เวลาพลบค่ำตะวันคล้อยต่ำท้องนภาเริ่มแปรเปลี่ยนสี ณ เรือนหลังใหญ่ที่ตั้งเด่นตระหง่านในตรอกซอยที่เหล่าชนชั้นสูงพักอาศัยอยู่ บัดนี้ผู้เป็นเจ้าของกำลังนั่งร่ำสุราด้วยท่าทีที่ไม่ยี่หระต่อสิ่งใด รอบข้างนั้นมีสาวงามคอยป้อนผลไม้แลขนมหวานอย่างพะเน้าพะนอเอาใจ ใบหน้าหล่อเหล่างดงามบัดนี้นิ่งสงบมิสามารถคาดเดาอารมณ์แลความคิดใด ๆ ของเจ้าตัวได้ แววตาดำทมิฬราบเรียบมองออกไปยังสระบัวใหญ่กลางจวนนิ่ง ก่อนจะเปลี่ยนท่าทีเล็กน้อยแต่ท่วงท่าที่แลดูเกียจคร้านยิ่งเมื่อเห็นคนของตนเร้นกายเข้ามาพร้อมทั้งก้มใบหน้ายืนนิ่งเพื่อเตรียมรายงานสิ่งที่ตนนั้นให้ไปสืบเสาะหา“นายท่าน” ชายชุดดำยืนโค้งเคารพผู้เป็นนายที่กำลังหยอกเย้ากับสตรีบนตั่งทองด้วยท่าทีนิ่งสงบ“อืม ว่าเช่นไรเล่า สตรีจองหองผู้นั้นตกลงว่านางกำลังทำสิ่งใดอยู่กันแน่” เฉินอ๋องหมุนควงจอกสุราทองคำเล่นไปมาพลาง ๆ เพื่อรอฟังคำรายงาน ใบหน้าหล่อเหลากดยิ้มเหยียดมุมปากน้อย ๆ“กระหม่อมไปสืบมาได้ความว่า ในเวลานี้นางกำลังปลูกผักอยู่พ่ะย่ะค่ะ”“ปลูกผัก ฮ่า ๆ ฮึ ปลูกผักกระนั้นหรือนี่นางสมองกลับแล้วหรือไร เอาแต่ปลูกผักอยู่ครั้งที่แล้วมิอาจทำสิ่งใดนางได้ หึ! ในเมื่อชื่นชอบนักเช่น
บรรยากาศยามเช้าตรู่มีหมอกจาง ๆ ให้ได้เห็น หมิงอี้กางแขนจนสุดพร้อมสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าเสียเต็มปอด เมื่อสูดจนหนำใจก็ค่อย ๆ ลืมตาพร้อมทั้งกวาดมองไปยังพื้นที่รอบ ๆ โรงเรือนแปลงผักของตนช้า ๆ ด้วยความปลื้มในใจที่สามารถนำพาหมู่บ้านที่ยากจนไม่มีแม้กระทั่งผู้คนมาสนใจ หมู่บ้านคนอพยพที่เป็นแรงงานชนชั้นทาส แรงงานที่ถูกคนในเมืองใหญ่ของแคว้นกดขี่ดูถูกอีกทั้งไม่คบค้าด้วย มาบัดนี้เริ่มมีชีวิตชีวา บ้านแต่ละหลังถูกขยายขนาดใหญ่ขึ้นอีกทั้งยังเขียวชอุ่มไปด้วยพืชผักที่ปลูกตามตน ผู้คนเริ่มมีเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ดีขึ้น แม้ไม่ได้เลิศหรูเสียทีเดียวแต่ก็นับว่าดีกว่าแต่ก่อนอยู่มาก อีกทั้งผู้คนจากฝั่งตลาดก็กล้าเดินข้ามมาคบค้ากับพวกตนมากขึ้นอีกด้วย“อืม เรานี่ก็เก่งไม่เบานะนี่ ต่อไปก็...หึ ๆ เงินทั้งนั้น ๆ ออเดอร์มากมายขนาดนี้ไม่ปล่อยหลุดมือไปเสียหรอก หมิงอี้สู้เว้ย!” หมิงอี้กำมือขึ้นเพื่อเรียกกำลังใจให้กับตน หมู่บ้านก็ต้องการพัฒนาและแน่นอนว่าเงินเองนางก็อยากได้ ด้วยในใจนั้นมักยึดคำที่ว่ามีเงินทุกอย่างคือจบ! และดูเหมือนว่าจะเป็นเฉกเช่นนั้นเสียด้วยสิ“อู๋ไป๋ นี่กี่โมงแล้วหากพวกเจ้าพร้อมก็เรียกรวมคนงานได้เลย วันนี้
“หมิงอี้ ไม้ไผ่ที่เจ้าต้องการ ตอนนี้ตัดได้ครบตามจำนวนตามที่สั่งแล้วล่ะ” อู๋ไป๋รีบเดินปรี่เข้ามารายงานหมิงอี้ในทันทีที่ทำงานลุล่วงตามที่หมิงอี้สั่งไว้ ด้วยสภาพที่โชกไปด้วยเหงื่อแต่ก็ทำเพียงใช้หลังมือเช็ดออกเพียงเท่านั้น โดยที่เจ้าตัวนั้นมิได้สนใจที่จะใช้ผ้าเช็ดออกแต่อย่างใดภาพของอู๋ไป๋ตรงหน้านางในเวลานี้ทำให้หมิงอี้ได้แต่ส่ายหน้ายิ้ม ๆ พร้อมทั้งยื่นน้ำเย็นชื่นใจเพื่อเป็นการขอบคุณอยู๋ในที“ครบแล้วเช่นนั้นพวกเราก็เดินทางกลับกันเถิด เดี๋ยวจะค่ำมืดเสียก่อน เฮ้อชินอีหากมีเวลามากกว่านี้ข้าเองก็ยังอยากว่ายน้ำในลำธารนั่นอีกอยู่ดี” หมิงอี้อดที่จะเอ่ยออกมาอย่างนึกเสียดายเสียมิได้ แต่ภาระงานข้างหน้ายังรออยู่อีกอย่างในใจก็ยังเป็นห่วงมารดาอยู่มากจึงเร่งเดินทางกลับในทันที“โธ่ นายหญิงน้ำเย็นเพียงนั้นชินอีล่ะไม่เห็นว่าจะน่าภิรมย์เลยเจ้าค่ะ”“ก็เจ้าไม่ชอบอาบน้ำนี่นา เจ้าไม่เข้าใจหรอกชิ ไปเถอะ ๆ ” หมิงอี้เอ่ยพร้อมทั้งเร่งเดินตามขบวนคนงานเพื่อมุ่งออกจากป่าตรงกลับหมู่บ้านคนอพยพของตนคล้อยหลังเหล่าขบวนขนไม้ของหมิงอี้ เฉิงอี้ที่ซ่อนกายเพื่อซุ่มดูมาครู่ใหญ่ก็ได้เผยตนออกมา พร้อมทั้งหันไปสั่งราชองครักษ์คนสนิ
เฉิงอี้ไม่ปล่อยให้ถูกความใครรู้ครอบงำ เขาค่อย ๆ ขยับกายอย่างแผ่วเบาย่องเข้าไปประชิดหลบหลังต้นไม้ใหญ่ใกล้ริมธารน้ำ ทันทีที่แลเห็นใบหน้าหญิงงามที่เข้าใจว่าฝ่ายตรงข้ามวางกลอุบายหวังลวงหลอกตนเข้า ฉับพลับใบหน้าคมคายหล่อยเหลาพลันแดงก่ำ ก่อนครู่ต่อมาจะกัดฟันกรอดหันไปสั่งองครักษ์ของตนอย่างรวดเร็วให้รีบหันหน้ากลับไป“บัดซบ เย่หลาง!หยุดตรงนั้นแล้วหันกลับไปซะ!”“....เอ่อ พะย่ะค่ะ” เย่หลางที่กำลังเตรียมเคลื่อนตัวตามผู้เป็นนายพลันชะงักเท้ากึก แล้วหันไปอย่างรวดเร็วในใจสับสนแลสังสัยอยู่มิน้อยกับคำสั่งกะทันหันของผู้เป็นนายเฉิงอี้หลังออกคำสั่งแล้วเสร็จ แต่ทว่าตนนั้นกลับขยับเท้าเข้าใกล้ริมลำธารอย่างเผลอไผล ภาพสตรีเรือนร่างขาวกระจ่างยวนตาท่ามกลางแสงจันทร์รำไรที่ตกกระทบกับสายน้ำจนเกิดเป็นแสงระยิบระยับขึ้น ทำให้ภาพหมิงอี้เวลานี้ที่เขามองซุ่มดูอยู่นั้นดูราวกับนางฟ้านางสวรรค์ก็มิปาน“นายหญิงขึ้นมาได้แล้วเจ้าค่ะ อากาศเริ่มเย็นมากแล้วเดี๋ยวไม่สบายเอานะเจ้าคะ อีกอย่าง ...เอ่อ แถวนี้น่ากลัวพิลึก นายหญิงขึ้นเถอะเจ้าค่ะ”ชินอีที่เริ่มกลัวขึ้นมาเมื่อบรรยากาศโดยรอบถูกปกคลุมด้วยความมืด มีเพียงแสงโคมไฟพอสลัวที่ตนนั้นห
ขบวนคาราวานของหมิงอี้และพวกที่เดินทางมุ่งหน้าสู่ชายป่าวัดฉงซิ่งในที่สุดก็มาถึงจุดที่เหมาะแก่การตั้งกระโจมที่พัก พื้นที่พักติดริมธารน้ำ ด้านหลังเป็นป่าไผ่ขนาดใหญ่เกิดเรียงกันเป็นทิวแถวสลับกอกันไปทั้งน้อยใหญ่ซึ่งการเดินทางนั้นต้องเดินให้ลึกเข้ามาพอสมควรเพราะต้นไผ่ที่ตนต้องการนั้นต้องลำอวบใหญ่ ฉะนั้นจำต้องเข้าป่ามาลึกกว่าปกติ และชายป่าที่ตนและพวกกำลังตั้งกระโจมอยู่นี้นั้นได้ยินอู๋ไป๋บอกกับว่าที่ ๆ พวกต้นกำลังตะว่าเกือบสุดเขตเมืองหลี่ก็ว่าได้ เวลานี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้วแสงตะวันเริ่มจะลาลับขอบฟ้าทำให้ต้องจุดไฟเสียตั้งแต่ยังไม่มืด สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่าน ต้นไผ่เอนไหวโน้มกิ่งเข้าหากันลำต้นเสียดสีไปมาพลันเกิดเป็นเสียงเอี๊ยดอ๊าดคล้ายคนบรรเลงเพลง หากแต่ในความคิดของหมิงอี้คิดว่าเสียงนี้ช่างน่ากลัวและวังเวงยิ่งนักจนอดที่จะยกมือขึ้นมาลูบเรียวแขนของตัวเองเสียมิได้“ชินอี ทำไมข้ารู้สึกว่าเสียงนี้มันช่าง...”ชินอีหันมาสนใจผู้เป็นนายอย่างใคร่สงสัยนางนั้นไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดแปลก ป่าก็คือป่าและเสียงเอี๊ยดอ๊าดสีกันของต้นไผ่ในเวลานี้ก็ย่อมเป็นเรื่องปกติ“ช่างกะไรรึเจ้าคะ”“ก็มันช่างน่ากลัวพิลึกน่ะสิ”หมิงอี
“หมิงอี้เจ้าจะไปจริงรึ”อี้เฟินมองบุตรสาวด้วยสายตาเป็นห่วง ในใจนั้นรู้สึกโหวงหวิวพิกล ตั้งแต่เล็กจนโตแม้กระทั่งผ่านความเป็นความตายมาตนและบุตรสาวนั้นล้วนไม่เคยต้องห่างกันเลยซักครา“ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ ข้าไปเพียงสองคืน หากได้ไม้ไผ่ครบแล้วจะรีบกลับมาทันทีเลยเจ้าค่ะ อีกอย่างป่าแถบวัดฉงเซิ่งก็ไม่ไกลล้วนไม่มีอันตรายแน่นอนเจ้าค่ะ อู๋ไป๋ก็ไปด้วยท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงข้านะเจ้าคะ”หมิงอี้โอบกอดมารดาพลางมือยกลูบหลังผู้เป็นมารดาไปมาก่อนจะผละออกเพื่อเตรียมขึ้นรถม้า ส่วนสาเหตุที่ตนต้องไปคุมการตัดไม้ด้วยตนเองนั้นเป็นเพราะว่าลำไม้หากเล็กเกินไปก็ไม่ดีใหญ่เกินไปก็ไม่ดี งานนี้งานใหญ่และเป็นครั้งแรกจำต้องไปดูด้วยตนเอง“พี่หมิงอี้! รอข้าด้วยสิ”เฟิน เฟิน ที่วิ่งเข้ามาพร้อมกับย่ามในมือท่าทางเตรียมพร้อม“เฟิน เฟิน เจ้าจะไปที่ใดเจ้าอยู่กับท่านแม่ข้าที่บ้านดีกว่านะ ข้าไม่ไว้ใจใครนอกจากเจ้า”“แต่พี่หมิงอี้ เฟิน เฟิน ยะ”“เถอะนะ แค่เพียงสองคืนเท่านั้นเองเจ้าอยู่ที่เรือนนี่แหละ นะข้าจะได้สบายใจอีกอย่างเจ้าอยู่ช่วยแม่ข้าจัดหาพวกฟักนุ่นและผักบวบปห้งดีกว่าเมื่อพวกข้ากลับมาจะได้ลงปลูกได้เลย นะ นะ”หมิงอี้