ตอนที่ 7 ข่าวดี
ราวน์วอร์ด
เวลาเก้าโมงเช้า
“วันนี้คนไข้เป็นอย่างไรบ้างคะมีปวดท้องเบื่ออาหารหรืออาการอื่นบ้างหรือเปล่า” แพทย์หญิงเจ้าของไข้ถือชาร์จดูรายงานการรักษาพ่อของปลายฟ้าพร้อมถามอาการประจำวันจากคนไข้
“วันนี้คุณพ่อมีอาการท้องอืดมากกว่าปกติค่ะแล้วก็มีอาการปวดท้องทานอาหารได้น้อยลงกว่าทุกวันด้วยค่ะ” น้ำเสียงที่ดูเศร้าของคนเป็นบุตรตอบแทนคนเป็นพ่อที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยใบหน้าที่แสดงความเจ็บปวดเป็นพัก ๆ คุณหมอสาวพยักหน้าเมื่อฟังอาการของคนไข้จากญาติพร้อมจดบางอย่างลงบนชาร์จก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กำลังใจแล้วบอกบางอย่างกับปลายฟ้าและพ่อของเธอ
“หมอมีเรื่องจะแจ้งให้คนไข้ทราบเกี่ยวกับการผ่าตัดนะคะ ตอนนี้ทางทีมแพทย์มีความเห็นตรงกันว่าจะเปลี่ยนแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดจากนายแพทย์ดนัยเป็น….”
“เป็นใครคะคุณหมอ” น้ำเสียงที่เศร้าสร้อยของปลายฟ้าก่อนหน้านี้รีบถามแพทย์เจ้าของไข้ทันทีอย่างมีความหวัง
“ทางเราจะเปลี่ยนศัลยแพทย์ผู้ผ่าตัดจากนายแพทย์ดนัยเป็นนายแพทย์ภีรภพค่ะ”
รอยยิ้มแห่งความดีใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวานทันทีที่แพทย์เจ้าของไข้พูดจบซึ่งเป็นรอยยิ้มแห่งความหวังแม้แต่หมอของขวัญเองก็สัมผัสได้ว่าพวกเขาพากันดีใจแค่ไหนที่ได้รับข่าวดีนี้
“ขอบคุณค่ะคุณหมอ ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ ค่ะที่ช่วยพวกเรา” น้ำเสียงและท่าทางแห่งความปีติของปลายฟ้าเอ่ยขอบคุณหมอของขวัญซ้ำ ๆ อยู่หลายครั้ง
“ไม่เป็นไรค่ะคนที่ควรได้รับคำขอบคุณน่าจะเป็นหมอภีร์มากกว่าค่ะ เพราะหมอภีร์คือคนที่ยอมเปลี่ยนใจมารับเคสในครั้งนี้ ซึ่งถือว่าคนไข้โชคดีมาก เพราะหมอภีร์เป็นศัลยแพทย์ที่คิวผ่าตัดแทบไม่ว่างเลยค่ะ”
ห้องพักแพทย์
ภีร์กำลังนั่งอ่านงานวิจัยเกี่ยวกับมะเร็งในกระเพาะอาหารอยู่หลังจากที่ผ่าตัดเคสสุดท้ายเสร็จเมื่อช่วงหนึ่งทุ่มที่ผ่านมา แม้จะเหนื่อยจากการผ่าตัดและยังมีเคสด่วนรออยู่แต่ภีร์ก็ยังปลีกเวลาอันน้อยนิดเพื่อที่จะมาศึกษาข้อมูลเคสที่เขาพึ่งจะตกลงรับเป็นศัลยแพทย์ผ่าตัดให้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้ภีร์เข้าใจว่าเป็นเจ้าหน้าที่พยาบาลที่มาตามเขาเพื่อไปดูเคสด่วนภีร์จึงเอ่ยอนุญาตออกไป
“เชิญครับ” ภีร์เอ่ยอนุญาตออกไปโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองผู้ที่เปิดประตูเข้ามา เมื่อรู้สึกว่ามีคนเข้ามาในห้องแต่ไม่พูดอะไรภีร์จึงเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะตกใจเล็กน้อยเมื่อคนที่กำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะของเขาตอนนี้คือญาติคนไข้เตียงหนึ่งที่พ่วงตำแหน่งครูสอนไวโอลินลูกสาวของเขาด้วย
“คุณมีอะไรหรือเปล่าครับถึงมาหาผม” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยถามผู้มาเยือนแบบไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ ก่อนจะก้มหน้าสนใจงานวิจัยในมือที่อ่านค้างอยู่แม้จะพอรู้ว่าสาเหตุที่หญิงสาวมาปรากฏตัวที่นี่ก็คงเป็นเรื่องพ่อของเธอแต่ภีร์ก็อยากรู้ว่าปลายฟ้าจะพูดอะไร
“คือ ฉันอยากมาขอบคุณคุณหมอน่ะค่ะที่ยอมช่วยผ่าตัดพ่อของฉัน” ปลายฟ้าบอกจุดประสงค์ในการมาพบคุณหมอหนุ่ม ท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ ของหญิงสาวไม่ได้รอดพ้นหางตาของภีร์แม่แต่น้อยแต่ชายหนุ่มก็ยังทำทีท่าเหมือนไม่ได้สนใจอะไรคนที่อยู่ในห้องกับเขาตอนนี้
“ฉันเอามาฝากค่ะ ขอบคุณนะคะสำหรับความช่วยเหลือ” ปลายฟ้ายื่นขวดน้ำอัดลมที่เธอพึ่งไปกดมาจากตู้กดเครื่องดื่มด้านล่างให้คุณหมอหนุ่ม ขวดน้ำหวานในมือของหญิงสาวถูกยื่นไปตรงหน้าของภีร์ แวบแรกชายหนุ่มไม่คิดที่จะรับถ้าหากว่าขวดน้ำในมือของปลายฟ้าไม่ยื่นมาขวางระหว่างสายตาของเขากับงานวิจัยที่กำลังอ่านอยู่ ภีร์รับมาและวางไว้บนโต๊ะโดยไม่มีท่าทีจะเปิดดื่ม เอาแต่สนใจงานวิจัยตรงหน้าจนปลายฟ้าอดไม่ได้จึงพูดขึ้น
“น้ำตาลเป็นสารที่ให้ความหวานและให้พลังงานแก่ร่างกายทำให้รู้สึกสดชื่นกระชุ่มกระชวย ดื่มสักหน่อยนะคะมันจะช่วยให้คุณสดชื่นขึ้น” ภีร์หยิบขวดน้ำขึ้นมาเปิดฝาแล้วดื่มไปหนึ่งอึกและวางกลับลงที่เดิมเพื่อตัดรำคาญ ปลายฟ้ายังคงยืนอยู่กับที่ไม่มีทีท่าจะออกไปจนภีร์ต้องเงยหน้าขึ้นมามองอีกรอบ
“คุณยังมีอะไรที่ต้องการคุยกับผมอีกหรือเปล่า” เมื่อปลายฟ้ายังยืนอยู่ที่เดิมภีร์จึงถามขึ้นพร้อมกับรอคำตอบจากหญิงสาว ปลายฟ้าที่ถูกถามมาแบบนี้ก็ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาอ้างเพราะหากจะบอกว่ามาขอบคุณเธอก็ขอบคุณไปแล้ว ปลายฟ้าจึงถามเกี่ยวกับลูกศิษย์ตัวน้อยของเธอแทน
“มินนี่เป็นอย่างไรบ้างคะ” น้ำเสียงไม่มั่นใจถามออกไปโดยที่ลึก ๆ ก็กังวลว่าคุณหมอหนุ่มอาจจะไม่ตอบ ทางด้านภีร์เมื่อถูกถามถึงลูกสาวจึงต้องวางเอกสารในมือลงและเงยหน้าขึ้นพูดคุยกับหญิงสาว
“มินนี่สบายดีครับก็มีงอแงบ้าง”
“แล้วตอนนี้มินนี่ยังไปเรียนไวโอลินอยู่หรือเปล่าคะ” ภีร์ถอนหายใจกับคำถามล่าสุดที่ปลายฟ้าถามเขาเพราะตั้งแต่ปลายฟ้าไม่ไปสอนลูกสาวของเขาก็ไม่ยอมไปเรียนไวโอลินอีกเลย
“มินนี่หยุดเรียนไวโอลินตั้งแต่วันที่คุณพักการสอนและจะกลับไปเรียนอีกครั้งเมื่อคุณกลับไปสอน และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมต้องเข้ามาช่วยเหลือเคสพ่อของคุณ ถ้าพ่อคุณหายหรือดีขึ้นคุณคงกลับไปสอนได้เหมือนเดิม มินนี่ก็คงจะยอมกลับไปเรียนไวโอลินเหมือนเดิม”
“ค่ะ ไม่ว่าคุณจะช่วยพ่อของฉันด้วยเหตุผลอะไรฉันก็ดีใจและที่มาวันนี้ก็อยากมาขอบคุณคุณหมอจากใจและฉันสัญญาว่าถ้าหากคุณพ่อฉันอาการดีขึ้นฉันจะรีบกลับไปสอนไวโอลินให้มินนี่ค่ะ” ปลายฟ้าบอกกับคุณหมอหนุ่มด้วยรอยยิ้มของคนมีความหวัง
“ปกติมินนี่เป็นคนที่เข้ากับคนแปลกหน้าได้ยาก คุณเก่งนะที่ทำให้ลูกสาวผมติดคุณแจเลย”
“มินนี่เป็นเด็กที่น่ารักค่ะ แค่เราเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการเด็กก็จะรู้สึกสนุกที่จะอยู่กับเราค่ะ” คำพูดและท่าทางของปลายฟ้ายามที่พูดถึงลูกสาวตัวน้อยของเขาทำให้ภีร์เริ่มมองครูสาวดีขึ้นกว่าเดิมอีกนิด
“ขอบคุณที่เข้าใจและเอ็นดูลูกสาวผม”
“คุณกำลังอ่านอะไรหรือคะ” เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นหนังสือที่อยู่ในมือของภีร์มีรูปกระเพาะอาหารประกอบคำบรรยายอยู่ ปลายฟ้าจึงตัดสินใจถามคุณหมอหนุ่มเผื่อว่าจะเกี่ยวกับการรักษาพ่อของเธอ
"ผมกำลังอ่านงานวิจัยเกี่ยวกับโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร” สายตาคมเหลือบขึ้นมองใบหน้าหวานเล็กน้อยหลังจากที่หญิงสาวถามจบ ก่อนจะตอบปลายฟ้าถึงหนังสือที่อยู่ในมือ
“เป็นเพราะเคสของคุณพ่อฉันหรือเปล่าคะที่ทำให้คุณหมอยังไม่ได้กลับบ้านจนถึงตอนนี้” ปลายฟ้ามองดูนาฬิกาบนผนังห้องที่ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสามทุ่มซึ่งเวลานี้ควรจะเป็นเวลาพักผ่อนของแพทย์ส่วนใหญ่ยกเว้นห้องฉุกเฉิน แต่หมอหนุ่มตรงหน้าเธอตอนนี้ยังคงนั่งอ่านงานวิจัยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่
“เปล่าหรอกผมมีเคสด่วนที่กำลังเดินทางมาโรงพยาบาลด้วย แค่หาอะไรทำระหว่างรอเพื่อคร่าเวลาแค่นั้นเอง” น้ำเสียงที่แข็งกร้าวก่อนหน้าเริ่มอ่อนลงมานิดตอบกลับหญิงสาวไปตามความจริง
“คุณต้องทำแบบนี้บ่อยไหมคะ”
“คุณหมายถึงแบบไหน” คิ้วเข้มขมวดด้วยความสงสัยในสิ่งที่ถูกถาม
“หมายถึงว่าคุณต้องทำงานลากยาวจนดึกแบบนี้บ่อยหรือเปล่าคะ” เมื่อคำถามแรกของเธอสั้นไปจนคนฟังไม่เข้าใจปลายฟ้าจึงอธิบายอีกครั้งในสิ่งที่เธอถาม
“ก็ไม่บ่อยนักหรอกยกเว้นมีเคสด่วนหรือเคสฉุกเฉินระหว่างที่ผมยังไม่ออกเวร อย่างวันนี้ผมก็มีผ่าตัดตั้งแต่เช้าพึ่งจะเสร็จตอนหนึ่งทุ่ม พอดีมีเคสด่วนที่กำลังถูกส่งตัวมาที่นี่จึงต้องอยู่รอ”
“คนเป็นหมอนี่คงเหนื่อยน่าดูนะคะ”
“คุณมองผมออกขนาดนั้นเลย” สายตาแปลก ๆ ที่ถูกส่งมาจากคุณหมอหนุ่มทำเอาปลายฟ้าต้องรีบมองไปทางอื่น ภีร์แอบยิ้มน้อย ๆ กับท่าทางของคนตรงหน้า
“ฉันก็หมายถึงหมอทุกคนแหละค่ะไม่ได้เฉพาะคุณ” ปลายฟ้ารีบพูดแก้เก้อ
“มันเป็นหน้าที่ของหมอครับในเมื่อเลือกที่จะเป็นหมอทั้งที่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรตั้งแต่ยังไม่สอบเข้าก็ต้องยอมรับตรงจุดนี้ การที่คนไข้นอนรอความช่วยเหลือตรงหน้าจะให้ปฏิเสธทั้งที่ช่วยได้มันก็ดูจะขัดกับจรรยาบรรณแพทย์ไปสักหน่อย” ภีร์บอกปลายฟ้าในขณะที่มือหนาก็ค้นดูวารสารทางการแพทย์เล่มอื่น ๆ ที่เขาหามาเกี่ยวกับโรคมะเร็งในกระเพาะที่วางอยู่บนโต๊ะ
“จะเป็นอะไรไหมคะถ้าฉันจะขออ่านวารสารที่เกี่ยวกับผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งในกระเพาะ” ปลายฟ้าเริ่มจะสนใจวารสารทางการแพทย์ที่วางอยู่บนโต๊ะของภีร์เพราะดูแล้วส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับโรคที่พ่อของเธอเป็นทั้งนั้น ภีร์มองหญิงสาวตรงหน้าที่ชวนเขาคุยตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องจนถึงตอนนี้และดูแล้วไม่มีทีท่าว่าจะไปง่าย ๆ
“มันเป็นเอกสารทางการแพทย์คำศัพท์ต่าง ๆ เป็นคำที่ใช้ในวงการแพทย์คุณอ่านไปก็ไม่เข้าใจหรอกครับ อีกอย่างคงไม่สะดวกที่จะให้คุณยืมออกไปอ่านที่อื่น” ภีร์แกล้งบอกออกไปเพราะหวังว่าปลายฟ้าจะหมดเรื่องคุยแล้วกลับไปเฝ้าพ่อของเธอตามเดิม แต่ภีร์กลับต้องแปลกใจอีกครั้งกับคำพูดถัดมาของปลายฟ้า
“งั้นฉันขออ่านกับคุณในห้องนี้จะได้ไหมคะ ฉันอยากรู้ว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งในกระเพาะควรได้รับการดูแลแบบไหนเผื่อว่าวันไหนที่พ่อของฉันออกจากโรงพยาบาลฉันจะได้ดูแลให้ถูกหลักการแพทย์ พ่อของฉันจะได้หายเร็ว ๆ” แม้สิ่งที่ปลายฟ้าพูดจะฟังดูมีเหตุผลแต่ภีร์ก็ไม่อยากให้หญิงสาวอยู่ในห้องนี้กับเขานานเนื่องจากเป็นห้องพักแพทย์ อีกอย่างถ้าหากว่าสองเพื่อนซี้อย่างภาคย์และเวย์รู้เขาก็คงต้องตอบคำถามอีกยาวเกี่ยวกับปลายฟ้า
“ก่อนออกจากโรงพยาบาลแพทย์และพยาบาลเขาจะแนะนำวิธีการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยเมื่อกลับบ้านอยู่แล้วครับ”
“แต่มันก็ไม่เท่าศึกษาเพิ่มเติมเองไม่ใช่หรือคะ คุณหมอเก่งขนาดนี้ยังต้องอ่านเพิ่มเลย” สีหน้าจริงจังของปลายฟ้ายามเมื่อพูดกับภีร์ทำเอาภีร์ต้องถอนหายใจ ก่อนจะยอมอนุญาตให้ปลายฟ้านั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับวารสารของคนป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารในห้องพักแพทย์ของเขา ดีตรงที่ห้องพักแพทย์ของภีร์เป็นห้องส่วนตัวจึงไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามารบกวนนอกจากมีเคสด่วน
“งั้นคุณก็เอาไปนั่งอ่านตรงโซฟานั่นก็แล้วกันแล้วอ่านเงียบ ๆ ผมต้องการสมาธิในการอ่านงานวิจัย” เมื่อไม่อาจหาเหตุผลมาอ้างให้ปลายฟ้ายอมกลับไปได้ภีร์จึงจำเป็นต้องยอมให้อีกฝ่ายอยู่ในห้องกับเขา
“ขอบคุณค่ะ ฉันสัญญาว่าจะอ่านเงียบ ๆ ไม่รบกวนคุณ” ท่าทางดีใจที่แสดงออกมาอย่างเปิดเผยของปลายฟ้าเมื่อได้รับอนุญาตให้ยืมหนังสืออ่านและให้อยู่ในห้องพักแพทย์ร่วมกับเขาทำให้ภีร์ส่ายหัวเบา ๆ เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงที่ภีร์มัวแต่ก้มหน้าอ่านงานวิจัยในมืออย่างตั้งใจในขณะที่ปลายฟ้าก็อยู่เงียบ ๆ ตรงโซฟา ภีร์รู้สึกถึงความเงียบผิดปกติจึงเงยหน้าหันไปมองตรงที่ปลายฟ้านั่งอยู่ ภาพที่เห็นคือปลายฟ้าได้ฟุบหลับไปในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนไปกับโซฟา ภีร์จึงส่ายหัวแล้วยิ้มเบา ๆ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นเจ้าหน้าที่พยาบาลที่มาเรียกภีร์เพื่อไปดูเคสด่วนที่ถูกส่งตัวมาจากอีกโรงพยาบาล
“คุณหมอคะเคสด่วนที่แจ้งไว้มาถึงแล้วค่ะ”
“ครับเดี๋ยวผมตามไปตอนนี้” ภีร์บอกพยาบาลสาวก่อนจะรีบลุกขึ้นเพื่อเดินไปยังห้องฉุกเฉิน โดยไม่ลืมที่จะหยิบแจ็กเกตตัวใหญ่ของตนเองขึ้นมาคลุมให้กับปลายฟ้าเพราะกลัวว่าแอร์ที่เย็นจัดจะทำให้ร่างบางหนาว
“คงอดนอนมาหลายวันสินะถึงได้หลับลึกขนาดนี้ เธอเป็นคนยังไงกันแน่ปลายฟ้า ใสซื่อบริสุทธิ์เหมือนที่แสดงออกให้ทุกคนเห็นหรือเป็นแบบที่ผมเห็นวันนั้นกันแน่” ภีร์ที่กลับมาจากดูเคสด่วนจึงหยุดอยู่ตรงหน้าปลายฟ้าที่หลับสนิท สายตาคมเข้มจ้องใบหน้าเรียวเล็กอย่างพินิจพิเคราะห์ก่อนจะก้มลงไปจัดท่านอนให้หญิงสาวใหม่ให้นอนในท่าสบายขึ้น
“ฮือ…” เมื่อถูกรบกวนการนอนจึงร้องครางขึ้นทั้งที่เปลือกตายังปิดสนิท
“เด็กน้อยขึ้เซา มาหลับในห้องคนอื่นแบบนี้ไม่รู้จักกลัวเลยหรือไง ถ้าโดนลักหลับขึ้นมาจะรู้สึกตัวไหม”