“ผมสามสิบกว่าแล้วนะพ่อ เรียนจบมีงานทำแล้ว แค่ยังหาเมียไม่ได้แค่นั้นเอง แล้วเดี๋ยวนี้ใครเขามาคิดเรื่องพวกนี้กันเล่า”
“เอาน่าๆ พ่อลูกคู่นี้ก็คุยกันดีๆ ไม่เป็นหรือไง” แม่ออกโรงห้ามทัพก่อนที่พ่อลูกจะปะทะฝีปากกันมากไปกว่านี้ “พ่อกับแม่ก็แค่เป็นห่วง แต่ถ้าแกอยากอยู่คนเดียวไปทั้งชีวิตก็เตรียมวางแผนซื้อประกันชีวิตหรือดูบ้านพักคนชราไว้ก็ดีนะลูกนะ”
คราวนี้เขาถึงกับหน้าหน้ายู่ อายุแค่สามสิบสี่ให้วางแผนใช้ชีวิตที่บ้านพักคนชรา แต่พ่อกลับหัวเราะพรืดออกมาแล้วพยักหน้าเห็นด้วยกับแม่ บ้านนี้มีลูกชายสามคน พี่ชายสองคนแต่งงานแยกกันไปสร้างครอบครัวของตัวเอง ส่วนเขาที่ยังโสดแต่ไม่อยากอยู่บ้านเดียวกับพ่อแม่ ย่องไปซื้อคอนโดไว้ซุกหัวนอน แต่ก็กลับบ้านทุกเดือน เช่นเดียวกับพี่ชายทั้งสองที่แวะเวียนพาลูกมาเยี่ยมคุณปู่คุณย่าบ่อยๆ แต่พอกลับไปแล้วบ้านก็เงียบ ตอนนี้พ่อที่เกษียณตัวเองมาปลูกต้นไม้เล็กๆ น้อยๆ ขายเป็นงานอดิเรกจึงว่างมาเทศนาสั่งสอนเกมบังคับให้เขาแต่งงานเสียที
ชายหนุ่มเผลอถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ไม่ได้อยากอยู่เป็นโสดนี่ คนล่าสุดที่เพิ่งเลิกลากันไปก็เพราะทัศคติไม่ตรงกัน คนเป็นหมอก็ไม่ใช่ว่าอยากเปิดคลินิกของตัวเองทุกคนเสียหน่อย หลังเลิกงานแล้วก็อยากพักผ่อนไปทำอะไรอย่างอื่นบ้าง เข้าฟิตเนสบ้าง ซ้อมดนตรีกับเพื่อนบ้าง แต่คุณเธอมองว่าเขาไม่อยากก้าวหน้า ไม่อยากมีเงินเก็บ สุดท้ายก็ได้แต่โบกมือลากันด้วยดี
ขณะเดินไปใกล้ถึงตึกอายุรกรรม สายตาปะทะกับผู้หญิงคนหนึ่งกำลังพ่นสเปรย์ใส่บรรดาถุงข้าวของที่ตั้งบนโต๊ะม้าหิน ครู่หนึ่งเธอก็พ่นสเปรย์ใส่ตัวเอง เขาขมวดคิ้วแล้วอดเตือนไม่ได้
“คุณครับ ไม่ต้องพ่นสเปรย์แอลกอฮอร์ใส่ตัวเองแบบนั้นหรอก แค่ใช้เจลล้างมือบ่อยๆ ก็พอแล้ว”
“ขอโทษค่ะ มันเคยชินไปแล้ว” เสียงหวานใสเอ่ยปนหัวเราะร่าแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย
ผู้หญิงอะไรตาโตจริง ดวงตาสวยเหมือนมีหยดน้ำเอ่อคลอ
อิทธิพลเผลอมองดวงตาคู่สวยของอีกฝ่าย และต่างคนต่างมีหน้ากากอนามัยปิดครึ่งใบหน้าทำให้ไม่รู้ว่าริมฝีปากก็ยิ้มออกมาด้วย
“หมออิฐ”
“ครับ?” เขาขานรับ แปลกใจที่ถูกเรียกอยากสนิทสนม
เกวลินยิ้มกว้าง แน่ล่ะ! ได้เจอคนที่แอบรักจะไม่ยิ้มได้ยังไง แต่ยิ้มกว้างแค่ไหนเขาก็คงไม่รู้ เพราะตอนนี้มีหน้ากากอนามัยปิดปากปิดจมูกอยู่ สีหน้าเขาบอกชัดว่าจำเธอไม่ได้ ซึ่ง...มันก็ดีแล้วล่ะ
“หมอกินข้าวเที่ยงแล้วเหรอคะ”
“ครับ...เรียบร้อยแล้วครับ”
“ช่วงนี้ฝนตกบ่อย คนป่วยเยอะเลย ลำบากคุณหมอแย่เลยนะคะ”
“ครับ...ขอบคุณครับ”
“โอ๊ย! อีกสิบนาทีจะบ่ายโมง ขอตัวก่อนนะคะ ต้องรีบเอาผ้าอ้อมกับของใช้ไปส่งให้คนป่วยค่ะ”
“ครับ” เขายังทำหน้างงอยู่ ดูเหมือนเธอจะมาส่งของให้คนป่วย เป็นญาติเหรอ? แต่ข้าวของเยอะขนาดนี้ไม่น่าจะสำหรับคนๆเดียว หรือว่าเป็นไรเดอร์มาส่งของใช้ตามสั่ง แต่ปกติก็ไม่อนุญาตให้ไรเดอร์ขึ้นตึกผู้ป่วยนี่นะ ยังไม่ทันเอ่ยถามอะไร อีกฝ่ายก็ผงกศีรษะให้แล้วเดินเร็วไปที่ลิฟต์ทันที
เกวลินผงกศีรษะให้เขาแล้วรีบคว้าถุงผ้าอ้อมผู้ใหญ่สามสี่ถุงและถุงใส่ของใช้อีกสองถุงเดินเร็วๆ จนเกือบจะเป็นวิ่งไปที่ลิฟต์ รปภ.ประจำตึกคงคุ้นเคยกับเธอดีจึงกดลิฟต์เปิดให้ หญิงสาวยังส่งสายตามองหมอหนุ่มที่ยังยืนอยู่ที่เดิม ประตูลิฟต์ปิดลงแล้ว เธอก็แทบอยากร้องกรี๊ดๆ ออกมา
ได้คุยกับคนที่ชอบ ใจมันก็จะพองโตหน่อยนะ
เกวลินได้แต่บอกให้ตัวเองสงบใจ แบบนี้เรียกคุยได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เอาเถอะ น้ำเสียงที่เขาพูด “ครับ” มันยังดังอยู่ในหู เสียงทุ่มต่ำฟังแล้วใจเต้นแรง เธอต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่อาการหนักขนาดนี้
ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นที่ต้องการ หญิงสาวตั้งสติแล้วก้าวออกไปพร้อมรอยยิ้มใต้หน้ากากอนามัยแล้วทักทายพยาบาลที่ดูแลคนป่วยอย่างเคยชิน
“เอาของมาส่งแล้วค่ะ”
“มาแล้วเหรอกะทิ” คุณพยาบาลสาวยิ้มทักแล้วพยักหน้าให้
“ค่ะ ผ้าอ้อมสำเร็จไซส์เอ็มกับเอ็กซ์แอล แล้วก็แป้งเด็กลดผดผื่น ทิชชู่เปียก มีน้ำผลไม้ด้วยค่ะ แล้วก็แปรงสีฟันยาสีฟันตามสั่งครบทุกรายการ กะทิแยกบิลให้หมดทุกรายการแล้วค่ะ เงินทอนใส่ในถุงให้แล้ว”
“ขอบใจมากนะจ๊ะ”
“กะทิต่างหากที่ต้องขอบคุณพี่ๆ ทำให้มีรายได้พิเศษด้วยเลยค่ะ” หญิงสาวส่งยิ้มหวาน “อยากกินอะไรเป็นพิเศษบอกได้เลยนะคะ นอกเหนือจากเมนูก็ได้ค่ะ ถ้าพี่ตะโก้ทำได้ กะทิจะสั่งให้ทำให้เลยค่ะ”
“จ๊ะๆ พี่น้องคู่นี้น่ารักจริงๆ ยังไงก็ขอให้ได้งานประจำทำเร็วๆนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
เกวลินยกมือไหว้ลาพยาบาลประจำชั้น เธอมาส่งข้าวกล่องบ่อยๆ จนคุ้นเคยกับทุกคนไปแล้ว ผู้ป่วยบางคนพักรักษาตัวนาน ไม่มีญาติพี่น้อง หรือญาติไม่สะดวกมาเยี่ยม เธอจึงอาสาไปซื้อมาให้ เพราะยังไงเธอก็ว่างตามประสาคนไม่มีงานประจำทำอยู่แล้ว บางคนออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว ยังติดต่อเธออยู่ก็เลยได้ลูกค้าข้าวกล่องเพิ่มขึ้น บางรายอยู่บ้านคนเดียว จะสั่งซื้อของเข้าบ้านก็ไม่ชอบให้คนแปลกหน้ามาบ้านบ่อยๆ เธอรับฝากซื้อของตามที่ต้องการจัดการส่งถึงบ้านให้ด้วย ใครจะรู้ว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้กลายเป็นรายได้ของเธอ
แต่ถ้าถามหากำไร ก็คือได้เห็นหน้าคุณหมออิฐยังไงล่ะ!
เสียงประตูบ้านเปิดออกทำให้ชายหนุ่มสองคนผละออกจากกัน การันต์ปรับลมหายใจครู่หนึ่งแล้วยกนิ้วโป้งเช็ดมุมปากให้ชายหนุ่มที่ยืนหน้าแดงตรงหน้า
“จ๊ะเอ๋” เสียงหวานใสของเกวลินดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะโผล่หน้าเข้ามาในครัว หญิงสาวปลดหน้ากากอนามัยแล้วเดินตรงดิ่งไปล้างมือที่อ่างล้างจานเหมือนปกติที่เคยทำ
“ไปส่งของมาเหรอครับ” วายุเอ่ยทักทายน้องสาวของคนรัก
“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับแต่แอบหลิวตามองพี่ชายตัวโตที่ทำหน้ากระอักกระอ่วน “สงสัยกะทิจะกลับบ้านเร็วไปหน่อย”
“กลับช้าไปครึ่งชั่วโมง” การันต์ดุน้องสาว “พี่บอกแล้วไง แค่ส่งข้าวกล่องของที่ร้านก็พอแล้ว ไม่ต้องออกไปซื้อของส่งของอะไรพวกนั้นหรอก”
จะเรียกว่าเป็น ‘ไรเดอร์’ ก็เรียกได้ไม่เต็มปาก เพราะน้องสาวของเขาไม่ได้รับงานประจำ แต่จะเรียก ‘จิตอาสา’ก็ไม่ใช่ เพราะได้รับค่าตอบแทนตามสมควร การันต์กลุ้มใจไม่น้อยที่น้องสาวคนเดียว ขับรถซื้อของ-ส่งของตามใบสั่งให้ลูกค้าอย่างนี้
ไม่รู้ทำไม จู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว เธอที่เฝ้ามองเขาอยู่ไกลๆ ค่อยติดตามข่าวของเขาเสมอ แม้มีโอกาสได้ใกล้ชิดก็ไม่เคยแสดงความรู้สึกข้างในออกไป จนวันนี้...เขาอยู่ตรงหน้าและบอกรักเธอ “คนดี ร้องไห้ทำไมครับ” เขายิ้มแล้วจูบซับหยดน้ำตาให้ “ไม่รู้ค่ะ สงสัยไม่สบายแน่เลย” คราวนี้เกวลินหัวเราะทั้งน้ำตา จริงสินะ เวลาแบบนี้ต้องยิ้มดีใจต่างหากล่ะ “อื้ม...ไม่สบายเหรอ งั้นหมอตรวจให้นะครับ” เขายิ้มกรุ้มกริ่ม มือไม้เริ่มลูบไล้ไปตามเรือนร่างที่โหยหาย “พี่อิฐ! คนกำลังซึ้ง” เธอตีมือเขาแต่กลับหัวเราะร่วนจนกระทั่งเขาอุ้มเธอมาที่เตียงเล็กของเธอเอง “ก็กะทิไม่สบาย พี่จะทำให้สบายตัวไงครับ” ปลายลิ้นร้อนตวัดเลียติ่งหูทำให้หญิงสาวหลุดเสียงครางออกมา มือเรียวยกขึ้นคล้องคอเขาแล้วกระซิบเสียงหวาน “กะทิรักพี่อิฐค่ะ” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยภาษากาย เขาขยับเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าและนุ่มนวลจนคนใต้ร่างได้แต่ครวญครางเรียกร้องให้เขาเติมเต็มความปรารถนาที่เอ่อล้น สองร่างแนบชิดกลายเป็นหนึ่งผสานเสียงลมหายใจและหัวใจสองดวงเต้นไปพร
“อยู่บ้านคนเดียวล็อกบ้านดีๆ ล่ะ” การันต์ย้ำกับน้องสาว “ทำเหมือนจะไปหลายวัน” เกวลินแลบลิ้นใส่ “ไปเถอะค่ะ ปล่อยให้ผู้ใหญ่รอไม่ดีนะคะ” การันต์พยักหน้าแล้วเดินไปที่รถพร้อมวายุ เกวลินรอจนรถออกไปแล้วจึงเดินเข้ามาในบ้าน เกวลินเดินไปหยิบน้ำผลไม้ในตู้เย็นรินใส่แก้ว ยังไม่ทันยกขึ้นดื่มก็ได้ยินเสียงกดออดที่หน้าบ้าน เธอวางแก้วลงแล้วเดินมาที่ประตู “ลืมอะไรหรือคะพี่ตะโก้” เธอถามทันทีที่เปิดประตูออก ทว่าคนตรงหน้ากลับไม่ใช่พี่ชายที่เธอเข้าใจผิดคิดว่าคงลืมของจึงกลับมา “ทำไมไม่ดูให้ดีก่อนเปิดประตู ถ้าเป็นโจรขึ้นมาจะทำยังไง” คนตัวสูงดุแล้วเดินเข้าไปราวกับเป็นบ้านของตัวเองเสียงล็อกประตูทำให้เกวลินได้สติ เธอไม่คิดว่าเขาจะมายืนตรงหน้าอย่างนี้ “พี่...พี่อิฐ” “ก็พี่ไง หรือรอใครอยู่” อิทธิพลขมวดคิ้วแล้วกวาดตามอง “ตะโก้กับวายุไม่อยู่เหรอ” “ค่ะ...ออกไปข้างนอก...” “ดี...พี่มีเรื่องจะคุยด้วย” “เดี๋ยวนะคะ ขอกะทิทำใจก่อน” “ทำใจอะไร” อิทธิพลขมวดคิ้ว “พี่อิฐมาบอกเลิกกะท
เกวลินโผล่หน้ามาดู แค่พี่ชายพยักหน้าให้เธอก็ผลุบกลับเข้าไปในครัว รินน้ำดื่มสองแก้วแล้วเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง แต่เธอคิดว่าคงไม่เหมาะจะนั่งฟังด้วยจึงหลบไปด้านหลัง ได้แต่ส่งยิ้มให้กำลังวายุที่ยืนหน้าซีดอยู่ และเป็นการันต์ที่กระตุกมือให้วายุนั่งลงข้างเขา “ลูก...ดูสบายดีนะ” คนเป็นแม่เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ผมสบายดี” วายุตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่สองมือบีบกันแน่น การได้พบแม่ไม่ได้ทำให้เขากังวลได้เท่ากับเห็นพ่อมาอยู่ตรงหน้าด้วย เขากลัวว่าพ่อจะทำร้ายคนที่บ้านนี้ ซึ่งเขาไม่ยอมให้มีเรื่องเลวร้ายอะไรเกิดขึ้นเด็ดขาด “พ่อรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่” “วันนี้พ่อเห็นแกไปออกบูธก็เลยให้คนตามดู” คนเป็นพ่อเอ่ยเสียงอ่อนล้า “ทำไมครับ อยากเห็นว่าผมจะใช้ชีวิตเหลวแหลกอย่างที่พ่อประณามไว้หรือเปล่านะเหรอ” น้ำเสียงวายุก็ปวดร้าวไม่แพ้กัน “เปล่าๆ....พ่อ...พ่ออยากให้แกกลับบ้าน” ถ้อยคำที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากของคนตรงหน้าทำให้วายุนิ่งงันไป เขาย้ายสายตาไปมองมารดาที่หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตา “กลับบ้านเ
‘ใครเป็นฝ่ายทักกันก่อนเล่า’ เกวลินขมวดคิ้วแล้วฉีกยิ้มทักทาย “ว่าไง”“ว่าไง?” เอมอรแอบเบ้ปากในใจ “ก็ไม่มีอะไร แค่จำได้ว่าเธอออกจากโรงเรียนกลางเทอมนี่ ได้ยินว่าท้องเลยหนีตามผู้ชายไป แล้วเป็นไงบ้างล่ะ ป่านนี้ลูกคนโตแล้วสินะ มีอะไรให้เพื่อนอย่างฉันช่วยก็บอกมาได้เลยนะ”แม้เอมอรไม่ได้ใช้น้ำเสียงดังอะไรนัก แต่ถ้อยคำของเธอทำให้คนที่ได้ยินถึงกับนิ่งไป นั้นหมายถึงคุณเกริกและคุณลาวัลย์ที่อดปรายตามองทางเกวลินไม่ได้ หญิงสาวสูดลมหายใจลึกอ้าปากจะโต้เถียงแต่กลับเป็นการันต์ที่ทนไม่ไหวชิงพูดออกไปก่อน“ท้องอะไร หนีตามผู้ชายอะไร” การันต์พูดเสียงดังอย่าไม่อายใครและไม่มีอะไรให้อายด้วย “ยัยกะทิออกจากโรงเรียนตอนม.5ก็จริง แต่เพราะมาดูแลแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แต่ก็ไปสอบกศน.จนได้วุฒิม.ปลายไง รู้จักไหม การศึกษานอกโรงเรียนนะ แล้วถ้ายัยกะทิเรียนไม่จบม.ปลายมันจะเอาวุฒิที่ไหนไปเรียนมหาวิทยาลัยจนได้เกียรตินิยมอันดับสองเล่า! คิดจะปั้นเรื่องใส่ความคนอื่นก็ช่วยให้มันใกล้เคียงกับความจริงหน่อยเซ่!”“ตะโก้!ใจเย็นๆ” วายุรั้งแขนการันต์ไว้เพราะกลัวว่าคนรักจะเข้าไปตบตีอีกฝ่าย ถึงยังไงคู่กรณีก็เป็นผู้หญิง ทำอะไรไปก็
การันต์สบตากับวายุแล้วปลดหน้ากากอนามัยออก ทั้งที่เขาบอกกับวายุไม่ต้องมาช่วยก็ได้ แต่อีกฝ่ายก็เป็นห่วงน้องสาวของเขาที่ยังเจ็บขาอยู่จึงมาช่วยงาน ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองคิดไม่ผิดที่พาวายุเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว วายุดึงปลดหน้ากากอนามัยออกแล้วเอียงตัวไปทางการันต์เล็กน้อย มองผิวเผินเหมือนเพื่อนถ่ายรูปคู่กัน มีเพียงแววตาที่มองกันนั้นแตกต่างจากคำว่า ‘เพื่อน’โอ๊ย! พี่ชายเธอตัวใหญ่ยักษ์แต่พี่วายุก็ไม่ได้ตัวเล็กแต่เพราะสูงโปร่งเลยดูบอบบางไปเลย เกวลินกดบันทึกภาพรัวๆ นานๆ จะมีรูปถ่ายคู่กันนอกบ้านที แอบดีใจที่พี่ชายได้เจอคนรู้ใจที่เข้าอกเข้าใจกันดี ชีวิตคนเราจะต้องการอะไรไปมากกว่านี้ หญิงสาวแอบถอนหายใจ บางทีเธอก็คิดว่าตัวเองฝันไปที่ได้คบกับอิทธิพล เขาดูสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง จนบางทีเธอก็คิดว่าตัวเองไม่เหมาะที่จะยืนเคียงข้าง แต่เพราะเห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเขายามที่อยู่ด้วยกัน ทำให้เธอคิดได้ว่า...ขอแค่ทำให้เขามีความสุขแค่นี้ก็พอแล้ว“หนูกะทิอยู่นี่เอง”เสียงทักจากด้านหลังทำให้เกวลินหันไปส่งยิ้มพร้อมยกมือไหว้ทันที “สวัสดีค่ะคุณลาวัลย์ คุณเกริก”“เรียกเสียห่างเหินเชียว” คุณเกริกหัวเร
“จะดีเหรอคะ นานๆ เลี้ยงทีก็ได้ค่ะ ไม่ต้องเลี้ยงบ่อยนักหรอก เดี๋ยวกะทินิสัยเสียเอาแต่ใจตัวเองขึ้นมา พี่อิฐจะลำบากเอานะ” ตั้งแต่เคยมีแฟนมาก็มีคนนี้ที่บ่นว่าเขาเลี้ยงเธอบ่อยเกินไป อิทธิพลไม่รู้จะทำยังไงดี บางทีทำตัวก็เป็นเด็ก แต่บางครั้งก็เป็นคนมีเหตุผล “ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่ พี่ชายกะทิบอกให้พี่ไปกินข้าวเย็นที่ร้านได้ กะทิจะได้ไม่ต้องออกมาส่งข้าวให้พี่กิน นี่พี่ก็ประหยัดมื้อเย็นไปอีกหนึ่งมื้อเชียวนะ” เกวลินคิดตามแล้วก็พยักหน้ารับ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่รู้ผิดว่าตัวเองเอาเปรียบเขามากไป “พี่ถามอะไรหน่อยสิ” “ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับพลางยกน้ำขึ้นดื่ม “พี่เห็นที่บ้านมีผู้ชายอีกคน ...คนนั้นใครเหรอ” “อ้อ!พี่วายุค่ะ” “แล้ว?” “เอ่อ...” เกวลินชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ใจหนึ่งก็กลัวว่าเขาจะรังเกียจที่พี่ชายเธอเป็นเกย์ แต่อีกใจก็ไม่รู้ว่าจะปิดบังทำไม พูดไปตรงๆ ดีกว่า “พี่วายุ...เป็นแฟนของพี่ตะโก้ค่ะ” “แฟน?” “อื้ม... ก็แฟนแบบเราสองคนนี้ไง”