้อยคำต่อจากนี้ถูกฝัง
ภานุวัฒน์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่มีแรงกดดันซ่อนอยู่ในทุกถ้อยคำ “ไม่พอ” เขาหยุด แล้วเอ่ยต่อช้า ๆ ชัดเจนทุกพยางค์ “ฉันจะขึ้นไปด้วย ฉันอยากเห็นมันพังด้วยตาตัวเอง” ปลายสายเงียบไปชั่วขณะ คีรณัฐรู้ดี...นี่ไม่ใช่การร่วมงานธรรมดา นี่คือ 'บัญชีแค้น' ที่อีกฝ่ายจะปิดมันด้วยตัวเอง “ได้” คีรณัฐตอบในที่สุด “เราขึ้นฮอกลับกรุงเทพฯทันทีคืนนี้” ... ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหลังจบภารกิจ เสียงใบพัดเฮลิคอปเตอร์ซัดกระแทกพื้นดินแนวชายแดนด้วยแรงลมมหาศาล คีรณัฐขึ้นเครื่องพร้อมเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษ ภานุวัฒน์ก้าวขึ้นเครื่องโดยไม่เอ่ยคำใด ไม่จำเป็นต้องประกาศ ไม่ต้องมองใคร เพราะทุกคนรู้ดี ว่าเขาคือผู้ร่วมภารกิจสำคัญในครั้งนี้ คีรณัฐนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เพียงสบตาเขาสั้น ๆ ก่อนหันไปคุยกับทีมปฏิบัติการที่นั่งเรียงกันด้านหลัง ไม่มีบทสนทนาใดอีก มีเพียงเสียงใบพัด เสียงของระบบสื่อสาร และบรรยากาศที่หนาวเย็นกว่าอุณหภูมิภายนอก ปลายทางของการบินครั้งนี้ ไม่ใช่สนามรบ ไม่ใช่ค่ายทหาร แต่คือ…บ้านของรัฐมนตรีวิศรุต เกริกไกร ชายที่เคยอยู่เหนือกฎหมาย ชายที่เคยเดินยิ้มอยู่กลางวง
ฟ้าคืนนี้ไร้ดาว หมอกหนาเกาะเหนือยอดไม้ ลมป่าลูบผ่านพื้นดินแห้งแตกระแหง เสียงหรีดเรไรลอยแผ่ว ๆ ปะปนกับกลิ่นดินที่เย็นจัดในยามดึก บรรยากาศเงียบจนแทบจับต้องได้ เหมือนธรรมชาติกำลังกลั้นหายใจรอวินาทีระเบิด บนถนนสายรองที่ถูกลืม รถบรรทุกหกล้อคันใหญ่แล่นฝ่าความมืดมาช้า ๆ ภายนอกดูเหมือนรถส่งของธรรมดา แต่ภายในซุกซ่อน 'เงามรณะ' ที่ร้ายแรงยิ่งกว่ากระสุน ใต้ไม้พาเลตและแผ่นเหล็กเสริมคือสารเสพติดนับร้อยห่อ รอการลำเลียงผ่านแนวชายแดนคืนนี้ คีรณัฐหมอบต่ำอยู่หลังแนวเนินดิน ฝุ่นเกาะตามเสื้อผ้า กล้องมองกลางคืนแนบกับตา รอบกายเขาเป็นกองกำลังหน่วยปราบปรามยาเสพติดชุดพิเศษ เจ้าหน้าที่ตำรวจเต็มอาวุธ ที่ซุ่มเงียบมาตลอดสามชั่วโมงที่ผ่านมา “เป้าหมายเข้าเขตแล้ว” เสียงกระซิบในวิทยุดังขึ้นพร้อมการขยับปืนของตำรวจอีกสองคนข้างตัว คีรณัฐไม่รีรอ เขากระตุกไมค์ขึ้นแนบปาก “ปิดทางหน้า บีบเข้า!” ทันทีที่คำสั่งหลุดออกจากปาก รถปิคอัพหุ้มเกราะสองคันก็แล่นตัดหน้ารถบรรทุกด้วยเสียงเครื่องยนต์กระหึ่ม เจ้าหน้าที่สวมเสื้อเกราะดำกระโจนลงจากท้ายรถ ชูปืนขึ้นพร้อมตะโกนคำสั่ง “หยุดรถ! นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ! วางอาวุธ!” เสีย
และภานุวัฒน์...ที่นั่งฟังอยู่นิ่ง ๆ ตลอดนั้น เขาเพียงวางช้อนลงเบา ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองแยมตรง ๆ แววตาเย็นจัด เรียบนิ่ง และไม่มีร่องรอยของความเห็นใจใด ๆ เจืออยู่ เขาเอ่ยขึ้น สั้น ๆ ช้า ๆ แต่ทุกรายละเอียดในน้ำเสียงกลับเหมือนตบหน้าโดยไม่ต้องยกมือ “อย่ารบกวนคนอื่น...ด้วยคำพูดที่ไม่มีใครต้องการฟัง” แยมชะงัก มือที่จับถาดแน่นขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มบนริมฝีปากกระตุกค้างอยู่ครู่หนึ่ง เธอไม่ตอบอะไรอีก เพียงพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปเงียบ ๆ เขาไม่มองตาม มีเพียงประโยคถัดไปที่หันมาทางลาริสาโดยตรง “อิ่มหรือยัง” เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ชั่ววินาทีนั้น หัวใจเธอเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล เมื่อเธอพยักหน้า เขาก็ลุกขึ้นทันที ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือเธอแน่น...โดยไม่มีคำพูดใด ปลายนิ้วเขาอุ่นจัด ฝ่ามือแน่นหนาราวกับกำลังจะพาเธอเดินข้ามเขตแดนของความไม่เข้าใจทั้งหมด เธอยังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ถูกเขาพาเดินออกจากตรงนั้น ผ่านสายตาทุกคู่ในห้อง รวมถึงสายตาของแยม ที่ยังยืนอยู่ตรงมุมหนึ่ง ราวกับถูกสาปให้กลายเป็นอากาศในวินาทีที่เธอไม่ต้องการจะโปร่งใส ลาริสาก้มมองมือตัวเองในมือเขา หัวใจเธอสั่น
ลาริสาอ้าปากเล็กน้อย คำพูดที่ตั้งใจจะเปล่งกลับติดค้างอยู่ตรงปลายลิ้น ยังไม่ทันได้หลุดพ้นออกมา “แต่—” แค่เพียงคำเดียว... ริมฝีปากของภานุวัฒน์ก็โน้มลงมาปิดปากเธอทันที แน่น หนัก และไม่เปิดโอกาสให้ต่อต้าน จูบนั้นไม่มีคำอธิบายใดเจืออยู่ ไม่มีความอ่อนโยน ไม่มีแม้แต่ความลุ่มหลง มีเพียงเจตนาเดียวชัดเจน... เขาไม่ต้องการคำพูดของเธอ เขาต้องการแค่ความเงียบ และการยอมจำนน เมื่อเขาผละออก ดวงตาสีฟ้านั้นยังคงนิ่งสนิทราวกับกระจกเรียบที่ไร้แสงสะท้อนใด ๆ “ลงไปกินข้าว” เขาเอ่ยเรียบ ราบรื่น ไม่มีแววข่มขู่ แต่ชัดเจนจนไม่เปิดพื้นที่ให้ปฏิเสธ เธอไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจำต้องก้าวตามเขาออกไป เขาเดินนำลงบันไดวน เสียงฝีเท้าหนักแน่นแต่ไม่รีบร้อน ส่วนเธอ...ก้าวตามลงไปทีละขั้น ช้า ๆ หนักหน่วงในอารมณ์ที่ไม่อาจเรียกชื่อได้ ชั้นล่างของคลับยังคงบรรยากาศเรียบง่าย โต๊ะทานอาหารยาววางเรียงในมุมสำหรับพนักงาน ปกติแล้ว มันเต็มไปด้วยเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ และความวุ่นวายของผู้คน แต่วันนี้ กลับเงียบกว่าที่เคย เพราะมีเขา และเธอ ภานุวัฒน์เดินไปยังโต๊ะมุมหนึ่งแล้วนั่งลงอย่างไม่แ