ก๊อก ๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ขัดจังหวะความคิดจนต้องดึงสติตัวเองให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ยังไม่ทันจะเอ่ยอนุญาตคนเคาะก็เปิดผลัวะเข้ามา แม้จะไม่พอใจกับความไร้มารยาทเขาก็เลือกเก็บซ่อนมันเอาไว้
“มีน มาช้าหรือเปล่าคะ” เจ้าของร่างระหงสวมชุดเดรสขาวถึงเข่าและสวมทับด้วยโอเวอร์โค้ทสีครีม ผมยาวสีน้ำตาลดัดรอนปลายพลิ้วไหวเมื่อก้าวเท้า
หลังจากนั้นหญิงสาวก็ถือวิสาสะเดินไปหย่อนตูดลงบนตักของ
ชายหนุ่ม พร้อมกับยกแขนคล้องคอ ปิดท้ายด้วยการหอมแก้มซ้ายและขวา เป็นการทักทายหลังจากไม่ได้เจอกันเกือบสัปดาห์
แม้จะรู้สึกอึดอัดกับการกระทำนั้นอยู่บ้างแต่เขาก็ปล่อยเลยตามเลยไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา “ไม่นี่ ตรงเวลา”
“กว่าเราจะเจอกันทานข้าวด้วยกันได้ มีนต้องเป็นฝ่ายรอคุณติดต่อกลับมาตลอดเลย เป็นคู่ควงของมาเฟียหนุ่มรูปหล่อ เจอตัวยากจังเลยนะคะแบบนี้ต้องขอค่าทำโทษเป็นหอมแก้มอีกสักฟอด”
ว่าจบก็เอียงคอหอมแก้มซ้าย แก้มขวาโดยที่เจ้าตัวนั่งนิ่ง ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการที่เรย์มีนก้มจุมพิตรูปปั้น หากเขาไม่อยากรู้เรื่องการตายของพ่อตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ผู้หญิงคนนี้คงไม่ได้เฉียดตัวเข้ามาใกล้เขาเด็ดขาด
...น้องของศัตรูก็คือศัตรู...
‘เรย์มีน ไทสัน’ น้องสาวเพียงคนเดียวของเรย์เดน ไทสัน หัวหน้าแก๊งไนไตร์ ซึ่งดูแลและปกครองเมืองโอมินิค อยู่ฝั่งตะวันออกของประเทศ
กอเทียร์ หน้าที่ของน้องสาวคนเล็กวัน ๆ ไม่ทำอะไรเอาแต่ผลาญเงิน และด้วยความที่ฌอนหน้าตาดีตรงสเปกของเธอ จึงทำให้หญิงสาวตกหลุมพราง
ที่วางเอาไว้โดยง่าย
“มีนว่าเราออกไปหาอะไรทานกันดีกว่าค่ะ...มีนหิวแล้ว”
ร่างอรชรลุกขึ้นจากตักของมาเฟียหนุ่มพลางดึงมือหนาให้ลุกขึ้นและเจ้าตัวก็ทำตามอย่างว่าง่าย
แม้ความสัมพันธ์ของเธอจะเป็นคู่ควง แต่มันน่าแปลกที่เขาไม่เคยแตะต้องตัวเธอหรือมีความสัมพันธ์ทางร่างกายเลยแม้แต่ครั้งเดียว พยายามยั่วยวนก็แล้ว มอมเหล้าก็แล้ว แต่เขาคอแข็งเป็นบ้า
เดฟ ครูซ ยังคงทำหน้าที่เป็นลูกน้องมือขวาได้เป็นอย่างดี ขณะฌอนนั่งทานข้าว เขาเดินเข้ามาเพื่อรายงานเรื่องของมาดามหญิงของไคโร
“เราเจอคุณนับหนึ่งแล้วครับ เราส่งคนตามเธอเงียบ ๆ”
“อือ”
เขาตอบรับด้วยน้ำเสียงครางผ่านลำคอ แล้วโบกมือไล่ให้เดฟออกไป ก่อนจะลงมือทานข้าวต่อ ทว่ากลับทิ้งความสงสัยให้กับเรย์มีน เพราะเธอไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
“นับหนี่ง...ใครเหรอคะ”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยที่เธอกล้าเอ่ยถาม ทั้งที่ก่อนหน้านี้เจ้าตัว
ไม่กล้าถาม หรือก้าวก่ายเรื่องเกี่ยวกับตัวเขาเลยสักนิด
“คนที่ผมเกลียด...ตัวปัญหาในชีวิต ที่ยังจัดการไม่ได้สักที” เขาตอบเสียงห้วนอย่างไม่ใส่ใจเท่าไร
“เหรอคะ แต่ดูคุณสนใจมากกว่านะ ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้เดฟส่งคนไปติดตามหรอก”
หญิงสาวเอนตัวไปข้างหน้าขยับยิ้มสวยส่งให้ ทว่านัยน์ตาจ้องจับผิด แค่แวบเดียวต้องหุบยิ้ม สีหน้าเจื่อน เมื่อใบหน้าเย็นชาส่งความเย็นยะเยือกมาให้ เป็นสัญญาณเตือนว่าอย่าล้ำเส้น
ไม่แปลกใจเลยหากหญิงสาวตรงหน้าจะสงสัย น้อยคนนักจะรู้ว่า
มาเฟียทรงอำนาจแต่งงานมีเมียเป็นตัวเป็นตน เพราะเมียบำเรอตามกฎหมายถูกซ่อนเอาไว้อยู่ในคฤหาสน์
...อย่าคิดแม้แต่จะเดินออกมาคอกเด็ดขาด
หน้าที่เมียบนเตียงเจ้าของร่างอ้วนทำแค่ช่วงกลางคืน ส่วนกลางวันนับหนึ่งก็ทำหน้าที่ลูก และ แม่ค้าขนมไทย ซึ่งมีคนสั่งเข้ามาค่อนข้างมากเพราะเธอส่งตามร้านในเขตเมืองหลวงดาเรนเทียร์
“ขอบคุณมากนะนับหนึ่ง ถ้าไม่มีคุณผมคงเตรียมขนมไทยต้อนรับลูกค้าไม่ทัน พวกเขาชมกันใหญ่เลยว่าอร่อยมาก”
ชายหนุ่มรูปร่างสูงนัยน์ตาฟ้า ผมบลอนด์ทอง สวมเสื้อขาวทับด้วยผ้ากันเปื้อนครึ่งตัวสีน้ำเงิน กางเกงขายาวสีดำ หากมองผ่าน ๆ คงคิดว่าเป็นคนทำขนมทั่วไป ทว่าความเป็นจริงเขาคือเจ้าของร้านเบเกอรี่ชื่อดัง ส่งขนมนานาชนิดให้กับโรงแรมและร้านอาหารชื่อดังในเขตเมืองนี้
“ไม่เป็นไรเลยเดวิส เพื่อนกันต้องช่วยกัน” รอยยิ้มสดใสแต่งแต้มขึ้นบนใบหน้าอวบอิ่ม ทว่านัยน์ตากลับหมองหม่นอย่างเห็นได้ชัด
“เพื่อนกันช่วยกันมันก็จริง แต่ต้องรับเงิน”
ยื่นแบงค์สีเทาแกมฟ้ามาให้จำนวนหลายใบ หญิงสาวรีบรับโดยไว เรื่องเงินเธอไม่รีรออยู่แล้ว ทำเอาเดวิสหัวเราะร่วนเพราะรู้นิสัยดีว่าเจ้าตัวขี้งกและขยันหาเงิน ไม่รู้ว่าเดือดร้อนอะไรนักหนาตั้งแต่รู้จักกันมาเธอก็เอาแต่หาเงิน
พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งเจ้าตัวเพิ่งสังเกตว่ามีผู้ชายสวมชุดสูทดำยืนอยู่
ไม่ไกล บนหูมีสายสีดำเหมือนเครื่องมือสื่อสารเพื่อคอยรายงานใครบางคน นับหนึ่งเห็นเดวิสมองบางอย่างอยู่จึงหันไปตามสายตา
เมื่อเห็นว่าเป็นอะไรจึงพ่นลมหายใจออกมา เธอรู้ได้ทันทีว่าเดฟ ครูซเป็นคนส่งบอดี้การ์ดมาตามหลัง เพราะหากจะให้ผู้มีอำนาจในบ้านเป็นคนออกคำสั่ง ให้ควายออกลูกเป็นหมายังง่ายกว่า
ปกติแล้วเวลาที่เธอออกมาทำธุระด้านนอกมักจะเอาลูกน้องของสามีติดสอยห้อยตามมาด้วยหนึ่งคน มันเป็นกฎเหล็กที่เขากำหนดขึ้นมา ไม่ใช่เพราะรักหรือเป็นห่วง แต่เขาทำตามพินัยกรรมที่พ่อของเขาระบุไว้ ถ้าเธอหายไปหรือเขาเป็นฝ่ายขอหย่า
...ทุกอย่างจะตกเป็นของเธอ หรือไม่ก็กลายเป็นของสาธารณะ
สิบห้าปีที่แล้ว...“หนึ่งหลับตาลูก อย่าดู” มือเรียวยกขึ้นปิดตาเด็กหญิงตัวป้อมพลางกดหัวลงต่ำราวกับว่ากลัวใครมาเห็น เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นตามไรผมจนไหลหยดลงมาข้างแก้มตกสู่คางเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังขึ้น และใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ได้แต่ภาวนาว่าอย่าเห็นเธอกับลูกเลย อุตส่าห์หนีมาอยู่ไกลถึงที่นี่แล้ว อรนิดกระชับลูกไว้ในอกแน่น “อรนิด” เสียงเรียกนั้นมาพร้อมกับการเอื้อมมือมาแตะไหล่ เธอสะดุ้งเฮือกใหญ่ “อย่าทำอะไรฉันกับลูกเลย” ร่างเล็กร้องขอชีวิตออกมาสุดเสียง สองมือพนมไหว้สั่นงก ทั้งที่ดวงตายังไม่ทันได้ลืมขึ้นเสียด้วยซ้ำ“อรนิด ฟังก่อน! นี่ผมเอง” มือหนาเอื้อมมาจับสองไหล่เขย่าแรง ๆ สติของเธอจึงกลับมา เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าเป็นสามีของเพื่อน“คุณเชน”“คุณกับลูกปลอดภัยดีใช่ไหม” หญิงสาวพยักหน้ารับ ขอบคุณเขาที่มาช่วย แม้จะหอบลูกหนีกลับมาประเทศไทย ไม่คิดเลยว่าเดลเลอร์จะส่งคนมาตามล่า แค่ชีวิตสามีเธอมันยังไม่พออีกเหรอ“คุณอยู่ประเทศไทยไม่ปลอดภัย ภรรยาผมให้มาตามคุณกลับไปกอเทียร์”“ขนาดหนีมาไกลถึงที่นี่ยังไม่ปลอดภัย คิดเหรอว่ากลับไปที่นั้นแล้วชีวิตฉันกับลูกจะมีความสุข” หญิงสาวพยายามสูดลมหายใจเข้าปอ
เสียงพูดคุยกันของใครบางคนดังอยู่ในรับรองทำให้เรียวขาสวยหยุดลงแล้วถอยกลับไปหลบอยู่มุมหนึ่งของประตูทางเข้า คนหนึ่งเธอจำได้เป็นอย่างดีว่าเป็นพี่ชายตัวเอง แต่อีกคนเธอไม่คุ้นน้ำเสียงมาก่อนแม้ว่าจะพยายามเอียงหูฟังเท่าไรแต่ก็ไม่ได้ยินว่าพวกเขากำลังพูดคุยเรื่องอะไรกัน มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเดียร์มาสกรุ๊ปหรือเปล่า เธอแค่อยากรู้เรื่องเดียวก็คือกระดุมเม็ดนั้นเป็นของใคร “คุณเรย์มีนมายืนทำอะไรตรงนี้คะ”เสียงทักนั้นทำเอาหญิงสาวสะดุ้ง เมื่อหันกลับไปเจอแม่บ้านสาวยืนอยู่ เธอถลึงตาใส่ เรย์เดนได้ยินเสียงพูดคุยอยู่หน้าห้องจึงจบบทสนทนาแล้วเดินไปเปิดประตู“มีอะไรกันแล้วมายืนทำอะไรหน้าห้อง”มองสาวรับใช้สลับกับน้องสาว เรย์มีนยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนจะแก้ตัวว่ามาชวนเขาออกไปกินข้าวด้านนอก เพราะเบื่ออาหารที่แม่บ้านทำแล้ว“อารมณ์ไหนถึงได้มาชวนพี่ไปกินข้าว วันนี้พี่นึกว่าแกจะนอนกอดหมอนร้องไห้ เพราะสุดดวงใจเพิ่งประกาศว่ามีเมียไปเมื่อคืน”รอยยิ้มเย้ยหยันผุดขึ้นมุมปากสองแขนยกขึ้นกอดอก หญิงสาวหันขวับไปมองผู้เป็นพี่ชายด้วยสายตาไม่พอ “อย่าพูดเรื่องนี้ได้ไหม ตกลงจะไปหรือไม่ไป”“อ๊ะๆ ไปก็ได้ ... คุณกลับไปก่อนนะ เราค่อยไปคุยกัน
บรรยากาศในรถเงียบเชียบจนได้ยินเครื่องปรับอากาศ คนที่ร้อน ๆ หนาว ๆ คงหนีไม่พ้นคนขับรถ ต่อให้เคยชินกับการนิ่งเงียบใส่กันของผู้เป็นเจ้านาย แต่บรรยากาศก็ไม่มืดครึ้มขนาดนี้“ขะ ...ขอโทษ” เอ่ยเสียงเบาผ่านลำคอ ได้รับเพียงความเงียบกลับคืนมา เธอชำเลืองมองเขาด้วยหางตา ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองตรง ๆ คนเป็นมาเฟียยังคงนิ่งเงียบ ... เงียบกว่าทุกครั้งที่เคยเป็น เธอไม่อยากให้เขาเป็นอย่างนี้ อย่างน้อยส่งสายตาเย็นชามาก็ยังดี “คุณฌอนคะ หนึ่ง...”รถจอดเทียบชานบันไดหน้าคฤหาสน์ ขายาวก้าวลงจากรถโดยไม่สนใจคนเจ้าเนื้อที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมา เธอตัดสินใจวิ่งไปดักหน้า สองมือกางออกขวางทางเพื่อไม่ให้เขาเดินผ่านเธอไป มาเฟียหนุ่มตวัดนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองคนเจ้าเนื้อ โกรธ โมโห เขาไม่รู้ว่าจะเลือกใช้คำไหน เพราะมีคำว่า ‘เป็นห่วง’ เข้ามาแทนที่ทั้งหมด“หนึ่งขอโทษ ขอโทษจริงๆ หนึ่งแค่...”“แค่เห็นแก่เงิน” เขาสวนขึ้นเสียงเข้มเธอเม้มปากขึ้นเส้นตรงไม่กล้าเถียงแม้แต่คำเดียว เพราะมันคือความจริง เงินจำนวนนั้นมั่นล่อตาล่อใจ จนเธอตกปากรับคำภายในเสี้ยววินาทีโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเสียก่อนสองมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าจ้องหน้าน
“สวัสดีครับทุกท่าน” เสียงแหบพร่ากล่าวทักทายคนในงานดวงตาทุกดวงจับจ้องไปยับนับหนึ่งเป็นตาเดียวเพื่อฟังว่าตาเฒ่าแห่งแก๊งสเตนกำลังจะพูดอะไรต่อกันแน่ก่อนที่เดลเลอร์จะกล่าวอะไรต่อ พนักงานก็เริ่มเดินเสิร์ฟขนมไทยสีเหลืองฉ่ำวาวให้กับทุกโต๊ะ“ก่อนที่ผมจะประกาศเรื่องราวดี ๆ ที่ถูกปิดบังมาอย่างยาวนานให้กับทุกคนได้ทราบ และร่วมยินดี ผม ... อยากให้ทุกคนได้ลองชิมขนมตรงหน้าดูก่อน”เดลเลอร์มองสบตาไปยังฌอน พร้อมกับยิ้มเหยียดมุมปากฌอนรู้ได้ทันทีว่าสเตนต้องการประกาศเรื่องความสัมพันธ์ของตนกับนับหนึ่งออกไปให้คนอื่นรู้ เพราะคิดว่าเธอเป็นจุดอ่อนของตัวเขา มันอาจจะใช่และก็ไม่ใช่ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องยอมรับว่าตาเฒ่านั้นเล่นถูกจุดอยู่ไม่น้อยบอดีการ์ดนับสิบคนเดินเข้ามาประจำจุดของตัวเองตามที่ได้รับคำสั่ง เขาไม่สนใจกฎระหว่างแก๊งแล้ว หากกล้าหยามหน้ากันขนาดนี้ เขาเองก็จะไม่ไว้หน้าเช่นกันร่างสูงลุกขึ้นเต็มสูบราวกับว่าจะประกาศศึกกับอีกฝ่าย ผู้คนในงานต่างเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาเมื่อรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของงานเลี้ยงในวันนี้ แม้แต่ประธานาธิบดีเองยังเดินทางกลับก่อนเวลา“ขนมที่ทุกท่านได้ทานอร่อยดีใช่ไหมครับ”เป็นคำถา
ดนตรีในงานบรรเลงสบาย ๆ แบบผ่อนคลาย ซึ่งตรงกันข้ามกับอารมณ์ผู้ทรงอำนาจของผู้นำเดียร์มาสกรุ๊ป เรย์มีนซึ่งนั่งอยู่อีกกลุ่มโต๊ะหนึ่งไม่ไกลเท่าไรสังเกตเห็นสีหน้าเรียบนิ่งแต่แววตาไม่สู้ดี แต่ก็ยังไม่กล้าเดินเข้าไปหาเพราะมีพี่ชายนั่งคุมอยู่ไม่ห่างมือหนายังคงรัวพิมพ์ข้อความผ่านโทรศัพท์ เพื่อสั่งงานกับลูกน้อง‘ส่งคนของเราออกตามหาให้ทั่ว ตรวจกล้องวงจรปิดทุกตัวบริเวณนั้น’ผู้รับคำสั่งเปิดอ่านทุกตัวอักษรแล้วพิมพ์ตอบรับคำสั่งด้วยมือสั่นเทา ขนาดบอกผ่านตัวหนังสือยังรู้สึกเสียวไปทั้งสันหลัง หากต้องอยู่ต่อหน้าไม่อยากจะคิดเลยว่าสีหน้าผู้เป็นนายจะเป็นอย่างไร“เฮ้ย! ตรวจดูให้ทั่วทุกตารางนิ้ว” หันกลับไปสั่งบอดีการ์ดที่ถูกตามมาช่วยงานสำคัญ ทุกอย่างต้องทำแบบเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้ผู้คนแตกตื่น และสำคัญเลยคือ ... อย่าให้ต่างแก๊งรู้เรื่องนี้ร่างสูงสง่าในชุดสูทสีดำไม่ได้กังวลเรื่องการเจรจาเรื่องธุรกิจแล้ว ยามนี้เขาเป็นห่วงคนตัวกลมเสียมากกว่า ก่อนหน้านี้คนของเขารายงานมาว่าบอดี-การ์ดที่คอยติดตามเธอถูกพบหมดสติอยู่ด้านหลัง สอบถามได้ความเพียงว่ามีกลุ่มชายฉกรรจ์หลายคนรุมทำร้ายเขา และถามหามาดามหญิงของไคโรดวงตาคู่คมกวา
สบถออกมาได้แค่คำนั้น รู้สึกได้ถึงแรงกระชากจากด้านหลัง เพียงชั่วพริบตา ร่างเธอก็ถูกชายฉกรรจ์ลากไปจากตรงนั้นโดยไร้เสียงร้องขอความช่วยเหลือแสงไฟสีเหลืองนวลอ่อนถูกเปิดไปทั่วบริเวณ แม้ไม่สว่างมากแต่ก็มองเห็นใบหน้าของผู้มาร่วมงานอย่างชัดเจน ผู้คนที่ถูกเชิญมาร่วมงานมีทั้งชาวกอเทียร์ และชาวต่างชาติการปรากฏตัวของฌอน ไคโร ทำเอาผู้คนต่างหันมามองเป็นตาเดียว รูปร่าง หน้าตา มีสง่า และทรงอำนาจมากกว่าประธานาธิบดีที่เดินทางมาร่วมงานในครั้งนี้เสียด้วยซ้ำ“ผมสั่งเปลี่ยนโต๊ะให้เรียบร้อยแล้วครับ”เดฟ ซึ่งเดินประกบหลังเมื่อครู่ก้าวเท้าขึ้นมาเดินเทียบข้าง เอ่ยบอกเบา ๆ พร้อมกับผายมือไปยังอีกด้านหนึ่ง แทนที่จะเป็นโต๊ะเดียวกันกับประธานาธิบดีเหมือนเช่นทุกงานที่ได้ไปเขาพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินไปทักทายผู้นำของประเทศตามมารยาท แม้จะถูกเลื่อนเก้าอี้เชิญให้นั่ง ทว่าเขากลับปฏิเสธแล้วเดินไปยังโต๊ะของนักธุรกิจชาวไทย“คนนั้นเหรอที่เดียร์มาสกรุ๊ปอยากร่วมงานด้วย” หนึ่งในผู้มาร่วมงานเอ่ยถามเพื่อนร่วมโต๊ะ พลางพยักพเยิดหน้าไปยังผู้นำของแก๊งมาเฟียอันดับหนึ่ง“อืม ... ใช่ เห็นว่าคนนั้นเป็นนักธุรกิจที่มีอำนาจกว้างขวางในเมืองไ