วินาทีแรก ก่อนจะมีการตกใจเกิดขึ้น หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความใกล้ชิด ชนิดเนื้อแนบเนื้อ โดยริมฝีปากร้อนฉ่าจัดไปทางหนาแต่นุ่ม บดขยี้ลงมาอย่างเนิบนาบ พร้อมอุ้งมือตะปบลงบนแก้ม ชนิดที่ว่าไม่สามารถหลบหลีกไปไหนได้ ในความตกใจนั้น จะไม่ได้สติเลย ถ้าหากเขาจูบเร็วๆ แล้วปล่อยเธอ ไม่จริงจังถึงขั้นคิดจะดุนลิ้นเข้ามา
ง่ำ!
" โอ้ย! "
ไศลาใช้ฟันคมขบเปลือกปากล่างเขาจนเลือดออกซิบๆ พลางใช้โอกาสนั้นในการผลักไสแผ่นอกออก สั่งสอนโดยการเหวี่ยงฝ่ามือระบายความโกรธอีกที แล้วจึงผละถอยมานั่งหายใจให้ไกลจากเดิม
" ทำบ้าอะไรเนี่ย! "
ซันดรูยกยิ้มมุมปาก ในขณะเสี้ยวหน้ายังคงหันไปทางอื่น ทั้งที่บริเวณสากแก้มแดงเถือกเป็นรอยมือ ชาวาบลามมาถึงฟัน ทว่า เขากลับทำหน้าเฉยราวกับมันเป็นแค่การสะกิด
" ซี้ด...หวานเป็นบ้า "
แถมยังทำหน้าเคลิบเคลิ้มเพ้อฝัน ยกนิ้วขึ้นปาดเลือด ก่อนจะขยิบตาให้เธอราวกับคนมีจิตไม่ปกติชนิดหนึ่ง ไศลาเห็นแบบนั้นยิ่งทวีคูณความไม่พอใจมากมาย
หนอย...ไอ้หมอนี่
" ฉันเป็นเมียเพื่อนคุณนะ คุณทำแบบนี้ได้ยังไง " เธอกัดฟันกรอด
ช้อนตามองคนตรงหน้าที่กำลังลุกขึ้นยืน เขายืนเต็มความสูง ก่อนบิดขี้เกียจไปมา แสดงที่ไม่ค่อยดีต่อใจเอาเสียเลย มันบ่งบอกให้รู้ว่ากริยานี้ เขาไม่ใส่ใจกับคำตำหนิของเธอสักนิด มิหนำซ้ำยังทิ้งตัวลงมานั่งข้างเธออีก
" ถามจริง ไอ้เว้ดมันรักเธอจริงหรือ? "
กับคำถามนี้ที่ทำเธอถึงกับอึ้ง ก่อนโน้มหน้าลงมาใกล้ใหม่ ซึ่งคราวนี้ไม่ได้จูบ แต่เปลี่ยนเป็นการจ้องตา หวังจะเอาคำตอบจากเธอแทน
" ฉัน....ไม่รู้ " เธอเงียบไปอึดใจหนึ่ง ส่ายหน้า
" หืม? "
ทำซันดรูที่เห็นถึงความไม่แน่ใจ ก็ยิ่งได้ใจ ยิ่งกดดันใหญ่ ก่อนเลื่อนหน้าไปกระซิบ
" ถ้าไม่รักก็ดีไป แต่ถ้ารักล่ะก็ เธออย่าหวังว่าจะได้แต่งงานกับมัน "
จงใจข่มขู่ หวังให้หญิงสาวนั้นกลัว และเหมือนจะจริงอย่างที่ว่า เมื่อทรวงอกเธอเริ่มแป้ว แสบร้อนแปลกๆ
" พูดแบบนี้ หมายความว่าไง? "
ชายหนุ่มยกยิ้ม แสดงสีหน้าพึงพอใจออกมาอย่างชัดเจน เมื่อเห็นเธอกระเตื้องใคร่รู้มากกว่าปกติ
แต่แล้ว...
ต้องเงียบ หลังกำลังจะพูด กลับมีใครคนนึงเดินเข้ามา
" ก็หมายความว่า..."
" ฮะแฮ่ม! ทำอะไรกันอยู่คะ "
แน่นอนคนมาใหม่นั้น เป็นคนที่ไศลาต้องการจะเจอในตอนนี้เป็นที่สุด ขอบคุณพระเจ้า!
" คุณเอมิเลีย..."
เอมิเลียเหลือบมองร่างสูง ก่อนจะเดินไปหาคนที่เรียก หล่อนยิ้มให้ นั้นจึงทำซันดรูเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องหลบ ยืนขึ้นเองโดยปริยาย พลางยกกำปั้นปิดปากกระแอมกระไอ
" แฮ่ม.."
กลบเกลื่อนอาการของตัวเอง พร้อมเดินออกไปเงียบๆ ปล่อยให้หญิงสาวอยู่กันตามลำพังสองคน ในขณะเอมี่มองตามเขา ด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก แต่ก็เลือกที่จะยิ้ม เมื่อหันมามองไศลา
" เป็นไงบ้างจ้ะ? "
" หนูไม่ได้บาดเจ็บอะไรเลยค่ะ "
" งั้นหรือ โชคดีจริง? "
ใช้มือบางลูบแขนเรียวป้อยๆ บ่งบอกถึงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน
" พอได้ยินข่าว รู้ไหม? ฉันตกใจแทบแย่ "
" ขอบคุณค่ะ "
ไศลายิ้มอ่อนก่อนจะเปลี่ยนเป็นหน้าละห้อย
" ว่าแต่ คุณโครทิส.."
"เอ๋...?? อ้อ เขาปลอดภัยดี "
" ปลอดภัย? "
" เธอยังไม่ได้ไปหาเขาหรอกเหรอ "
เอมี่เลิกคิ้วสูง ก้มลงมองหน้า ในขณะสาวตรงข้ามส่ายหน้าเฉื่อย
" ยังค่ะ...เขาไม่ให้หนูไปเจอ "
" ใครกัน? "
" หมอกับคุณซันดรู "
เอมี่เงียบไปอึดใจ ราวกับกำลังครุ่นคิด หล่อนย้อนไปนึกถึงอะไรบางอย่าง ที่อยู่ในความทรงจำ
ใช่ ตอนมาถึงที่นี่ มีรถคันนึงซึ่งต่างจากกลุ่ม มองปร๊าดเดียวก็รู้แล้วว่าต้องไม่ใช่ และหล่อนก็ถามสามีไปแล้วว่าเป็นรถของใคร
" อรัลเบลงั้นรึ...."
เมื่อนึกออก หล่อนจึงตกใจเล็กน้อย ก่อนจะพึมพำเสียงแผ่ว ทว่า ไศลากลับได้ยิน เธอเลิกคิ้วสูง พลางเอียงคอ
" อะไรนะคะ? "
แต่แล้ว...
คนจุดชนวนกลับส่ายหน้า เปลี่ยนเป็นยิ้มหวานละมุนทันที
" เปล่าจ้ะ"
หล่อนปฏิเสธ ดูไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไหร่ แต่กระนั้นไศลากลับเลือกที่จะเงียบ เก็บความสงสัยไว้ลำพัง ในเมื่อพวกเขาไม่อยากให้ไป เธอก็จะไม่ฝืน แค่ได้ยินว่าเขานั้นปลอดภัย ก็พอใจแล้ว
" คุณเอมิเลียคะ ..."
" จ้ะ? "
" มาเฟียอย่างพวกเขา โดนยิงแบบนี้บ่อยหรือเปล่าคะ "
และเปลี่ยนเรื่อง เลือกที่จะถามในสิ่งที่อยากรู้รองลงมาจะดีกว่า เอมี่ยิ้มอีกครั้ง พลางส่ายหน้า
"ไม่บ่อยหรอกจ้ะ เพราะพวกเขาไม่ใช่เป้านิ่ง "
" แล้วอย่างนี้... เขาจะไม่ตายในสักวันนึง เอ่อ ขอโทษค่ะ หนูก็แค่ .."
" ศัตรูอาจจะจ้องทำลาย ใช่อยู่ว่าความตายมีอยู่รอบด้าน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะฆ่ากันได้ง่ายๆหรอกนะ อิทธิพลมืดพวกนี้ เขาจะมีขอบเขตของเขา เว้นแต่ใครจะล้ำเขตนั้นเข้ามา "
" ล้ำเขต? "
" ไศลา... วันนี้เขายอมพาเธอออกนอกเขต ทั้งที่ไม่สมควรจะใช้รถ เธอรู้ใช่มั้ย...เพราะอะไร? "
" เรื่องแม่กับน้องฉันน่ะหรือคะ"
" งั้นหรือ พาไปหาครอบครัวเธอหรือ "
" ค่ะ ฉันขอให้พาไป แต่ฉันไม่เข้าใจว่า ...ถ้าหากที่นั่นเป็นเขตหวงห้ามที่เขาเข้าไม่ได้จริง แล้วทำไมถึงยังส่งน้องกับแม่ไปไว้ที่นั่น"
" เปล่าจ้ะ" เอมี่ส่ายหน้า " ที่ที่เธออยู่ต่างหากมันนอกเขต "
" อะ เอ๋..? "
" แม่กับน้องของเธอ อยู่ในที่ที่ปลอดภัยมากกว่าเธอ แต่ที่มันจะไม่ปลอดภัย คือเส้นทางระหว่างนั้น ซึ่งสมควรอย่างยิ่ง กับการต้องใช้ ฮ มากกว่า...รถ"
" ฉันไม่เข้าใจ หมายความว่าไง "
" ไศลา เธอยังต้องรู้อะไรอีกเยอะแล้วล่ะ อย่างน้อยๆเธอต้องรู้แล้วว่า แท้ที่จริงโครทิส เวเดโน่ ควรจะเป็นพวกเดียวกันกับฝั่งตรงข้าม มากกว่ามาเป็นมิตรกับเหล่าทะเลทรายศัตรูของพวกเขา แต่เขากลับเลือกที่จะกบฏ เพราะอะไร? "
" กบฏ?? "
" ใช่ เขายอมเปลี่ยนจุดยืน เพียงเพราะอยากจะช่วยชีวิตของเด็กคนนึง ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ไปล่วงรู้ความลับ และขโมยยานรกนั่นเข้า..."
"......!!! "
" ช่างเถอะ เพราะคิดว่าระยะทางเดี๋ยวเดียวแท้ๆ ล่ะมั้ง เขาคงลืมไป อะไรที่มันคือเขตสีแดง ยังไงก็เป็น..สีแดง "
"......."
" บางทีเขาก็เลือกไม่ถูกหรอกนะ ว่าต่อหน้าเธอ ควรจะทำตัวยังไง ถ้าเธอไม่อยากเห็นเขาต้องเจ็บแบบนี้อีก อย่าทำให้เขาต้องรู้สึกว่า การเป็นมาเฟียของเขา กำลังทำให้เธอคิดอยากจะทิ้งเขาไปตลอดเวลา "
" ......."
" เธอคงไม่กลัวมันหรอกใช่ไหม เธอเอาชีวิตตัวเองเข้ามามากกว่าครึ่งนึงขนาดนี้ อย่างน้อยก็ทำให้เขารักไปแล้ว "
"คะ? "
เอมิเลียร่ายประโยคเสียยาว ต่างจากคนฟังที่นั่งอ้าปากเหวอ ราวกับต่อมความรู้สึกได้หายไปแล้ว เธอหน้าชาวาบ หลังได้ยินบางอย่างที่แสนจะน่าทึ่ง แต่กลับเลือกที่จะนั่งฟังเฉย ยินดีเรียนรู้ไปกับมัน
ไศลานั่งนิ่ง ช้อนตาฟังราวกับเด็กน้อยในปกครองของเอมิเลีย ท่าทางของเธอว่านอนสอนง่ายต่างจากการถกเถียงตามนิสัยไม่ยอมใครง่ายๆอย่างเช่นเมื่อก่อน ดวงตากลมโต ยิ่งเบิกกว้างเข้าไปใหญ่ เมื่อถึงท่อนสะเทือนใจหรือตื่นเต้นในตอนใดตอนหนึ่งของเรื่องราวนั้นๆ ก่อนจะก้มหน้างุนหลังจบ
สรุป..พี่ชายเธอใช่ไหมที่เป็นคนเลว
" ฮึก.."
เสียงสะอื้น พยายามกลั้นตั้งนานเผลอดังขึ้น เอมิเลียเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรง โน้มตัวไปแตะมือเธอพลางดึงมากุมไว้
" ฟังนะไศลา ฉันน่ะ...หากเทียบกับเธอแล้ว เธอมันน่า...อิจฉาชะมัด "
" คะ? "
“ คิดดูสิ เธอน่ะถูกรักตั้งแต่แรกพบ มีคนคอยดูแลโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ เพียงแค่รู้ที่มาของเธอ จะว่าพี่ชายเธอไม่ดีอย่างเดียวก็คงไม่ถูก ถ้าหากวันนี้เขาฝากเธอไว้ถูกคน และถูกเวลา “
“ ถูกเวลา? “
“ อือฮึ เพราะคนรักของเขาตายไปนานแล้ว ตั้งแต่ตอนนั้นเขาก็ไม่เคยถูกใจใคร จนกระทั่งมีเธอเข้ามา “
“ คุณเอมิเลียกำลังจะบอกหนูว่า คุณโครทิส ต้องการจะดูแลหนูเพราะอยากดูแล ไม่ใช่เพราะหน้าที่ อย่างนั้น..ใช่มั้ย? “
“ ใช่...”
ดวงตากลมโตที่เคยทอประกายหมองหม่นไร้ราศีจับ เอมิเลียกำลังย้อนนึกเรื่องราวเปรียบเทียบกับตัวเอง ยามที่หล่อนมีรักแท้เพียงแค่ผู้หญิงคนนึง ซึ่งนับวันนั่งรอคอยแต่วันชราเพราะไร้อิทธิพลปกปัก วันนึงต้องมาถูกไฟคลอกด้วยน้ำมือของเด็กที่ชุบเลี้ยง ที่อุตส่าห์ใช้ความรักขัดเกลาจนกว่าจะเติบโต หวังได้เห็นเด็กเหล่านั้นมีชีวิตที่ดีขึ้น ทว่า ความดีที่หล่อนทำกลับตอบแทนอย่างสาสม เอากันถึงตาย ไร้ความปราณี
ใช่.....ตายอย่างน่าอนาถ
ไม่มีวันหวนกลับคืน
......เธอเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสในครานั้น ทว่ายังสามารถเยียวยาได้ ด้วยหัวใจของใครคนหนึ่ง ที่ดูเผินๆไม่น่าจะรักเป็นสักเท่าไหร่ แต่กลับเป็นไปแล้ว ข้ามขั้นข้อกังขานั้นโดยสิ้นเชิง
นั่นสิ... แล้วมันนับประสาอะไรกันกับเธอ หากนับแต่วันนี้ไม่ติดว่า ภายภาคหน้าจะต้องมีอุปสรรคคลื่นใหญ่ นามว่า...อารัลเบล มาคอยขัดขวาง ผู้หญิงคนนี้ คนที่มีชะตาคล้ายกันกับหล่อน แต่ไม่หนักเท่าหล่อน คงโชคดีที่สุดก็เป็นไปได้!
“ หนูยังนึกไม่ออกเลยค่ะ ว่าหนูจะทำยังไงต่อ ยิ่งคุณพูด ก็ยิ่งทำให้สับสน คุณเชื่อไหม นอกจากพี่ชายของหนู ที่คอยทำให้หนูกังวลว่าเขาจะต้องตายเข้าสักวัน เพราะเห็นบาดแผลบนใบหน้านับครั้งไม่ถ้วนในทุกครั้งที่เปิดกล้อง แต่กลับไม่รู้ว่าไปโดนอะไรมา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำอาชีพอะไร ก็มีคุณโครทิสอีกคนนี่แหละที่กำลังจะทำให้หนูมีความรู้สึกแบบนั้นอีกรอบ คุณคิดว่าหนูจะมีความกล้าพอที่ยืนหยัดอยู่กับเขาอีกหรือคะ ในเมื่อตอนนี้หนูกำลังกลัว “
ไศลาร่ายยาวราวกับเผยความในใจ หลังเป็นผู้ฟังที่ดีมาตลอด ซึ่งอาจจะทำให้เอมิเลียอมยิ้ม บ่งบอกถึงความเอ็นดูได้นานกว่านี้ก็ได้ ถ้าไม่ติดว่ามีใครคนนึงเดินเข้ามา และทำให้การสนทนาอย่างมีอรรถรส ของคนทั้งคู่นั้นดับลง
“ ที่เธอพูด ก็มีเหตุผลดีนี่ ฉันว่าเธอน่าจะตายตามพี่ชายเธอไปนะ เวเดนจะได้ไม่ต้องรับภาระตรงนี้ให้เหนื่อย“
จุดชนวนให้คนทั้งสองตกใจ หันขวับไปมองเป็นตาเดียว ผู้หญิงที่ว่าเดินเนิบนาบเข้ามาแต่ตั้งตอนไหนไม่อาจรู้ได้ กว่าจะรู้ก็พบว่า หล่อนนั้นยืนกอดอกพิงขอบประตูอยู่ก่อนแล้ว พร้อมความเห็นที่ทำไศลาถึงขั้นหน้าเหวอ
“ อรัลเบล....”
เสียงครางพึมพำราวกับสายลมผ่านพัด ช่างน่าแปลกคนที่ได้ยินชัดเจนคือไศลา หน้ามนสวยดูไร้เดียงสายามคุยกับมาดามเรกาโดก่อนหน้าแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทันทีที่เห็นใครคนนั้น เธอปั้นคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างฉงน เพิ่งจะรู้ซึ้งถึงคำว่าไร้มารยาทก็วันนี้ ที่ทำให้บทสนทนาเปี่ยมไปด้วยอรรถรส บุบสลายภายในพริบตาเดียว
" นี่หรือไศลา? หน้าตาก็ดูโอเคดีนี่ ชิ "
หล่อนเบ้ปาก มือกอดอก หลังพิงขอบประตู ดูก็รู้จงใจมาหาเรื่อง
อะไรกันเนี่ย...
หญิงสาวตั้งคำถามในใจ ปรับตัวแทบไม่ทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า เขาคุยกันอยู่ดีๆ แล้วยัยคนนี้มาจากไหน!
" เอ่อ..ไศลา นี่มาดามอรัลเบล ผู้หนุนหลังองค์กรเรา "
ก่อนจะละสายตาจากหล่อนไปยังเอมิเลียซึ่งเป็นคนผ่ายมือพูด เธอแนะนำตัวให้คนมาใหม่เสร็จสรรพ โทนเสียงเปลี่ยนไปเป็นแผ่วเบา บ่งบอกให้รู้เป็นนัยๆ ว่าหล่อนมีอิทธิพลเสียเต็มประดา แต่ไม่ใช่กับไศลาคนนี้ เมื่อเธอเบ้ปากกลับ พร้อมกระซิบออกมาว่า..
" อ้อ...แม่ยกนั่นเอง"
" ......"
ซึ่งนั่นทำอรัลเบลขมวดคิ้ว ยิ่งทำเจ้าตัวขุ่นมัวใจมากขึ้นอีกทวีคูณ
" หมายความว่าไง! "
หล่อนชี้หน้า ทำท่าจะกระโจนหา ทว่าเอมิเลียไวกว่า เธอขยับตัวมานั่งบังหน้าไว้ ซึ่งนั่นทำไศลาอึ้งพอสมควร เธอขมวดคิ้ว หรี่ตาลงเชื่องช้า มองแผ่นหลังของหล่อนราวกับภาพสโลว์ ก่อนเหลือบขึ้นไปมองท้ายทอยที่ถูกปิดบังไปด้วยเส้นผมสลวยใหม่
อะไรกัน...
ทำไมถึงได้....
" อย่านะคะมาดาม เธอเป็นคนไทย "
" ฉันรู้ ไม่ได้โง่! "
" คือ..ฉันหมายความว่า คำแสลงของเรากับเขา บางที...อาจไม่เหมือนกัน"
ในขณะหล่อนพยายามปกป้อง ต้องการให้คนข้างหลัง รอดผ่านเวลานี้ไปก่อน ทว่า เจ้าตัวกลับไม่ร่วมมือด้วย ไศลาช้อนตามองเป็นประกาย ประดุจแมวน้อยเต็มไปด้วยความโกรธ ไม่สนใจว่าคู่ปรับตรงหน้านั้นจะเหนือกว่า หากให้เปรียบเทียบถึงความเลวแล้วเล่าก็ มันช่างต่างกันราวฟ้ากับดิน
ใช่ พฤติกรรมในตอนนี้กำลังพาไศลาลงเหว!
" ถึงฉันจะฟังไม่เข้าใจ แต่ฉันก็พอจะรู้ มันกำลังด่าฉันอยู่ เธอดูสายตาที่มันมองฉันสิ อยากตายรึไง! "
"....!!! "
นั่นจึงทำให้เอมี่ตกใจ เร่งหันมากุมมือเธอเพื่อห้าม ก่อนส่ายหน้าเบาๆ พร้อมใช้เบิกตาโตเป็นการสื่อ แทนคำพูดว่าให้เธออดทน ซึ่งนั่นทำให้คนเห็นตกใจไม่แพ้กัน
" ....!!! "
เธออยากจะถาม แต่กลับเลือกที่จะเม้มปากแน่น กันตัวเองไม่ให้เผลอทำตามใจต้องการ ยอมมองเอมิเลียนิ่งๆ สลับกับการตั้งใจฟัง ดูพฤติกรรมระหว่างหล่อนกับเขาอย่างว่าง่าย ทว่าก็ยังคงเจ็บใจ ที่หันไปเห็นตอนอรัลเบลยิ้มเยาะ!
" มาดามอย่าถือสาเลยค่ะ เธอกำลังป่วย "
" งั้นหรือ? "
ก่อนจะเลิกคิ้ว แค่นหัวเราะราวกับสิ่งที่เอมี่พูดคือเรื่องตลก
" เฮอะ.. ไม่เห็นมีผ้าพันแผลเลยนิ "
"......."
พร้อมจ้องหน้าคนทั้งคู่ เสมือนเป็นการข่มขู่ จนกระทั่งหนำใจ จึงเป็นฝ่ายถอยทัพ เลิกลาไปเอง ทว่า ก่อนไปยังไม่วายทิ้งระเบิดก้อนโตเอาไว้
" เป็นแค่นางบำเรอ ฉันยอมให้คนของฉันได้รักษาเธอ ก็บุญแค่ไหนแล้ว ยังไม่เจียมตัว..."
ซึ่งนั่นทำคนได้ยินอย่างไศลาถึงกับคลั่ง เธอเบิกตาโตอึ้งในทีแรก ก่อนจะแหกปากโวยวายภายหลัง ดีหน่อยทีเอมิเลียไหวตัวเร็ว ตะปบปากเธอได้ทันถ่วงที
" โหย!! อีบ้า! แกว่าใค...อะ อู้บบบบ!! "
" ชู่ว... ใจเย็นๆ"
ในสมรภูมิรบ ที่มีความเชื่อประหนึ่งความตายเท่านั้นถึงจะยุติ คนรอดคือคนที่แข็งแกร่งที่สุด โครทิส เวเดโน่ จึงไม่คิดจะยอมแพ้ การก้าวหาความเสี่ยง ทั้งที่รู้ห้าสิบห้าสิบกว่าจะชนะ ไม่ได้มาซึ่งความสำเร็จ ก็ยังไม่คิดจะผันตัวออกมา ราวกับว่าร่างกายตัวเองคงกะพันหนังไม่ระแคะระคายยังไงยังงั้นสองมือโอบอุ้มความกล้าไว้จนมั่น ตระหนักสิ่งสำคัญให้เป็นที่สุดของกำลังใจคือไศลา นั่นทำให้เขาไม่ยอมหยุดที่จะเดินต่อ ยังเดินเกมต่อแม้ทางข้างหน้าจะไร้แสงปลายอุโมงค์ หรือลิบหรี่เต็มทีในความคิดมาเฟียร้ายอย่างเขา คนขึ้นชื่อว่าเป็นหัวโจ็ก กว่าจะได้ฉายาคำว่าผู้นำมาอย่างยากลำบาก ...จึงมีแต่คำว่าลองดูเท่านั้น!ใช่! เขาวางแผนฆ่านายตัวเองไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ลำกล้องปืนถูกดวงตาคมกริบใช้เป็นช่องทางผ่านระหว่างการเล็งจากตึกระฟ้าไปยังชั้นที่แปดสิบของอีกตึก ผู้มีหญิงสาวร่างบางปราดเปรียวยืนเชิ่ดคอทรนงอยู่ นิ้วชี้ขวาประทับแผ่วเบาเตรียมตัว ราวกับรอสัญญาณบางอย่าง บวกกับโอกาสคิดว่าคงสำเร็จไปครึ่ง หากวันนี้เหล่าอัลฟาพ้องพวก สามารถจี้จุดให้หล่อนมีโทสะมายืนตรงนั้นได้ ตำแหน่งที่นานครั้งจะมายืนได้สักครั้ง ทว่าเป็นจุดตายจุดเดียวที่ไม่ต้องพ
ร่างบางนั่งพับเพียบอยู่กลางเตียง ดวงตาเหม่อลอยบวมปูดและแดงก่ำจนมองไม่เห็นเคล้าโครงเดิม บ่งบอกให้รู้ว่าเธอนั้นผ่านการร้องไห้มานานหลายชั่วโมงแล้ว ท่ามกลางความมืดมิด ภายในห้องสี่เหลี่ยม ที่มีเพียงข้าวของเครื่องใช้วางเรียงรายอยู่รอบๆ หากนับสิ่งมีชีวิต คงมีแค่เธอคนเดียว ไศลานั่งกอดเข่าเพียงลำพังนับแต่นั้น และไม่สามารถกะเกณฑ์เวลาได้ พอๆกับหยดน้ำตาที่ไหลลงมาได้ความลับที่พยายามปกปิด ทว่ากลับมาเปิดเผยด้วยปากของตัวเอง กลับกลายเป็นความเสียใจมาสนองเธอ หลังจากคนที่เพิ่งจะมารู้ทีหลังอย่างแม่และน้องชายฟังจบ พวกเขาพากันเงียบ ไร้เสียงพูดคุยสนุกสนานเหมือนเดิม เอาแต่นั่งอยู่ในมุมของตัวเอง ราวกับนั้นคือโลกส่วนตัว ที่ไม่อยากจะให้ใครเข้ามาก้าวก่ายกันอีกหยดน้ำตาที่สอง คือหยดน้ำตาที่แลกมาด้วยความเป็นห่วง เธอร้อนใจนับตั้งแต่เวเดโน่ก้าวออกเดิน ทิ้งเพียงแผ่นหลังกว้างกับภาพปิดประตูรถเอาไว้ ก่อนหายไปท่ามกลางถนนสายเปลี่ยว ไกลสุดลูกหูลูกตา เห็นเพียงใบไม้แห้งเกรียมปกคลุม สาเหตุอะไรที่เขานำแม่และน้องของเธอมาอยู่ที่นี่ สาเหตุอะไรที่เธอต้องมานั่งรอคอยการกลับมาของเขา อยู่กลางป่าถ้านี่ไม่ใช่ความปลอดภัยที่ถูกหยิบยื
มากกว่าความหวาดเสียวในสมรภูมิรบก็คงเป็นคำพูดของเวเดโน่นี่แหละ ที่ดูจริงจังเกินเหตุสำหรับแมททริกในตอนนี้ ซึ่งหลังได้ฟังชัดเต็มสองรูหูเหมือนจะค้างไปแล้ว เขาอึ้ง และพูดอะไรไม่ออก “ อะไรของมึงวะ “ได้แต่เอ่ยเสียงแผ่ว กับคำถามที่ใคร่รู้เพียง เพื่อนกำลังคิดอะไรอยู่ ความหมายของเขาที่มีในหัวประมาณว่า ...“ เพราะผู้หญิงคนนั้นเนี่ยนะ ซึ่งคำตอบที่ได้คือร่างสูงพยักหน้ายอมรับโดยไม่คิดสักนิด“ เฮ้ยยย พวกเราสั่งให้แกเข้าไปพัวพันในชีวิตเธอ เพราะหวังให้ชดเชยสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าวันนึงจะกลายเป็นเมียก็ไม่มีใครว่า แต่ไม่ใช่ให้ทำแบบนี้ ““ แบบนี้มันแบบไหนวะ! “กลายเป็นประเด็นใหญ่ให้เขาทั้งคู่ได้ถกเถียง และมองหน้ากัน ในขณะต่างฝ่ายต่างไม่ละสายตาและไม่มีใครยอมใคร แมททริกอมลมกลั้วปาก รู้สึกขัดใจขึ้นมาทันทีกับความคิดของเขา หนึ่งในแก็งค์อัลฟา ผู้ที่เคยเป็นตัวเต็งแนวหน้า ไม่เคยกลัวสิ่งใด แต่วันนี้กลับมากลัวความรักของตัวเองจะพังลง “ ก็แบบ...”เขาเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น พ่นลมหายใจเฮือกใหญ่“ จะแบบไหนก็ช่างเถอะ แต่มึงจะทำแบบนั้นไม่ได้ มันเสี่ยงมากเกินไป ถ้าฝั่งศัตรูรู้ว่าเราแตกคอกันเอง จะทำยัง
ไศลานั่งคอตก เมื่อเห็นสีหน้าของน้องชาย หลังพูดประโยคนั้นออกไป เธอเม้มปากแน่น ข่มเปลือกตาลงจนมันสั่นระริก ก่อนจะค่อยๆคลี่คลายออก มองไปยังที่เก่า ในขณะรอบนี้เผยความหม่องหม่นนัยย์ตาออกมาด้วย ที่ดูก็รู้เธอกำลังจะร้องไห้ และคนข้างกายเธอเองก็เช่นกัน " พี่พูดว่าอะไรนะ? " เขาถามย้ำก่อนน้ำตาก้อนใหญ่เหล่านั้นจะไหลลงมา ไศลาไม่ตอบ แต่เลือกที่จะก้มหน้านิ่งแทน มองผ่านม่านน้ำตาไปยังมือตัวเอง ซึ่งบีบจิกเข้าหากันราวกับกำลังระบาย" ฮึก..."ความอึดอัดเคยเก็บไว้ในใจสุดลึก เสแสร้งทำเป็นเข้มแข็งมาตลอด ทั้งต่อหน้าและลับหลังครอบครัว วันนี้ถล่มทลายลงมาไม่เหลือชิ้นดี เพียงแค่อยากให้คนที่เธอรักหมดปัญหาเรื่องนี้ไม่ว่าผลจะออกมาดีหรือร้าย เธอก็สบายใจทั้งนั้น ริมฝีปากแดงระเรื่อปริเบ้ออก ยิ่งสะอื้นไห้หนัก หลังร่างสูงถลาเข้ามาเขย่าตัว พยายามกดดันเค้นหาคำตอบ" มองหน้าผมเซ่! ผมถามตั้งนานแล้วนะ พี่ใหญ่เป็นอะไรถึงตาย"ทว่า สิ่งที่เธอเห็น กลับเป็นเพียงภาพที่ไร้เสียง มีเพียงปากพูดเขาที่ขยับ และร้องไห้อยู่ พร้อมบริเวณรอบๆ ที่เปลี่ยนไป' รู้ไหมว่าพี่สอนให้ฉันชิน ชินต่อการคิดถึงพี่ ในวันที่พี่ไม่อยู่ ..ชินกับการเห็นพี่โบ
ร่างบางยืนตระหง่านอยู่บนถนนคอนกรีต เบื้องหน้าของเธอคือกึ่งบ้านกึ่งคฤหาสน์ที่จัดไปทางค่อนข้างจะทรุดโทรมทว่าดูหรูหราจนน่าแปลกใจ อุ้งมือน้อยๆกำสายกระเป๋าสะพายไว้แน่น พร้อมดวงตากลมโตเคลือบอมไปด้วยน้ำหล่อเลี้ยง สลดปนละห้อย เธอใช้สายตาคู่นั้น จรดตั้งแต่ระดับเดียวกันช้อนขึ้นไปมอง พลันถอนหายใจเฮือก เมื่อไปหยุดอยู่ตรงระเบียงชั้นสอง ที่มีใครคนนึงซึ่งคุ้นเคยและจำได้แม่น" แม่คะ..." เธอขยับปากเรียก หล่อนยืนมองอยู่ก่อนแล้ว นับตั้งแต่รถแล่นเข้ามาไกลๆแม้เสียงนั้นดังไปไม่ถึง เพราะระยะทางที่ห่างกัน แต่น้ำตาแห่งความคิดถึง กับสีหน้าเลือนลาง ยังทำให้ทั้งคู่นั้นมองเห็นชัดใช่ เพราะต่างฝ่ายต่างโหยหาไม่มีใครยอมแพ้ ในขณะหัวไหล่เธอกำลังจะตก เผลอคิดไปถึงเหตุการณ์หลังจากนี้ ระหว่างที่อยู่ จะสรรหาประโยคไหนที่ดีพอ ที่ไม่ทำให้แม่ต้องเสียใจ หากจะกล่าวถึงเรื่องของพี่ชายคนโต และการตายของเขาแต่แล้ว.. มือใหญ่ข้างหนึ่งของคนที่มาด้วย กลับทำเธอหลุดภวังค์เสียก่อน ไศลาค่อยๆหันกลับไปมอง “ ฉันต้องการฟังความรู้สึกของเธอตอนนี้ที่มีต่อฉัน “ก่อนจะก้มหน้าลอบถอนหายใจ“ ฉันไม่มีอะไรจะพูด...” เธอส่ายหน้าเชื่องช้า“ พูดให้กำลังใ
" ก็ถ้าสมมุติว่าฉันท้อง"หญิงสาวช้อนตาหน้าสลด หลังคนสูงกว่าเอาแต่ยืนมอง คิ้วผูกติดฉงนงุนงง เธอจึงเริ่มพูดต่อ กับประโยคใส่อารมณ์ ที่บ่งบอกถึงความไม่แน่ใจ แต่แล้ว...กลับถูกมือใหญ่จับหมับตรงต้นแขน" สรุป ท้องหรือไม่ท้อง "เขาเค้นหาคำตอบไศลาเม้มปากแน่น คิดทบทวนตัวเองใหม่ ถ้านี่เป็นเรื่องที่กุขึ้นมา เพื่อความสะใจ และเอาชนะเล่าก็ อีกไม่นาน ร่างทั้งร่างของตัวเอง อาจจะระบมไปหมด เพราะถูกคนตรงหน้านั้นกระทืบเธอกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนพยักหน้าเชื่องช้า ดวงตากลมโตไม่กระพริบ จับจ้องมั่นอยู่ตรงหน้าหล่อเหลา ซึ่งหลังจากจบประโยคนี้ มันค้างชะงันไปกลางคัน และเธอนั้นเห็นพอดีเขาอึ้ง... " แน่ใจ? "" ค่ะ..."" ตรวจดีแล้ว... "" ยังค่ะ เราจะตรวจพร้อมกันวันนี้ ซึ่งฉันมั่นใจไปเกินครึ่ง ว่าในท้องฉัน มีเลือดเนื้อของคุณอยู่ "เธอตอบคำถามอย่างฉะฉาน เวเดโน่เงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะกระโชกโฮกฮาก" ให้ตาย ฉันควรดีใจไหมไศลา..."" เอ๋..."ซึ่งนั่นทำเธอแปลกใจไม่น้อย " ในสถานการณ์ขับขัน ไม่รู้จะเป็นหมู่หรือจ่า อยู่ๆ ก็มีเด็กขึ้นมาให้ฉันต้องรับผิดชอบ.. "เปลี่ยนความคิดในหัวของเธอเป็นฝั่งตรงข้าม ความแรงของมันราวกับตบให้มึน