LOGINตอนที่ 2
หลิวหลันเฟยวิ่งสุดกำลัง เธอวิ่งตามแสงไฟสลัวจากตะเกียงที่ติดอยู่ตามผนังคุก ร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการถูกล่ามโซ่ทำให้เธอวิ่งได้ไม่เร็วนัก ด้านหลังของเธอมีเสียงฝีเท้าของทหารที่วิ่งไล่ตามเธอพร้อมเสียงตะโกนโหวกเหวกดังก้องไปทั่วคุก
"หยุดเดี๋ยวนี้! ซูหยวนเหม่ย ถ้าไม่หยุด เราจะฆ่าเจ้าทันที!" เสียงตะโกนตามหลังทำให้เธอเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นอีก
เธอเลี้ยวเข้าไปตามทางแคบ ๆ ระหว่างห้องขัง ท่ามกลางความมืดและกลิ่นอับของคุกหลวง จนมาถึงมุมหนึ่งที่เปิดออกสู่ทางเดินกว้าง ทันใดนั้นเอง เธอก็เธอก็นร่างของชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ ร่างสูงสง่าในชุดผ้าคลุมยาวสีดำ ดาบข้างเอวสะท้อนแสงไฟอ่อน ๆ ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย แต่แฝงความเยือกเย็นและทรงอำนาจ หลันเฟยหยุดชะงัก ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ชายคนนี้ไม่ได้ดูเหมือนทหารทั่วไป แต่กลับดูเหมือนชนชั้นสูง หรืออาจเป็นขุนนางผู้มีอำนาจ
"ช่วยด้วย!ได้โปรดช่วยข้าด้วย!" หลิวหลันเฟยรีบร้องขอความช่วยเหลือจากคนตรงหน้า เพราะเขาดูมีอำนาจมากพอที่จะช่วยเธอได้
ชายหนุ่มคนนั้นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ราวกับไม่คาดคิดว่าจะมีใครกล้าขอความช่วยเหลือจากเขาในสถานการณ์แบบนี้ "เจ้าเป็นใคร?" เขาถามเสียงเรียบ แต่แววตายังคงจับจ้องมาที่เธออย่างสำรวจ
"ข้าชื่อหลิว…ข้าชื่อซูหยวนเหม่ย!" เธอตอบกลับอย่างรวดเร็วกับชื่อที่เธอเพิ่งได้ยินมา "ช่วยข้าด้วย ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด แต่พวกเขาจะฆ่าฉัน”
เสียงฝีเท้าของทหารดังใกล้เข้ามา หลิวหลันเฟยมองไปทางด้านหลังด้วยความหวาดหวั่น ก่อนจะหันกลับมามองชายหนุ่มตรงหน้า "ขอร้องเถอะ! ได้โปรด ข้าถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ แต่ตระกูลข้าไม่ได้ทำอะไรผิด”
ชายหนุ่มยังคงนิ่งเงียบอยู่ชั่วขณะ ดวงตาคมกริบของเขาจับจ้องไปที่หลิวหลันเฟย ราวกับคิดพิจาณาคำพูดของเธอ
"พวกเขาหาว่าข้าเป็นกบฏ ทั้งที่ข้าและคนของข้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย!" หลันเฟยเอ่ยอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
ชายหนุ่มคนนั้นถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้น "คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏในที่แห่งนี้... ส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสได้พูดความจริงนักหรอก" น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา แต่ลึกลงไปกลับแฝงความเศร้าไว้จาง ๆ
คำพูดนั้นทำให้หลันเฟยรู้สึกถึงบางอย่างในตัวเขา ราวกับว่าเขาเข้าใจความรู้สึกนี้ดี
"ถ้าเจ้ารอดออกไปได้ เจ้าจะทำอย่างไรต่อ" เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ
หลันเฟยชะงัก ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว "ข้าจะพิสูจน์ว่าข้าไม่ได้ทำอะไรผิด และข้าจะล้างแค้นให้กับตระกูลของข้า!”
ชายหนุ่มมองเธออย่างพิจารณาอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะยิ้มที่มุมปากเบา ๆ "เจ้าช่างเป็นคนที่น่าสนใจเสียจริง”
ก่อนที่หลันเฟยจะทันพูดอะไรต่อ เขาก็หันหลังให้และเดินไปทางด้านหลังของทางเดิน "ตามมาข้าจะพาเจ้าออกไป"
หลันเฟยนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบวิ่งตามเขาไป เสียงฝีเท้าของทหารยังคงดังอยู่ห่าง ๆ ชายหนุ่มพาเธอเลี้ยวลัดเลาะไปตามทางเดินแคบ ๆ จนมาถึงประตูไม้บานหนึ่งที่ดูเหมือนไม่มีอะไรพิเศษ
เขาหยุดยืนอยู่หน้าประตู หันกลับมามองเธอ "จำไว้นะ เจ้าเป็นเพียงคนแปลกหน้าสำหรับข้า ข้าช่วยเจ้าเพราะสงสารเจ้าเท่านั้น อย่าทำอะไรที่ทำให้ข้าต้องเสียใจทีหลัง"
"ข้าเข้าใจแล้ว" หลันเฟยพยักหน้าอย่างจริงจัง ชายหนุ่มดึงกลไกบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในผนังด้านข้าง ประตูไม้บานนั้นเปิดออก เผยให้เห็นทางเดินลับที่ทอดยาวไปในความมืด
"อุโมงค์นี้จะพาเจ้าออกไปยังป่าด้านนอก" เขาอธิบายสั้น ๆ ก่อนจะเดินนำหน้านางไป หลันเฟยจึงเดินตามเขาเข้าไปในอุโมงค์ ภายในนี้มีแต่ความมืดมิดและทางเดินคับแคบแค่นั้น
"ขอบคุณนะเจ้าคะ" หลันเฟยเอ่ยเสียงเบา “ข้ายังไม่รู้จักชื่อท่านเลย..” เธอเห็นเขาชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะเดินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอจึงเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าจะได้รู้ว่าข้าต้องตอบแทนบุญคุณของใคร”
ชายหนุ่มหยุดเดินหันมามองเธอ ดวงตาคมกริบสบตาเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบสั้น ๆ "หลี่เซวียน..ข้าชื่อหลี่เซวียน”
"หลี่เซวียน..." เธอพึมพำซ้ำกับตัวเอง ก่อนจะถามต่อ "ทำไมท่านถึงช่วยข้าล่ะ"
หลี่เซวียนไม่ได้ตอบในทันที เขาหันกลับไปเดินต่อ ราวกับไม่คิดจะพูดถึงเหตุผลนั้น แต่สุดท้ายเขาก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ "เพราะข้าเคยตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเจ้า"
คำพูดนั้นทำให้หลันเฟยเงียบไป เธอไม่ถามถามอะไรต่อ เพราะรู้ดีว่ามันอาจเป็นเรื่องที่เขาไม่อยากเอ่ยถึง เมื่อเดินมาจนถึงปลายทาง เริ่มมีแสงจากภายนอกสอดส่องเข้ามาภายในอุโมงค์แล้วหลี่เซวียนจึงเอ่ยขึ้นมา
"จากนี้ไป เจ้าต้องเดินต่อเองแล้ว" หลี่เซวียนบอกพร้อมกับหันกลับมามองเธอ
"แล้วท่านล่ะ จะไปไหน" หลันเฟยเอ่ยถามขึ้นในทันที เพรานี่เป็นชายคนแรกที่เธอรู้จักในโลกแห่งนี้ พอจะต้องอยู่ตามลำพังเธอก็รู้สึกกลัวขึ้นมา
"ข้ามีหน้าที่ต้องทำต่อ เจ้าคงไม่อยากให้ข้าถูกจับเพราะช่วยเจ้าหรอกนะ" เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง หลันเฟยเห็นดังนั้นจึงพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
"ขอบคุณท่านมาก เราจะได้เจอกันอีกหรือไม่”
“ถ้าฟ้าลิขิตให้ได้เจอ เจ้าก็จะเจอข้าเอง” เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินจากไป หลันเฟยมองตามหลังเขาด้วยใบหน้าเศร้าสร้อยก่อนจะสูดลมหายใจเข้า แล้วหันไปมองทางข้างหน้าเพื่อเดินต่อไป อีกไม่กี่ก้าวเธอก็จะเป็นอิสระแล้ว
เมื่อหลิวหลันเฟยก้าวออกจากอุโมงค์ ความมืดก็โอบล้อมรอบตัวเธอในทันที ท้องฟ้าสีดำสนิทประดับด้วยดวงดาวเพียงไม่กี่ดวง ลมเย็นในยามค่ำคืนพัดผ่านพุ่มไม้และต้นไม้สูงใหญ่จนเกิดเสียงเสียดสี เธอหยุดยืนสูดลมหายใจลึกแล้วเหลียวมองไปรอบ ๆ เพื่อประเมินสถานการณ์
เธอกวาดตามองหาทางออกจากป่าที่มืดมิด ก่อนจะตัดสินใจเดินลัดเลาะผ่านป่าทึบไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเธอเห็นแสงสว่างจากไกลๆ เธอจึงรีบเดินเข้าไปใกล้ขึ้น จนเห็นว่าแสงนั้นมาจากตะเกียงในตลาดแห่งหนึ่ง
ในตลาดนั้นมีผู้คนมากมายกำลังเดินซื้อของยามค่ำคืน มีคนเดินผ่านไปมาอย่างครึกครื้น หลันเฟยคิดว่าเธอจะใช้เวลาซ่อนตัวอยู่ที่นี่สักพัก แต่หากออกไปตอนนี้เธอคงจะโดนจับได้แน่ เพราะชุดที่เธอใส่อยู่คือชุดของนักโทษ เธอต้องรอให้ดึกกว่านี้แล้วรอให้ผู้คนซาลงแล้วค่อยเดินออกไป
เมื่อคิดได้ดังนั้นหลิวหลันเฟยจึงตัดสินใจซ่อนตัวไว้ในพุ่มไม้ใกล้ ๆ ริมป่า เธอนั่งลงพิงต้นไม้ใหญ่เพื่อพักเหนื่อย หัวใจของเธอยังคงเต้นแรงจากการหลบหนี
เธอหลับตาลงเพียงชั่วครู่ ความเหนื่อยล้าทำให้จิตใจสงบลงบ้าง แต่แล้ว ทันใดนั้น…
ความทรงจำที่ไม่ใช่ของเธอเองก็พลันปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
ในหัวของเธอ ภาพของหญิงสาวที่ชื่อ ซูหยวนเหม่ย ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เธอเห็นตัวเองในชุดงดงามกำลังยิ้มอยู่ในจวนที่สวยงาม เสียงหัวเราะของบิดาและพี่ชายยังคงดังก้อง ความสุขในวันวานของตระกูลซูปรากฏขึ้นเหมือนภาพฝัน
แต่ความสุขนั้นกลับพลันแหลกสลาย ภาพจวนที่ถูกล้อมด้วยทหาร เสียงตะโกนของแม่ทัพที่กล่าวหาตระกูลซูว่าเป็นกบฏ ใบหน้าของพี่ชายที่เปื้อนเลือดขณะพยายามปกป้องครอบครัว ทุกอย่างดูเหมือนจริงจนหลิวหลันเฟยแทบจะทนมองไม่ไหว
เสียงคำพูดของบิดาดังก้องในหัว “หยวนเหม่ย… จำไว้นะลูก ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวเรา เจ้าต้องเอาตัวรอด และจงใช้สมบัติที่พ่อซ่อนไว้อย่างรอบคอบ”
เธอสะดุ้งตื่นจากภาพในหัว ลมหายใจของเธอหนักหน่วงและกระชั้น เธอยกมือกุมหน้าอกที่หัวใจเต้นรัว
“สมบัติที่ท่านพ่อซ่อนไว้…” เธอพึมพำเบา ๆ ความทรงจำเริ่มชัดเจนขึ้น พ่อของซูหยวนเหม่ยได้ซ่อนสมบัติไว้ในที่แห่งหนึ่งเพราะเขาเกรงว่าวันหนึ่งจะเกิดเรื่องไม่ดีกับตระกูลซู แล้วลูกหลานของเขาจะไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ เขาจึงได้ซ่อนสมบัติจำนวนหนึ่งไว้ในที่ลับแห่งหนึ่ง ที่มีแค่คนในครอบครัวของเขาเท่านั้นที่รู้
จากความทรงจำนั้นทำให้เธอรู้สึกมีแสงสว่างส่องเข้ามาในชีวิตของเธอในยามที่มันมืดมิด เพราะการจะมีชีวิตอยู่เธอต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก หากไม่มีเงินเธอจะไม่มีทางที่จะทวงยุติธรรมให้กับตระกูลของเธอได้เลย เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงได้เปลี่ยนเป้าหมายในการเดินทางทันที
—————————
มาต่อแล้วค่า เปิดตัวพระเอกแล้ววว
ตอนที่ 8หลังจากที่ซูหยวนเหม่ยใช้เวลาเกือบหนึ่งอาทิตย์ในการฝึกฝนงานบ้านจนคล่อง นางก็พร้อมที่จะเข้าไปทำงานในจวนตระกูลเจียงจริง ๆ เสียที แม้ภายนอกจะดูสงบนิ่ง แต่หัวใจของนางกลับเต้นแรงด้วยความกังวลจุดประสงค์หลักของนางคือการค้นหาหลักฐานหรือเบาะแสที่เชื่อมโยงความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับตระกูลซู และนำมันมาเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของครอบครัวของตนในเช้าวันที่อากาศสดใส หลี่เซวียนพานางมายังตลาดที่มีการรับสมัครคนงานสำหรับจวนตระกูลเจียง เขาเตรียมการทุกอย่างไว้เรียบร้อย รวมถึงติดสินบนเล็กน้อยกับนายหน้า เพื่อให้แน่ใจว่าหยวนเหม่ยจะได้รับเลือกก่อนที่นางจะเข้าไปในจุดรับสมัคร หลี่เซวียนดึงนางมาหยุดที่มุมหนึ่ง ดวงตาคมของเขาจ้องมองนางอย่างลึกซึ้ง“หยวนเหม่ย ฟังข้าให้ดี” น้ำเสียงของเขาหนักแน่น แต่แฝงด้วยความอ่อนโยนที่นางไม่คุ้นเคย “ถ้าเกิดอะไรขึ้น เจ้าต้องออกมาทันที อย่าฝืนตัวเองเพื่อหลักฐาน เข้าใจหรือไม่”หยวนเหม่ยพยักหน้าเบา ๆ พลางส่งยิ้มให้เพื่อปลอบเขา “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านไม่ต้องห่วง ข้าจะระวังตัว”แต่หลี่เซวียนยังคงจ้องนางด้วยสายตาเคร่งขรึม ราวกับต้องการให้คำพูดของเขาตรึงแน่นอยู่ในความคิดของนาง “ข้า
ตอนที่ 7 “แล้วแผนการของเราจะทำอย่างไรต่อเล่า” ซูหยวนเหม่ยเอ่ยถาม ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “หากต้องการให้ตระกูลของข้าพ้นโทษ เราจำเป็นต้องมีหลักฐานว่าตระกูลซูโดนใส่ร้ายจากตระกูลหลี่”“แน่นอน” หลี่เซวียนตอบทันที “ดังนั้น เจ้าอาจต้องปลอมตัวเข้าไปในตระกูลเจียง ตอนนี้ข้าได้ข่าวมาว่าพวกเขากำลังรับสมัครคนใช้ใหม่อยู่”“ข้า…หรือ?” ซูหยวนเหม่ยเอ่ยถาม น้ำเสียงแฝงความลังเลเล็กน้อย แม้ในโลกก่อนของนาง การเป็นคนใช้ในบ้านคนอื่นคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเพราะงานบ้านก็ทำเองอยู่แล้ว แต่นี่คือโลกโบราณ โลกที่นางยังไม่คุ้นเคยเลยสักนิด นางยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรทำตัวอย่างไรหลี่เซวียนพยักหน้า “ใช่ เจ้าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด หากเป็นเจ้าที่เข้าไป ข้าจะมั่นใจได้ว่าข้อมูลที่เราต้องการจะไม่มีผิดพลาด และเจ้าจะไม่ทรยศข้า”ซูหยวนเหม่ยนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสูดลมหายใจลึก “ก็ได้ ข้าจะเข้าไปเอง”หลี่เซวียนมองนางด้วยสายตาอ่านไม่ออก แต่ยังคงถามต่อ “เจ้ามั่นใจหรือ ถ้าเจ้ารู้สึกว่าไม่พร้อมหรือรู้สึกกลัว ข้าสามารถส่งคนของข้าเข้าไปแทนได้นะ”“ข้าไม่กลัว” แต่ทันใดนั้น นางก็ชะงักไปเล็กน้อย ราวกับเพิ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
ตอนที่ 6แสงแดดยามเช้าสาดผ่านหน้าต่างไม้ของห้องพัก ซูหยวนเหม่ยลืมตาขึ้นด้วยความรู้สึกสดชื่น หลังจากได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน แต่เพียงครู่เดียว เสียงประท้วงจากท้องของเธอก็ดังขึ้นจนเจ้าตัวต้องยกมือกุมหน้าท้อง“หิวเสียแล้ว…” เธอพึมพำเบา ๆ ก่อนจะลุกจากเตียงและล้างหน้าล้างตาอย่างรวดเร็วไม่นานหลังจากนั้น จินจูก็เคาะประตูห้องของเธอ “คุณหนูเจ้าคะ อาหารเช้าพร้อมแล้ว คุณชายหลี่กำลังรออยู่ที่โต๊ะเจ้าค่ะ”“ข้าจะลงไปเดี๋ยวนี้” เธอเอ่ยตอบกลับไปก่อนจะจัดชุดของเธอให้เรียบร้อยและเดินไปที่ห้องอาหารที่มีหลี่เซวียนคอยอยู่เมื่อหยวนเหม่ยลงมาถึงก็พบว่าหลี่เซวียนนั่งรอเธออยู่ที่โต๊ะอาหาร สีหน้าของเขาดูผ่อนคลายเหมือนคนที่ตื่นเช้าจนชิน ซูหยวนเหม่ยเดินเข้ามาและนั่งลงฝั่งตรงข้าม ดวงตาของเธอหันไปมองอาหารบนโต๊ะทันที“ข้าวต้ม ซาลาเปา…” เธอพึมพำเบา ๆ ก่อนจะหยิบซาลาเปาขึ้นมาทันทีหลี่เซวียนยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางหิวโหยของนาง แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรจนกระทั่งซูหยวนเหม่ยเริ่มทานไปได้สองสามคำ“เป็นอย่างไรบ้าง เมื่อคืนหลับสบายหรือไม่” เขาถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ก่อนจะเริ่มลงมือทานอาหารตรงหน้าเช่นกัน“ก
ตอนที่ 5เมื่อแสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องลงมาทั่วหมู่บ้านชิงหลิน รถม้าที่ซูหยวนเหม่ยนั่งมาทั้งคืนก็หยุดลงหน้าทางเข้าหมู่บ้านพอดี เธอก้าวลงจากรถม้าด้วยท่าทางอ่อนล้า“ขอบคุณท่านมาก” เธอกล่าวพร้อมหยิบเงินออกมาเพื่อมอบให้คนขับรถม้าแต่ชายวัยกลางคนกลับโบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก คุณหนู ข้าทำตามคำสั่งของเถ้าแก่เทาช่านั้น ถือว่าเป็นเกียรติที่ได้ช่วยท่าน”ยังไม่ทันที่ซูหยวนเหม่ยจะพูดอะไร คนขับรถม้าก็พยักหน้าส่งท้ายแล้วขับรถม้าจากไป ทิ้งเธอไว้ตรงหน้าหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศเงียบสงบเธอหันกลับมามองรอบ ๆ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินไปยังจุดนัดพบที่พี่ชายของเธอบอกไว้ในจดหมายเมื่อถึงศาลาไม้หลังเล็กที่ปลายหมู่บ้าน หัวใจของซูหยวนเหม่ยเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น เธอกวาดสายตามองหาพี่ชายของเธอ แต่ทันทีที่เห็นร่างชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่ศาลา รอยยิ้มที่มุมปากของเธอก็พลันหายไป“หลี่เซวียน…”ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเข้มที่เคยช่วยเธอหลบหนีจากคุกหลวงยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าของเขายังคงเรียบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความสง่างามและทรงอำนาจ“ทำไมถึงเป็นเขา…”ซูหยวนเหม่ยเดินตรงเข้าไปหาด้วยความร้อนใจ ดวงตาของเธอจ้องมองเขาอย่างไม่เข้าใจ“ทำ
ตอนที่ 4 แสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมาทั่วตัวเมือง เสียงผู้คนในตลาดเริ่มคึกคัก หลิวหลันเฟยในร่างซูหยวนเหม่ย เดินปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชนในตลาด ดวงตาของเธอกวาดมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวังเธอเดินไปนั่งกินข้าวอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่จุดประสงค์ของเธอไม่ใช่เพื่อกินข้าวเท่านั้น แต่เป้าหมายของเธอคือการที่เธอจะหาข่าวคราวเกี่ยวกับครอบครัวของเธอด้วย ไม่ว่าจะในยุคสมัยใด ยังไงคนก็ชอบเล่าข่าวลือหรือชอบเล่าเรื่องคนอื่นอยู่แล้ว“เอาบะหมี่หนึ่งชาม” หยวนเหม่ยเอ่ยกับเถ้าแก่เจ้าของร้าน“ได้ ๆ เจ้าไปนั่งก่อนเลย เดี๋ยวข้าเอาไปให้”“ขอบคุณ” เธอพยักหน้ารับหนึ่งทีก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะที่ใกล้กับกลุ่มชาวบ้านที่กำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่“นี่พวกเจ้า ได้ยินเรื่องตระกูลซูหรือยัง” เสียงของชายคนหนึ่งพูดขึ้นมา“อ้อ เรื่องนั้นน่ะหรือ…” เพื่อนของเขาตอบกลับเสียงเบา พลางเหลียวมองรอบ ๆ “ได้ข่าวว่าฮ่องเต้เลื่อนการประหารชีวิตของพวกเขาออกไป เพราะบุตรของตระกูลซูสองคนหนีออกมาได้”ซูหยวนเหม่ยตัวเย็นเฉียบในทันที เธอเงี่ยหูฟังต่ออย่างระมัดระวัง หัวใจของเธอเริ่มเต้นแรงขึ้นด้วยความตื่นเต้น“เลื่อนการประหารหรือ ทำไมล่ะ” ผู้หญิงที่อ
ตอนที่ 3หลังจากที่เธอเดินลัดเลาะริมป่ามาเรื่อยๆ เมื่อสบโอกาสเธอจึงหยิบเสื้อผ้าของชาวบ้านมาหนึ่งชุด เพื่อที่เธอจะได้เดินทางได้สะดวกขึ้นเธอเลือกชุดผ้าฝ้ายธรรมดาที่ดูเหมือนกับชาวบ้านทั่วไป พร้อมทั้งผ้าคลุมไหล่ที่ช่วยปกปิดตัวเธอได้มากขึ้น หลังจากนั้น เธอหาที่ซ่อนเปลี่ยนชุดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมัดผมยาวให้เรียบง่ายที่สุดเพื่อไม่ให้ดูโดดเด่นเมื่อเปลี่ยนโฉมเสร็จ หลิวหลันเฟยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง แม้ชุดที่เธอสวมจะดูธรรมดา แต่ก็ดีกว่าชุดนักโทษที่สะดุดตาอย่างเห็นได้ชัดหลิวหลันเฟย หรือในชื่อใหม่ ซูหยวนเหม่ย เดินทางมาถึงที่หมายในเวลาไม่นาน สถานที่แห่งนี้คือกระท่อมหลังเล็ก ๆ ที่ดูเก่าโทรมจนไม่มีใครสนใจ มันตั้งอยู่ในมุมอับของป่าใกล้กับจวนเก่าของตระกูลซูกระท่อมหลังนี้เคยเป็นที่พักของคนงานในจวน แต่ท่านพ่อได้ให้คนงานไปพักที่อื่นแทนและเปลี่ยนที่นี่เป็นที่เก็บสมบัติแทน เธอยืนมองกระท่อมอยู่ครู่หนึ่ง พลางสอดส่องไปรอบ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมา แม้สภาพของกระท่อมดูทรุดโทรมจนแทบไม่มีใครคาดคิดว่าภายในจะมีสมบัติใดซ่อนอยู่ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะระแวงเธอค่อยๆ เปิดประตูกระท่อมเข้าไปและรีบปิดมันอย่างรวดเร็ว







